The Great Worm Lich - ตอนที่ 127
แตกต่างจากตัวเลือกที่หนุ่มสาวบางกลุ่มที่กระตือรือร้นจะทำ ชายชราฉลาดแกมโกงไม่กี่คนบนเรือในหมู่ผู้โดยสารที่ชาญฉลาดเลือกที่จะปฏิเสธการลงเรือเนื่องจากเหตุผลทางร่างกายที่อ่อนล้าหลังจากเรืออับปาง อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้แสดงการคัดค้านใด ๆ กับกฎการจำกัดอาหารสำหรับการเลือกที่จะพักอยู่บนเรือต่อไป
โดยธรรมชาติแล้วจางลี่เฉินเองก็ไม่ใช่คนที่จะเลือกวิ่งเข้าป่าที่ไม่รู้จักไปเพื่อตัดไม้ด้วยเช่นกัน ทีน่าและทริชที่เคยเห็นพลังอันแข็งแกร่งของชายหนุ่มมาก่อนหน้านี้แล้วดังนั้นพวกเธอจึงไม่คัดค้านการเลือกของเขาแต่อย่างใด
ในขณะเดียวกัน ชีล่าเห็นแค่เพียงจางลี่เฉินกอดคางคกขนาดใหญ่ที่กระโดเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเขาโดยอัตโนมัติและความลึกลับจากการกระทำของเขา
เมื่อเห็นเขานั่งอยู่ด้านข้างของเรือพร้อมห่อผ้าห่มขณะดูคนอื่นที่กำลังขึ้นฝั่งไปด้วยความงุนงงเธอก็อดไม่ได้ที่จะพูดลอย ๆ ขึ้นมาว่า “แม้แต่วอลเตอร์ก็ยังเดินกะโผลกกะเผลกเพื่อไปตามหาไม้แต่คนที่มีสุขภาพสมบูรณ์กำลังนั่งอยู่ที่นี่โดยไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง เมื่อพูดถึงวอลเตอร์แล้วฉันก็ลืมถามทริชไปเลย ทำไมเขาถึงไม่อยู่กับเธอซะล่ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอทริชก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนจะมองฝูงชนที่รีบร้อนพากันขึ้นฝั่ง และตามที่คาดไว้ เธอเห็นวอลเตอร์ขึ้นฝั่งด้วยการก้าวขาที่โค้งงอและแสดงสีหน้าที่ชักกระตุกอยู่ตลอด
สีหน้าหวาดกลัวถูกแสดงออกผ่านใบหน้าของหญิงสาวในทันที เธอดูเหมือนอยากจะตะโกนดัง ๆ แต่ในที่สุดเธอก็เอื้อมมือขึ้นมาปิดปากของตัวเองในขณะที่เธอก้มศีรษะลง
ในทางกลับกัน ทีน่าก็ปิดปากเพื่อนสนิทของเธออย่างเร่งรีบ “ชีล่า หุบปาก…”
“มี 2 เหตุผลสำหรับพวกเขาที่ออกไปหาไม้ 1. ก็เพราะคนเหล่านี้ไม่เคยคิดเลยว่าคำว่า ‘ไม่รู้จัก’ นั้นน่ากลัวมากเพียงใด ในขณะที่ 2. นอกเหนือจากการออกค้นหาไม้แล้วพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นที่จะเอาตัวรอดได้ สำหรับผมในทางกลับกันมันแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ต้องกังวลทีน่า ผมไม่โกรธเพื่อนสนิทคุณเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้หรอก อย่างไรก็ตามหากเธอยังคงพูดเรื่องไร้สาระต่อไปเธออาจจะต้องเตรียมพร้อมทางจิตใจให้ดีเพื่อที่จะกลายเป็นยัยบ้าเซ่อซ่าถ้าหากเราต้องเผชิญกับอันตรายอย่างที่เราเคยเจอกับเผ่ามนุษย์กินคนแบบอเมซอนในช่วง 2 – 3 วันนี้” จางลี่เฉินจ้องมองป่าที่ห่างไกลโดยไม่หันหน้ากลับมามองคู่สนทนา
