The Great Worm Lich - ตอนที่ 144
เสียงของสัตว์ร้ายขนาดยักษ์ที่ทำลายต้นไม้จนเป็นซากดังขึ้นตลอดทางทำให้มันดึงดูดความสนใจจากพวกลูกเสือที่มาจากนอกโลกเหนือธรรมชาติได้เป็นอย่างดี
“อคิวโมโร!” คนที่ตอบสนองต่อสิ่งนั้นได้อย่างรวดเร็ดที่สุดก็ไม่ใช่อื่นนอกจากนักรบแคสเดียที่ทรงพลัง เขาจับคามดบ ๆ ของตัวเองก่อนจะกระโดดลอยตัวเหนือพื้นดินประมาณ 200 – 300 เมตรราวกับกำลังโพบิน เมื่อมองดูข้างล่างเขาก็เห็นกิ้งก่าขนาดยักษ์ที่มีความยาวประมาณ 100 เมตร เขาอดไม่ได้ที่จะระบายความเดือดดาลที่มีพร้อมกับฟาดดาบลงราวกับสายฟ้า
กิ้งก่ายักษ์ตัวนั้นก็คือสัตว์อาคมของจางลี่เฉิน‘เกาะมังกร’ที่เขาพามาฮาวายด้วยกันโดยการให้มันซ่อนตัวขณะเดินอยู่ข้าง ๆ จางลี่เฉิน
ขณะที่มันกำลังเดินป่าตามผู้เป็นนายเพื่อไปยังเขตภูเขาไฟมันก็ถูกอัลท์แมนเจอตัวเข้าโดยบังเอิญ มันได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีร่วมกันของแคสเดียและยูลีนาสแต่โชคดีที่มันยังรอดชีวิตกลับมาได้
เป็นเพราะการบาดเจ็บของเกาะมังกรที่เตือนจางลี่เฉินให้รู้ถึงการมีอยู่ของศัตรู นอกจากนี้เนื่องจากเหตุผลที่ว่ามันยากสำหรับเขาที่จะเอาชนะศัตรูในครั้งนี้ชายหนุ่มจึงไม่ได้สั่งให้สัตว์อาคมของตัวเองเริ่มการโจมตีโต้กลับแต่อย่างใด
เขารอจนกว่าจะได้ยินเสียงกรีดร้องของคาร์ไมน์ ก่อนที่เขาจะตายเขารู้สึกได้ว่านักธนูคนนี้จะต้องฆ่าเขาอย่างแน่นอนหลังถูกสอบปากคำต่าง ๆ เสร็จ ดังนั้นจางลี่เฉินจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้คาถา “เชื่อมต่อ” เพื่อกลืนร่างศัตรูซึ่งเป็นทางเลือกสุดท้าย
อารมณ์เชิงลบที่สร้างโดยนักธนูถูกซึมซาบเข้าสู่ตัวทำให้พลังพ่อมดที่อยู่ในสายเลือดของจางลี่เฉินค่อย ๆ ปะทุ เมื่อสัตว์อาคมกลืนกินนักธนูจากดินแดนเหนือธรรมชาติและได้รับสารอาหารจากนักรบผู้แข็งแกร่งแล้ว บาดแผลบนร่างกายของมันก็เริ่มฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่พวกเขาได้เปรียบ ทั้งตัวเขาและเกาะมังกรไม่ได้หลีกเลี่ยงการโจมตีด้วยดาบอันทรงพลังของแคสเดีย ภายใต้คำสั่งของจางลี่เฉิน สัตว์อาคมได้ยกหางแมงป่องสามอันที่มีความยาว 100 เมตรยิงเข้าหาศัตรูกลางอากาศ
หางยาว ๆ ของสัตว์อาคมและดาบของแคสเดียปะทะกันทำให้เกิดเสียงดังคมชัด หลังจากการปะทะกันไปได้ไม่กี่รอบเกาะมังกรก็เริ่มเป็นฝ่ายได้เปรียบ
