หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 925 วังสวรรค์บรรพกาล สิบมารอสูร
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 925 วังสวรรค์บรรพกาล สิบมารอสูร
เมื่อก้าวข้ามประตูไป
พวกมู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงของมิติ แต่โชคดีที่ไม่มีอุบัติเหตุใดๆ เกิดขึ้น การสั่นสะเทือนกินเวลากว่าสิบลมหายใจก่อนจะกลับมาเงียบสงบดังเดิม จากนั้นสายตาของพวกเขาก็เริ่มปรับรับแสงอย่างรวดเร็ว
ในที่สุดเท้าของพวกเขาก็ได้สัมผัสกับพื้นจริงๆ เสียที
เมื่อฝ่าเท้าแตะพื้น คลื่นหลิงก็พุ่งพรวดพราดออกมาห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ทันที หลังจากเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติพวกเขาถึงได้กวาดมองไปรอบๆ
แล้วก็ต้องอึ้งตะลึงงันกับภาพเบื้องหน้าครรลองสายตา
ตำหนักงดงามตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าราวกับภูเขาพร้อมกับมีเสาแสงเงินอยู่ภายในซึ่งมีความสูงหลายพันจั้ง ช่างเหมือนเสาหลักค้ำจุนสวรรค์
พวกเขาเล็กจ้อยราวกับมดเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าตำหนักหลังนี้
“นี่คือภายในขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนเหรอ?” พวกมู่เฉินแลกเปลี่ยนสายตากัน
มั่นถัวหลัวกวาดสายตาเบาๆ จากนั้นก็เคลื่อนตัวไปยังส่วนลึกของตำหนัก ท่าทางสงบแสดงให้เห็นว่านางไม่กังวลกับกับดักใดๆ เนื่องจากนางไม่จำเป็นต้องกลัว ตราบใดที่ไม่ใช่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนมาปรากฏต่อหน้า
ที่เบื้องหลังผู้คนก็ตามรอยเท้านางไปอย่างรวดเร็ว
คนทั้งกลุ่มเดินเข้ามาในตำหนักโบราณอย่างช้าๆ เมื่อเดินลึกเข้าไป พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าไม่ว่าจะเป็นผนัง กำแพงหรือเสาก็ถูกปกคลุมไปด้วยลวดลายโบราณที่เปล่งความรู้สึกที่ไม่สามารถทำลายได้ออกมา
เลี่ยซันลองกระทืบเท้าอย่างหนักลงบนแผ่นหินด้านล่าง แต่พลังที่เคยทำให้ภูเขาแยกจากกันได้ กลับทำให้เกิดรอยแตกบนแผ่นหินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทำให้คนที่เหลือตกตะลึงในใจ
“หืม?”
ขณะคนทั้งกลุ่มกวาดมองไปรอบๆ มั่นถัวหลัวที่เดินอยู่เบื้องหน้าก็หยุดฝีเท้าลง ม่านตาสีทองคำจ้องมองตรงไป ซึ่งนั่นก็ดึงดูดสายตาของทุกคนไปเช่นกัน
ที่สุดทางเดินของตำหนักมีประตูทองคำเขียวขนาดใหญ่ ทว่าตอนนี้ประตูปิดแน่นหนา ซึ่งดูเหมือนจะเปื้อนไปด้วยเลือด มิหนำซ้ำเลือดยังมีระลอกคลื่นหลิงทรงพลังมาก ทำเอาเปลือกตาของพวกมู่เฉินถึงกับกระตุก
ใบหน้าของมั่นถัวหลัวไม่มีริ้วอารมณ์ใดๆ เพียงแค่เหยียดนิ้วออกแตะลงไปเบาๆ
ฮึ่ม!