“เอ่อ…อย่าพูดอะไรอย่างนั้นสิที่รัก ฉันสัญญาว่าชีล่าจะไม่พูดอะไรไร้สาระอีกต่อไป…”
เมื่อชีล่าได้ยินคำอธิบายที่น่ารังเกียจของจางลี่เฉินที่มีจุดประสงค์แสดงถึงความกลัวว่ามีภัยคุกคามเกินกว่าที่คาดคิดเกิดขึ้นใบหน้าของเธอก็แดงก่ำขึ้นมาในทันที ในทางกลับกัน ทีน่ายังคงใช้ฝ่ามือปิดปากตัวเองแน่นทำให้เธอไม่สามารถพูดอะไรออกมาประท้วงได้เลย
สำหรับชายหนุ่ม เขาเพียงแต่เพิกเฉยกับชีล่าและจ้องมองไม่วางตาไปทางคนแคระที่กำลังกลับมาที่ชายฝั่งพร้อมกับดึงเถาวัลย์หนาหลายอันออกจากป่าอันห่างไกล
เมื่อลูกเรือและผู้โดยสารเห็นคนแคระที่เดินออกจากป่ามาทีละคน ๆ พวกเขาก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาในทันที
แม้ต้องการที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับชาวพื้นเมืองบนโลกที่ต่างกันแต่ในตอนนี้เมื่อพวกเขาเห็นรอยย่นบนผิวหนังสีน้ำตาลเข้มและฟันที่คล้ายกับสัตว์ร้ายในปากขนาดใหญ่จากระยะใกล้ ๆ ได้แล้ว มีหลายคนที่อดจะกำหมัดของตัวเองขึ้นมาไม่ได้ มันกลายเป็นสัญชาตญาณการอยู่รอดของพวกเขาไปโดยไม่รู้ตัว
“ไม่ต้องกังวลไป ชาวพื้นเมืองเหล่านี้ไม่มีเจตนาร้ายต่อพวกเราหรอก อย่าให้พวกของเราคนใดคนหนึ่งเดินเข้าไปในป่าในช่วงเวลานั้นและอยู่ที่นี่ ณ จุดเดิมในตอนนี้อยู่ตลอด ฉันจะลองไปคุยกับหัวหน้าของพวกเขาดูเอง” เมื่อรู้สึกถึงความตึงเครียดที่เกิดขึ้นกัปตันฟยอดน่าก็ตะโกนออกมาเสียงดัง
จากนั้นเขาก็เริ่มขยับตัวทีละเล็กทีละน้อยเพื่อเข้าใกล้คนแคระที่มีขนติดอยู่บนหัว เขายิ้มพลางขยับตัวและทำท่าทางสื่อสารด้วยมือของเขาอย่างช้า ๆ โดยหวังว่าเขาจะไม่สร้างความเข้าใจผิดใด ๆ กับอีกฝ่าย
“สวัสดี พวกเราเป็นกลุ่มผู้ประสบภัยเรือแตกและเรือของเราติดอยู่ระหว่างเสาหินยักษ์ทั้ง 2 ตรงนั้น เราไม่ได้มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด เราแค่ต้องการขึ้นมาหาไม้จากป่าเพื่อก่อไฟ…”
ผู้นำของชาวพื้นเมืองมองไปที่ฟยอดน่าที่กำลังทำท่าทางและจู่ ๆ เขาก็ชี้ไปยังสถานที่ห่างไกลที่กัปตันเคยยืนอยู่ก่อนหน้านี้ก่อนที่จะเริ่มเต้นระบำไปรอบ ๆ พลางโบกมือขณะที่ตะโกนดัง ๆ “อูวะ ๆ ๆ…”
“ค…คุณต้องการให้ผมกลับไปใช่ไหม?” ฟยอดน่าไตร่ตรองเกี่ยวกับเรื่องนี้สักครู่ก่อนที่จะทำท่าหันหลังกลับเพื่อจากไป “คุณต้องการให้เรากลับไปไหม?”
