หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 983 ก้าวหน้าทางพลังกาย
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 983 ก้าวหน้าทางพลังกาย
ตู้ม!
เมื่อเส้นเปลือกตาเล็กๆ ของมังกรและหงส์ฟ้าเปิดขึ้น ทั้งสามคนที่นั่งรอบด้านมู่เฉินก็ได้ยินเสียงคำรามของเทพอสูรทั้งสองดังกึกก้อง จังหวะนั้นรูม่านตาของพวกเขาก็ขยายขึ้น เนื่องจากพวกเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่น่าสะพรึงของการตื่นพวยพุ่งออกจากร่างของมู่เฉิน
นี่คือแรงกดดันจากมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง
ทว่าพลังนี้กลับดูไร้ขีดจำกัดและยิ่งใหญ่กว่าที่เป็นมา
มั่วเฟิงและมั่วหลิงสัมผัสได้ชัดเจนมากที่สุด เนื่องจากพวกเขามีสายเลือดเผ่าหงส์ฟ้า หงส์ฟ้าแท้จริงถือเป็นจักรพรรดิของเผ่าหงส์ฟ้า
ดังนั้นเมื่อแรงกดดันหงส์ฟ้าแท้จริงตื่นขึ้นในร่างกายของมู่เฉิน ร่างของพวกเขาก็อดสั่นไหวไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นยังทำให้พวกเขาเข้าใจผิดคิดไปว่ามู่เฉินที่นั่งเบื้องหน้าไม่ได้เป็นมนุษย์ แต่เป็นผู้เหนือกว่าของเผ่าหงส์ฟ้าซึ่งทำให้พวกเขาเกิดความเคารพนับถือ
“ทำไมเขาถึงมีแรงกดดันหงส์ฟ้าแท้จริงที่ทรงพลังเช่นนี้?” ความเฉยเมยบนใบหน้ามั่วเฟิงหายไปหมดสิ้นขณะมองมู่เฉินที่กำลังปิดตาอยู่ด้วยความไม่อยากจะเชื่อ แม้กระทั่งในเผ่าหงส์ฟ้าแรงกดดันจากหงส์ฟ้าแท้จริงก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ สามารถครอบครองได้ แต่ตอนนี้กลับปรากฏบนตัวมู่เฉิน
จิ่วโยวหายใจเข้าลึกสุดปอดพร้อมกับอาการตกตะลึงพล่านในดวงตา นางรู้ว่ามู่เฉินฝึกฝนคัมภีร์หลงเฟิ่ง ทว่าแม้แรงกดดันหงส์ฟ้าแท้จริงในอดีตของมู่เฉินจะน่าประหลาดใจ แต่แรงกดดันนั้นบางจางเกินไป นอกจากจะทำให้ผู้อื่นตกใจแล้วก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมาก
แต่ตอนนี้แรงกดดันหงส์ฟ้าแท้จริงที่ปะทุออกมาจากร่างมู่เฉินแข็งแกร่งขึ้นมาก จนถึงจุดที่แม้แต่พวกนางที่ครอบครองสายเลือดหงส์ฟ้ายังรู้สึกหวาดกลัว เมื่อเผชิญหน้ากับแรงกดดันนี้ แม้แต่พลังของพวกนางก็จะถูกระงับลง
แรงกดดันนี้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เว้นแต่จะมีพลังที่สมบูรณ์พอที่จะต้านทานแรงกดดันประเภทนี้ นั่นเป็นเพราะแรงกดดันนี้เกิดจากสายเลือดและความสูงส่งของหงส์ฟ้าแท้จริง
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังตกตะลึง ลวดลายมังกรและหงส์ฟ้าก็ปะทุขึ้นพร้อมกับแสงสีทองพร่างพราวบนร่างกายมู่เฉิน แรงดูดน่าขนพองสยองเกล้าก็ระเบิดออก
แรงดูดนี้ไม่ได้มีผลกับพวกจิ่วโยว แต่เล็งไปที่ตัวอ่อนโคลนโลหิตที่ลอยอยู่ตรงกลาง ดังนั้นมันจึงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง กระแสธารสีแดงเข้มสองสายพุ่งออกมาทันที
