หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 963 ดวลเดือดกับหลิ่วชิง
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 963 ดวลเดือดกับหลิ่วชิง
บนท้องฟ้า
ร่างมหึมาสองร่างยืนตระหง่าน ขณะที่คลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกวาดออกมาเป็นลอนคลื่นราวกับพายุ ทำให้เกิดลมหมุนรุนแรงทั่วบริเวณนี้ กระทั่งหมู่เมฆที่ขอบฟ้าก็ยังฉีกขาดออกจากกัน
แม้ว่าพื้นที่ตรงนี้จะได้รับการผนึกโดยมั่นถัวหลัวแล้ว แต่ที่นี่ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของเขตต้าหลัวเทียน ดังนั้นเมื่อความผันผวนของคลื่นหลิงระเบิดออก ก็ทำให้เกิดความโกลาหลไปทั่วอย่างรวดเร็ว จากที่ไกลมีร่างแสงบินฉวัดเฉวียนเข้ามานับไม่ถ้วน ก่อนที่พวกเขาจะลอยตัวบนท้องฟ้า จ้องมองการเผชิญหน้าที่เบื้องหน้าครรลองสายตา
พวกเขาไม่ได้ทะเล่อทะล่าเข้าไป เนื่องจากเห็นมั่นถัวหลัว ในเมื่อประมุขอยู่ที่นั่นแล้ว การดวลที่เกิดขึ้นก็ต้องอยู่ในขอบเขตการยอมรับของนาง
จอมยุทธ์บางคนที่มีหน้าที่เฝ้าระวังก็รู้สึกโล่งอกในใจ ก่อนที่จะพุ่งความสนใจไปยังการเผชิญหน้าที่อยู่ในระยะไกล จากนั้นความตื่นตะตึงก็ผุดขึ้นในดวงตาของพวกเขา
“นั่นไม่ใช่ผู้บัญชาการมู่เหรอ?”
“มีคนกำลังสู้กับเขา นั่นใครกัน? รู้สึกจะไม่เคยเห็นอีกฝ่ายมาก่อนนะ แต่แรงกดดันคลื่นหลิงของเขาช่างน่าทึ่งนัก!”
“พิจารณาจากแรงกดดันของคลื่นพลังนี้ เขาจะต้องอยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นหกระยะปลายสุด แม้แต่ในหมู่ผู้บัญชาการ ก็มีแต่ผู้บัญชาการซินหลัวเท่านั้นที่แข็งแกร่งกว่า เขาเป็นใครมาจากไหนกัน?
“…”
เสียงกระซิบกระซาบดังก้อง นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามล่าชื่อเสียงของมู่เฉินก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในภูมิภาคทางเหนือ มิหนำซ้ำยังเข้าครอบตำแหน่งเจ้าทำเนียบของหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่อีกด้วย ดังนั้นจอมยุทธ์ของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ถึงได้ตกอกตกใจเมื่อเห็นมีคนต่อสู้กับมู่เฉิน
“ข้าได้ยินว่าเผ่าวิหคโลกันตร์ส่งทูตมาเชิญผู้บัญชาการจิ่วโยวกลับบ้าน ถ้าข้าเดาไม่ผิดชายหนุ่มคนนั้นน่าจะเป็นอัจฉริยะของเผ่ามั้ง” ทว่าในกลุ่มคนเหล่านั้นก็มีบางส่วนที่เป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงในสำนัก ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ข้อมูลละเอียดมากพอสมควร
“แต่เผ่าวิหคโลกันตร์น่ากลัวอย่างแท้จริง ชายหนุ่มคนนี้มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหกระยะปลายสุด แม้ว่าจะอยู่ในภูมิภาคทางเหนือ จอมยุทธ์ที่มีพลังเช่นนี้ก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง” มีบางคนแอบถอนหายใจ
“ชายคนนั้นเยี่ยมจริง ไม่รู้ว่าผู้บัญชาการมู่จะสามารถเอาชนะเขาได้หรือไม่…” มีบางคนพูดขึ้นด้วยความกังวล แม้ว่าช่วงนี้มู่เฉินจะอยู่ในจุดที่ได้รับความสนใจมากยิ่ง แต่เขาก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าเท่านั้น แน่นอนว่าถ้าเขาสามารถใช้ตัวตนของจั้นเจิ้นซือในการต่อสู้แล้ว อัจฉริยะของเผ่าวิหคโลกันตร์รับกระบวนท่าได้ไม่เกินห้ากระบวนท่าแน่นอน แต่น่าเสียดายที่มู่เฉินไม่สามารถใช้รัศมีจั้นยี่ในการต่อสู้นี้ได้
หากจอมยุทธ์ธรรมดาพยายามใช้ระดับจื้อจุนขั้นห้าเพื่อเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายที่มีอยู่ในขั้นหกระยะปลายสุด บางทีทุกคนอาจจะหัวเราะจนฟันร่วง แต่ถ้าเป็นมู่เฉิน พวกเขาก็จะพิจารณาโอกาสที่เขาจะประสบความสำเร็จ นั่นเป็นเพราะปีก่อนๆ ที่ผ่านมา เขาคนนี้ได้สร้างปาฏิหาริย์มากมาย
ดังนั้นทุกคนไม่สามารถคาดเดาผลลัพธ์ของการดวลครั้งนี้ได้
เมื่อการเผชิญหน้าระหว่างมู่เฉินและหลิ่วชิงดึงดูดความสนใจมากขึ้น คู่ต่อสู้ทั้งสองก็ไม่ได้วอกแวกแม้แต่น้อย พวกเขาจ้องมองกันและกันด้วยสายตาเย็นชา คลื่นหลิงรอบตัวระเบิดตูมตามราวกับพายุก่อตัว
หลิ่วชิงยืนอยู่บนวิหคเพลิงกัลป์ กำหอกยาวในมือแน่น ทันใดนั้นดวงตาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ก่อนที่จะกระทืบเท้าอย่างแรง
กีดดด!