น่าเสียดายที่แคสเดียไม่ใช่ลูกเสือเพียงคนเดียวที่มาจากนอกโลกเหนือธรรมชาติ เหตุผลที่เกาะมังกรแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งดังกล่าวได้นั้นเป็นเพราะพลังรอบรู้ “ขยาย-หดตัว” ที่จางลี่เฉินกระตุ้นมันผ่านคาถา “เชื่อมต่อ” และทำให้ร่างกายของมันพองตัวอยู่ในระดับสูงสุด
ในไม่ช้ากองกำลังเสริมของแคสเดียก็รีบเข้าไปช่วยเหลือเขาทีละคน ๆ จางลี่เฉินผู้ซึ่งแกล้งทำเป็นโดนตอกตัวเข้ากับต้นไม้แทบเป็นลมเมื่อเขาใช้กำลังจนถึงขีดจำกัดพลังพ่อมดในร่างกาย
จากนั้นสถานการณ์ก็เริ่มแย่ลงอย่างรวดเร็ว ตอนนี้วิธีเดียวที่เหลืออยู่สำหรับชายหนุ่มที่ต้องการจะหลบหนีคือการสั่งให้เกาะมังกรพาเขาออกไป อย่างไรก็ตามเกาะมังกรจะไม่สามารถใช้พลังรอบรู้ได้เมื่อมันบรรทุกคน ยิ่งไปกว่านั้นจางลี่เฉินยังรู้สึกอีกว่าโอกาสในการรอดชีวิตของเขาตอนนี้มีไม่ถึง 20% เสียด้วยซ้ำถ้าเขาขี่สัตว์อาคมและหลบหนีจากแคสเดียไปโดยใช้ความเร็วเพียงอย่างเดียว
“20%ก็ยังดีกว่าเฝ้ารอความตายของตัวเองอยู่เฉย ๆ…” ในที่มืด จางลี่เฉินผู้มีอาการปวดหัวพึมพำกับตัวเองด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น เมื่อเขากำลังจะขึ้นขี่เกาะมังกรก่อนที่จะหลบหนีไปเขาก็เห็นอลิซ แอนเน็ตต์ แอชลีย์ซึ่งยังคงมีชีวิตอยู่เดินตามหลังอัลท์แมนมาปรากฏตัวต่อหน้า
หัวใจของชายหนุ่มล่วงหล่นในทันทีเมื่อเขานึกได้ว่าคนรักของคาร์ไมน์ถูกเชือดตายโดยดาบของแคสเดีย เหตุผลที่เขาถูกฆ่าไม่น่าจะใช่เพราะเขาเรียกร้องความตายของตัวเองด้วยการโจมตีคนพวกนั้นแต่เป็นเพราะคนพวกนั้นไม่ต้องการให้มีพยานคนใดรอดชีวิตกลับไปจึงทำการสังหารคนที่พวกเขาสอบสวนเสร็จ
ด้วยความคิดที่วิ่งวนไปมาอย่างรวดเร็ว จางลี่เฉินก็เริ่มชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียของสถานการณ์อีกครั้ง เขารู้สึกว่าในสถานการณ์ที่ต้องวางแผนไว้ล่วงหน้าเช่นนี้ถ้าพวกเขาต้องการให้นักโทษคนหนึ่งมีชีวิตอยู่ต่อคน ๆ นั้นก็ควรจะเป็นเขา และด้วยเหตุนี้เขาจึงกัดฟันและเริ่มเปลี่ยนใจ
หลังจากนั้นเขาก็เริ่มที่จะบีบพลังพ่อมดในร่างกายของเขาจนหยดสุดท้ายและในที่สุดก็ใช้ความคิดของเขาสั่งให้เกาะมังกรวิ่งลงทะเลก่อนที่จะปล่อยให้ตัวเองจมไปกับความมืดมิด
เมื่อเกาะมังกรได้รับการบำรุงด้วยพลังพ่อมดที่อ่อนล้าจากผู้เป็นนาย ร่างของมันก็หายตัวออกจากป่าไปในทันที