“อูว ๆ ๆ” คนแคระพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง การกระทำของเขาทวีความรุนแรงมากขึ้นในขณะที่เขาชี้ไปยังสถานที่ห่างไกลที่กัปตันยืนอยู่เมื่อนานมาแล้ว
“ก็…ก็ได้ ผมจะกลับไป ผมจะกลับไปอยู่ตรงนั้นและเราค่อยมาพูดคุยกันต่อ” ฟยอดน่าผู้ซึ่งใช้เวลามานานในแอฟริการู้ดีว่าชาวพื้นเมืองเหล่านี้ซึ่งดูราวกับว่าพวกเขาเป็นคนจากยุคดึกดำบรรพ์จริง ๆ แล้วมีนิสัยใจคอหลายอย่างที่คนสมัยใหม่หลายคนไม่เข้าใจ อย่างช้า ๆ เขาเดินกลับไปยังตำแหน่งที่เขายืนอยู่ได้สักพักหนึ่ง
ผู้นำของชาวพื้นเมืองไม่ได้ไล่ตามเขาไปแต่อย่างใด เขาเพียงแต่เฝ้าดูการเดินของกัปตันไปยังสถานที่ห่างไกลที่เขาชี้ไปก็เท่านั้น จากนั้นเขาก็สั่งให้คนของเขาวิ่งลงไปที่ห่วงเชือก 9 เส้นที่เลื้อยด้วยเถาวัลย์บนเสาหินทั้ง 3 ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากชายฝั่ง
จากนั้นเขาจึงนำชาวพื้นเมืองทั้งหมดไปอธิษฐานบนหลุมทรายทั้ง 3 ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 50 เซนติเมตรตรงข้ามกับเสาหินก่อนที่จะสั่งให้พวกคนแคระใช้ลำธารในการทำชายแดนรอบ ๆ บริเวณทรายขนาดใหญ่ริมทะเล จากนั้นเขาก็สั่งให้คนของตัวเองเคลื่อนย้ายครกหินขนาดยักษ์ 4 ตัวจากป่ามาวางไว้ที่มุมทั้ง 4 ของพื้นทราย
หลังจากเสร็จสิ้นสิ่งเหล่านี้คนแคระหลายร้อยคนก็ล้อมรอบพื้นทรายที่ล้อมรอบไปด้วยเถาวัลย์ 18 คนของพวกเขาที่ดูเหมือนจะแข็งแกร่งที่สุดเดินเข้าไปยังด้านในพื้นทรายอย่างตื่นเต้นและเริ่มแข่งขันกับลูกหวายที่ผู้นำชาวพื้นเมืองเพิ่งทอด้วยมือของเขาเสร็จ
ลูกเรือและผู้โดยสารอลิซาเบธหยุดดูการกระทำของคนแคระพื้นเมืองที่กำลังทำสิ่งต่าง ๆ ก่อนจะจบลงด้วยการได้เห็นฉากที่แปลกประหลาดตรงหน้า พวกเขาอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงและในเวลาเดียวกันก็มีใครบางคนระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ชาวพื้นเมืองเหล่านี้กำลังจะเล่นเกมฟุตบอลดั้งเดิมของพวกเรา! พระเจ้า ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกเราจะได้ชมการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลบนอีกโลกหนึ่งเช่นนี้ได้!”
บางคนถึงกับใช้โอกาสนี้แสดงความรู้ที่ลึกซึ้งของตัวเองออกมา “ดูเหมือนว่าพวกเขาจะคิดว่าเราเป็นพระเจ้านะ เช่นเดียวกับที่ชาวกรีกโบราณจัดเกมกีฬาภายใต้เทือกเขาโอลิมปิกที่มีเทพเจ้าในตำนานมากมายอาศัยอยู่ พวกเขาต้องการแข่งขันฟุตบอลเพื่อทำให้เรามีความสุข!”
ทว่ากัปตันฟยอดน่าไม่ได้ผ่อนคลายเหมือนกับคนอื่น ๆ เนื่องจากจุดบอดที่เกิดจากเสาหินยักษ์ทั้ง 2 ในมหาสมุทรทำให้เขาละเลยเสาหินทั้ง 3 ที่ค่อนข้างเล็กกว่าบนฝั่งไป
ตอนนี้เขาสังเกตเห็นพวกมันได้อย่างใกล้ชิดแล้วก็ตระหนักได้ว่าการแกะสลักบนเสาหินเล็ก ๆ นั้นคล้ายกับเสายักษ์ในมหาสมุทร 2 สิ่งนี้จะต้องมีอะไรบางอย่างเชื่อมต่อกัน
อย่างไรก็ตาม เพียงเรื่องนี้อย่างเดียวยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ฟยอดน่ารู้สึกประหม่า ในบรรดาคนปัจจุบันทั้งหมดมีเพียงจางลี่เฉินเท่านั้นที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ไปโดยการดูห่วงของเชือกที่ชาวพื้นเมืองผูกติดอยู่กับเสาหิน
เมื่อเขาเห็นคนแคระเริ่มเล่นฟุตบอลกันเขาก็ไตร่ตรองอยู่สักครู่ก่อนที่จะเตือนทีน่าว่า “ทีน่า หลังจากที่คนแคระเล่นเกมฟุตบอลจบแล้ว คุณ ทริชและชีล่าควรจะปิดตาเอาไว้ดีกว่าถ้าหากพวกคุณกลัว”
“ทำไมล่ะ?”
