หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1413 สถานการณ์ของตระกูลชิง
“เหวี่ยงตัวเองเข้ามาในตาข่าย?”
มู่เฉินมองชิงซวงที่กำลังคลั่งก่อนที่จะยิ้มตอบว่า “ท่านแม่ปกป้องข้ามาตั้งนาน ข้าไม่โง่ที่จะหุนหันพลันแล่นหรอก”
“เจ้าก็รู้ตัวนี่? ที่นี่คือมิติฝูถูซึ่งเป็นกองบัญชาการใหญ่ของเผ่าฝูถู! ด้วยขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มของเจ้า ผู้อาวุโสทุกคนที่นี่จับกุมเจ้าได้อย่างง่ายดาย!” ชิงซวงถลึงตาขณะที่ร้องโวยวาย
เหตุผลที่นางลงทุนเสี่ยงไปแจ้งข่าวให้มู่เฉิน ก็เพื่อให้เขาไปซ่อนตัวให้ดีและไม่ถูกตรวจพบโดยเผ่าฝูถู แต่ตอนนี้เขาดันวิ่งทะเล่อทะล่ามาที่เผ่าฝูถู ซึ่งนี่ทำให้นางรู้สึกโกรธมาก
“ข้าว่าคงไม่มีผู้อาวุโสคนไหนจับข้าได้หรอก” มู่เฉินยิ้ม
“เจ้า!” ชิงซวงมุ่นคิ้ว นางรู้สึกว่าคำพูดของมู่เฉินดูจะผยองเกินไปหน่อย
แต่ก่อนที่นางจะเริ่มโวยวายต่อ มู่เฉินก็ก้าวออกมาครึ่งก้าวพร้อมกับรัศมีที่น่ากลัวพวยพุ่งออกมาจากร่างกายเขา ทำเอาฟ้าดินโดยรอบสั่นสะเทือน
ชิงซวงหดดวงตาทันทีจากนั้นก็มองไปที่มู่เฉินด้วยความตกตะลึง แม้ว่าชายหนุ่มจะปล่อยแรงกดดันน่ากลัวออกมาชั่วขณะ แต่นางก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนจากระยะทางแค่นี้
รัศมีนั่นเป็นสิ่งที่แม้แต่ผู้อาวุโสบางคนในตระกูลก็ไม่สามารถประชันด้วยได้
“จะ…เจ้าบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้วหรือ?!” ดวงตาชิงซวงโตเท่าไข่ห่านพร้อมกับความไม่เชื่อบนใบหน้า ตอนที่นางพบกับมู่เฉินเมื่อปีก่อนเขาเพิ่งบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่ในเวลาสั้นๆ เพียงปีเดียวเขาก็ก้าวข้ามขอบเขตเข้าสู่ขุมพลังเทียนจื้อจุน!
ความเร็วในการฝึกฝนของเขาน่าสะพรึงขนาดไหน? ต้องมีพรสวรรค์และโอกาสมากเท่าไรสำหรับสิ่งนั้น?
ในฐานะสมาชิกเผ่าฝูถู ชิงซวงรู้ชัดเจนว่าการก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนยากเพียงใด แม้แต่จอมยุทธ์รากฐานมั่นคงในเผ่าฝูถูก็ยังก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนอย่างยากลำบาก
เช่นเดียวกับเฉวียนหลัวและมั่วซินที่เป็นผู้นำจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของตระกูลเฉวียนและมั่ว แต่กระนั้นพวกเขาก็สามารถแค่สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนได้หลังจากใช้ทรัพยากรของเผ่าไปมหาศาล แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะบรรลุขุมพลังนั้นได้เมื่อไรกัน
แต่ตอนนี้มู่เฉินบรรลุระดับเทียนจื้อจุนก้าวนำทั้งสองคนแล้ว ดังนั้นเห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ไม่น่าเชื่อแค่ไหน
“ได้รับโอกาสบางอย่างจึงบรรลุได้น่ะ” ท่าทางของมู่เฉินสงบลง
ชิงซวงตะลึงไปนานก่อนที่จะฟื้นสติขึ้นมาและมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาซับซ้อน นางรู้ดีถึงคลื่นความตกตะลึงที่จะซัดใส่เผ่าฝูถูหากมีการเปิดเผยเรื่องนี้
มู่เฉินเป็นตัวกาลกิณีที่ไม่ได้รับการสนับสนุนทรัพยากรใดๆ ของเผ่าแม้ว่าเขาจะมีพรสวรรค์ แต่ก็ควรมีขีดจำกัด ทว่าความเป็นจริงกลับทำให้ทุกคนถูกตบหน้า ซ้ำยังบอกพวกเขาด้วยว่าแม้จะไม่มีเผ่าฝูถูคนอย่างเขาก็ยังสามารถเหนือกว่าอัจฉริยะที่พวกเขาฟูมฟักเลี้ยงดูมาในเผ่า…
