หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 977 เข้าสู่ดินแดนเสินโซ่
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 977 เข้าสู่ดินแดนเสินโซ่
เผ่าวิหคโลกันตร์
เมื่อมู่เฉินเอาชนะทั้งเจียงย่าและฉิงเฉวียนได้ ตำแหน่งสุดท้ายก็ตกอยู่ในมือเขาอย่างสมบูรณ์ วันที่เหลือเขาก็พักอยู่ที่นี่เพื่อรอประตูมิติดินแดนเสินโซ่เปิดออก
ช่วงที่อยู่ในเผ่า มู่เฉินได้รับการดูแลอย่างดีจากจิ่วโยว หลังจากหาที่พักได้เขาก็ดึงตัวเองจากโลกภายนอกไม่ได้ไปไหน มุ่งเน้นการฝึกฝนเพื่อปรับสภาพ เพราะเขารู้ชัดเจนว่าแม้จะแสดงความสามารถเป็นที่ประจักษ์ในการประลองกับเจียงย่าและฉิงเฉวียน แต่ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยอมรับคนนอกอย่างมู่เฉินได้อย่างรวดเร็ว
ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่ได้ใส่ใจกับการป้อยอมากนัก เขาอยู่ในที่เรือนรับรองจดจ่ออยู่กับการฝึกฝน เพื่อจะได้ช่วยจิ่วโยวให้ได้รับเลือดศักดิ์สิทธิ์ของวิหคอมตะในดินแดนเสินโซ่มา เนื่องจากตัวเขาไม่ได้มาเป็นทูตสันถวไมตรีกับเผ่าวิหคโลกันตร์ แต่มาเพื่อช่วยจิ่วโยวเท่านั้น
ดังนั้นในช่วงหลายวันที่เขาอยู่ในเผ่า เขาก็ไม่ได้ออกไปมีปฏิสัมพันธ์กับสมาชิกเผ่าวิหคโลกันตร์ มีแต่จิ่วโยวที่มักเข้ามาบอกเล่าข้อมูลเกี่ยวกับดินแดนเสินโซ่ให้ฟัง
เวลาหมุนไปรวดเร็ว โดยไม่รู้ตัวสิบวันก็ผ่านไปแล้ว
เมื่อแสงรุ่งอรุณแรกของวันที่สิบไล้ลงบนภูเขาเก้าโลกันตร์อันยิ่งใหญ่
มู่เฉินก็เปิดเปลือกตาขึ้นในห้องพัก ม่านตาสีดำขลับสาดประกายแรงกล้า
สายตามู่เฉินมองออกไปนอกหน้าต่าง ตอนนี้ทั่วทั้งภูเขาเก้าโลกันตร์ปะทุขึ้น เสียงลมดังขึ้นไม่หยุด ชัดว่าการเปิดออกดินแดนเสินโซ่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับเผ่าวิหคโลกันตร์
มู่เฉินมองที่นอกหน้าต่างท่าทางเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะพุ่งตัวออกไปที่สวน ไม่ไกลจากกันเรือนร่างงดงามก็ทะยานเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะหยุดตรงสวนหน้าเรือนพักรับรอง
“ไปกันเถอะ ดินแดนเสินโซ่กำลังจะปรากฏขึ้นแล้ว” จิ่วโยวพลิ้วตัวลงบนพื้น ก่อนจะมองไปที่มู่เฉินด้วยรอยยิ้มที่น่าหลงใหลยิ่งเพิ่มความสะคราญโฉมให้กับนางนัก หลังจากที่แก้ปมปัญหาเรื่องพันธะโลหิตของพวกเขาได้ จิ่วโยวก็ดูผ่อนคลายลงมากขึ้น นางไม่ต้องกังวลทุกขณะจิตเหมือนเมื่อก่อนแล้ว…
มู่เฉินยิ้มพลางพยักหน้าไม่ได้พูดอะไร จากนั้นก็เหินตัวขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนจะพุ่งตัวไปยังยอดเขาเก้าโลกันตร์ภายใต้การนำของจิ่วโยว
ระหว่างทางก็มีผู้คนนับไม่ถ้วนเช่นกัน สมาชิกเผ่าวิหคโลกันตร์ต่างก็กำลังมุ่งหน้าขึ้นไปยังยอดเขาสูง แม้ว่าจำนวนจอมยุทธ์ต่อเผ่าที่เข้าสู่ดินแดนเสินโซ่จะมีน้อยมาก แต่ทุกคนก็ล้วนมีความปรารถนาต่อดินแดนโบราณแห่งนี้
ทั้งสองเดินทางอย่างรวดเร็ว สิบนาทีต่อมาก็เข้าไปในบริเวณยอดเขาก่อนที่จะพลิ้วตัวลงมา
ยามนี้ยอดเขาถูกปกคลุมไปด้วยฝูงชนมหาศาล โดยมีเทียนฮวงและเหล่าผู้อาวุโสยืนอยู่ตรงศูนย์กลางของจัตุรัส มั่นถัวหลัวก็ยืนอยู่ข้างๆ ด้วย เมื่อเปรียบเทียบกับมู่เฉินแล้ว เผ่าวิหคโลกันตร์เต็มไปด้วยมารยาในการปฏิบัติตัวกับมั่นถัวหลัว เพราะไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายผู้ยิ่งใหญ่ ด้วยพลังของนางไม่ต้องพูดถึงเผ่าวิหคโลกันตร์ นางสามารถเป็นแขกผู้ทรงเกียรติแม้กระทั่งในขั้วอำนาจทรงพลังของมหาพันภพได้เลยทีเดียว