“ผมมีความรู้สึกว่ามันมีบางสิ่งที่แปลกประหลาดและน่ากลัวกำลังเกิดขึ้นในภายหลัง หากพวกคุณกลัวก็แค่ปิดตา”
“นายพยายามทำให้สิ่งต่าง ๆ ดูน่าสงสัยยิ่งขึ้นนะ” ชีล่าผู้อยู่ข้าง ๆ หัวเราะเยาะและพูดพึมพำกับตัวเองเมื่อเธอได้ยินคำอธิบายของจางลี่เฉิน
“อย่าอาละวาดน่าชีล่า มันดีกว่าที่เราจะฟังลี่เฉินเขาในสถานที่แปลก ๆ แบบนี้ อันที่จริงสิ่งเหล่านี้ในมุมมองของศาสนาดั้งเดิมนั้นน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง เมื่อฉันยังเป็นเด็กฉันได้ยินเรื่องราวที่น่ากลัวมากมายจากแม่ชีเมื่อฉันอยู่ที่โรงเรียนคริสตจักรในแคลิฟอร์เนีย”
“ทริช แม่ชีพวกนั้นกำลังล้างสมองเธอ…”
“เธอจะพูดอะไรน่ะชีล่า!”
การวิพากษ์วิจารณ์แม่ชีโดยไร้เหตุผลเทียบเท่ากับการดูหมิ่นโบสถ์ หลังจากชีล่ารู้สึกตัวว่าเธอพูดอะไรบางอย่างที่เธอไม่ควรออกไปเธอก็รีบขอโทษอย่างรวดเร็ว “เอ่อ ฉัน ฉันขอโทษนะที่รัก ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น ที่จริงฉันเชื่อในพระเจ้านะ…”
ในขณะที่เด็กสาว 2 คนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเกมฟุตบอลของคนแคระก็เริ่มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น การดิ้นรนทางกายภาพในขณะที่พวกเขาต่อสู้กันเพื่อลูกหวายในตอนนี้เริ่มกลายเป็นการนองเลือดขึ้นมา
ลูกเรือและผู้โดยสารของอลิซาเบธ ฮอล์ลิเดย์ไม่สามารถแยกความแตกต่างของคนแคระออกจากกันได้ พวกเขาเห็นคนแคระเพียง 18 คนที่เริ่มโจมตีคู่ต่อสู้อย่างไม่หยุดยั้ง ทันใดนั้นคนแคระคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะทนทานที่สุดก็จับลูกบอลหวายและเตะขาของคนแคระที่ดูผอมกว่าจนมีเสียงหักดังขึ้นมา
เมื่อคนแคระที่ได้รับบาดเจ็บร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดขณะที่ขาซ้ายของเขางอเป็นรูปตัววี คนแคระที่แข็งแรงกว่าก็พาพวกก้าวไปยังครกหินและส่งลูกหวายเข้าไป
สิ่งนั้นดูเหมือนจะเป็นประตู หลังจากที่เขาทำประตูนี้ได้สำเร็จคนแคระที่แข็งแรงก็เริ่มส่งเสียงดังลั่นอย่างบ้าคลั่ง เพื่อนร่วมทีมคนอื่น ๆ ของเขาก็ตะโกนพร้อมกับหมอบลงบนพื้นเพื่อบูชาท้องฟ้า
เมื่อได้เห็นเหตุการ์ที่เกิดขึ้นลูกเรือและผู้โดยสารที่มองดูการแข่งขันฟุตบอลของชาวพื้นเมืองอยู่นั้นก็เริ่มมีการแสดงออกที่น่ากลัวขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา ไม่นานหลังจากนั้นพวกเขายังคงเห็นฉากที่ไร้สาระมากขึ้นเรื่อย ๆ – คนแคระที่ขาหักไปครู่หนึ่งกลับมายืนขึ้นได้อีกครั้งพลางกระโดดไปรอบ ๆ ด้วยขาข้างเดียวด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อนของเขาและเริ่มต่อสู้เพื่อลูกหวายอีกครั้ง
ในที่สุดแฮรี่ผู้ซึ่งเข้าใจว่ากัปตันหมายถึงอะไรก็พึมพำขึ้นว่า “ความคิดของพวกเขาอาจจะแปลกประหลาดและแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงกับวิธีคิดแบบตรรกะของเรา” ก่อนจะกระซิบ “เซอร์ ผมไม่ทราบว่าสิ่งที่อยู่ในใจคนแคระจะ….เอ่อ…”
“แจ้งหน่วยรักษาความปลอดภัยเพื่อปลดล็อกพินรหัสปืน แต่พวกเขาจะต้องไม่กระทำการใด ๆ ถ้ายังไม่มีคำสั่งจากฉัน!”