เมื่อแคสเดียงสังเกตเห็นว่ากิ้งก้ายักษ์ได้หายตัวไปอีกครั้ง เขาผู้ซึ่งต้องการต่อสู้กับสัตว์อาคมตัวนั้นจึงกวัดแกว่งดาบของเขาด้วยความโกรธและเฉือนต้นไม้ใหญ่หนาทึบข้าง ๆ “มันหายไปแล้ว! ครั้งนี้มันคงหายไปแล้วจริง ๆ! แถมมันยังกินอคิวโมโร…”
“แคสเดีย หากเจ้าไม่สงบสติอารมณ์ลงเดี๋ยวนี้มันจะเป็นเจ้าที่ถูกกินในครั้งถัดไป” อัลท์แมนพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “เหตุผลที่อคิวโมโรถูกฆ่าตายในครั้งนี้เป็นเพราะข้าเอง ข้าคิดว่าสัตว์ประหลาดจะไม่เป็นอันตรายต่อเราแล้วเมื่อมันได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ข้าคิดไม่ถึงว่ามันจะสามารถซ่อมแซมบาดแผลโดยการกินสัตว์และจริง ๆ แล้วมันมีพรสวรรค์ที่น่ากลัวเช่นเวทคาถา…”
“ท่านนักปราชญ์ ท่านโทษตัวเองเช่นนี้ได้อย่างไร? เราเพียงคิดไม่ถึงว่าสัตว์ร้ายในโลกที่ปีศาจอาศัยอยู่จะแข็งแกร่งเช่นนี้ต่างหาก แต่ก่อนที่สัตว์ประหลาดทรงพลังขนานนี้จะปรากฏก็ไม่มีนักโทษคนใดที่รู้ถึงการมีอยู่ของมันมาก่อน…ไม่น่าเชื่อ….”
“ไม่จำเป็นต้องมาสงสัยพวกเราเลยครับมิสเตอร์แคสเดีย รัฐ..รัฐบาลของประเทศเราเป็นพวกที่น่าเกลียดมาก! สัตว์ประหลาดแบบนั้นจะต้องเป็นอาวุธชีวภาพที่สร้างขึ้นผ่านเทคโนโลยีชีวภาพและเป็นไปไม่ได้เลยที่คนธรรมดาอย่างเราจะรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับมัน”
เสียงสั่นสะเทือนของการพิสูจน์ตัวดังก้องกังวานไปทั่วป่า คนที่พูดขึ้นมาคือคามิล ชายหนุ่มที่ค่อนข้างจะเก็บตัวคนนี้ไม่ค่อยชอบพูดคุยเท่าไหร่นักเมื่อเขาออกไปเที่ยวกับเพื่อนดังนั้นเขาจึงถูกมองข้ามไปอย่างง่ายดาย มันน่าแปลกใจที่เขามีความกล้ามากพอที่จะพูดถึงมุมมองของเขาออกมาอย่างร้อนแรง
สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือคำพูดของเขาได้ตกตะกอนอยู่ในความคิดของอัลท์แมน “แคสเดีย ข้าเองก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกใบนี้มากนัก แต่ข้าพอเข้าใจถึงความน่าเกลียดของผู้เป็นใหญ่ คามิลพูดถูก บางทีทั้งเขาและเพื่อนของเขาก็ไม่รู้อะไรด้วยเลย”
“ขะ ขอบคุณที่ท่านเข้าใจ ท่านนักปราชญ์…”
“คามิล นายเป็นบ้าไปแล้วหรือไง! คนพวกนี้ฆ่าชาร์ล็อตต์ จอร์จินา บอนนี่ คาร์ไมน์และผู้บริสุทธิ์อีกสองคนนะ! คนพวกนี้คือนักฆ่า คือฆาตกร!! นายต้องไปขอบคุณคนแบบนั้นจริง ๆ น่ะเหรอ?!” อลิซที่ซึ่งแต่เดิมก็เป็นคนงี่เง่ามากอยู่แล้วตะโกนขึ้นอย่างบ้าคลั่ง “นายมันบ้า นายมันบ้าไปแล้ว!!”