ที่เบื้องหน้าเทียนฮวง มั่วเฟิงกับมั่วหลิงก็มาถึงแล้ว
ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน มู่เฉินและจิ่วโยวก็พลิ้วตัวลงข้างมั่วเฟิง ซึ่งชายคนนี้ก็ยังคงมีสีหน้าเย็นชา ท่าทางราวกับว่าทุกสรรพสิ่งคือความว่างเปล่า ส่วนมั่วหลิงที่อยู่ด้านข้างกลับคลี่รอยยิ้มที่อ่อนโยนและสดใสให้กับมู่เฉิน
เมื่อเทียนฮวงเห็นทั้งสี่มาพร้อมหน้ากันแล้ว เขาก็พยักหน้าเบาๆ ก่อนที่จะเงยหน้าจ้องมองไปที่ท้องฟ้า พูดเสียงเบาว่า “ดินแดนเสินโซ่กำลังจะปรากฏในไม่ช้า ข้าจะแหวกมิติพร้อมกับเหล่าผู้อาวุโส พวกเจ้าก็ใช้โอกาสนี้เข้าไปซะ”
เมื่อทั้งสี่ได้ยินก็พยักหน้ารับทราบ
เทียนฮวงหันไปมองมู่เฉินก่อนที่จะพูดว่า “ดินแดนเสินโซ่อยู่ในมิติเวิ้งว้างที่มีคลื่นผันผวนมิติวุ่นวายซับซ้อน หากถูกกวาดเข้าไปจะต้องตายแน่นอน เจ้าไม่เคยเข้าไปในดินแดนนี้ ดังนั้นจึงมีความเข้าใจน้อยมาก หลังจากที่เข้าไปต้องอยู่ใกล้กับจิ่วโยวไว้”
“รับทราบ” มู่เฉินพยักหน้า เขาผ่านสถานการณ์อันตรายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามากมาย เขาเข้าใจถึงภัยอันตรายที่มีอยู่ในดินแดนเสินโซ่ดี ดังนั้นเขาจึงไม่โง่ที่จะประมาทหรอก
เทียนฮวงไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ารอเวลาที่ดีที่สุดที่จะลงมือ
ในเวลานี้มั่นถัวหลัวก็เดินไปหามู่เฉินพลางยิ้มให้ “หลังจากที่เจ้าเข้าไปในดินแดนเสินโซ่แล้ว ข้าจะกลับไปที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ เมื่อเจ้าออกมาเผ่าวิหคโลกันตร์จะส่งเจ้ากลับไปยังภูมิภาคทางเหนือเอง”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางก็หยุดครู่หนึ่งก่อนพูดต่อ “ขณะที่เจ้าทำภารกิจนี้ ข้าก็จะลองใช้พีระมิดแสงดาวปราบปีศาจหาที่ตั้งของวังสวรรค์บรรพกาลเพื่อจะได้รับข้อมูลที่แม่นยำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เมื่อเจ้ากลับมา”
นางรู้ว่าเหตุผลที่มู่เฉินมาที่ภูมิภาคทางเหนือก็เพื่อหาวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะที่ซ่อนอยู่ในวังสวรรค์บรรพกาล ในเมื่อนางได้รับความช่วยเหลือจากมู่เฉินมากมายก็เป็นเรื่องธรรมดาที่นางจะต้องช่วยเหลือเขาเช่นกัน
“ขอบใจนะ”
ตามคาดเมื่อได้ยินคำพูดของนางแม้แต่มู่เฉินที่มีบุคลิกสุขุมก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้ ร่างมหาเทพนิรันดร์มีความสำคัญมากสำหรับเขา ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องได้รับวิธีวิวัฒนาการจากวังสวรรค์บรรพกาลมาให้จงได้
“ได้รับค่าตอบแทนก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีอยู่แล้ว” มั่นถัวหลัวแย้มยิ้มก่อนที่จะฉายท่าทางจริงจัง “แต่ข้าต้องเตือนก่อนว่าถ้าวังสวรรค์บรรพกาลปรากฏขึ้นจริง ทวีปเทียนหลัวจะต้องสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปหมดแน่ ในเวลานั้นไม่รู้ว่าจะดึงดูดขั้วอำนาจอื่นๆ มาเท่าไร การแข่งขันที่เกิดก็เป็นอะไรที่เกินจินตนาการของเจ้า”
“นอกจากนี้เจ้าไม่ใช่คนเดียวที่มีเป้าหมายรับวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะ…”
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดนี้ เขาก็หดดวงตาพลางจ้องมองมั่นถัวหลัวที่มีท่าทางเคร่งเครียดลงหลายส่วนและนึกถึงข้อมูลที่นางเคยบอกเขาไว้ในอดีต… ในโลกนี้เขาไม่ใช่คนเดียวที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะ
มีคนโชคดีอื่นๆ ที่ได้รับวิธีฝึกฝนร่างเทพสุริยะด้วยเช่นกัน พวกเขาจะต้องเป็นจอมยุทธ์ที่น่าทึ่งอย่างแน่นอน ในเวลาเดียวกันก็จะเป็นอุปสรรคใหญ่สำหรับมู่เฉินในการรับร่างมหาเทพนิรันดร์
เพราะไม่ว่าจะมีจอมยุทธ์กี่คนที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะ แต่จะมีเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์ไป
ความโหดร้ายของการแข่งขันนี้เกินจินตนาการของมู่เฉินอย่างแน่นอน นี่คือการอยู่รอดของผู้ที่เหนือกว่า ผู้ที่อ่อนแอจะกลายเป็นอาหารสำหรับผู้ที่แข็งแกร่ง… การได้รับร่างเทพสุริยะเป็นโอกาสยิ่งใหญ่สำหรับมู่เฉิน ขณะเดียวกันก็เป็นอันตรายใหญ่หลวงด้วย
“ด้วยพลังในปัจจุบันของเจ้าสามารถขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของจอมยุทธ์รุ่นใหม่ในภูมิภาคทางเหนือ แต่นี่ยังไม่เพียงพอ” มั่นถัวหลัวกล่าวอย่างจริงจัง
มู่เฉินพยักหน้าภูมิภาคทางเหนือเป็นเพียงดินแดนส่วนหนึ่งของทวีปเทียนหลัว ไม่ต้องพูดถึงที่อื่นเลยแม้แต่ในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของเผ่าวิหคโลกันตร์อย่างเดียว ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกของเขาก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรเป็นพิเศษ ดังนั้นเขาจึงเข้าใจดีว่านี่ยังไม่เพียงพอสำหรับตนเองที่จะลงชิงชัยเพื่อคว้าโอกาสในวังสวรรค์บรรพกาลด้วยพลังที่มี
“เหตุผลที่ข้าให้เจ้าไปยังดินแดนเสินโซ่ในครั้งนี้ก็เพื่อให้เจ้าคว้าโอกาสมา ไม่ว่าอย่างไรเจ้าต้องฝึกกายามังกรหงส์ไปถึงขั้นสองให้ได้” มั่นถัวหลัวเอ่ยขึ้น
“ข้ารู้”
มู่เฉินมองมั่นถัวหลัวที่มีท่าทางเคร่งเครียดก็พยักหน้าช้าๆ หากเขาสามารถบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดได้ในดินแดนเสินโซ่และไปถึงขั้นสองของวิชากายามังกรหงส์ เขาก็ไม่ต้องกลัวแม้ว่าเขาจะเผชิญกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปด ด้วยขุมพลังนี้ถือได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญของทวีปเทียนหลัวเลยทีเดียว
เขารู้ว่ามั่นถัวหลัวแค่อยากเตือนให้เขาอย่าลดระวัง แม้ว่าเขาจะไม่เคยพบคู่ต่อสู้ที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะ แต่เขาก็สามารถจินตนาการได้ว่าพวกเขาจะต้องเป็นอัจฉริยะแท้จริง มิฉะนั้นพวกเขาไม่สามารถเรียนรู้ร่างเทห์สวรรค์นี้ได้ถึงระดับนี้หรอก
เมื่อมั่นถัวหลัวเห็นท่าทางการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้พูดอะไรอีก หันหลังกลับออกไป
มู่เฉินมองภาพเงาของมั่นถัวหลัว ท่าทางก็เคร่งเครียดลง ตอนแรกเขาคิดว่าตราบใดที่สามารถหาวังสวรรค์บรรพกาลเจอ ก็จะสามารถได้รับวิธีวิวัฒนาการของร่างเทพสุริยะ แต่มั่นถัวหลัวปลุกเขาให้ตื่น ถ้าเขาไม่มีพลังมากพอ แม้ว่าเขาจะค้นพบวิธีการดังกล่าวก็จะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นแทน
“ดูเหมือนครั้งนี้ข้าจะต้องเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ให้มากที่สุดในดินแดนเสินโซ่ซะแล้ว” มู่เฉินกำมืออย่างช้าๆ แววตาคมปลาบขึ้น แม้ว่าแบบนี้จะทำให้การแข่งขันที่ต้องเผชิญโหดร้ายกว่าเดิม แต่เขาก็ต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อให้ได้มาซึ่งวิธีวิวัฒนาการของร่างเทพสุริยะ
ฮึ่ม!
