หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 972 ปะทะด้วยพลังกาย
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 972 ปะทะด้วยพลังกาย
บนจัตุรัสหินสีฟ้าอมเขียว
เจียงย่าและฉิงเฉวียนเงยหน้าขึ้น แต่ทั้งสองก็แค่เหลือบมองมู่เฉิน ก่อนที่จะเบ้ปากอย่างไม่ทันสังเกต
ประหลาดใจมากที่มู่เฉินไม่เลือกทางที่สอง ทว่า…ถ้าเขาคิดว่าทางนี้เป็นไปได้ เขาก็ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว
ทั้งคู่ไม่ได้ให้ความสนใจมู่เฉิน แต่มองไปยังเทียนฮวง อีกฝ่ายหลุบตาลงพูดว่า “ในเมื่อเขาส่งคำท้าประลองมาแล้ว พวกเจ้าสองคนก็จัดการตามสมควร”
เมื่อได้ยินคำพูดของประมุข ท่าทางของทั้งสองก็เปลี่ยนไป นั่นเป็นเพราะตัดสินจากคำพูดก็คือให้พวกเขาลงมือทั้งคู่เหรอ? ไอ้สามหาวนี่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น มีอะไรพอที่จะสู้กับพวกเขาทั้งสองคน?
“ฉิงเฉวียน ก่อนหน้านี้เจ้าแพ้ข้าไปครึ่งกระบวนท่า ดังนั้นเจ้าเริ่มก่อนเลย” เจียงย่ามองไปที่ฉิงเฉวียน ด้วยสีหน้าครึ่งบึ้งครึ่งยิ้ม ท่าทางเฉื่อยชาราวกับว่าเหตุการณ์นี้ไม่สามารถเพิ่มความสนใจให้เขาได้ แม้ว่าคำพูดของท่านประมุขจะคลุมเครือ ราวกับว่าต่อให้พวกเขาลงมือพร้อมกันก็ไม่ผิดกฎ ทว่าเจียงย่าไม่เคยคิดทำแบบนั้น
ตลกละ ถ้าพวกเขาทั้งคู่ลงมือสู้กับมนุษย์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกพร้อมกัน ต่อให้ชนะก็ไม่น่าภูมิใจอะไร
เมื่อฉิงเฉวียนได้ยินคำพูด เปลือกตาก็กระตุก ใบหน้าบิดเบ้น่าเกลียดลงหลายส่วน ก่อนหน้านี้เจียงย่าแค่โชคดีเท่านั้น หากพวกเขาสู้กันต่อไป แม้ว่าจะเทกันจนหมดหน้าตัก ก็คงไม่ง่ายที่ตัดสินหาผู้ชนะ แต่เจ้านี่ยังมาเหยียบหัวเขาในเวลานี้…
แม้ว่าจะคันยุบยับในหัวใจ แต่ฉิงเฉวียนก็ไม่สนที่จะตอกกลับเจียงย่าให้หน้าหงาย เพราะเขาไม่ชอบมู่เฉินจริง ในบรรดาสมาชิกเผ่าวิหคโลกันตร์ จอมยุทธ์มากมายมีความรู้สึกที่ดีต่อจิ่วโยวและเขาก็เป็นหนึ่งในนั้น
ดังนั้นเขาจึงมีความรู้สึกไม่ดีต่อมู่เฉินที่สร้างรอยด่างพร้อยในสายเลือดของจิ่วโยวเอาไว้
ความคิดมากมายวาบผ่านหัวใจ จากนั้นฉิงเฉวียนก็ย่างเท้าออกไปช้าๆ ภายใต้สายตาจ้องมองมานับไม่ถ้วนก่อนที่จะหยุดห่างจากมู่เฉินร้อยจั้ง
“ถ้าข้าเป็นเจ้า การอยู่ดีๆ ที่นี่สักสิบปี อาจเป็นทางเลือกที่ฉลาดกว่า” ฉิงเฉวียนยืนประจันหน้ามู่เฉิน แล้วจ้องมองอีกฝ่ายเต็มตาครั้งแรก ก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงสงบเรียบ
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ”
