หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 920 มิติแตกสลาย
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 920 มิติแตกสลาย
ลึกเข้าไปในสมรภูมิหยุ่นลั้ว
ที่นี่เป็นดินแดนป่าเถื่อนและน่ากลัวอย่างยิ่ง ท้องฟ้ามืดมนชั่วกัปชั่วกัลป์พร้อมกับพายุผลึกวิญญาณครอบงำไปทั่วขอบฟ้า ทุกที่ที่พายุเคลื่อนผ่านภูเขาถึงกับราบเรียบเป็นหน้ากอง แต่มีเพียงภูเขาสีดำทะมึนลูกเดียวเท่านั้นที่ทนทานตั้งรับพายุทรงพลังได้ นั่นเป็นเพราะภูเขาลูกนี้เกิดจากเหล็กหิมะ ที่มีความทนทานแม้กระทั่งการโจมตีเต็มพิกัดจากจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดก็ไม่สามารถสั่นคลอนได้
บนพื้นดินมีเหวลึกกว้างหมื่นจั้งราวกับมังกรดำตัวใหญ่หมอบนอนอยู่ เหวดำสนิทให้ความรู้สึกหนาวจับใจ
ลมน่าขนลุกกรูออกมาจากเหวเบื้องลึกพร้อมกับเสียงกรีดร้องของภูตผีที่น่ากลัว สามารถมองเห็นเงาวูบไหว นั่นก็คือดวงจิตของเหล่าจอมยุทธ์ที่จบชีวิตลงที่นี่ ทว่าพวกเขาสูญเสียสติสัมปชัญญะไปแล้ว กลายเป็นสิ่งที่เหมือนกับวิญญาณเร่ร่อน
เนื่องจากความจริงที่สิ่งเหล่านี้ได้ดูดซับพลังงานอันเป็นเอกลักษณ์ในสมรภูมิหยุ่นลั้ว พวกเขาจึงยังรักษาพลังตอนที่มีชีวิตอยู่ไว้ได้บ้าง นอกจากนี้ยังเต็มไปอาการก้าวร้าว ใครก็ตามที่เข้าใกล้ก็จะถูกโจมตีไม่ยั้ง
บริเวณนี้เป็นเหมือนดินแดนแห่งความตายที่ไม่มีร่องรอยพลังชีวิตเลย
ฟิ้ว!
ทว่าสัญญาณแห่งความตายก็สลายหายไปในวันนี้ เมื่อความมืดมิดบนท้องฟ้าถูกฉีกขาดด้วยลำแสงส่องสว่างขนาดใหญ่เหลือคณนาทะยานผ่านไป มองเห็นร่างคนจำนวนมากอยู่ในลำแสงเหล่านั้น
นี่คือหน่วยรบอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่เข้ามาถึงส่วนลึกของสมรภูมิหยุ่นลั้วจากการไปรับของเทียนจิ้ว
ทว่าแม้เทียนจิ้วจะไปรับพวกเขามาเอง แต่พวกเขาก็ยังระมัดระวังอย่างมาก…มากจนไม่กล้าแม้แต่จะบินบนท้องฟ้าสูง เลือกที่จะบินด้วยระดับเพดานต่ำ
กระนั้นเทียนจิ้วก็ยังเปลี่ยนเส้นทางเป็นช่วงๆ หลังจากเดินทางมาได้สักระยะ บางเส้นทางเป็นการอ้อมไกลด้วยซ้ำ แต่เส้นทางเหล่านี้ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีพายุมิติได้
พายุในส่วนลึกของสมรภูมิน่ากลัวกว่าภายนอกไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยเท่า หากมีใครตกลงไปละก็ แม้แต่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็คงไม่เหลือซาก
ภายใต้ภัยพิบัติทางธรรมชาตินานัปการ แม้แต่เทียนจิ้วก็สามารถปกป้องตนเองได้เท่านั้น
ทว่าถึงแม้จะมีเทียนจิ้วมาช่วย ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะหลีกเลี่ยงพายุทุกลูก แต่โชคดีที่พวกเขาอยู่ในความดูแลของเทียนจิ้ว เมื่อพวกเขาต้องเผชิญกับพายุที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เทียนจิ้วก็จะนำพากองทัพไปซ่อนตัวในภูเขาสีดำขนาดใหญ่เหล่านั้น
ฮู! ฮู!
