หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 872 ทัพพันธมิตรอันยิ่งใหญ่
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 872 ทัพพันธมิตรอันยิ่งใหญ่
“อัจฉริยะรัศมีจั้นยี่สี่คน?”
เมื่อมู่เฉินและคนอื่นๆ ได้ยินคำพูดของจินไถหลิวหลีก็อึ้งไปก่อนที่จะขมวดคิ้ว นั่นเพราะตอนนี้ถึงแม้จะรวมจินไถหลิวหลีและเซียวเทียนไปด้วยก็มีอัจฉริยะรัศมีจั้นยี่สามคนเท่านั้น
หรือว่าพวกเขาจะต้องค้นหาอัจฉริยะอีกคน? นี่ไม่ใช่งานง่ายเลย เพราะแม้แต่ในภูมิภาคทางเหนือจอมยุทธ์ที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะรัศมีจั้นยี่ก็มีจำนวนนับได้ด้วยนิ้วมือเท่านั้น แล้วจะหาง่ายแบบนั้นได้ยังไง?
เมื่อจินไถหลิวหลีเห็นทุกคนขมวดคิ้วก็ยิ้ม “ข้ารู้ว่าเป็นเรื่องยากที่จะรวบรวบอัจฉริยะได้ครบสี่คน ดังนั้นยังมีวิธีที่ทดแทนกันได้ เราสามารถให้แม่ทัพสามคนที่มีความเชี่ยวชาญทางศาสตร์นี้นำทัพเข้าไปในส่วนที่สี่แทนได้”
“แบบนี้คงไม่สามารถทำลายค่ายกลศึกได้หรอกมั้ง?” มีจอมยุทธ์สายตาแหลมคมมองออกทันที นั่นเพราะทุกคนรู้ว่า แม้แต่แม่ทัพสามคนที่มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์รัศมีจั้นยี่ยังยากที่จะเทียบเคียงอัจฉริยะรัศมีจั้นยี่ได้ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีความเข้าใจในระดับเดียวกัน
ยิ่งกว่านั้นยังเป็นไปไม่ได้ที่จอมยุทธ์ทั้งสามจะเชื่อมโยงจิตใจเข้าด้วยกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเผชิญหน้ากับค่ายกลจตุเทวะนี้
“ตามที่แม่นางจินไถบอก ถ้าเราไม่สามารถทำลายค่ายกลจตุเทวะส่วนที่สี่ได้ ก็เปล่าประโยชน์สำหรับพวกเราที่จะทำลายอีกสามทิศใช่ไหม?” มู่เฉินเอ่ยถาม
“ถ้าค่ายกลจตุเทวะอยู่ในสภาพสมบูรณ์ก็จะเป็นเช่นนั้นนะ” จินไถหลิวหลีเอ่ยเสียงนุ่มจากนั้นก็พูดต่อว่า “แต่เนื่องจากกาลเวลาที่ผ่านมายาวนาน ค่ายกลก็ไม่ได้อยู่ในสภาพสมบูรณ์อีกต่อไป ดังนั้นแค่เราสามารถทำลายสามทิศได้รวดเร็ว ก็จะส่งผลให้ทิศที่สี่อ่อนแอลง เมื่อถึงเวลานั้นก็จะง่ายต่อการทำลาย”
“ดังนั้นจอมยุทธ์ที่เข้าจัดการทิศที่สี่ไม่จำเป็นต้องทำลาย เพียงแต่ซื้อเวลาจนกว่าพวกเราสามคนจะจัดการเรียบร้อย”
พูดถึงจุดนี้นางก็กวาดมองทุกคนด้วยรอยยิ้มงดงามบนใบหน้า “ไม่ทราบว่าทุกคนคิดยังไง?”