มู่เฉินทำท่าคล้ายไม่ได้ยินคำเหยียดหยามในคำพูดของฉิงเฉวียน เขายิ้มอย่างจริงใจก่อนที่จะประสานมือ “ชี้แนะด้วย”
“เจ้าช่างไม่รู้จักซาบซึ้งใจมั่งเลย”
เมื่อฉิงเฉวียนเห็นท่าทางสบายๆ ของมู่เฉิน เขาก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ ความโกรธเพิ่มขึ้นทบทวีในหัวใจ ทันใดนั้นเขาก็ไม่คิดพูดอีกต่อไป ขยับขาก้าวไปข้างหน้า พายุคลื่นหลิงทรงพลังพวยพุ่งออกจากร่างซึ่งบรรจุพลังงานเยือกเย็นเหลือล้น ทำให้อุณหภูมิโดยรอบลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อระเบิดออกไป
สามารถมองเห็นเกล็ดน้ำค้างแข็งแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็วจากใต้เท้าของฉิงเฉวียนแล้วปกคลุมไปทั่วลานประลองในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ…
เมื่อมู่เฉินรู้สึกถึงคลื่นหลิงทรงพลังที่ระเบิดออกมาจากร่างฉิงเฉวียน ดวงตาก็หดลงเล็กน้อย คำพูดของ เทียนเช่อไม่ผิดเลย ฉิงเฉวียนแข็งแกร่งกว่าหลิ่วชิงอย่างแท้จริง
ถ้าหลิ่วชิงอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหกระยะปลายสุด ฉิงเฉวียนตรงหน้าก็แตะที่ขั้นเจ็ดแล้ว ซึ่งขั้นนี้แข็งแกร่งกว่าขั้นหกมาก
ถ้ามู่เฉินไม่ได้บรรลุระดับจื้อจุนขั้นหกในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา เพียงแค่แรงกดดันคลื่นหลิงอย่างเดียว ก็ทำให้เขาอดกลั้นไม่ได้แล้ว
ทว่า…น่าเสียดายที่พร้อมกับพัฒนาการ เขาก็ทรงพลังยิ่งกว่าเมื่อสองเดือนมากเลยทีเดียว!
สายตาของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นคมกล้าไม่มีความอบอุ่นสักริ้วเดียว แขนทั้งสองข้างห้อยลง ร่างของเขาราวกับหอกยาวที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง รัศมีแหลมคมแผ่ซ่านออกไป
มิติบิดเบี้ยวเล็กน้อยที่ด้านหลัง ทะเลพลังก็ปรากฏออกมาให้เห็นคลุมเครือ ความผันผวนของคลื่นหลิงกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ละลายน้ำแข็งในรัศมีร้อยจั้งรอบร่างมู่เฉิน
“โอ้? ดูเหมือนว่าเจ้ามีความสามารถอยู่บ้างนะ…”
เมื่อรู้สึกถึงความผันผวนของคลื่นพลังที่มาจากมู่เฉิน ฉิงเฉวียนก็ยิ้มบางจากนั้นก็สะบัดนิ้ว เกล็ดหิมะก็โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า
ปัง!
อึดใจร่างของฉิงเฉวียนก็ระเบิดออกกลายเป็นเกล็ดหิมะส่งเสียงครางหวีดหวิว
ทันทีที่ฉิงเฉวียนหายตัวไป มู่เฉินหดดวงตาลงรีบถอยกลับทันที แสงสีทองระยิบระยับพลุ่งพล่านออกมาจากร่าง ริ้วแสงสีทองไหลเวียนอยู่ใต้ผิวหนัง ทำให้เขาดูคล้ายกับพระพุทธรูปทองคำในขณะนี้
“ฟิ้ว!”