ขณะที่กองทัพซ่อนตัวชั่วคราวอยู่ในภูเขาลูกหนึ่ง มู่เฉินก็ยืนอยู่ที่ปากถ้ำ พายุผลึกวิญญาณสีเทาดำครอบงำเหนือเส้นขอบฟ้า ทำให้กระทั่งมิติยังเกิดการบิดเบือนจากพายุ
มู่เฉิน จิ่วโยวและเหล่าผู้บัญชาการมีสีหน้าเคร่งขรึม ขณะจ้องมองพายุด้านนอกด้วยอาการตกใจในใจ นั่นเพราะพวกเขารับรู้ได้ว่าพายุน่ากลัวเพียงใด ถ้าพวกเขาถูกดึงเข้าไป ก็คงไม่สามารถหนีจากความตายได้
“โชคดีตอนที่ท่านประมุขและคนอื่นๆ พบขุมทรัพย์ตี้จื้อจุน พวกเขาก็หาเส้นทางปลอดภัยเจอ ไม่งั้นพวกเราคงจบเห่แน่ ถ้าเข้าไปอย่างสุ่มเสี่ยง” จิ่วโยวถอนหายใจ
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงจุดหมายหลัก หลังจากผ่านการต่อสู้ขมขื่นมากมายในสมรภูมิหยุ่นลั้ว แต่ตอนนี้ถ้าประมาทไป ความพยายามทั้งหมดที่ได้ทำไว้ก่อนหน้าก็จะสลายกลายเป็นอากาศธาตุ
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ ส่วนลึกสุดของสมรภูมิหยุ่นลั้วอันตรายมาก มิน่าล่ะทำไมขนาดเทียนจิ้วยังต้องระวังตัวแจ
เขามองภายนอกที่เป็นสีเทาด้วยดวงตาหรี่แคบลง บางทีอาจเป็นเพราะคลื่นจิตของเขาแกร่งกล้าขึ้นเรื่อยๆ ทำให้การรับรู้ของเขาแหลมคมมากขึ้นตาม เขาสามารถรู้สึกได้ว่ามีริ้วคลื่นพลังลึกซึ้งมากมายซ่อนอยู่ในดินแดนแถบนี้
พื้นที่นี้เต็มไปด้วยอันตรายนานัปการ แม้แต่มู่เฉินก็ไม่กล้าสำรวจลึกลงไป เพราะกลัวว่าหายนะจะมาถึงตัวถ้าคิดทำ ในสถานที่แห่งนี้ถ้าเขาประมาทก็คงรอดออกไปไม่ได้แล้ว
“ในสมัยโบราณตอนที่เหล่าปีศาจต่างมิติบุกเข้ามาในมหาพันภพ สถานที่แห่งนี้ก็เป็นหนึ่งสมรภูมิใหญ่ จากข้อมูลที่เขียนไว้ในบางตำราโบราณ แค่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนที่สละชีวิตไว้ที่นี่จำนวนก็มากเกินกว่าที่นิ้วมือจะนับได้ นี่ยังไม่รวมถึงนักรบระดับเดียวกันของเผ่าปีศาจที่จบชีวิตที่นี่ด้วย” ที่ด้านหลังเทียนจิ้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง
มู่เฉินและคนอื่นๆ ถึงกับแอบเดาะลิ้นเมื่อได้ยิน ต่อให้รวมจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งหมดในภูมิภาคทางเหนือมาก็มีไม่ถึงจำนวนนี้หรอก ดังนั้นสามารถอนุมานได้ว่าความน่าสะพรึงของภัยพิบัติที่มาสู่มหาพันภพน่ากลัวเพียงใด
“จอมพลเทียนจิ้วอีกนานแค่ไหนกว่าพวกเราจะไปถึงขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนขอรับ?” ซิวหลัวมองไปที่เทียนจิ้วพลางถามขึ้น
“ด้วยความเร็วนี้ น่าจะใช้เวลาอีกสองวันกว่าที่พวกเราจะไปถึงที่นั่น” เทียนจิ้วกล่าว ถ้าเขาไปคนเดียวก็จะไปได้เร็วกว่านี้หลายเท่า แต่นี่เขาต้องพากองทัพมหึมาไปด้วย
“นอกจากนี้ในการเดินทางที่นี่ หากพวกเจ้าคนใดสัมผัสได้ถึงคลื่นมิติที่ผิดปกติก็อย่าแตะต้องมัน มีจอมยุทธ์โบราณจำนวนมากเสียชีวิตที่นี่ ก่อนตายก็ซ่อนร่างกายไว้ในรอยแตกของมิติ ถึงแม้ว่าจิตสำนึกจะสูญสลาย แต่เนื่องจากพลังงานเอกลักษณ์ของสมรภูมิหยุ่นลั้วจึงยังสามารถคงสภาพร่างกายไว้ได้ มิหนำซ้ำยังมีพลังหลงเหลืออยู่ หากถูกปลุกเข้า ก็จะปล่อยการโจมตีบ้าคลั่งเอาได้” เทียนจิ้วเตือน
“ก่อนหน้าตอนที่หลิงถงและข้าค้นดูรอบๆ พวกข้าดันไปปลุกวิญญาณตัวหนึ่งเอาเข้า แม้ว่าพวกข้าจะรวมพลังกัน ก็ทำได้เพียงบีบให้มันถอยไปเท่านั้น”
“รับทราบ!”