“ตะ… แต่ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แต่ก็ไม่ควรมาที่เผ่าฝูถูนะ!” ชิงซวงสูดหายใจเข้าลึกและพูด แม้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจะทรงพลัง แต่ก็ไม่อาจข่มขู่เผ่าฝูถูได้ เพราะรากฐานเผ่าโบราณลึกล้ำ ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงแม้แต่ขั้นเซิ่งก็ไม่กล้าก่อปัญหาในเผ่าฝูถู
“ข้ารู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่นะ” มู่เฉินพยักหน้า
เมื่อเห็นแววตาสงบนิ่งของมู่เฉิน ชิงซวงก็รู้ว่าคำห้ามปรามของนางไร้ประโยชน์ ดังนั้นนางจึงทำเพียงถอนหายใจและพาทั้งสามคนไปยังลานเงียบสงบ
“ข้าบอกเรื่องนี้กับผู้อาวุโสชิงเซวียนได้ไหม?” ชิงซวงมองไปที่มู่เฉินพลางถามหลังจากจัดการเรื่องนี้แล้ว
หลังจากไตร่ตรองชั่วครู่มู่เฉินก็พยักหน้า
ชิงซวงรู้สึกหายใจโล่งบ้าง เมื่อตกลงกันเรียบร้อยนางก็ออกไป
มู่เฉินมองร่างเงาบอบบางก็หันกลับมาพูดกับหลิงซีและหลงเซี่ยงว่า “สองวันนี้พยายามอย่าออกไปไหน ทุกอย่างรอให้เริ่มงานชุมนุมสายเลือดก่อน”
ถึงยังไงพวกเขาก็มาอยู่ในเผ่าฝูถูแล้ว หากตัวตนของพวกเขาถูกเปิดเผยก็จะทำให้เกิดปัญหาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวู แต่ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับมู่เฉินที่จะบรรลุเป้าหมาย
หลิงซีและหลงเซี่ยงพยักหน้า ครั้งหนึ่งพวกเขาก็เคยอยู่ในเผ่าฝูถูมาก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงรู้เกี่ยวกับรากฐานของเผ่าโบราณเผ่านี้โดยธรรมชาติ ตอนนี้พวกเขาอยู่ในถ้ำเสือแล้ว พวกเขาต้องระวังตัวให้มาก
หลังจากสั่งทั้งสองคนแล้ว มู่เฉินก็เคลื่อนไหวไปปรากฏตัวในเก๋งหินที่ตั้งอยู่ในสวนแล้วนั่งลง เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แสงหลิงสว่างวาบในดวงตาราวกับว่ามีสัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนสะท้อนในรูม่านตา
บางทีคนอื่นอาจเห็นเพียงคลื่นหลิงไร้ขอบเขตเมื่อจ้องมองไปบนท้องฟ้าของมิติฝูถู แต่มู่เฉินสามารถมองเห็นค่ายกลขนาดใหญ่
ค่ายกลนี้เป็นค่ายกลพิทักษ์เผ่าฝูถูและความลึกล้ำก็เป็นสิ่งที่แม้แต่หลิงเจิ้นจงซืออย่างมู่เฉินก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้
แต่เขาไม่ได้พยายามที่จะมองผ่านค่ายกลนี้ แต่พยายามทำความคุ้นเคยต่างหาก
การสัมผัสของเขากินเวลาตลอดบ่ายและแววตาก็สงบลงเมื่อดวงอาทิตย์ตกดิน
“เป็นอย่างนี้เอง…”
มู่เฉินพึมพำกับตัวเองด้วยแววตาอัศจรรย์ใจ นั่นเป็นเพราะขณะที่เขาสัมผัสก็ตระหนักได้ว่าจริงๆ แล้วค่ายกลพิทักษ์นี้มีช่องโหว่บางอย่าง
ช่องโหว่เหล่านั้นถูกซ่อนไว้อย่างแนบเนียน แต่มู่เฉินก็สามารถรับรู้ได้ชัดเจนด้วยทักษะที่ได้รับมา ถ้าเขาเดาไม่ผิดช่องโหว่เหล่านั้นถูกทิ้งไว้โดยมารดาของเขา
“หืม?”
ขณะที่มู่เฉินกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่าทางก็เปลี่ยนไปทันที สายตาหันไปมองระลอกมิติที่ผันผวนในสวน ร่างเงาหนึ่งปรากฏขึ้น
นี่เป็นสตรีที่ยังคงเค้าความงดงามและสง่างาม นางก็คือผู้อาวุโสชิงเซวียนที่เขาเคยพบมาก่อน
“ผู้อาวุโสชิงเซวียนมาเร็วเหมือนกันนะ” มู่เฉินยิ้มขณะมองไปที่ชิงเซวียน
ชิงเซวียนมองไปที่มู่เฉิน ก่อนที่จะเคลื่อนไหวฉับพลันมาปรากฏที่เบื้องหน้าเขา ฝ่ามือของนางฟาดออกพร้อมกับรัศมีซัดใส่มู่เฉิน
แม้ว่าฝ่ามือนั้นดูเหมือนไร้พลัง แต่ก็ทำให้เก๋งหินถล่มลงมา พื้นที่โดยรอบสั่นสะเทือนราวกับพังแหล่มิพังแหล่
เมื่อฝ่ามือน่ากลัวพุ่งเข้ามา มู่เฉินก็มีท่าทางไม่แยแส เขารอให้ฝ่ามือพุ่งลงมาก่อนที่จะปัดมือใส่ฝ่ามือนั้นลวกๆ
ปัง!