“เยสเซอร์!”
กัปตันอลิซาเบธ ฮอลิเดย์ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ต้นเรือบอกหน่วยรักษาความปลอดภัยให้ระวังขณะที่อีกด้านหนึ่งของการแข่งขันเกมฟุตบอลอันบ้าคลั่งของชาวพื้นเมืองยังคงดำเนินต่อไป ไม่เพียงเท่านั้น ฉากของการชนร่างกายแบบไม่ยอมใครง่าย ๆ ก็เริ่มรุนแรงมากยิ่งขึ้น ในท้ายที่สุดเกมที่เต็มไปด้วยเลือดก็มาถึงจุดสิ้นสุดเมื่อทีมหนึ่งได้กระแทกลูกหวายเข้าไปด้านในครกหินเป็นครั้งที่ 9
สมาชิกของทีมที่แพ้ตอนนี้กลายเป็นคนพิการทางร่างกายไปแล้วซะส่วนใหญ่ หลังจากที่พวกเขาพ่ายแพ้ในการต่อสู้พวกเขาก็หมดกำลังใจและหดหู่ก่อนที่จะประคองตัวซึ่งกันและกันเพื่อออกจากสนามฟุตบอลที่ทำจากเถาวัลย์ในลักษณะกลิ้งและคลานเพื่อจากไป
ตอนนี้ฝ่ายที่ได้รับชัยชนะต่างก็ถูกปกคลุมไปด้วยรอยฟกช้ำแต่พวกเขาก็ดูภูมิใจเป็นอย่างมาก ภายใต้เสียง “อู้ววว ลู! อู้ววว ลู!…” เพื่อนร่วมทีมของพวกเขาหลายร้อยคนพากันคุกเข่าอยู่กลางสนามฟุตบอล
ชาวพื้นเมืองที่กระแทกลูกบอลหวายเข้าครกหินได้มากที่สุดทันใดนั้นก็ทำรูปตัววีด้วยมือของเขาแล้วยกขึ้นสู่ท้องฟ้า เด็กชายชาวนิวยอร์กที่อยู่ในระยะไกลแสดงความคิดเห็นว่า “คนแคระคนนั้นรู้ถึงสัญลักษณ์แห่งชัยชนะด้วยงั้นเหรอ? อย่าบอกฉันนะว่าเขามาจากนิวยอ…”
ท่ามกลางความตลกขบขันที่ไม่เหมาะสมของเด็กชายดังกล่าว คนแคระคนนั้นก็สอดนิ้วมือที่เขาสร้างเป็นรูปตัววีเข้าไปในดวงตาของตัวเอง
ด้วยการกวาดเบา ๆ เขาแหย่และขุดตาที่มีน้ำของเขาออกมาจากนั้นก็น้ำสีขาวและสีดำเริ่มไหลออกมาออกจากเบ้าตา
“กรี๊ด! แหวะ!” แม้ว่าเด็กผู้หญิงบนดาดฟ้าเรือจะอยู่ไกลออกไปแต่พวกเธอก็อดไม่ได้ที่จะกรี๊ดร้องออกมาอย่างตกใจ ผู้หญิงบางคนถึงกับหมดสติลงไปในทันที
ทีน่ากอดจางลี่เฉินไว้แน่นพร้อมกับร่างของเธอที่สั่นเทิ้มไปทั้งตัว “ลี่เฉิน นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว! มันน่ากลัวเกินไป!”
ทริชโน้มตัวไปหาชายหนุ่มโดยไม่รู้ตัวด้วยสีหน้าไม่สบายใจด้วยเช่นกัน เธอกัดฟันพลางพยายามบังคับให้ร่างกายที่กำลังสั่นเทานี้อยู่นิ่ง ๆ ขณะที่เธอตัวลงก้มข้าง ๆ จางลี่เฉิน