เมื่อทุกคนได้ยินหัวใจก็เต้นไม่เป็นส่ำ แม้แต่เทียนจิ้วและหลิงถงร่วมมือกันก็ยังทำได้แค่ป้องกันตนเอง ดังนั้นพลังของวิญญาณขณะที่มีชีวิตอยู่อย่างน้อยก็ต้องมีขุมพลังระดับจื้อจุนขั้นเก้า อาจจะอีกครึ่งก้าวก็จะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนแล้วด้วย ส่วนลึกสุดของสมรภูมิหยุ่นลั้วมีอันตรายทุกย่างก้าวจริงๆ
กองทัพพักอยู่ในภูเขาจนพายุหายไปก่อนออกเดินทางต่อ
ระหว่างการเดินทางก็ยังมีอุปสรรคมากมาย ถ้าพวกเขาไม่ได้มีผู้นำทางอย่างเทียนจิ้ว โดยการคาดเดาของมู่เฉิน ในกองทัพคงมีคนไม่ถึงหยิบมือที่สามารถอยู่รอดได้
ทว่าแม้การเดินทางจะช้าและลำบาก แต่สุดท้ายก็เพียงตกใจแต่ไม่มีอันตราย เมื่อวันที่สองสิ้นสุดลงในที่สุดกองทัพก็ผ่านดงภูเขาที่สูงเสียดฟ้า จากนั้นพวกเขาก็ต้องตกตะลึงกับฉากที่เห็นเบื้องหน้าครรลองสายตา
ด้านหลังภูเขาสีดำ พายุป่าเถื่อนสูญสลายไปหมด แม้แต่คลื่นหลิงก็สงบลงอย่างผิดปกติ
สิ่งที่ทำให้มู่เฉินและคนที่เหลือตกตะลึงไม่ใช่ความเงียบสงบของสถานที่นี้ แต่เยื้องขึ้นไปด้านบนกลับฉายภาพฉากที่แตกสลาย มิติดูเหมือนจะถูกฉีกออกจากกันด้วยพลังที่น่ากลัว รอยแตกสีดำราวกับปากที่น่าขนลุกกำลังบิดเบ้ไปมาระหว่างฟ้าดิน
เมื่อมองผ่านรอยแตกสีดำ แสงหลิงก็พวยพุ่ง มู่เฉินมองเห็นพีระมิดสีดำขนาดใหญ่ไร้ขอบเขตลอยอยู่ในส่วนลึกของมิติที่ถูกทำลาย
ขนาดของพีระมิดดำไม่สามารถหาคำอธิบายได้ เมื่อเทียบกับมัน พวกเขาก็ราวกับเป็นผงธุลี ความรู้สึกตะลึงใจครอบคลุมไปทั่ว ทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนหนังหัวชาหนึบไปหมด
“พีระมิดสีดำนี้ก็คือขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนที่เราค้นพบ” เทียนจิ้วพึมพำเบาๆ เมื่อมองไปยังมิติแตกเป็นเสี่ยงๆ เบื้องหน้าจากนั้นก็อธิบายต่อ “มิตินี้ถูกแยกออกจากกันด้วยความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่ากลัวจากสมัยโบราณ จากการประเมินจะต้องมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายละสังขารไว้ที่นี่แน่นอน”
“ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย?”