จังหวะเดียวกับนิ้วมั่นถัวหลัว มิติก็ราวกับพื้นผิวของทะเลสาบที่มีก้อนหินขว้างลงไป ทำให้เกิดระลอกคลื่นกระจายออกเป็นวงกว้าง อึดใจต่อมาคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวก็รวมตัวกัน ตรงจุดนั้นภูเขาผลึกแก้วใสแหลมคมก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้น
ภูเขาผลึกแก้วเล็งเป้าไปที่ประตูทองคำเขียวที่มีริ้วแสงอัญมณีแล่นแปลบปลาบ เปล่งประกายคมชัด
เมื่อพวกมู่เฉินเห็นเปลือกตาก็กระตุก นั่นเพราะพวกเขาสัมผัสได้ว่าภูเขาผลึกแก้วใสถูกสร้างจากคลื่นหลิงในฟ้าดินที่ถูกมั่นถัวหลัวบีบอัดเข้าด้วยกัน…
เพียงแค่วาดกระบวนท่าง่ายดายของนาง ก็แสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของระดับตี้จื้อจุน เพราะด้วยขุมพลังปัจจุบันของพวกมู่เฉิน แม้จะสามารถรวบรวมคลื่นหลิงในฟ้าดิน มิหนำซ้ำยังสามารถรวมเพื่อใช้ในการโจมตีได้ แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถสร้างผลึกแก้วเช่นนี้ได้…
ในสายตาของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน อาวุธเทพทั่วไปก็ราวกับต้นหญ้า เพราะผลึกพลังที่ก่อตัวขึ้นจากคลื่นหลิงมีความทนทานสูงมากเมื่อเทียบกับอาวุธเทพธรรมดา
ลองคิดดูเมื่อจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเปิดการโจมตีเต็มรูปแบบ ก็เปรียบได้กับอาวุธเทพนับไม่ถ้วนพุ่งมาจากทุกทิศทาง การโจมตีแบบนี้ทำลายล้างแค่ไหน?
ตู้ม!
ขณะที่พวกมู่เฉินกำลังตกตะลึง ยอดเขาแหลมคมผลึกแก้วก็ทะยานออกไปปรากฏขึ้นที่ตรงหน้าประตูทองคำเขียว ก่อนที่จะกระแทกลงไปโดยไม่ลังเล
ครืน!
คลื่นความผันผวนน่าสะพรึงกลัวแผ่ขยายออกไปในตำหนักแห่งนี้ แม้แต่พื้นดินก็โยกคลอน มีรอยแตกกระจายไปทั่วผนังของตำหนัก
ม่านตาสีทองคำของมั่นถัวหลัวจับจ้องที่ต้นกำเนิดของผลกระทบจากนั้นก็หดลง นั่นเป็นเพราะนางเห็นว่าเมื่อคลื่นหลิงกระจายออกไปประตูก็ยังอยู่ยง หลังจากได้รับการโจมตีรุนแรง ก็ไม่มีร่องรอยของการทำลายล้างบนประตูทองคำเขียวสักกระผีก
เหล่าผู้บัญชาการที่อยู่เบื้องหลังก็มีท่าทางเคร่งเครียด ประตูทองคำเขียวไม่ธรรมดาจริงๆ กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ไม่สามารถทำลายได้
“ดูเหมือนว่าเราเริ่มถูกกักโดยขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนแล้ว” ซุยนอนพูดช้าๆ
“ใช้ยาหยุ่นลั้วได้ไหม?” มู่เฉินเอ่ยแนะ
มั่นถัวหลัวส่ายหัว “ยาหยุ่นลั้วสามารถละลายผนึกที่เกิดจากแหล่งพลังเดียวกันเท่านั้น พลังบนประตูทองคำเขียวนี้ไม่เหมือนก่อนหน้า”
“รอยเลือดที่ประตูดูแปลกๆ ไปนะ” สายตาของจิ่วโยววูบไหวพลางพูดออกมา
เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของนางก็เพ่งพินิจไป เมื่อมองไปอย่างตั้งใจก็ตระหนักได้ว่ารอยเปื้อนเลือดบนประตูทองคำเขียวกำลังดิ้นช้าๆ นอกจากนี้เมื่อมองจากระยะไกล รอยเลือดเหล่านั้นก็ดูเหมือนจะเป็นใบหน้าดุร้ายของสัตว์อสูร
มีใบหน้าสัตว์อสูรทั้งหมดสิบใบหน้า
มั่นถัวหลัวมองใบหน้าสัตว์อสูรทั้งสิบก็ครุ่นคิดและพึมพำว่า “ค่ายกลสิบมารอสูรโบราณเรอะ?”
