หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 935 จอมพลสี่
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 935 จอมพลสี่
เหนือมหาสมุทรกว้างใหญ่
เกาะหินโบราณลอยอยู่อย่างเงียบเชียบ ซึ่งมีเหล่าจอมยุทธ์อยู่รอบๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยอดยุทธ์ทั้งเจ็ด แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีความผันผวนคลื่นหลิงกำจายรอบตัว แต่ทุกคนก็รู้ชัดเจนว่าถ้าพวกเขาเคลื่อนไหวก็จะสร้างหายนะใหญ่แน่นอน
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งเจ็ดช่างเป็นการรวมตัวที่หรูหราที่สุดที่มู่เฉินเคยเห็น
ยามนี้กองทัพสูงสุดทั้งเจ็ดสำนักมารวมตัวอยู่ที่นี่แล้ว
ขณะที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งเจ็ดคนกำลังประจันหน้ากัน คนในกองทัพก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร แรงกดบางเบาที่เกิดขึ้นจากทั้งเจ็ด ทำให้ทุกคนรู้สึกหายใจไม่ออก
ชัดว่ามีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเท่านั้น ที่มีคุณสมบัติในการควบคุมสถานการณ์นี้
มู่เฉินและจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากัน ต่างคนก็เดาะลิ้น ชัดว่ารู้สึกอึ้งทึ่งในหัวใจกับการรวมตัวครั้งนี้เช่นกัน
“ฮ่าๆ ไม่คิดว่าทุกคนจะมีเป้าหมายเดียวกันในสงครามล่าครั้งนี้” ทว่าความเงียบก็กินเวลาไม่นาน ก่อนที่ประมุขหมู่ตึกเทวะจะเริ่มพูดเป็นคนแรก
“ขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนที่ถูกทิ้งไว้โดยท่านจอมพลสี่แห่งวังสวรรค์บรรพกาลนับว่ามั่งคั่งมาก ในอดีตพวกเราไม่อาจเก็บเกี่ยวใดๆ แต่ตอนนี้เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้ว ก็คงต้องลองเสี่ยงโชคกันหน่อย” วั้นเซิ่งประมุขยอดเขาหมื่นเทพยิ้มบาง เสียงสูงวัยของเขาดังก้องกังวานราวกับระฆังทั่วมิติ ทำให้คลื่นหลิงถึงกับกระเพื่อมไหว
ประมุขหมู่ตึกเทวะหลุบตาลง ราวกับว่ามีโลกลาวาพลุ่งพล่านในดวงตาสีแดงเข้มของเขา ภายใต้สายตาเปล่งประกายก็บรรจุด้วยพลังที่สามารถทำลายโลกได้ เขายิ้มบางพลางเอ่ย “ในบรรดาพวกเรา ข้าเป็นคนที่อยู่ใกล้กับระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายมากที่สุด ตราบใดที่ข้าได้รับของเหลวหลิงเสินของท่านจอมพลสี่ ก็จะง่ายสำหรับข้าในการบรรลุขุมพลัง ขณะที่พวกเจ้าอยู่ในความเสี่ยงเนื่องจากรากฐานที่ยังไม่เพียงพอ”
เมื่อคำพูดของประมุขหมู่ตึกเทวะดังขึ้น ประมุขของสำนักอื่นก็สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม แต่เขากลับไม่สนใจกล่าวต่อว่า “หากทุกคนยอมเสียสละให้ข้า หลังจากที่ข้าบรรลุขุมพลัง ไม่เพียงภูมิภาคทางเหนือจะอยู่ภายใต้การควบคุมของเรา กระทั่งดินแดนที่อยู่นอกเหนือก็จะเป็นของพวกเราทุกคน ทวีปเทียนหลัวกว้างใหญ่ไพศาล ทุกคนคงไม่คิดอยู่แค่ภูมิภาคทางเหนือหรอกนะ?”
เผชิญหน้ากับคำพูดของประมุขหมู่ตึกเทวะ ประมุขอีกหกคนก็กะพริบตาเบาๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร ด้วยนิสัยของพวกเขาเป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนใจโดยง่ายกับคำพูดแค่นี้
“หมู่ตึกเทวะช่างคำนวณได้เยี่ยม แต่ในโลกนี้เราเชื่อมั่นได้แต่ตัวเองเท่านั้น ดังนั้นข้าไม่คิดว่าจะปล่อยของเหลวหลิงเสินให้เจ้าไป ใช้ความสามารถที่มีมาวัดกันในการแข่งขันดีกว่า” ฝั่งแดนปีศาจ ชายสวมเกราะสีดำที่มีรูปร่างแข็งแกร่งก็ค่อยๆ พูดออกมาหลังจากครุ่นคิดสั้นๆ
“ซี้ด… กลัวว่าหลังจากที่บรรลุขุมพลัง เจ้าก็ยังโหยหิวไม่พึงพอใจและต้องการที่จะเขมือบพวกเราด้วยนะสิ แม้ว่าข้าจะแก่แล้ว แต่ข้าก็ไม่โง่ที่จะเลี้ยงเสือไว้เพื่อกินตัวเองหรอก” วั้นตูเส๋อเปล่งเสียงแหบพร่าออกมา
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนสองคนประกาศจุดยืนแล้ว ชัดว่าพวกเขาไม่ชอบข้อเสนอของประมุขหมู่ตึกเทวะ สำหรับผู้นำคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ปฏิเสธในคำพูด
“น่าเสียดายจริงๆ” ประมุขหมู่ตึกเทวะยิ้ม แต่ก็ไม่โกรธอะไร ทว่าม่านตาของเขาที่ราวกับมีโลกลาวาซ่อนอยู่ยิ่งร้อนแรงมากขึ้น
“อย่าพูดเรื่องไร้สาระเลย ค่อยมาพูดเรื่องเจ้าของของเหลวหลิงเสินหลังจากพบมันก่อนเถอะ!” ม่านตาสีทองคำของมั่นถัวหลัวพุ่งตรงไปที่เกาะหินที่เปล่งรัศมีโบราณออกมาขณะที่พูดต่อว่า “ของเหลวหลิงเสินน่าจะอยู่บนเกาะหินนั่น แต่คงจะไม่ง่ายนักที่จะขึ้นไปบนเกาะได้”
เมื่อได้ยินมั่นถัวหลัวดึงหัวข้อหลักกลับมา ทั้งหกคนก็เลื่อนสายตากลับไปที่บนเกาะหินโบราณก่อนที่ดวงตาจะหดลง ด้วยประสาทสัมผัสที่ว่องไว พวกเขารับรู้ได้ว่าเกาะหินนี้ไม่ธรรมดา
“รอบเกาะเคยถูกเสริมความคงทนด้วยพลังพิเศษ นอกจากนี้ข้ายังสัมผัสได้ถึงพลังงานทรงพลังที่ปกป้องมัน” หลิ่วเทียนเต้าประมุขตำหนักสุดนภาเปิดปากพูดอย่างช้าๆ
“ลองก็รู้” ประมุขจวนยมโลกยกมือขึ้นโบกลงทันที คลื่นหลิงที่น่ากลัวปะทุออกมาราวกับพายุ มือสีดำขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นทันที มองจากที่ไกลมือนี้ดูเหมือนจะสร้างขึ้นจากอัญมณีสีดำ ส่งเสียงหวีดหวิวออกมารอบทิศทาง ทำให้เกิดรอยแยกขนาดใหญ่ในมหาสมุทรเบื้องล่าง
กระบวนท่าง่ายๆ จากโยวมิ่งแสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของจอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุน กระทั่งเทียนจิ้ว… หรือแม้แต่ซุยนอนที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าก็คงต้องได้รับบาดเจ็บหนักจากการฝ่ามือดังกล่าว
ครืน!
ฝ่ามือดำมืดกดลงมาจากท้องฟ้า รัศมีพลังนั้นอาจทำให้สิ่งกีดขวางที่อยู่เบื้องหน้ากลายเป็นเถ้าถ่านทั้งหมด ทว่าการโจมตีดังกล่าวกลับไม่สามารถทำให้เกาะหินสั่นไหวได้สักนิด
ภายใต้การจ้องมอง มือดำก็พุ่งเข้าหาเกาะหินอย่างรวดเร็ว อึดใจเดียวก็อยู่ห่างเพียงพันจั้งเท่านั้น
ทว่าจังหวะที่เข้าใกล้ ลำแสงก็ถูกยิงออกมาจากท้องฟ้าของเกาะหินลอย เมื่อแสงเหล่านั้นถักทอกันก็กลายเป็นปราการผลึกแก้วห่อหุ้มเกาะหินไว้ภายใน
ตู้ม! ตู้ม!
มือดำกระแทกกับปราการผลึกแก้วอย่างหนักหน่วง ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ม้วนตัวพร้อมกับคลื่นกระแทกที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระจายเป็นวง ล้อมรอบพื้นที่ในรัศมีหลายหมื่นจั้ง
แต่เมื่อคลื่นกระแทกเข้าใกล้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งเจ็ดคนก็เหือดหายไปทันที ทำให้คนที่อยู่ข้างหลังปลอดภัยจากอันตรายใดๆ
เมื่อคลื่นกระแทกกระจายออกไป ทุกคนก็เพ่งสายตา ใบหน้าเปลี่ยนไปทันที นั่นเป็นเพราะพวกเขาพบว่าหลังจากได้รับการโจมตีจากโยวมิ่ง ปราการผลึกก็ยังอยู่ยงไม่ขยับแม้แต่น้อย
“การป้องกันยอดเยี่ยมจริงๆ” มู่เฉินและคนอื่นๆ ร้องอุทานในใจ ปราการผลึกเพียงอย่างเดียวก็อาจเพียงพอที่จะขัดขวางจอมยุทธ์ที่อยู่ภายใต้ขุมพลังตี้จื้อจุนเอาไว้ได้ทั้งหมดเลยทีเดียว
“ไม่ธรรมดาจริงๆ” ประมุขจวนยมโลกกล่าวเสียงเบา ทว่าเขาก็ไม่ได้ประหลาดใจนัก หากแนวป้องกันที่ถูกทิ้งไว้จอมพลสี่แห่งวังสวรรค์บรรพกาลถูกทำลายได้ง่าย นั่นถึงจะน่าแปลกใจกว่า
“ในเมื่อทุกคนอยากได้สมบัติก็รวมพลังกันเพื่อทำลายดีกว่า” มั่นถัวหลัวมองปราการผลึกอยู่นาน ก่อนที่จะพูดออกมา
ประมุขอีกหกคนแลกเปลี่ยนสายตาพลางพยักหน้า ด้วยความระมัดระวัง พวกเขาไม่มีทางโง่ที่คิดจะเป็นคนโดดเด่น การใช้พลังงานของตัวเองอย่างสูญเปล่าเพื่อทำลายค่ายกลจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นมากไป ดังนั้นในเวลานี้จึงเป็นการดีกว่าสำหรับพวกเขาที่จะลงมือพร้อมกัน
หลังจากตกลงกันแล้ว ทั้งเจ็ดก็ไม่รอช้า ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนที่จะลอยอยู่รอบทิศเกาะหินโบราณ
เมื่อพวกมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็รีบถอยร่นออกมา การโจมตีจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งเจ็ดคนเป็นภัยล้างโลกครั้งใหญ่แน่นอน ดังนั้นหากพวกเขาประมาทก็จะได้รับผลกระทบจากคลื่นกระแทก ถึงตอนนั้นคงโศกสลดจนไม่อาจบอกใครได้
พร้อมกับการล่าถอยของพวกเขา จอมยุทธ์ทั้งเจ็ดคนก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นช้าๆ ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงในมิตินี้ที่เดือดพล่านเหมือนเครื่องปั่นไฟ
คลื่นหลิงจำนวนมหาศาลเปล่งเสียงคำรามที่เบื้องหลังทั้งเจ็ด มองจากที่ไกลราวกับดวงอาทิตย์ขนาดใหญ่เจ็ดดวงลุกโชนที่เบื้องหลังพวกเขา นี่เป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อคลื่นหลิงถูกรวบรวมเข้าด้วยกันจนถึงระดับที่น่าสะพรึงกลัว
ตู้ม!
ไม่มีใครชักช้า แต่ละคนหมุนเวียนพลังงานแล้วซัดฝ่ามือลงไป!