มู่เฉินและคนอื่นๆ สูดเอาอากาศเย็นเข้าปอด ประมุขของพวกเขามั่นถัวหลัวเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น เมื่อเทียบกับขั้นปลายนางยังด้อยกว่าหนึ่งขั้น โดยปกติแล้วไม่มีจอมยุทธ์ระดับดังกล่าวในภูมิภาคทางเหนือ มิฉะนั้นสถานการณ์ในภูมิภาคทางเหนือก็คงไม่สมดุล เนื่องจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้โดยสิ้นเชิง
“ในที่สุดพวกเจ้าก็มาถึงจนได้”
ขณะที่พวกมู่เฉินกำลังตกตะลึงกับพีระมิดสีดำมโหฬาร ระลอกมิติก็กระเพื่อมไหวที่เบื้องหน้าพวกเขาพร้อมกับน้ำเสียงคุ้นเคยดังกังวานออกมา คนสามคนเดินออกมาจากช่องมิติ คนแรกที่นำออกมาเป็นร่างเงาเล็กกะทัดรัดนางก็คือประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์…มั่นถัวหลัว ที่ด้านหลังก็คือจอมพลซุยนอนและจอมพลหลิงถง
“คารวะท่านประมุข!”
เมื่อมั่นถัวหลัวปรากฏตัว เหล่าผู้บัญชาการย์ก็แสดงความเคารพทันที กองทัพขนาดใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังก็คุกเข่าลง
มั่นถัวหลัวโบกมือเบาๆ ม่านตาสีทองคำจ้องมองไปที่มู่เฉินที่อยู่ในกลุ่มของเหล่าผู้บัญชาการ ริ้วความอัศจรรย์ใจปรากฏบนใบหน้าขณะที่ยิ้ม “เจ้าบรรลุการเป็นจั้นเจิ้นซือแล้วหรือ?”
มู่เฉินยิ้มแล้วพยักหน้า
“ฮ่าๆ มู่เฉินไม่เพียงแต่บรรลุการเป็นจั้นเจิ้นซือแล้ว นอกจากนี้พูดแบบตรงประเด็นจั้นเจิ้นซือของจวนยมโลกก็ตายด้วยน้ำมือเขา ในสงครามล่ามู่เฉินสร้างผลงานมากมายเลยทีเดียว” เทียนจิ้วยิ้มจากด้านข้าง ขณะกล่าวถึงผลงานทั้งหมดของมู่เฉินในสงครามครั้งนี้
“โอ้?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเทียนจิ้ว มั่นถัวหลัว ซุยนอนและหลิงถงก็อึ้งไป ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินซึ่งมีพลังไม่ได้โดดเด่นในหมู่ผู้บัญชาการจะประสบความสำเร็จที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้
“แบบนี้ก็หมายความว่าพวกเจ้ารวบรวมยาหยุ่นลั้วได้เพียงพอแล้วใช่ไหม?” มั่นถัวหลัวแย้มยิ้มบนใบหน้า เห็นได้ชัดว่านางรู้สึกพึงพอใจมากกับการแสดงฝีมือของมู่เฉินมาก
“ยาหยุ่นลั้วสี่แสนกว่าเม็ดอยู่ในนี้ขอรับ” เทียนจิ้วสะบัดแขนเสื้อ กำไลเฉียนคุนก็บินไปหามั่นถัวหลัว
มั่นถัวหลัวจับเอาไว้และสัมผัสอย่างแผ่วเบา ก่อนที่รอยยิ้มจะกว้างขึ้น จากนั้นนางก็หันศีรษะ ม่านตาสีทองคำพุ่งไปทางรอยแตกสีดำก่อนที่จะพรูลมหายใจออกมา “ต่อไปเราก็สามารถพยายามทำลายผนึกแล้ว”
มู่เฉินและคนอื่นๆ มองตามสายตาของมั่นถัวหลัว พวกเขาก็พบว่าเหมือนมีอักขระโบราณมากมายอยู่ในมิติที่แตกสลาย อักขระเหล่านี้ก่อร่างเป็นปราการ ผนึกมิติภายในเอาไว้
“หืม?”
มู่เฉินจ้องมองอักขระโบราณลึกลับ จู่ๆ หัวใจของเขาก็กระตุกขึ้นเบาๆ เนื่องจากเขาสัมผัสได้ว่าเข็มทิศค้นวิญญาณที่ได้รับมาจากสมรภูมิหยุ่นลั้วเริ่มร้อนขึ้นในเวลานี้
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นฉับพลัน ทำให้สายตามู่เฉินหดเกร็ง จากนั้นอัตราการเต้นของหัวใจก็เพิ่มขึ้น เนื่องจากเขานึกถึงคำพูดของเซียวชิงหยุนก่อนหน้า เข็มทิศจะนำพาเขาไปพบซากอารยธรรมของจอมพลสี่แห่งวังสวรรค์บรรพกาล
นั่นหมายความว่าพีระมิดสีดำในมิติแตกสลายถูกทิ้งไว้โดยจอมพลสี่แห่งวังสวรรค์บรรพกาลเรอะ?!