กระแสธารสีแดงเข้มมีขนาดประมาณสิบจั้งบรรจุด้วยรัศมีโลหิตขนาดใหญ่ จากนั้นก็ถูกกลืนกินเข้าไปโดยลวดลายมังกรและหงส์ฟ้า
เมื่อเฝ้ามองฉากนี้ ทั้งสามคนก็อึ้งไปเล็กน้อยพลางจ้องมองไปที่มู่เฉิน ก่อนหน้าพวกเขาใช้เวลาไปตั้งนานกว่าจะดูดซับเส้นใยสายหนึ่งรัศมีจากตัวอ่อน แต่ตอนนี้ลวดลายมังกรและหงส์ฟ้าบนร่างของมู่เฉินราวกับวาฬอย่างไรอย่างนั้น
ความเร็วในการดูดทำให้พวกเขารู้สึกอิจฉา
“เราก็รีบดูดกันเถอะ!” เมื่อมั่วหลิงเห็นหลังจากวาฬกลืนกินคลื่นรัศมีโลหิตไปรอบหนึ่ง แล้วมีแววที่แรงดูดจะระเบิดขึ้นอีกครั้ง นางก็รีบพูดขึ้นมา
แม้ว่าตัวอ่อนจะมีรัศมีโลหิตขนาดมหึมา แต่ไม่ว่าจะมีขนาดใหญ่แค่ไหนก็ไม่สามารถต้านทานแรงดูดตะกละตะกลามของลวดลายมังกรและหงส์ฟ้าที่เหมือนวาฬสูบน้ำได้ ดังนั้นหากพวกเขายังไม่รีบดูดซับเส้นใยหมอกที่เหลือละก็ จะไม่มีอะไรเหลือให้พวกเขาอีกแล้ว
เมื่อจิ่วโยวและมั่วเฟิงได้ยินคำพูดของนาง พวกเขาก็พยักหน้าและไม่พูดอะไรอีกต่อไป จากนั้นก็ตั้งสมาธิกลั่นกรองรัศมีโลหิตจากตัวอ่อนแล้วรีบดูดเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ขณะที่พวกเขากลั่นคลื่นพลัง ลวดลายมังกรและหงส์ฟ้าบนร่างของมู่เฉินก็ระเบิดออกด้วยแรงดูดที่น่ากลัวตามที่คาดไว้อีกครั้ง ทำให้ลำแสงสีแดงสองสายพุ่งออกมาจากตัวอ่อนทันที
เมื่อทั้งสามเห็นลำแสงสีแดงสองสายซึ่งมีขนาดประมาณสิบจั้ง แล้วมองเส้นใยเล็กจิ๋วที่ตนเองดูดซับ มุมปากของพวกเขากระตุกอย่างช่วยไม่ได้…
แต่พวกเขารู้ว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น
ในหนึ่งชั่วโมงต่อมา ลวดลายมังกรและหงส์ฟ้าบนร่างมู่เฉินก็กลืนกินตลอดเวลา ขณะที่ลำแสงที่มีรัศมีโลหิตทรงพลังหลั่งไหลออกมาอย่างไม่สิ้นสุด
ภายใต้พลังที่เทลงไปมหาศาล ลวดลายมังกรและหงส์ฟ้าที่แต่เดิมมีสีม่วงทองก็ค่อยๆ มีสีแดงผสมผสาน นอกจากนี้ลวดลายมังกรแท้จริงดูเหมือนจะใหญ่ขึ้นอีกหนึ่งส่วน ร่างบิดเกลียวด้วยฤทธิ์เดช เกล็ดก็ดูเหมือนจะสร้างมาจากหินอเมทิสต์และทองคำที่แกร่งจนไม่สามารถทำลายได้
ลวดลายหงส์ฟ้าก็ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ปีกที่แนบลำตัวก็สยายออกเล็กน้อย
ทว่าดวงตาของเทพอสูรทั้งสองไม่ได้เปิดขึ้นต่อไปเหลือเพียงรอยเผยอเล็กๆ แต่ถึงกระนั้นแรงกดดันที่เล็ดลอดออกมาก็ทำให้จิ่วโยว มั่วเฟิงและมั่วหลิงตกตะลึงในใจ
ยามนี้ถ้ามู่เฉินต้องการแสร้งเป็นสมาชิกจากเผ่ามังกรหรือหงส์ฟ้า นอกจากไม่สามารถแสดงรูปลักษณ์ของเทพอสูรแล้ว คงข่มขวัญผู้คนได้ไม่น้อยเลย
เปรียะ
ขณะนี้เองตัวอ่อนที่ลอยอยู่ระหว่างพวกเขาก็แสดงสัญญาณความอ่อนเพลียทีละน้อย…ละน้อย หลังจากถูกดูดซึมมานาน รอยแตกก็เริ่มปรากฏบนพื้นผิวของตัวอ่อน