เกิดการปะทะกัน มู่เฉินไม่ได้ขยับไปไหน แต่ชิงเซวียนตัวสั่นถอยออกไปหลายก้าวโดยที่พื้นที่ใต้เท้าแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
เมื่อทรงตัวได้ชิงเซวียนก็ไม่ได้ออกกระบวนท่าอะไรอีก แต่มองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาซับซ้อน “ตอนที่ชิงซวงบอกข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ข้ายังไม่เชื่อ แต่ตอนนี้เจ้าเหมือนจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้วจริงๆ”
ขณะที่พูดแววพึงพอใจก็กะพริบในส่วนลึกของดวงตานาง
ทว่าในไม่ช้านางก็ถอนอารมณ์ออกพลางทอดถอนใจ “แต่เจ้าก็ไม่ควรมาที่นี่”
“เผ่าฝูถูทำให้ข้ากับท่านแม่ต้องแยกจากกันเป็นสิบๆ ปี ทำไมข้าถึงไม่ควรมาล่ะ?” มู่เฉินพูดอย่างไม่แยแสพร้อมกับแสงเย็นวูบไหวในม่านตา
ผู้อาวุโสชิงเซวียนยิ้มอย่างขมขื่น “กระทั่งแม่ของเจ้าที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยังไม่สามารถต่อกรกับทั้งเผ่าได้ ตัวเจ้าที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงจะทำอะไรได้?”
“เผ่าฝูถูทรงพลัง แต่ข้าไม่คิดว่าทางเผ่าจะทำอะไรก็ได้ในมหาพันภพใช่ไหม?” มู่เฉินพูดอย่างใจเย็น โดยไม่เปิดเผยความกลัวใดๆ ในดวงตา
ชิงเซวียนอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ นางคิดว่ามู่เฉินแค่พูดออกมาด้วยความโกรธ ที่สุดแล้วเผ่าฝูถูก็ไม่สามารถกระทำการอย่างไม่เกรงกลัวในมหาพันภพ แต่กลับไม่ใช่สำหรับมู่เฉิน
“เจ้าอยากทำอะไร?” ชิงเซวียนลังเล ก่อนที่จะกัดฟันถามออกมา
มู่เฉินมองไปที่ชิงเซวียน ท่าทางของเขาก็ผ่อนคลายลง “ท่านยอมช่วยข้าหรือ?”
สายตาของชิงเซวียนดิ่งลงก่อนที่จะตอบว่า “นางก็เป็นน้องสาวของข้าเช่นกัน แต่ตอนนี้ตระกูลชิงอ่อนแอลงทุกวัน อำนาจในเผ่าก็น้อยลง ตระกูลมั่วและเฉวียนพยายามกดตระกูลชิงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นหลายเรื่องเราก็ช่วยอะไรไม่ได้”
“ตอนนั้นเราไม่สามารถช่วยมารดาเจ้าได้ คราวนี้จะให้เราปล่อยเจ้าถูกจับตัวก็ไม่ได้ มิฉะนั้นตระกูลชิงก็ไม่มีหน้าขอโทษน้องสาวข้าและท่านตาแล้วจริงๆ”
มู่เฉินอยู่ในความเงียบงัน เขารู้ว่าตระกูลชิงยิ่งใหญ่ตอนที่ท่านตาเขาปกครองจนเติบโตเป็นหนึ่งในสายเลือดหลักของเผ่าฝูถู แต่หลังจากการตายของท่านตา มารดาของเขาไม่อยากที่จะรับช่วงประมุขตระกูลจึงหนีออกจากไป ท้ายที่สุดนางก็ได้พบกับบิดาเขาและให้กำเนิดเขา ซึ่งนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้นางถูกคุมขัง
“ช่วยบอกสถานการณ์ปัจจุบันของตระกูลชิงได้ไหม?” มู่เฉินถาม
แม้ว่าตระกูลชิงจะเริ่มตกต่ำ แต่ก็ยังคงเป็นพลังได้หากดึงเข้ามาช่วย มู่เฉินไม่ใช่คนหยิ่งผยองที่คิดจะเผชิญหน้ากับเผ่าโบราณนี้ด้วยตัวเอง
ชิงเซวียนยิ้มอย่างขมขื่น “สถานการณ์ปัจจุบันเลวร้ายกว่าที่เจ้าคิด หากครั้งนี้ตระกูลชิงไม่สามารถแสดงผลงานใดๆ ในการประลองได้ เราจะหลุดจากการเป็นสายเลือดหลักตกเป็นสายเลือดย่อย…”
มู่เฉินขมวดคิ้ว สถานการณ์ของตระกูลชิงย่ำแย่ขนาดนี้แล้วเหรอ?
“งานชุมนุมสายเลือดคืออะไรกันแน่?”