ขณะที่มู่เฉินตั้งใจแน่วแน่ในหัวใจ ทันใดนั้นพายุก็ก่อตัวเป็นรูปร่างในฟ้าดิน เขาเงยหน้าขึ้นก่อนที่จะเห็นความผันผวนบนท้องฟ้า วงคลื่นกระจายออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อระลอกคลื่นปรากฏ ทิวทัศน์โบราณกว้างใหญ่ก็วูบไหวไปด้วยรัศมีที่อ้างว้างในอากาศ
“ตอนนี้ล่ะ!”
เมื่อเทียนฮวงที่รอคอยมานานเห็นอย่างนี้ก็ตะโกนบอกทันที ริ้วแสงมหาศาลพวยพุ่งออกมาจากศีรษะของเขา เห็นวิหคสีแดงขนาดใหญ่เลือนรางในริ้วแสง เปลวเพลิงเชี่ยวกรากที่สามารถเผาผลาญสวรรค์และโลกกวาดออกมา
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ในช่วงเวลานั้นที่เทียนฮวงออกกระบวนท่า เหล่าผู้อาวุโสก็ออกกระบวนท่าตามทันที ทันใดนั้นแสงก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า กระแทกเข้ากับมิติส่วนหนึ่ง
พร้อมกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนจำนวนมากเคลื่อนไหว มิติก็ถูกแหวกออกอย่างช้าๆ สามารถมองเห็นความมืดมิดภายใน รัศมีรกร้างว่างเปล่าโบราณกวาดออกมา
เมื่อรัศมีกระจายออกก็เหมือนจะได้ยินเสียงสัตว์อสูรนับไม่ถ้วนดังสะท้อนมาจากสมัยโบราณ
“ไป!”
เส้นเลือดบนแขนของเทียนฮวงเต้นยุบยับ ทันใดนั้นเขาก็กวาดสายตามองทั้งสี่แล้วตะโกนบอก
มั่วเฟิงจับมือมั่วหลิงแน่นพุ่งเข้าไป ขณะที่จิ่วโยวก็คว้าแขนมู่เฉิน กลายเป็นลำแสงทะยานสูงไปบนท้องฟ้า ก่อนที่จะพุ่งเข้าไปในมิติเหลื่อมซ้อนโดยไม่ลังเล
ปัง!
จังหวะที่ทั้งสี่เข้าไปในรอยแตกของมิติ คลื่นผันผวนมิติก็พุ่งออกจากรอยแตกร้าว ซึ่งทำให้ริ้วแสงที่ก่อตัวจากจอมยุทธ์ตี้จื้อจุนพังทลายลง
“ช่างเป็นคลื่นผันผวนมิติที่น่ากลัวมาก”
เทียนฮวงแหละเหล่าผู้อาวุโสหยุดกระบวนท่า พกวเขามองมิติที่หายไปอย่างรวดเร็วก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ขนาดพวกเขาลงมือพร้อมกันหลายคน ยังทำได้เพียงฉีกมิติไปเวลาสั้นๆ เท่านั้น
พวกเทียนฮวงเงยหน้าขึ้นมองทิศทางที่ทั้งสี่หายไปก็ถอนหายใจ ในสถานที่ที่มีการแข่งขันหฤโหด ไม่รู้ว่าเผ่าวิหคโลกันตร์จะได้รับโอกาสบ้างหรือไม่ เพราะในอดีตพวกเขามักกลับมามือเปล่าหรือพ่ายแพ้อย่างน่าสังเวช
“ต่อไปได้แต่รอและหวังว่าพวกเขาจะกลับมาอย่างปลอดภัย”