ขณะที่มู่เฉินพยายามเคลื่อนตัวหลบหลีกจากพื้นที่หิมะโปรย ความเร็วในการตกของเกล็ดหิมะก็เพิ่มขึ้นแล้วรวมตัวกันก่อเป็นรูปร่างคนหนึ่งขึ้น
วาบ!
เมื่อเกล็ดหิมะร่วงหล่นลงมา ไอเย็นยะเยือกก็พุ่งทะลุผ่านมิติเล็งไปที่แผ่นหลังของมู่เฉิน
การโจมตีเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เผชิญกับการจู่โจมลึกลับเช่นนี้ มู่เฉินก็ไม่สามารถหันหลังกลับและป้องกันตัว ได้แต่ปล่อยให้แสงเย็นเยือกกระทบกับแผ่นหลังของเขา
“ชี่!”
แสงเย็นรวมตัวกันก่อร่างเป็นนิ้วเรียวยาวแผดรัศมีเยือกเย็นออกมาซึ่งราวกับว่ามีเกล็ดหิมะโปรยปรายอย่างเงียบๆ และดูเหมือนว่าจะสามารถทะลุฝ่ามิติได้
ร่างของฉิงเฉวียนปรากฏขึ้นด้านหลังมู่เฉิน เขาตั้งกระบวนท่ายกนิ้วทั้งสองขึ้นเอาไว้ เขามองชั้นน้ำแข็งที่กระจายอยู่ด้านหลังของมู่เฉิน ชั้นน้ำแข็งที่ปรากฏขึ้นกำลังห้อมล้อมร่างมู่เฉินอย่างรวดเร็ว จังหวะที่มู่เฉินถูกห่อหุ้มก็จะติดอยู่กับดักอย่างสมบูรณ์ ความเป็นตายก็อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา
เมื่อโจมตีสำเร็จ ฉิงเฉวียนก็ส่ายหัวด้วยความผิดหวัง “เฮ้อ ไม่ได้เรื่องเลย…”
ตู้ม!
ทว่าทันทีที่เสียงของเขาจบลง แสงสีทองที่กำจายอยู่บนพื้นผิวของร่างกายมู่เฉินก็ราวกับดวงอาทิตย์สว่างไสว เมื่อแสงสีทองพัดออก ก็ทำให้ชั้นน้ำแข็งแตกตัว
การเปลี่ยนแปลงฉับพลันทำให้ฉิงเฉวียนตกใจไป แต่ก่อนที่นิ้วเขาจะลงมือโจมตีรุนแรง เขาก็รู้สึกถึงแรงทรงพลังตีย้อนมาจากแผ่นหลังมู่เฉินซึ่งปลายนิ้วของเขาแตะอยู่
เขาเห็นลวดลายมังกรสีม่วงทองปรากฏที่แผ่นหลังมู่เฉินเลือนราง
ปัง!
มวลพลังงานขนาดใหญ่ผลักฉิงเฉวียนถอยกลับ จังหวะที่เขาถอยออกแสงสีทองก็พุ่งพรวด มู่เฉินราวกับมังกรป่าเถื่อนพุ่งเข้ามาซัดฝ่ามือใส่หน้าอกของเขา พลังที่น่าสะพรึงรวมตัวกันอยู่ใต้ฝ่ามือของมู่เฉิน ทำให้มิติถึงกับผันผวนเลยทีเดียว
“รนหาที่ตายแท้จริงที่คิดจะใช้พลังกายปะทะซึ่งหน้ากับข้า!”
ทว่าเมื่อฉิงเฉวียนเห็นการโจมตีที่ดุเดือดของมู่เฉิน ไม่เพียงแต่ไม่ตกใจเขายังเย้ยหยัน เขามีร่างกายของเทพอสูรซึ่งแข็งแกร่งกว่ามนุษย์มาก แทนที่มู่เฉินจะใช้โอกาสนี้ถอยห่างออกไป เขากลับยังกล้าพุ่งเข้ามา ในความคิดของฉิงเฉวียน มู่เฉินรนหาที่ตายชัดๆ
เห็นได้ชัดว่าสมาชิกเผ่าวิหคโลกันตร์ก็นึกคล้ายคลึงกัน ขณะที่พวกเขาเฝ้าดูฉากนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏที่มุมปากของแต่ละคน
“ตู้ม!”