ทุกคนมองหน้ากัน พวกเขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับค่ายกลจตุเทวะ ในเมื่อจินไถหลิวหลีพูดแบบนี้ พวกเขาก็ไม่มีความคิดอื่น ถึงตอนนั้นหากเกิดเหตุกาณ์ร้ายแรงขึ้นก็แค่หนีออกไปได้เท่านั้นเอง
มู่เฉินมองไปที่ใบหน้าจินไถหลิวหลี ดวงตาวูบไหวแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ในเมื่อทุกคนไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ก็ขอให้เตรียมตัวเถอะ สำหรับจอมยุทธ์ที่จะเข้าประจำตำแหน่งทิศที่สี่ ก็ขอให้พวกเจ้าเลือกคนที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา” จินไถหลิวหลีพยักหน้าโดยมีริ้วไอสังหารวูบไหวบนใบหน้า
ทุกคนแลกเปลี่ยนสายตากันก็ไม่ได้พูดอะไร จากนั้นกลับไปยังกองทัพของตนเริ่มจัดเตรียมกองทัพเพื่อให้พร้อมสำหรับความร่วมมือนี้
มู่เฉินไม่ได้จากไปทันที กลับยิ้มส่งไปให้จินไถหลิวหลี หลังจากที่ทุกคนออกไปหมดแล้ว “แม่นางจินไถทำไมถึงรู้เรื่องสถานที่นี้ได้ชัดเจนเช่นนี้? แม้แต่วิธีทำลายค่ายกลจตุเทวะยังรู้เลย”
จินไถหลิวหลีมองมู่เฉินคลี่รอยยิ้มสบายๆ “ข้าแค่ได้พบกับแม่ทัพภายใต้การบังคับบัญชาของจักรพรรดิเทียนเจิ้นระหว่างทางที่เข้ามา ข้าคิดว่าผู้บัญชาการมู่ก็คงได้พบพวกเขาเช่นกันใช่ไหม?”
“ข้อมูลของข้าไม่ละเอียดเท่าของแม่นางจินไถหรอกนะ แต่ในเมื่อพวกเราร่วมมือกันแล้ว ข้าก็หวังว่าเจ้าจะไม่ตลบหลังกันนะ” มู่เฉินไม่ได้แสดงความคิดเกี่ยวกับคำอธิบายของจินไถหลิวหลี ในเมื่ออีกฝ่ายไม่คิดที่จะพูดเพิ่มเติม เขาก็ไม่ถามอะไรอีก เขาประสานมือให้ก่อนจะออกไปพร้อมกับจิ่วโยว
ที่เบื้องหลังจินไถหลิวหลี สายตาฟังยี่สาดประกายวาววับด้วยแสงเย็นยะเยือก เขามองไปที่หญิงสาว “เจ้าสัญญากับข้าว่าจะช่วยจัดการมู่เฉิน”
“เขาไม่ใช่คนที่จะจัดการได้ง่ายและซากอารยธรรมความตายนี้ก็สำคัญมากกว่า ซึ่งจะชี้ว่าข้าสามารถเป็นจั้นเจิ้นซือในอนาคตได้หรือไม่ เจ้าเองก็ควรรู้ว่าเรื่องไหนสำคัญกว่ากัน ไม่งั้นก็ยากที่จะอธิบายให้ท่านประมุข” จินไถหลิวหลีหลุบตาลง ในน้ำเสียงทั้งราบเรียบและไม่แยแส
ฟังยี่ขมวดคิ้วไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสียงเย็นว่า “ยังไงข้าก็เสนอเงื่อนไขไว้แล้ว ถึงเจ้าจะมีเวลาแต่น้องสาวของเจ้าไม่มี ต้นเก้าวิญญาณเต็มสวรรค์เป็นสมุนไพรล้ำค่ากระทั่งในหมู่ตึกเทวะ แม้ว่าเจ้าจะเป็นหนึ่งในสมาชิกแต่ก็ยังยากจะเชื่อเพราะประวัติในอดีต ดังนั้นมีเพียงข้าไปช่วยร้องขอ เจ้าถึงจะมีโอกาส”
ผมหน้าม้าเฉียงของจินไถหลิวหลีทำให้เงาพากลงบนดวงหน้า นางหยุดชั่วครู่ก่อนที่จะเงยหน้ายิ้ม “วางใจเถอะ สงครามล่าเพิ่งจะเริ่ม ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือ”
ฟังยี่มองจินไถหลิวหลีก่อนที่จะพยักหน้าแล้วหันหลังจากไป
จินไถหลิวหลีมองฟังยี่ที่ออกไปด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ทว่ามือใต้แขนเสื้อกลับกำแน่นจนกระทั่งเล็บเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด
หลังจากที่ทุกคนกลับไปยังกองทัพของตน กองทัพก็เริ่มจัดระเบียบสร้างกระบวนทัพยิ่งใหญ่อย่างน่าสะพรึงกลัว
มู่เฉินยืนอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่งโดยมีหน่วยรบทั้งห้าอยู่เบื้องหลัง ราวกับสัตว์อสูรเหี้ยมหาญซ่อนตัวซึ่งกำลังเหยียดร่างเอาไว้ ขณะที่รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตกระเพื่อมไหวออกมา
ที่ด้านหลังมู่เฉิน จิ่วโยวก็มุ่นคิ้วพลางเอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าจินไถหลิวหลีพูดความจริงเหรอ?”