ทั้งสามมองไปที่รอยแตกก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ โดยปกติแล้วตัวอ่อนนี้เพียงพอสำหรับพวกเขาในการดูดซับหลายวัน แต่เนื่องจากมีมู่เฉินสิ่งนี้จึงหมดไปหลังจากนั้นผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้นเอง
มิหนำซ้ำประมาณเก้าส่วนของรัศมีโลหิตที่มีอยู่ในตัวอ่อนก็ถูกมู่เฉินดูดซับอยู่คนเดียว
คราวนี้มู่เฉินได้ประโยชน์มากที่สุดอย่างชัดเจน
จิ่วโยวส่งสายตาลุแก่โทษต่อมั่วเฟิงและมั่วหลิง เพราะนี่เป็นข้อเสนอแนะของนางสำหรับวิธีการแบ่งปันและตัดสินจากสถานการณ์ปัจจุบันพี่น้องมั่วประสบความสูญเสียครั้งใหญ่เลย
เผชิญหน้ากับคำขอโทษ มั่วเฟิงก็ส่ายหัว แม้ว่าตัวอ่อนมีค่ามากแต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้รับในดินแดนเสินโซ่อีก นอกจากนี้วิธีการแบ่งปันก็ได้รับความเห็นชอบจากทุกคน มู่เฉินเองก็คงไม่รู้ว่าจะได้รับประโยชน์ใหญ่หลวงจากมัน
แคร็ก! แคร็ก!
จำนวนรอยร้าวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บนตัวอ่อน สุดท้ายทั้งสามก็ต้องหยุดการดูดซับ ปล่อยให้มู่เฉินสกัดเอารัศมีโลหิตในช่วงสุดท้ายไปจนหมด
เมื่อลำแสงสุดท้ายพุ่งออกมา ตัวอ่อนซึ่งแต่เดิมเป็นประกายระยิบระยับก็พร่ามัว ทันใดนั้นความแวววาวก็สลายหายไปกลายเป็นเถ้าถ่านร่วงหล่นลงมา
รัศมีโลหิตที่อยู่ในตัวอ่อนหมดลงอย่างสิ้นเชิง
เมื่อตัวอ่อนหายตัวไป ลวดลายมังกรและหงส์ฟ้าบนร่างมู่เฉินก็เหมือนจะสัมผัสได้ ความแวววาวค่อยๆ ลดระดับลง พวกมันกลับไปสถิตยังที่เดิมบนร่างกาย
ดวงตาของมู่เฉินก็เปิดขึ้นทันทีในเวลานี้
ม่านตาสีดำยังดิ่งลึก แต่ทันทีที่เขาลืมตาก็ราวกับมีมังกรและหงส์ฟ้าวูบไหวอยู่ในดวงตา แรงกดดันที่น่าอัศจรรย์ใจกวาดออกมาทันที
ภายใต้แรงกดดันดังกล่าว จิ่วโยว มั่วเฟิงและมั่วหลิงหมุนเวียนคลื่นหลิงเร็วรี่ เนื่องจากแรงกดดันดังกล่าวทำให้การไหลเวียนของคลื่นพลังงานในร่างกายของพวกเขาช้าลง
แต่โชคดีที่แรงกดดันมาเร็วไปเร็ว ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจก็จางหายไปอย่างสมบูรณ์ ม่านตาของมู่เฉินก็กลับมาเป็นปกติ
เขาก้มหน้าลงมองลวดลายมังกรบนหน้าอก ดวงตาก็กะพริบวูบวาบ แม้ว่าจะดูเหมือนไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายกับลวดลายมังกรและหงส์ฟ้า แต่มู่เฉินรู้ดีว่าเขามีความก้าวหน้าครั้งใหญ่ในคัมภีร์หลงเฟิ่ง
แม้เขาจะยังมีระยะห่างจากขั้นสองอยู่บ้าง แต่มู่เฉินก็รู้สึกถึงโอกาสและความหวังที่จะฝ่าฟัน
มู่เฉินค่อยๆ กำหมัดแน่น เขารู้สึกได้ว่าพลังกายของตนแข็งแกร่งขึ้นจากการเพาะบ่มครั้งนี้ โดยเฉพาะลวดลายมังกรและหงส์ฟ้า ดูเหมือนพวกมันจะมีพลังพิเศษอย่างคลุมเครือบ้างแล้ว
โดยรวมแล้วการเพาะบ่มครั้งนี้ ทำให้ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นมาก
อะแฮ่ม