ฉิงเฉวียนงองุ้มนิ้วมือทั้งสองเป็นเหมือนกรงเล็บเหยี่ยว ขณะที่เกล็ดหิมะหมุนคว้างที่ปลายนิ้วของเขา เกล็ดหิมะหมุนด้วยความเร็วสูงจนทำให้มิติฉีกออก
ฝ่ามือสีทองส่งเสียงครางกระหึ่มกระแทกกับกรงเล็บหิมะของฉิงเฉวียน
ตู้มมมม!
ทันทีที่เกิดการปะทะกัน ร่างของมู่เฉินและฉิงเฉวียนก็สั่นไหว แต่มู่เฉินยังคงสีหน้าสงบนิ่ง เพราะเขาให้ความสำคัญกับฉิงเฉวียนมาก แต่นั่นไม่ใช่กรณีสำหรับฉิงเฉวียน เนื่องจากกรงเล็บนี้เป็นสิ่งที่เนื้อหนังของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกระยะปลายสุดยังถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ได้ ไม่ต้องพูดพวกธรรมดาสามัญเลย ทว่าครั้งนี้เขากลับรู้สึกราวกับว่ากรงเล็บปะทะเข้ากับแผ่นโลหะ ความแข็งแรงทนทานทำให้เขาเจ็บปวดมือมาก
“พลังกายของเขาแข็งแกร่งปานนี้เชียวเหรอ?!”
หัวใจของฉิงเฉวียนสั่นไหวขณะที่ความรู้สึกไม่เชื่อพลุ่งพล่าน เขามีร่างเทพอสูรที่แท้จริง ความแข็งแกร่งของเขาสามารถทำลายภูเขาได้ แต่ตอนนี้กลับไม่ได้เปรียบในการปะทะกับมนุษย์ระดับจื้อจุนขั้นหกเรอะ?
“ข้าไม่เชื่อว่าแกจะอึดอยู่ได้นาน!”
ริ้วเย็นชาวาบในดวงตาของฉิงเฉวียน เขาเชื่อแค่ว่ามู่เฉินพยายามฝืนทนไว้เท่านั้น ดังนั้นคลื่นหลิงป่าเถื่อนก็โหมกระหน่ำในร่างกาย กรงเล็บตวัดออกพร้อมกับเกล็ดหิมะเกิดเป็นภาพซ้อน ซัดไปที่มู่เฉิน
ตู้ม! ตู้ม!
ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับการจู่โจมคมกริบของฉิงเฉวียน มู่เฉินก็กำจายริ้วรัศมีเฉียบคมบนใบหน้าอ่อนเยาว์ เขาไม่ได้มีท่าทางจะถอยเลย ที่เบื้องหลังมิติกระเพื่อมไหวทะเลพลังในจุดจื้อจุนไห่ปรากฏขึ้น ในเวลาเดียวกันแสงสีทองบนร่างก็ยิ่งเปล่งประกายทบทวี จนถึงจุดที่แม้แต่ม่านตาสีดำยังสะท้อนด้วยสีทอง
นี่เป็นการแสดงออกของการหมุนเวียนกายามังกรหงส์ไปถึงขีดสุด
แม้ว่าฉิงเฉวียนจะมีร่างกายของเทพอสูร แต่ร่างกายของมู่เฉินก็ได้รับการฝึกฝนหนักหน่วงมาหลายปี ไม่เพียงแต่เขาจะประสบความสำเร็จขั้นสุดยอดของวิชากายาเทพสายฟ้า แต่เขายังได้ฝึกฝนกายามังกรหงส์จนความแข็งแกร่งของร่างกายเขาเปรียบได้กับเทพอสูรตัวจริง ดังนั้นด้วยเหตุผลนี้เขาจึงไม่กลัวการปะทะกันซึ่งหน้า
มู่เฉินจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าต้องได้รับการดูถูกเหยียดหยามเมื่อมาถึงเผ่าวิหคโลกันตร์? ในเมื่อเป็นแบบนี้เขาก็จะเอาชนะด้วยสิ่งที่คนเหล่านี้ภาคภูมิใจหนักหนา
แววคมกริบสาดออกมาจากสายตาของมู่เฉินราวกับใบมีด อึดใจฝ่ามือของเขาก็วาดออกปะทะการโจมตีของฉิงเฉวียนอีกครั้ง
ปัง! ปัง! ปัง!