ใต้ฝ่าเท้าของเขาวิหคเพลิงกัลป์แผดเสียงร้องคมชัด ก่อนที่จะเปิดปาก เปลวไฟสีแดงก็ปลิวว่อน ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจก็ครอบคลุมไปถึงขอบฟ้าแล้ว
“คัมภีร์จิ่วโยวเหยียนเชี่ย ทะเลแดงเผาสวรรค์”
หลิ่วชิงชี้หอกแดงยาวใส่มู่เฉินจากระยะไกล ทันใดนั้นทะเลเพลิงสีแดงเข้มก็กวาดออก มิติถึงกับบิดเบี้ยวในเส้นทางของเปลวไฟ สะท้อนภาพพร่าเลือนในสายตาผู้เฝ้ามอง
ฟิ้ว!
ขณะที่ทะเลเพลิงกวาดออกก็หุ้มห่อร่างเทพสุริยะเอาไว้ทันที ทว่าเผชิญกับการโจมตีนี้ มู่เฉินกลับยืนนิ่งบนหัวของร่างเทพสุริยะโดยมีแสงสีทองกระจายออกมาจากร่างมหึมา
ทะเลเพลิงส่งเสียงครางหวีดหวิว ส่วนร่างเทพสุริยะกลับยืนหนักแน่นราวกับหินผา ไม่เพียงแต่จะไม่ละลายหายไปจากทะเลเพลิงเท่านั้น กระทั่งริ้วแสงสีทองแวววาวยังเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองคำภายใต้อุณหภูมิระดับสุดยอด ช่างมองดูทรงเกียรติยิ่งนัก
เมื่อเห็นฉากนี้ หลิ่วชิงก็อดไม่ได้ที่จะเกร็งดวงตา เนื่องจากเพลิงในทะเลสร้างขึ้นจากเปลวไฟแห่งสายเลือดของเขาทั้งน่าเกรงขามและยิ่งใหญ่ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกที่เรียกร่างเทห์สวรรค์ออกมาก็มีสิทธิ์ละลายไป แต่ตอนนี้ร่างเทห์สวรรค์ของมู่เฉินกลับไม่ได้เคลื่อนไหวสักกระผีก นอกจากนี้ยังดูดีขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
“ร่างเทห์สวรรค์ของเจ้านั่นมาจากไหนกัน? ทำไมถึงน่าเกรงขามขนาดนี้?!” หลิ่วชิงขมวดคิ้ว จากนั้นก็เค้นเสียงเย็น เขาไม่ลังเลอีกต่อไป รีบวาดตราประทับแปลกประหลาดด้วยมือข้างเดียว
“ฮึ่ม!”
พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงตราประทับ ทันใดนั้นเปลวเพลิงก็รวมตัวกันในทะเลสีแดงที่อยู่รอบร่างเทพสุริยะ ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นขนนกเพลิงยาวนับไม่ถ้วน ขนนกเพลิงเหล่านี้ราวกับดาบที่ปกคลุมไปด้วยลวดลายต่างๆ ขณะที่เปล่งประกายก็แผ่คลื่นความร้อนสูงออกไป
เมื่อดาบยาวเพลิงก่อร่าง มู่เฉินที่ยืนอยู่บนร่างเทพสุริยะก็หดดวงตาลง เนื่องจากเขารู้สึกถึงคลื่นอันตรายจากขนนกเหล่านั้น
หลิ่วชิงจ้องมู่เฉินจากที่ไกล เขายิ้มไม่แยแสก่อนจะสะบัดนิ้ว เปิดใช้งานกระบวนท่าสังหารนี้ทันที
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
เสียงสั่นสะเทือนจากดาบดังสะท้อนทั่วท้องฟ้า ทันใดนั้นขนนกนับไม่ถ้วนที่ลอยอยู่เหนือทะเลเพลิงก็จางหายไป
เมื่อมู่เฉินเห็นฉากนี้ก็อดไม่ได้ที่จะเกร็งดวงตา นั่นเป็นเพราะเมื่อขนนกเพลิงเหล่านั้นหายไป เขาก็ไม่สามารถสัมผัสถึงความผันผวนแม้แต่เล็กน้อยได้
ความรู้สึกแบบนี้ราวกับว่าขนนกสูญสลายไปสมบูรณ์
“ไม่ ไม่ได้หายไป พวกมันรวมเข้ากับทะเลเพลิงต่างหาก!”
แต่ไม่นานมู่เฉินก็รู้ฉุกคิดได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าตอนนี้แสงสีทองรอบร่างเทพสุริยะก็จางลงอย่างกะทันหัน ทันใดนั้นเกลียวเพลิงแปลกประหลาดหลายสิบสายก็ปรากฏขึ้นรอบตัวมู่เฉิน ท่ามกลางเปลวเพลิงนั้นมีดาบยาวที่ลุกเป็นไฟมากมาย แม้จะร้อนระอุ แต่ความคมชัดนั่นก็ทำเอามู่เฉินรู้สึกหนังหัวชาหนึบเลยทีเดียว
ฟิ้ว!
เมื่อดาบขนนกเพลิงปรากฏขึ้นก็ไม่ชักช้า พุ่งเข้าใส่จุดสำคัญบนร่างมู่เฉินด้วยความเร็วที่ทำให้แม้แต่เขาก็ไม่สามารถตอบสนองได้ทันท่วงที
ดาบขนนกเหล่านี้คมมากเป็นพิเศษ เนื่องจากสร้างขึ้นมาด้วยพลังเต็มพิกัดของหลิ่วชิง หากมู่เฉินถูกซัดใส่ละก็ ถึงจะมีวิชาพลังกายทรงประสิทธิภาพ ตัวเขาก็คงจะเต็มไปด้วยรูเลือดอย่างไม่ต้องสงสัย
ดาบสะท้อนในดวงตาของมู่เฉิน อึดใจขอบใบมีดก็สัมผัสกับเสื้อผ้า แต่ทันใดนั้นดวงตามู่เฉินก็เฉียบคมขึ้น
บนศีรษะของร่างเทพสุริยะ แสงสีทองแผ่ซ่านออกมาทันที ก่อตัวเป็นโล่ทองคำจำนวนมากด้วยความเร็วสูง
ปัง! ปัง!
ดาบและโล่โรมรันกันตามมาด้วยเสียงระเบิดดังเจาะหู จากนั้นภายใต้คลื่นหลิงที่ผันผวน คลื่นพลังสองสายก็กลายเป็นจุดแสงเหือดหายไป
“ตอบโต้ได้รวดเร็วจริงๆ…”
เมื่อหลิ่วชิงเห็นว่าตนเองไม่ประสบความสำเร็จในการโจมตี เขาก็ยิ้มด้วยความอัศจรรย์ใจ ก่อนจะสะบัดนิ้วอีกครั้ง “แล้วคราวนี้ล่ะ?”