“นางใช้ประโยชน์จากพวกเราแน่นอน แต่ที่นี่ไม่มีใครโง่ ต่างฝ่ายต่างใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน ไม่มีใครอยากกลับไปมือเปล่า แม้พวกเขารู้ว่าจะฉีกชิ้นเนื้อออกจากกันได้เมื่อทุกคนรวมตัวกันสู้ แต่พวกเขาก็ไม่มีใครที่สามารถรวมกำลังพลได้ ในเมื่อจินไถหลิวหลีมีความสามารถ พวกเขาก็ยินดีจะทำตามนั้น”
“แต่เราก็ต้องระวัง ข้ารู้สึกว่าจินไถหลิวหลีปิดบังอะไรบางอย่างไว้” มู่เฉินปรายตามองไปยังทิศที่จินไถหลิวหลีอยู่
เมื่อได้ยินจิ่วโยวก็พยักหน้า
ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงในการเตรียมการ กองทัพทรงพลังมากมายเริ่มกระจายไปทั่วเทือกเขาแห่งนี้ รัศมีจั้นยี่ทะยานขึ้นสู่ขอบฟ้า
ณ ที่แห่งนี้มีกองทัพชั้นยอดสามกองทัพและกองทัพชั้นสูงอีกสิบกว่ากองทัพ เมื่อมารวมตัวกันก็มีจำนวนกำลังพลถึงหลายแสนคนเลยทีเดียว ช่างเป็นภาพที่ยิ่งใหญ่นัก
“ทุกคนพร้อมกันหรือยัง?” เสียงอ่อนโยนของจินไถหลิวหลีเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ยับยั้งความโกลาหลทั้งหมดลง สายตามากมายก็หันไปมองในทางเดียว
ทุกคนประสานมือให้จินไถหลิวหลีเป็นการบอกว่าพวกเขาเตรียมพร้อมแล้ว
“ในเมื่อพร้อมแล้วก็เคลื่อนพล แม้ว่าทัพหน้าของกองทัพจตุเทวะจะมีประสิทธิภาพด้อยกว่าทัพหลวง แต่เหนือกว่าในเรื่องที่มีจำนวนนักรบมหาศาล โชคดีที่ตอนนี้พวกเขากลายเป็นผีดิบทำให้รัศมีจั้นยี่ลดลงไปเหลือไม่ถึงครึ่งหนึ่งของจุดสูงสุด ดังนั้นตราบใดที่ทุกคนฟังคำสั่ง ข้ารับรองได้ว่าจะให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายน้อยที่สุด” เสียงอ่อนโยนของจินไถหลิวหลีแสดงความมั่นใจ
ทุกกองทัพเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้า ถ้าจินไถหลิวหลีสามารถนำพาพวกเขาไปได้ด้วยการเสียจำนวนพลน้อยที่สุดก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้านางใช้พวกเขาเป็นห่ากระสุน พวกเขาก็จะทิ้งภารกิจนี้ไปทันที สถานการณ์ตาข่ายขาดปลาตายแบบนั้น คิดว่าแม้แต่จินไถหลิวหลีก็ไม่กล้าทำอะไรที่เลวร้าย
มู่เฉินและผู้บัญชาการทั้งห้าแลกเปลี่ยนสายตากันก่อนจะพยักหน้า
“ทุกคนเคลื่อนทัพได้ ข้าจะให้หมู่ตึกเทวะเป็นกองหน้าเข้าตะลุมบอน ส่วนกองทัพอื่นปกป้องด้านข้างเอาไว้” ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน จินไถหลิวหลีก็สูดลมหายใจเข้า ดวงตาสงบนิ่งส่องแสงพราว ก่อนที่นางจะยกมือขึ้นแล้วสะบัดมือลง
ตู้ม!
หมู่ตึกเทวะรับหน้าที่เป็นหน่วยทะลวงฟัน รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตแผ่กระจายออกไปราวกับมหาสมุทร ทำให้กระแสลมและหมู่เมฆถึงกับเปลี่ยนทิศฉับพลัน
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
กองทัพมหึมากวาดออกราวกับก้อนเมฆสีดำ ที่เบื้องหลังกองทัพทั้งหลายก็ติดตามไปอย่างไม่ลดละ
กองทัพมหึมานี้ ทำเอาโลกถึงกับโยกคลอนทุกที่ที่ผ่าน แม้ว่ารัศมีจั้นยี่แต่ละส่วนจะมีความแตกต่างอย่างชัดเจนและไม่สามารถรวมตัวเข้ากันได้ ทว่าจำนวนกำลังพลที่มากมายนั้นก็น่าสะพรึงมาก
มู่เฉินเป็นผู้นำหน่วยรบทั้งห้าซึ่งอยู่ในช่วงกลางด้านหลังของกองทัพพันธมิตร เขามองกองทัพใหญ่โตมโหฬารนี้ก็ถึงกับแอบเดาะลิ้น รู้สึกตกตะลึงในใจ
กองทัพเคลื่อนพลราวกับเมฆดำกวาดผ่านขอบฟ้า สิบกว่านาทีก็เข้าสู่ที่ราบมืดมิด ภาพกองทัพนักรบผีดิบยิ่งใหญ่สุดลูกหูลูกตาก็เผยออกมา
ธงรบตั้งตระหง่านบวกกับรัศมีจั้นยี่ที่เน่าเปื่อยกวาดข้ามไปทั่วขอบฟ้า ทำเอากองทัพพันธมิตรถึงกับมีสีหน้ากังวลขึ้นมา
ทว่าจินไถหลิวหลีที่อยู่ภายในกองทัพพันธมิตรไม่ได้มีความกลัวแม้แต่น้อย เพลิงหนาแน่นลุกโชนในดวงตา น้ำเสียงกระจ่างใสเปล่งออกมาเข้าโสตประสาทของทุกคน
“ลุย!”
ตู้ม!
กองทัพหมู่ตึกเทวะเป็นกองหน้า เสมือนใบมีดแหลมคม พุ่งเข้าไปในแนวป้องกันของกองทัพนักรบผีดิบ
คลื่นเชี่ยวกรากสองสายปะทะกันดังสนั่นหวั่นไหว
รัศมีจั้นยี่ทรงพลังทะยานขึ้นบนขอบฟ้า ทำเอามิติกระเพื่อมไหวโลกแตกร้าว ปราการแรกของกองทัพนักรบผีดิบแตกสลายทันที โดยกองทัพพันธมิตรที่ราวกับคลื่นน้ำบุกทะลวงเข้าสู่ช่องว่างปานสายฟ้าฟาด
นักรบผีดิบจำนวนนับไม่ถ้วนกลายเป็นขี้เถ้าสลายไปในอากาศในพริบตา
ทว่ากองทัพพันธมิตรไม่ได้หยุดการเคลื่อนพล กลับพุ่งเข้าหาฝ่ายศัตรูฉีกทึ้งอย่างเกรี้ยวกราดเพื่อเข้าไปในส่วนลึก
เมื่อมู่เฉินเห็นรัศมีจั้นยี่ที่น่าขนพองสยองเกล้ากำลังปะทะกัน เขาก็อดสูดลมหายใจเย็นเข้าไปไม่ได้ เพราะภาพนี้ช่างน่าสะพรึงจริงๆ
เขามองไปยังร่างเงาบอบบางในชุดสีขาวที่อยู่ห่างไกล ความเคร่งเครียดก็วาบบนใบหน้า
แม่ทัพหญิงคนนี้เก่งกาจใช้ได้เลย
**สำนวนตาข่ายขาดปลาตายแปลว่าเสียประโยชน์ทั้งสองฝ่าย