บนลานประลองจอมยุทธ์สองคนโรมรันพันตู ทุกกระบวนท่าทำให้เกิดการระเบิดลึกต่ำ พลังรุนแรงส่งผลต่อความผันผวนกระจายออกไป ก่อตัวเป็นคลื่นกระแทกที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทำให้มิติที่พวกเขาทั้งสองยืนอยู่บิดเบือน
สายตานับไม่ถ้วนจ้องมองสองจอมยุทธ์ที่ห้ำหั่นกันราวกับอสูรป่าเถื่อน แววเยาะเย้ยในทีแรกที่มีในสายตาเริ่มจางหายไป ปากเริ่มอ้ากว้างภายใต้ความตกใจ
นั่นเป็นเพราะพวกเขาเห็นได้ชัดเจนว่ามนุษย์คนนี้ไม่ได้คิดที่จะล่าถอยในการเผชิญหน้ากับเทพอสูรแท้จริงด้วยพลังกายแม้แต่น้อย ทางตรงกันข้ามเขากลับดุร้ายยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เมื่อการต่อสู้ดำเนินต่อไป!
มู่เฉินใช้พลังกายที่มียับยั้งฉิงเฉวียนไว้ได้รึ?
เป็นไปได้ยังไง?!
ตึง!
ภายใต้สายตาไม่เชื่อจำนวนมาก การต่อสู้ระหว่างทั้งสองก็มาถึงจุดสุดยอด หมัดที่มีพลังงานน่ากลัวปะทะกัน
คลื่นกระแทกระเบิดออกทำเอาผืนดินถึงกับแตกร้าว
ทั้งสองกระเด็นออกมาภายใต้แรงกระแทก ทิ้งรอยลึกสองรอยไว้บนพื้น ฝ่าเท้าฝังลึกลงไปในหินสีฟ้าอมเขียวที่แข็งแรง
สายตาที่จ้องมองมาโดยรอบแข็งทื่อ จากนั้นเสียงสูดลมหายใจก็ดังก้อง ใครจะคิดว่าแม้จะมีร่างเทพอสูร ฉิงเฉวียนก็ยังไม่สามารถได้เปรียบสักน้อยนิดในการปะทะกันด้วยพลังกาย!
เห็นได้ชัดว่ามนุษย์คนนี้ที่พวกเขาดูถูก มีร่างกายที่ทรงพลังซึ่งสามารถเทียบเคียงได้กับเทพอสูรเลยทีเดียว!
ความแข็งแกร่งนี้ช่างน่าประหลาดใจ
นอกลานประลองเมื่อเจียงย่าเห็นฉากนี้ ก็หรี่ตาลง ก่อนที่จะพึมพำเสียงแผ่วเบาว่า “ในที่สุดก็มีอะไรน่าสนใจ แต่แค่นี้ยังไม่เพียงพอที่จะยึดตำแหน่งไปจากเรา…”
“เปิดเผยความสามารถของเจ้าออกมาเลย ให้ข้าดูว่าเจ้ามีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะรับตำแหน่งของเผ่าวิหคโลกันตร์ไหม!”