“อลิซ บ้านเกิดของพวกเขาถูกรุกรานโดยรัฐบาลของเรา เหตุผลที่พวกเขามายังโลกของเราก็เพื่อไม่ให้ประเทศชาติของพวกเขาถูกทำลายและประชาชนของพวกเขาจะได้ไม่ต้องถูกกดขี่! พวกเขาไม่รู้ว่าเราเป็นใครเมื่อพวกเขาพบเราครั้งแรก…” คามิลพ่นคำอธิบายที่สมเหตุสมผลออกมาด้วยความซับซ้อน
อัลท์แมนยิ้มอย่างแผ่วเบาขณะที่เขาเฝ้าดูการแสดงออกทางอารมณ์ของคามิลและการแสดงออกทางศีลธรรมที่น่าภาคภูมิใจซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวก่อนที่เขาจะไปกระซิบกับนักรบที่อยู่ข้าง ๆ “เนลูยะ ไปตรวจดูสิว่าเด็กที่ถูกตรึงกับต้นไม้คนนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ หากเขายังมีชีวิตอยู่ก็ให้พาเขาไปยังพื้นที่ภูเขาไฟด้วยกัน จงจำไว้ด้วยว่าเขาเป็นนักโทษที่มีค่ามากที่สุดของเราดังนั้นจงระวังและอย่าให้เขาบาดเจ็บ”
“ขอรับ ท่านนักปราชญ์” นักรบที่แข็งแกร่งพยักหน้าก่อนจะเดินไปดูจางลี่เฉินตามคำสั่ง หลังจากที่เขาแตะที่คอของชายหนุ่มเขาก็ดึงลูกธนูออกจากต้นไม้และพาดชายหนุ่มไว้บนไหล่อย่างระวัง
และเพราะแบบนี้ชีวิตที่อ่อนแอของจางลี่เฉินก็ได้รับกลับคืนมาอีกครั้งอย่างง่ายดาย เมื่อเขาเริ่มฟื้นคืนสติจากอาการเวียนศีรษะเขาก็ตระหนักได้ว่าเขากำลังนอนตะแคงอยู่ข้างแคมป์ไฟกับอลิซ แอชลีย์และแอนเน็ตต์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
“เอ่อ…อะไรกันเนี่ย? ฝันที่น่ากลัวงั้นเหรอ?! ผมฝันว่าพวกเราโดนกลุ่มที่มีพลังโจมตีและฆ่า…” ชายหนุ่มส่ายหัวด้วยความยากลำบากเล็กน้อยและแสดงออกอย่างสับสนขณะที่เขาพูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าว
“ไม่ใช่ความฝันที่น่ากลัวแต่เป็นความจริงที่น่ากลัวต่างหาก พวกอันธพาลที่โจมตีพวกเราอยู่ตรงนั้นไง” อลิซชี้ไปที่กองไฟอีกกองหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลพลางตอบด้วยการแสดงออกที่ขาดสติ
“เวร ฝันร้ายที่กลายเป็นจริง…” จางลี่เฉินลุกขึ้นนั่งพลางเริ่มมองไปรอบ ๆ เขาตระหนักได้ว่าภูเขาไฟที่ตั้งสูงตระหง่านอยู่ใกล้กับพวกเขาแล้วในตอนนี้ “นี่คงเป็นเขตภูเขาไฟแล้วสินะ อ่ะ! แม่ง… เหมือนจะเห็นเพื่อนของคุณที่ชื่อคามิลคุยกับหัวหน้าคนพวกนั้น เกิดอะไรขึ้น?! เขายอมสวามิภักดิ์ต่อคนพวกนั้นอย่างงั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่ คามิลไม่ได้ขอสวามิภักดิ์อะไร อันธพาลพวกนั้นคือทหารและที่ปรึกษาด้านการป้องกันจากประชาชาติเรดไอร่อนที่มาจากโลกเหนือธรรมชาติ ประเทศของพวกเขาถูกอเมริการุกรานดังนั้นพวกเขาจึงมาที่โลกของเราเพื่อจุดประสงค์ในการรวบรวมข่าวกรอง หลังจากได้รู้สิ่งพวกนี้แล้วคามิลก็รู้สึกเห็นใจพวกเขาเป็นอย่างมาก … ”