ขณะที่มู่เฉินจมจ่อมอยู่กับการเพิ่มขึ้นของความแข็งแกร่งตนเอง เสียงกระแอมไออย่างอ่อนโยนก็สะท้อนที่เบื้องหน้าเขา เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นทั้งสามจ้องมองมา
เมื่อมู่เฉินเห็นสายตานี้ ความเก้อเขินก็ฉายขึ้นบนใบหน้า แม้ว่าเขาจะอยู่ในช่วงเวลาการเพาะบ่ม เขาก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
สายตาเขาเหลือบมองกองเถ้าถ่านกระจายบนพื้น นี่คือซากของตัวอ่อนโคลนโลหิตที่รัศมีโลหิตภายในถูกดูดจนแห้งสนิท
“ขอโทษด้วย ข้าไม่คิดว่าพวกมันจะเอาแต่ใจขนาดนี้…” มู่เฉินขอโทษ ในเมื่อทุกคนมีส่วนร่วมในตัวอ่อนโคลนโลหิต แต่เขากลับดูดซับอย่างครอบงำซึ่งไม่ยุติธรรมสำหรับทั้งสามคน แม้ว่าเขากับจิ่วโยวจะไม่สนใจเรื่องหยุมหยิมแบบนี้ แต่เขาก็ไม่ได้มีความสนิทสนมกับมั่วเฟิงและมั่วหลิงมาก
“ถ้าสามารถหาสมบัติอื่นๆ ในดินแดนเสินโซ่ได้ ข้าจะชดใช้ให้พวกเจ้านะ”
เมื่อมั่วเฟิงและมั่วหลิงเห็นสีหน้าลุแก่โทษบนใบหน้าของมู่เฉิน คนเป็นพี่ก็ไม่พูดต่อ เพียงแค่จ้องมองลวดลายมังกรและหงส์ฟ้าบนร่างของมู่เฉิน ขณะที่หญิงสาวจือริมฝีปาก “ก็ได้ ครั้งนี้ถือว่าให้ผ่านไปก่อน เราไม่เอาเรื่องกับวาฬตะกละหรอก”
มู่เฉินยิ้มแห้งๆ ขณะที่หยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวมปกปิดร่างกาย สกัดกั้นการจ้องมองของมั่วเฟิงไปในตัว
มั่วเฟิงถอนสายตาที่จับจ้องมู่เฉิน เขามองอีกฝ่ายด้วยความคิดลึกซึ้งมากกว่าเดิม ตอนแรกเขาไม่ได้สนใจกับการเข้าร่วมกลุ่มของมู่เฉิน นั่นเป็นเพราะในมุมมองของเขาแม้ว่ามู่เฉินจะสามารถเอาชนะทั้งเจียงย่าและฉิงเฉวียนได้ แต่ก็ไม่ได้มีความหมายอะไร ทั้งสองคนนั้นไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลย แต่หลังจากเรื่องเมื่อครู่ เขารู้ว่ามู่เฉินต้องซ่อนอะไรเอาไว้อีกไม่น้อย ดังนั้นหากเขายังคงมองอย่างดูถูกอีกฝ่าย นั่นหมายความว่าตัวเขาเป็นคนโง่เอง
บางทีการเข้าร่วมกลุ่มของชายคนนี้ อาจทำให้พวกเขาได้รับผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิดในการเดินทางไปยังดินแดนเสินโซ่ก็ได้
“เรากำลังจะถึงดินแดนเสินโซ่แล้ว!”
ขณะที่ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในใจมั่วเฟิง เสียงของจิ่วโยวก็ดังขึ้น
หัวใจคนที่เหลือสั่นสะเทือน ก่อนที่พวกเขาจะเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าในที่สุดวงแหวนอุกกาบาตก็มาถึงจุดสิ้นสุด ที่ปลายสุดนี้ก็คือทวีปโบราณที่ล่องลอยอยู่ในมิติ
ดินแดนแห่งนี้เต็มไปด้วยรัศมีรกร้าง แม้ว่าจะยังอยู่ห่างไกล แต่พวกเขาก็ตกใจจนลมหายใจถึงกับแข็งทื่อ
เสียงคำรามของสัตว์อสูรโบราณทรงอำนาจนับไม่ถ้วนเหมือนจะดังก้องผ่านช่วงเวลาดึกดำบรรพ์ออกมา
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงดินแดนเสินโซ่