หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 988 ตราประทับคิริเทวโลก
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 988 ตราประทับคิริเทวโลก
บนท้องฟ้าเหนือแท่นรับ
จงเถิงยืนเอามือไพล่หลัง สายตาราบเรียบมองไปที่จิ่วโยวที่ทั้งร่างห่อหุ้มด้วยเพลิงสีม่วงเชี่ยวกรากที่เบื้องหน้าเขา ก่อนที่จะเหลือบมองมู่เฉินที่ยืนบนแท่นรับโดยไม่คิดจะขยับเขยื้อนไปไหน จากนั้นก็พูดเสียงเบาว่า “เผ่าวิหคโลกันตร์หิวโหยน่าดู แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม เพราะตั้งใจจะรับทั้งสองที่ไปเรอะ”
จิ่วโยวจ้องมองมาอย่างเย็นชาพูดว่า “แล้วไง?”
แสงสีทองวาบในดวงตาของจงเถิงก่อนสายตาจะเปลี่ยนเป็นเฉียบคมขึ้น ขณะที่จ้องมองรัศมีใบมีดคมกริบก็แผ่ออกมาราวกับต้องการเสือกแทงผู้คนอื่นให้พ้นทาง “รนหาที่ตาย โง่เง่านัก”
พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อ “แท่นรับนี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสองคนจะครองได้ ถ้าไปตอนนี้ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าไปแต่โดยดี ไม่งั้นถ้าลงมือบางทีเจ้าอาจจะเอาชีวิตตัวเองรอดได้ แต่มนุษย์คนนั้นคงจะกลายเป็นก้อนเต้าหู้เลือดแล้ว”
“ขี้โม้ หน้าไม่อาย”
ทว่าสำหรับคำพูดของจงเถิง จิ่วโยวตอบกลับด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย แม้ว่าจงเถิงจะปลุกสายเลือดกระเรียนปีกทองคำจนเกิดวิวัฒนาการ แต่ก็น่าหัวเราะถ้าเขาคิดว่านางไม่มีไพ่ลับในแขนเสื้อเลย
“งั้นเหรอ?”
เมื่อจงเถิงได้ยินคำตอบนั่น สายตาก็คมชัดขึ้นทันที เขาไม่ได้พูดอะไรอีก ก้าวเท้าออกไป ทันใดนั้นคลื่นหลิงสีทองครอบงำก็ก่อตัวขึ้นเป็นกระเรียนตัวมหึมาอยู่ที่ข้างหลัง กระเรียนวูบไหวไปด้วยริ้วแสงสีทอง รัศมีทรงพลังกำจายออกมาจากเขาอย่างแผ่วเบา
เมื่อจงเถิงออกกระบวนท่าก็เร้าร่างเทพอสูรออกมาทันที รัศมีครอบงำส่งผลให้เหล่าจอมยุทธ์ในบริเวณนี้มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้สึกถึงแรงกดดันจากร่างเทพอสูรของจงเถิงที่มีต้นกำเนิดมาจากมหาเทพอสูรกระเรียนปีกทองคำ แม้ว่าจงเถิงยังห่างจากการพัฒนาไปสู่การเป็นกระเรียนปีกทองคำ แต่เขาก็เริ่มมีพลังบางอย่างของมหาเทพอสูรนี้แล้ว
“ข้าได้ยินมานานแล้วว่าเจ้ามีสายเลือดบริสุทธิ์ของวิหคอมตะที่สมบูรณ์แบบที่สุด วันนี้ข้าขอดูสิว่าสายเลือดวิหคอมตะกับสายเลือดกระเรียนปีกทองคำของข้า สายเลือดไหนจะทรงพลังมากกว่ากัน”
จงเถิงมองจิ่วโยวด้วยแววตาคมกริบ จากนั้นก็กำมือขนนกสีทองผุดขึ้นมา ขนสีทองพลุ่งพล่านด้วยแสงสีทอง ก่อนที่จะก่อร่างเป็นง้าวทองคำ
จิ่วโยวมองไปที่จงเถิงที่เรียกร่างเทพอสูรออกมา ริ้วความเคร่งเครียดก็วาบผ่านนัยน์ตาของนางไป แม้ว่าจงเถิงจะเป็นคนที่น่ารังเกียจ แต่ความแข็งแกร่งที่เขาครอบครองนั้นก็น่ากลัวอย่างแท้จริง ซึ่งนางจะต้องเผชิญด้วยพลังทั้งหมดที่มี
จิ่วโยวกำมือ กระบี่ยาวขนนกสีดำที่มาพร้อมกับเพลิงสีม่วงก็ปรากฏขึ้นในมือ จากนั้นวิหคอนธโลกันตร์ตัวมหึมาก็ปรากฏขึ้นที่เบื้องหลัง ขณะที่เพลิงสีม่วงแผ่ซ่านออกไปขับไล่แรงกดดันที่เกิดจากจงเถิง
ทั้งสองยืนประจันหน้าอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับรัศมีที่น่าตกใจ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตปะทะกันเปรี้ยงปร้าง ทำให้เกิดการบิดเบือนบนท้องฟ้า
เหล่าจอมยุทธ์ถูกดึงดูดความสนใจมาที่การประจันหน้านี้ ริ้วแสงประหลาดวาบขึ้นในดวงตาของพวกเขา จิ่วโยวและจงเถิงต่างเป็นอัจฉริยะในเผ่าพันธุ์ของตน ดังนั้นพวกเขาเดาไม่ได้เลยว่าผู้ชนะในการต่อสู้ครั้งนี้จะเป็นจิ่วโยวผู้ปลุกสายเลือดของวิหคอมตะหรือจงเถิงผู้ปลุกสายเลือดกระเรียนปีกทองคำกันแน่
ด้านนอกสมรภูมิสมาชิกจากเผ่ากระเรียนฟ้าก็มองไปที่การเผชิญหน้าระหว่างจงเถิงและจิ่วโยว ก่อนที่จะมีคนพยักหน้าพลางพูดขึ้นว่า “จิ่วโยวคู่ควรกับการเป็นผู้ที่มีสายเลือดสมบูรณ์แบบที่สุดของเผ่าวิหคโลกันตร์ในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา แม้แต่พี่ใหญ่จงเถิงก็ไม่สามารถทำอะไรกับนางได้”
หลิ่วชิงยิ้มเย็นก่อนจะมองไปที่แท่นรับ “พี่ใหญ่จงเถิงไม่คิดจะเอาชนะจิ่วโยวหรอก เขาแค่ต้องการรั้งนางไว้ เพื่อให้พี่จงฮั้วจัดการกับไอ้มนุษย์นั่น ชายคนนั้นกับจิ่วโยวสร้างพันธะโลหิตต่อกัน ตราบใดที่มนุษย์คนนั้นตาย จิ่วโยวก็จะได้รับบาดเจ็บหนัก เมื่อถึงเวลานั้นพี่ใหญ่จงเถิงไม่ต้องลงมือ จิ่วโยวก็ไม่อาจหนีความตายได้พ้น”
ขณะที่พูดมุมปากก็ยกโค้งเกรี้ยวกราดขึ้น ถ้ากลุ่มของจิ่วโยวเลือกแท่นรับเพียงหนึ่งเดียวด้วยพละกำลังทั้งหมด บางทีอาจจะสามารถรักษาเอาไว้ได้ แต่ในเมื่อพวกเขาโง่เง่าแบ่งกลุ่มออกไป ก็เหลือแค่รอความตายเท่านั้น
ในมุมมองของนาง พวกจิ่วโยวแพ้ในการเผชิญหน้าครั้งนี้แน่
ตู้ม!
สายตาทุกคู่มารวมกันอยู่ที่จงเถิงและจิ่วโยวที่กำลังระเบิดศึกกัน แสงสีทองคมชัดอัดแน่นไปทั่วฟ้าดินพร้อมกับเพลิงสีม่วงโหมกระหน่ำรุนแรง
ร่างเงาทั้งสองพุ่งออก เมื่อง้าวกับกระบี่ปะทะกัน คลื่นกระแทกรุนแรงก็ระเบิดออก ทำให้มิติแห่งนี้เกิดรอยร้าวสีดำเลยทีเดียว
จงเถิงและจิ่วโยวต่างเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด มิหนำซ้ำทั้งคู่ยังเป็นเทพอสูรที่ทรงพลัง ดังนั้นศึกระหว่างพวกเขาจึงรุนแรงอย่างยิ่ง ทว่าเนื่องจากความแข็งแกร่งของทั้งสองคนเท่าเทียมกัน ดังนั้นทุกคนรู้ว่ายากที่ผู้ชนะจะปรากฏในการต่อสู้ครั้งนี้ เว้นแต่ทั้งสองฝ่ายจะเทหมดหน้าตัก…
แต่เห็นได้ชัดว่าจงเถิงไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น เป้าหมายของเขาเพียงเพื่อรั้งจิ่วโยว แต่สิ่งที่ทำให้คนอื่นตกใจก็คือตัวจิ่วโยวเองก็รู้เรื่องนี้อย่างชัดเจน แต่นางก็ไม่คิดจะทำลายสถานการณ์นี้ปล่อยให้ทุกอย่างไหลต่อไป
ขณะที่สถานการณ์ระหว่างทั้งสองดำเนินต่อไป จงฮั้วที่สวมชุดสีแดงก็พลิ้วลงมาบนแท่นรับภายใต้การจ้องมองนับไม่ถ้วน ก่อนที่เขาจะกอดอกมองมู่เฉินที่หลับตาไม่ได้เคลื่อนไหวด้วยสีหน้าครึ้งบึ้งครึ่งยิ้ม
“ถ้าเจ้าไสหัวไปเอง ข้าไว้ชีวิตเจ้าได้ แต่ขอแขนไว้ข้างหนึ่งนะ” จงฮั้วมองไปที่มู่เฉิน
แต่แม้จะมีคำพูดอะไรเช่นนี้ มู่เฉินก็ไม่ขยับตัว ดวงตาปิดลงราวกับว่ากำลังนั่งสมาธิ
เมื่อจงฮั้วเห็นภาพนี้ ไม่เพียงแต่จะไม่โกรธ เขายังยิ้มพึมพำกับตัวเองเบาๆ ว่า “ช่างเป็นไอ้หนูที่เรียกร้องความตายจริงๆ…”
ปัง
เมื่อพูดจบสายตาก็เย็นเยือกลงทันที เขากระทืบฝ่าเท้าส่งแรงลงไปร่างพุ่งออกมาพร้อมกับหอกยาวสีแดงปรากฏในมือ ริ้วแสงสีแดงพล่านออกมาจากหอกราวกับเป็นกระเรียนล่ามังกรเลยทีเดียว ช่างโอ่อ่าและใหญ่โตเมื่อซัดลงไปที่กึ่งกลางคิ้วของมู่เฉินประหนึ่งสายฟ้าฟาด
“คัมภีร์เทียนเผิง หอกเพลิงกระเรียนมังกร!”
จงฮั้วโจมตีอย่างไร้ความปราณีโดยไม่มีการผ่อนปรนเมื่อปล่อยกระบวนท่า แรงกดดันคลื่นหลิงทรงพลังโอบล้อม แสดงความแข็งแกร่งของเขาอย่างเต็มที่ในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด
เมื่อหลิ่วชิงเห็นฉากนี้ ดวงตาก็วาวโรจน์ขึ้นมาทันที กระบวนท่าของจงฮั้วเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดยังต้องเผชิญหน้าอย่างเคร่งเครียด แต่มู่เฉินกลับไม่ได้เคลื่อนไหวเมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีเช่นนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะยอมแพ้และกำลังรอความตายแล้ว
แต่ขณะที่หลิ่วชิงพร้อมจะรอดูฉากจบชีวิตของมู่เฉิน อีกฝ่ายก็เหยียดปลายนิ้วออกสะบัดลงอย่างนุ่มนวล
ค่ายกลระฆังทองไร้พ่าย!
ฮึ่ม!
ทันใดนั้นแสงแรงกล้าก็พวยพุ่งออกมาจากพื้นดินใต้ฝ่าเท้าเขา ลำแสงนับไม่ถ้วนถักทอกันกลายเป็นระฆังทองคำขนาดมหึมาครอบรอบร่างมู่เฉิน พื้นผิวของระฆังไหลเวียนด้วยแสงแปลกประหลาด ทำให้ดูราวกับว่าไม่ถูกทำลายลงง่ายดาย
“ค่ายกล?! แกเป็นหลิงเจิ้นซือเรอะ?”
การปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันของระฆังยักษ์ ทำเอาจงฮั้วตกใจไป แววตาเย็นเยือกลงหลายส่วน “นี่เป็นเพียงค่ายกลระดับตี้เท่านั้น นี่คือไพ่ตายในแขนเสื้อของเจ้ารึ? แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถสกัดข้าได้!”
พูดจบการโจมตีก็ยิ่งรุนแรงขึ้น เสียงน่าอัศจรรย์ดังก้องออกมาจากหอกยาวสีแดง จากนั้นตัวอาวุธก็พุ่งทะลุกระแทกอย่างแรงบนระฆังยักษ์
เคร้ง!
เสียงน่าอัศจรรย์ชัดเจนก้องดัง ระลอกคลื่นรุนแรงสามารถมองเห็นได้บนพื้นผิวของระฆังทอง ก่อนที่จะกระจายออกไปเป็นวง ครอบคลุมทั่วทั้งระฆังอย่างรวดเร็ว
แคร็ก!
แม้ว่าความสามารถในการป้องกันของระฆังทองจะทรงพลัง แต่ก็ไม่สามารถรับการโจมตีรุนแรงของจงฮั้วได้ รอยร้าวกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
จงฮั้วมองระฆังทองที่ใกล้จะป่นปี้ลง เสียงเย้ยหยันเย็นเยือกก็ผุดขึ้นมาที่มุมปาก ที่แท้เหตุผลที่มู่เฉินไม่เคลื่อนไหวก็คือเขากำลังแอบสร้างค่ายกล มู่เฉินมีไหวพริบดี แต่ก็ไร้เดียงสาไปหน่อย แม้ว่าค่ายกลอาจทำให้ศัตรูไม่ทันตั้งตัว แต่ก็ไร้ประโยชน์นักเมื่อเผชิญกับความแข็งแกร่ง
เมื่อระฆังแตก มู่เฉินก็จะตายภายใต้คมหอกของเขาอย่างแน่นอน!
เหนือแท่นรับจงเถิงควงง้าวตรงหน้า ปิดกั้นเพลงกระบี่ของจิ่วโยว เขายิ้มบาง “ดูเหมือนว่าเจ้าจะแพ้ในครั้งนี้”
ชัดว่าเขาเห็นมู่เฉินเข้าตาจนแล้ว เมื่อไรที่มู่เฉินแพ้ จิ่วโยวก็จะได้รับบาดเจ็บไปด้วยเช่นกัน
แต่เผชิญหน้ากับคำพูดนี้ สายตาของจิ่วโยวก็ยังสงบนิ่ง ไม่เพียงแต่นางไม่ตื่นตระหนก มุมปากยังยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน
“จริงเหรอ?”
เมื่อจงเถิงได้ยินคำพูดของนาง ดวงตาก็หดเกร็งลง จิ่วโยวที่ยังรักษาความสงบไว้ได้ในตอนนี้ทำให้เขารู้สึกถึงความผิดปกติจนได้…
บึ้ม!
แต่ในขณะนั้นระฆังทองที่ห่อหุ้มรอบร่างมู่เฉินก็ไม่สามารถทานทนต่อการโจมตีที่น่ากลัวของจงฮั้วได้ แตกออกเป็นเสี่ยงๆ
คลื่นหลิงระเบิดตูมตาม ร่างของมู่เฉินเผยขึ้นที่เบื้องหน้าจงฮั้วโดยไม่มีการป้องกันใดๆ
“ลงนรกไปซะ”
แววเยาะเย้ยโค้งขึ้นที่มุมปากของจงฮั้ว หอกสีแดงเพลิงโชติช่วงพุ่งตรงเข้าไปที่ลำคอของมู่เฉิน ภายใต้การจ้องเขม็งของหลิ่วชิง
แสงหอกพุ่งเข้ามา ในที่สุดดวงตาที่ปิดสนิทของมู่เฉินก็เปิดขึ้นอย่างกะทันหัน
ไอเย็นเยือกไม่รู้จบวูบไหวในดวงตา ทำให้ความหนาวสะท้านจิตเกิดขึ้นในใจของจงฮั้ว ความรู้สึกไม่สบายใจหลั่งไหลออกมา
มู่เฉินมองเขาอย่างไม่แยแส จากนั้นก็สะบัดนิ้ว แสงหลิงระเบิดไปทุกทิศทางจากพื้นดินก่อนที่จะรวมตัวกันเหนือศีรษะของมู่เฉิน พริบตาก็กลายเป็นตราประทับศักดิ์สิทธิ์ขนาดหนึ่งจั้งภายใต้สายตาตื่นตกใจของผู้คน ตราประทับนี้ราวกับภูเขาที่หนักจนพรรณนาไม่ได้ กระทั่งมิติก็ไม่สามารถทนแบกไว้ ก่อนที่รอยร้าวจะปรากฏขึ้น
“ค่ายกลระดับเทียน!”
จอมยุทธ์หลายคนสูดหายใจเย็นเยือกเข้าปอด ค่ายกลทรงพลังเช่นนี้แน่นอนว่าเป็นระดับเทียนที่แท้จริง และเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขารู้สึกถึงอันตรายมากเพียงนี้!
มนุษย์คนนั้นที่ดูเหมือนจะมีขุมพลังจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น กลับเป็นหลิงเจิ้นต้าซือขั้นเทียนของแท้!
ภายใต้สายตาที่ตกตะลึงนับไม่ถ้วน มู่เฉินก็สะบัดมือลงอย่างไม่แยแส ตราประทับพุ่งเข้าใส่จงฮั้วที่เข้ามาใกล้!
“ค่ายกลระดับเทียน ตราประทับคิริเทวโลก!”