“อะไรกัน?! นี่พวกเราไม่ได้มาถ่ายหนังไซไฟกันนะ! แทนที่จะพูดว่าคนบ้าเหล่านี้เป็นทหารอาชีพและที่ปรึกษาด้านการป้องกันจากดินแดนเหนือธรรมชาติให้คิดซะว่าคนพวกนี้เป็นโรคจิตที่เพิ่งหนีออกจากโรงพยาบาลมาซะจะยังดีเสียกว่า…ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาฆ่าเพื่อนสนิทของคุณไปหลายคนเลยไม่ใช่หรือไง? ทำไมคามิลถึงยังเห็นด้วยกับการกระทำแบบนั้นของพวกเขาอีกด้วยกัน?” จางลี่เฉินตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับไปโดยไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้หรือหัวเราะกันดี
ขณะที่เขาพูดออกไปแบบนั้นเขาก็ควบคุมเกาะมังกรที่หนีลงมหาสมุทรด้วยความคิดของเขาอีกครั้ง เขาออกคำสั่งให้มันตามล่าหาปลาและกุ้งกินเพื่อให้มันสามารถรักษาบาดแผลของตัวเอง
“ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคามิลคิดอะไรอยู่ ความคิดของเขาแปลกแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ เขาคัดค้านการทิ้งของเสียลงสู่มหาสมุทรและแม่น้ำแม้แต่ของเสียที่ถูกบำบัด! เขามีส่วนร่วมในปกป้องเรื่องของสัตว์และทาสีแดงไปทั่วทั้งตัว เขาขับเรือแล่นได้อย่างรวดเร็วเพื่อไปกระแทกกับเรือที่ออกล่าวาฬทางทะเล…”
“โอ้ งั้นเขาก็เป็นผู้ชายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความยุติธรรม…” ขณะที่จางลี่เฉินกำลังพูดอยู่จู่ ๆ ท้องของเขาก็เริ่มส่งเสียงคำราม “ผมคงหิวมากแล้ว คนบ้าพวกนั้นวางแผนที่จะทำอะไรกับพวกเรา? พวกเขาไม่ได้จะฆ่าและไม่ยอมปล่อยพวกเราไปดังนั้นพวกเขาแค่ต้องการให้เราหิวตายงั้นเหรอ?”
“ไม่รู้ แล้วก็อย่าพูดอะไรแบบนั้น ฉันเองก็หิวเหมือนกัน ใช่แล้ว! นายมีเนื้อดิบและแผ่นเหล็กอยู่ในกระเป๋าเป้ไม่ใช่หรือไง? หากเราเร็วพอเราสามารถทำบาร์บีคิวของเรากินได้ในไม่ช้า”
ผู้ที่ไม่เคยเจอกับความหิวมาก่อนอาจรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับพวกเขาที่ยังมีอารมณ์มานั่งทำบาร์บีคิวหลังได้เผชิญหน้ากับความเป็นความตายมา แต่ผู้ที่เคยประสบกับความหิวมาก่อนจะเข้าใจว่าอาหารมีความสำคัญมากเพียงใดกับผู้ที่หิวโหย
“ความคิดดี” จางลี่เฉินถอดกระเป๋าเป้สะพายหลังแล้วหยิบแผ่นเหล็กและเนื้อดิบออกมา หลังจากนั้นเขาก็พบว่ายังมีรังผึ้งที่ถูกบดนอกเหนือจากเมานท์โทดที่อยู่ในกระเป๋าของเขาอีก
เขาหยิบรังผึ้งอออกมาก่อนจะขุดหาดักแด้ตัวต่อและใส่เข้าปากของเขาในขณะที่เอ่ยถามไปอย่างสบาย ๆ “เอาด้วยไหม?”
อลิซและแอนเนตต์กำลังยุ่งอยู่กับการขุดหลุมบนพื้นภูเขาไฟด้วยแผ่นเหล็กและตอนนี้แอชลี่ย์ก็ไม่มีอารมณ์ที่จะประจบอะไรจางลี่เฉินอีกต่อไป โดยธรรมชาติแล้วไม่มีใครอยากกินของว่างที่น่าขยะแขยงแบบนั้น
และเนื่องจากไม่มีใครตอบคำถามของเขาจางลี่เฉินก็เริ่มทำการขุดหาดักแด้กินต่อเพียงลำพัง เขารู้ว่าการกินดักแด้มีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่าการกินเนื้อย่าง ในตอนนี้มากแค่นี้ การได้รับคุณค่าสารอาหารที่แม้จะเป็นจำนวนที่เล็กน้อยแต่ก็อาจเป็นกุญแจชี้ขาดที่จะนำไปสู่ชัยชนะได้ในภาวะวิกฤติเช่นนี้