ทันทีที่พูดจบ มั่นถัวหลัวก็เงยหน้าขึ้นมองเสาตั้งหง่านทั้งสิบเสาในตำหนัก ก่อนที่จะพบว่ามีรูปปั้นขนาดใหญ่อยู่บนยอดเสาทั้งสิบเสาต้น
“นั่นคืออะไร?” เลี่ยซันและคนอื่นๆ ก็เงยหน้าขึ้นตามและร้องถาม
มู่เฉินหรี่ตาลง รูปปั้นทั้งสิบมีร่างเป็นมนุษย์และหน้าเป็นสัตว์อสูร พวกมันทั้งหมดมีสีฟ้าอมเขียวเข้ม ซึ่งทำให้ดูเหมือนรูปปั้นทองคำเขียวในระยะไกล แต่หลังจากการสัมผัสอย่างละเอียด พวกเขาก็รู้สึกถึงรัศมีเลวร้ายที่น่าอัศจรรย์เปล่งออกมาจากรูปปั้นเหล่านี้
“ใบหน้าบนรูปปั้นเหล่านี้เหมือนกับภาพบนประตูทองคำเขียวเลย” ซิวหลัวพูดออกมา
“นั่นคือมารอสูรทั้งสิบแห่งวังสวรรค์บรรพกาล…” มั่นถัวหลัวหลุบตาลงขณะพูด
“มารอสูรทั้งสิบ?” เหล่าผู้บัญชาการต่างมองหน้ากัน
“นี่น่าจะเป็นค่ายกลป้องกันที่วางไว้โดยจอมพลสี่” มั่นถัวหลัวกล่าว “แหล่งพลังงานบนประตูทองคำเขียวมาจากมารอสูรทั้งสิบตัวนี้ ต้องทำลายพวกมันเท่านั้น เมื่อประตูสูญเสียพลังงานไปถึงจะเปิดขึ้นได้”
“งั้นก็มาทำลายพวกมันกัน” หลิงถงพูดอย่างไม่แยแส เขาอาจจะกลัวบ้างถ้ามารอสูรทั้งสิบยังมีชีวิตอยู่ แต่ตอนนี้พวกมันตายหมดแล้ว พลังก็ลดลงอย่างมากเช่นกัน แม้ว่าจะใช้วิธีพิเศษเพื่อรักษาพวกมันไว้ก็ตาม
“มีกฎอยู่ที่นี่ เราไม่สามารถแหกกฎได้” มั่นถัวหลัวส่ายหน้า จากนั้นก็สะบัดนิ้ว ลำแสงคลื่นหลิงสายหนึ่งก็พุ่งเข้าหารูปปั้นทองคำฟ้าอมเขียวตัวหนึ่ง แต่ก่อนที่ลำแสงจะสัมผัสกับรูปปั้น ลวดลายโบราณที่อัดแน่นก็วูบไหวออกมาจากเสาค้ำ ทักถอเป็นปราการป้องกันรูปปั้นเอาไว้ ขณะเดียวกันก็ลบล้างการโจมตีของมั่นถัวหลัว
เมื่อซุยนอนเห็นสิ่งนี้ เขาก็อดอึ้งไม่ได้ คิ้วขมวดเข้าหากัน
“ในเมื่อมีกฎ ก็ทำตามกฎเถอะ” มั่นถัวหลัวยังคงสงบที่สุด นางกวาดสายตาออกไป ก่อนจะหยุดตรงพื้นข้างหน้า ทุกคนพุ่งสายตาตามไปก็ตระหนักได้ว่ามีอักขระมากมายแกะสลักอยู่บนพื้นกว้างใหญ่ของตำหนัก
มั่นถัวหลัวสะบัดนิ้วออกไปอีกครั้ง คลื่นหลิงก็ยิงเข้าใส่อักขระเหล่านั้น
ครืน!
เมื่อคลื่นหลิงพุ่งลงไปที่พื้นก็เกิดเสียงดังกึกก้องก่อนที่พื้นจะดันตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หมอกควันกระจายไปทั่ว มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่ามีลานหินขนาดประมาณหมื่นจั้งปรากฏขึ้นในตำหนักโบราณในเวลาไม่กี่สิบอึดใจ
อักขระโบราณบินฉวัดเฉวียนบนท้องฟ้า ก่อร่างเป็นปราการป้องกันล้อมรอบลานหินเอาไว้
“ลานประลองเหรอ?”