แคร็ก!
เมื่อคลื่นหลิงทั้งเจ็ดสายฟาดลง มิติก็แตกกระจายในเส้นทางที่ผ่าน สะเก็ดมิติไร้ขอบเขตกระเด็นเต้นระริกรอบๆ
ครืน!
คลื่นหลิงทั้งเจ็ดสายเจาะทะลุมิติราวกับมังกรยักษ์ อึดใจเดียวก็มาถึงเหนือเกาะหินชนกับปราการผลึกที่กั้น
ทันทีที่ปะทะกันก็ทำให้ทั่วบริเวณเงียบสงัด ก่อนที่พายุเฮอริเคนจะซัดสาด…
คลื่นสูงหมื่นจั้งนับไม่ถ้วนยกตัวขึ้นจากมหาสมุทรเบื้องล่างกวาดออกทำให้เกิดเสียงอื้ออึง พื้นที่มิติในเส้นทางแตกกระจาย
ผู้ที่เฝ้ามองถอยห่างออกไปไกลมากแล้ว ทว่าใบหน้าของพวกเขาก็ยังขาวซีดจากคลื่นกระแทก พวกเขาใช้วิธีการต่างๆ เพื่อทำให้ร่างคงเสถียรภาพไว้ได้
เมื่อทรงตัวไว้ได้ พวกเขาก็แลกเปลี่ยนสายตากัน ต่างเห็นความตกใจของกันและกัน นี่ก็คือพลังของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน มันสามารถทำให้เกิดการทำลายล้างครั้งใหญ่โดยง่ายเลย
หากพวกเขาต่อสู้กันจริงๆ มิตินี้ก็คงทนไม่ได้
“การโจมตีที่น่าสะพรึงเช่นนี้คงจะทำลายปราการที่จอมพลสี่ทิ้งไว้ได้แล้วมั้ง?” ทุกคนฉุกคิดในใจ ก่อนที่จะกวาดสายตาจ้องมองไปที่เกาะหิน จากนั้นม่านตาพวกเขาก็หดแคบลง ก่อนที่จะสูดหายใจเย็นเข้าไป
นั่นเป็นเพราะเกาะหินยังลอยอ้อยอิ่งอยู่บนท้องฟ้าที่ห่างไกล ความแวววาวจากปราการผลึกก็ยังเปล่งประกายออกมาโดยไม่แสดงร่องรอยใดๆ
ปราการผลึกสามารถรับการโจมตีจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งเจ็ดได้โดยไม่เกิดความเสียหายอะไรเลย!
ตอนนี้ไม่เพียงแต่ใบหน้าพวกเขาเปลี่ยนไป แม้แต่ประมุขทั้งเจ็ดก็ขมวดคิ้วทีละน้อย ชัดว่าต่างสัมผัสได้ถึงบางสิ่งผิดปกติ
“ดูเหมือนจะมีบางอย่างผิดปกติ” มั่นถัวหลัวกล่าวอย่างเคร่งขรึม
ประมุขหมู่ตึกเทวะขมวดคิ้วแน่น ไม่นานสายตาก็หดลง รีบเงยหน้ามองดูปราการผลึก จุดนั้นเกิดความมันวาวโชติช่วงแล้วรวมตัวกันช้าๆ
มั่นถัวหลัวและคนอื่นๆ ก็สัมผัสได้ รีบเบนสายตามองไปทันที
แสงรวมตัวกันอย่างรวดเร็วบนปราการผลึก สุดท้ายก็ก่อนเป็นร่างชุดสีฟ้าอมเขียวภายใต้การจ้องมองของทุกคน…
พวกมู่เฉินมองร่างชุดสีฟ้าอมเขียวที่ปรากฏขึ้นกะทันหันก็อึ้งไป แต่ก่อนที่พวกเขาจะส่งเสียงสงสัย ก็เห็นใบหน้าที่เปลี่ยนสีไปฉับพลันของพวกมั่นถัวหลัว
จากนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องตื่นตะลึงของประมุขหมู่ตึกเทวะ หัวใจแต่ละคนกระตุกขึ้น หนังหัวชาวาบ
“นี่มัน…ท่านจอมพลสี่?!”