ทันทีที่เสียงจบลง หัวใจของมู่เฉินก็สั่นสะท้านด้วยความเย็นเยือก เพราะเวลานี้เขาเห็นว่ามีดาบขนนกนับร้อยนับพันปรากฏอยู่รอบตัวเขาอย่างแปลกประหลาด ราวกับค่ายกลดาบที่ขังเขาไว้ภายใน
ในเวลานี้มู่เฉินก็รู้ว่าทะเลเพลิงที่หลิ่วชิงสร้างขึ้นมา ไม่ได้ใช้เพื่อเผาเขาให้เป็นเถ้าถ่าน เพราะทะเลเพลิงนี้เป็นตัวกลางในการโจมตีต่างหาก
ดาบขนนกสามารถรวมเข้ากับทะเลเพลิงและไปปรากฏในตำแหน่งใดๆ ก็ได้ ดังนั้นต่อให้มู่เฉินได้รับความคุ้มครองจากร่างเทพสุริยะ ก็ยังไม่สามารถปกป้องตัวเองจากดาบยาวขนนกทั้งหมดนี้ได้
นอกจากเขาจะสามารถทำลายทะเลเพลิงนี้ไปได้ มิฉะนั้นการโจมตีจะไม่มีที่สิ้นสุดลงจนกว่าร่างเขาจะพรุนเป็นเม่น… การโจมตีนี้สามารถผลักจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกให้ลงไปในเหวความตายได้เลยทีเดียว หลิ่วชิงเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขามอย่างแท้จริง ไม่อาจประมาทได้เลย
ทว่าความน่าสมเพชก่อนหน้า เป็นเพราะเขาไม่ทันตั้งตัวเท่านั้น แต่ถ้าหลิ่วชิงคิดจะใช้ทักษะเดียวกันอีกครั้งมาโจมตี ก็ดูถูกมู่เฉินมากเกินไปแล้ว
ดังนั้นเมื่อดาบขนนกจำนวนหลายพันยิงเข้ามา สายตาคมชัดของมู่เฉินก็มองข้ามพวกมัน จับจ้องไปที่ทิศทางของหลิ่วชิง
จับโจรเอาหัวโจก ตราบใดที่หลิ่วชิงพ่ายแพ้ ทะเลเพลิงก็จะหายไป
ฮา
ลมหายใจสีขาวขุ่นพ่นออกมาจากปากของมู่เฉินอย่างช้าๆ จากนั้นเขาก็วาดตราประทับที่ลึกซึ้งและซับซ้อนด้วยมือทั้งสองด้วยความเร็วปานสายฟ้า…
ปัง! ปัง!
ขณะที่ตราประทับของมู่เฉินเปลี่ยนแปลงวูบไหว ดาบเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนก็ยิงเข้ามา โล่ทองคำหนาทึบปรากฏขึ้นรอบตัวเขา ก่อนที่พลังทั้งสองสายจะปะทะกันเปรี้ยงปร้าง รัศมีดาบกวาดหายนะทิ้งรอยเลือดไว้บนร่างของมู่เฉิน
ทว่ามู่เฉินยังคงมีสีหน้าเฉยเมย ไม่สนใจโล่ทองคำที่ลดลงเรื่อยๆ แต่ความเร็วในการวาดตราประทับของเขากลับเพิ่มขึ้น วินาทีต่อมามือของเขาก็หยุดกึกลง ภาพลวงตาหมุนคว้างไปในอากาศ
ในระยะไกลเมื่อหลิ่วชิงเห็นตราประทับของมู่เฉินหยุดลง ความไม่สบายใจก็ผุดขึ้นในใจของเขา
ทว่าก่อนที่เขาจะทันได้ไตร่ตรองเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็เห็นว่ามิติเหนือร่างมู่เฉินเริ่มผันผวน ก่อนที่ดอกไม้ชวนหลงใหลดอกใหญ่ที่สามารถมองเห็นได้อย่างคลุมเครือเบ่งบานอย่างช้าๆ
ดอกไม้ปีศาจมีสีม่วงเข้ม กลีบทุกกลีบถูกปกคลุมไปด้วยลวดลายโบราณ ดูราวกับซากอารยธรรมของสวรรค์และโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่หยั่งไม่ถึง
ขณะที่ดอกไม้คลี่กลีบดอก คลื่นหลิงทั่วบริเวณก็ถูกดูดเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง มากจนแม้แต่ทะเลเพลิงเบื้องล่างยังเริ่มส่งเสียงครางกระหึ่ม กลายเป็นสายธารเพลิงถูกดูดเข้าไปในดอกไม้ปีศาจ
ส่งผลให้ดอกไม้ปีศาจเปล่งแสงมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น
มู่เฉินเงยหน้าขึ้น ปล่อยลมหายใจยาวเหยียดออกมา จากนั้นก็ชี้นิ้วไปที่หลิ่วชิงที่มีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างยิ่ง มุมปากกระตุกเบาๆ แล้วชี้นิ้วลงไป
“คงเสียมารยาทที่จะไม่โจมตีกลับ ได้รับของมาแล้วไม่คืนเป็นเรื่องเสียมารยาทไปหน่อย… พี่หลิ่วลองรับกระบวนท่านี้จากข้าหน่อย…”
พูดจบเกสรดอกไม้ปีศาจก็เปล่งประกายแวววาวสีม่วงเข้มพลางเล็งไปที่หลิ่วชิงจากระยะไกล อึดใจถัดมาการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวก็ปลดปล่อยออกมาด้วยพลังทำลายล้างหนาแน่น ภายใต้เสียงอ่อนโยนในหัวใจของมู่เฉิน
“วิทยายุทธระดับเสินซู่ขั้นเต็ม…ดอกแมนดาลา…แสงบุปผาทำลายฟ้า…”