ดวงตาของมั่นถัวหลัวส่องแสงวาบเมื่อเห็นสิ่งนี้ ในที่สุดนางก็เข้าใจกฎ ก่อนที่จะมองไปที่ซุยนอน อีกฝ่ายพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็โผทะยานขึ้นบนลานประลอง
แต่เมื่อซุยนอนกำลังจะสัมผัสกับปราการรอบลานประลอง ระลอกคลื่นหลิงป่าเถื่อนก็พวยพุ่งขึ้น ประกายไฟแล่นแปลบปลาบ ทำให้ซุยนอนกระเด็นถอยกลับมา
ซุยนอนกลับมายืนที่ข้างมั่นถัวหลัวพร้อมกับคิ้วขมวดแน่น แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไร มั่นถัวหลัววก็เอ่ยว่า “คลื่นหลิงของเจ้าทรงพลังเกินไป ลานประลองนี้ถูกทิ้งไว้โดยจอมพลสี่ซึ่งดูเหมือนว่าจะจำกัดระดับของคลื่นหลิง เขาคงไม่ต้องการเห็นคนอื่นทำลายค่ายกลด้วยความรุนแรงน่ะ”
“ซิวหลัว เจ้าขึ้นไป”
มั่นถัวหลัวมองไปที่ซิวหลัวที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้บัญชาการ เขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด แม้ว่าพลังจะอ่อนด้อยกว่าจอมพลทั้งสาม แต่ความสามารถในการต่อสู้นับว่าสูงที่สุดในบรรดาผู้บัญชาการ ดังนั้นหากมีการต่อสู้ เขาก็เป็นตัวเลือกแรก
“รับทราบ!”
ซิวหลัวตอบด้วยความเคารพ ก่อนที่จะส่งแรงไปที่พื้นร่างทะยานขึ้นไปบนลานประลอง ครั้งนี้เมื่อร่างเขาสัมผัสกับปราการป้องกันก็ไม่ได้รับการปฏิเสธใด ปล่อยให้ร่อนลงบนพื้นอย่างหนักหน่วง
เมื่อทุกคนเห็นซิวหลัวขึ้นไปได้สำเร็จก็รู้สึกโล่งใจอย่างมาก
ครืน!
ทว่าขณะที่ซิวหลัวยืนอยู่บนลานประลอง ความปั่นป่วนก็สะท้อนก้องในตำหนักโบราณ มู่เฉินและคนอื่นๆ จ้องเขม็งไปที่แหล่งกำเนิดเสียง ก่อนที่ดวงตาจะหดลงทันที
บนเสาหินขนาดใหญ่ เปลือกทองแดงหลุดลงมาจากรูปปั้น พร้อมกันนั้นร่างเงาสวมชุดเกราะสีดำดุร้ายที่ดูราวกับหอคอยเหล็กสีดำก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน
โฮก!
เสียงคำรามพุ่งสู่ชั้นฟ้า การปลดปล่อยเสียงราวกับเสียงฟ้าคำรนดังกึกก้องไปทั่ว ทำให้ทั้งตำหนักสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น
ตู้ม!
การเหยียบหนักหน่วงกระแทกบนพื้น รอยแตกปรากฏบนเสาหิน ก่อนที่จะพุ่งลงมาบนลานประลองราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่
กลุ่มควันกระจายออกไป มันก็ราวกับสัตว์อสูรยุคแรกที่ห่อหุ้มไปด้วยรัศมีน่าเกรงขามที่เชี่ยวกราก ทำให้แม้แต่ซิวหลัวก็ต้องหดตาลง
“นั่นคือหนึ่งในมารอสูรของวังสวรรค์บรรพกาลปีศาจเจียวกลืนฟ้า” มั่นถัวหลัวเอ่ย
นอกลานประลอง มู่เฉินและคนอื่นๆ ฉายสีหน้าเคร่งเครียด ไม่รู้ว่าซิวหลัวที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ผู้บัญชาการของอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะได้เปรียบไหม เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหนึ่งในสิบของมารอสูรแห่งวังสรรค์บรรพกาล
นี่คงเป็นศึกล้างโลกแน่นอน