The Great Worm Lich - ตอนที่ 145
หลังจากที่แอนเน็ตต์และอลิซขุดหลุมตื้น ๆ บนพื้นดินเสร็จพวกเขาก็วางแผ่นเหล็กลงไปในหลุมแล้วกดอัดมันจนแน่น
จางลี่เฉินที่นั่งไขว้ขาอยู่ด้านข้างยังคงหยิบดักแด้เข้าปากตัวเองอย่างต่อเนื่อง การเคี้ยวดักแด้แต่ละครั้งทำให้เขารู้สึกได้ว่าพลังงานของเขาค่อย ๆ เริ่มฟื้นตัวกลับมาทีละน้อยก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาเฝ้าดูแอนเน็ตต์และอลิซวางเนื้อลงบนแผ่นเหล็กก่อนจะเอ่ยถามไปอย่างอยากรู้อยากเห็น “สามารถย่างเนื้อด้วยการขุดหลุมและวางแผ่นเหล็กบนมันได้ง่าย ๆ แบบนี้เลยงั้นเหรอ?”
“ใช่แล้ว! ทันทีที่เริ่มการขุดฉนวนจากเถ้าภูเขาไฟก็จะออกมาแล้วด้านล่างสุดก็จะร้อนมากทีเดียว” อลิซตอบคำถามของเขาพร้อมกับหยิบเนื้อวางลงบนแผ่นเหล็กที่ค่อย ๆ เริ่มร้อนขึ้นมาอย่างแผ่วเบา
จางลี่เฉินสูดดมกลิ่นเนื้อที่หอมลอยฟุ้งไปทั่วอากาศ “กลิ่นดีมากทีเดียว” เขายังคงขุดหาดักแด้กินต่อขณะเอ่ยชมกลิ่นเนื้อย่าง ด้วยแรงที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจึงทำให้เขาเผลอขุดรังจนกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่
ชายหนุ่มตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนจะค่อย ๆ เคลื่อนนิ้วตัวเองออกจากรังด้วยความระมัดระวัง ตัวหนอนที่มีความหนาประมาณสามนิ้วยื่นออกมาพร้อมกับนิ้วมืออย่างน่าประหลาดใจ
ตัวหนอนนี้มีหัวเท่าขนาดเม็ดถั่วซึ่งไม่ใช่สัดส่วนที่พอดีกับร่างกายของมันเสียเลย ร่างกายของมันเต็มไปด้วยริ้วรอยพร้อมปีกสี่ปีกที่ดูท่าจะเหี่ยวเฉามานาน
มันตัวอ่อนปวกเปียกราวกับใกล้ตายเต็มทน
จางลี่เฉินตกตะลึงอีกครั้งเมื่อได้เห็น เขาหยิบหนอนตัวนั้นขึ้นมามองดูอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะพบว่ามันคือราชินีผึ้ง
ที่เรียกมันว่าราชินีเพราะมันคือผึ้งงานตัวแรกที่ฟักตัวออกมา หลังจากฟักตัวออกมาแล้วมันจะถูกผึ้งตัวอื่น ๆ ในรังเลี้ยงดูเป็นอย่างดี นอกจากการวางไข่แล้วไม่มีสิ่งใดให้มันทำอีกต่อไป
วิธีที่ชาวบ้านใช้ในการเลือกรังคือการปิดผนึกรังผึ้งไว้ด้วยโคลนเปียกก่อน เมื่อถึงเวลาที่โคลนจับตัวกันจนแห้งผึ้งจะก็หายใจไม่ออกจนพวกมันตาย แต่ก่อนที่พวกมันจะตายก็จะเห็นได้ชัดว่าราชินีผึ้งที่มีขนาดใหญ่กว่าผึ้งธรรมดาถึง 6 – 7 เท่าและต้องการใช้ออกซิเจนในปริมาณที่มากกว่าจะต้องตายก่อน
ชายหนุ่มจับหนอนตัวอ่อนขึ้นดูอย่างพิถีพิถัน ทันใดนั้นก็เหมือนมีแสงบางอย่างส่องผ่านดวงตาเขาออกมา เขาก้มศีรษะลงแล้วพึมพำว่า “ราชินีแห่งรังผึ้ง ไม่อยากเชื่อว่าคนขายจะไม่ได้โกหก ในรังนี้มีราชินีที่ยังไม่ตายอยู่จริง ๆ ราชินีผึ้งที่น่าหวงแหนยิ่งกว่าเกาะมังกรที่ได้รับในตอนแรก…”
เขายกกระเป๋าเป้ขึ้นมาวางไว้ตรงหัวเข่าจากนั้นก็ค่อย ๆ ใส่ราชินีผึ้งลงไปในกระเป๋าอย่างระมัดระวังแล้วแกล้งทำเป็นพลิกกระเป๋าเป้ไปมาขณะท่องคาถา “ดูดซึม” ผ่านทางความคิด
โดยไม่รู้ตัว มันผ่านไปแล้วหลายนาทีและตอนนี้เนื้อก็สุกได้ที่แล้ว อลิซที่ได้กินไปสองสามชิ้นก็เริ่มรู้สึกว่าท้องของเธอไม่ได้หิวอีกต่อไปเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน เขาหันไปเห็นจางลี่เฉินกำลังก้มหัวอยู่ในกระเป๋าเป้โดยบังเอิญราวกับกำลังมองหาอะไรบางอย่างเธอจึงโพล่งถามออกไปว่า “กำลังหาอะไรอยู่น่ะ? พวกเราแต่ละคนก็มีแค่…”
เมื่อเธอพูดถึงคำว่า “แต่ละคน” เธอก็เริ่มนึกถึงเพื่อน ๆ ของเธอที่มาด่วนจากไปอย่างกระทันหันเลยทำให้เธอไม่ได้พูดอะไรต่อ
จางลี่เฉินแอบสาปแช่งอลิซในใจเพราะเธอทำให้เขาต้องคิดหาข้ออ้างอะไรบางอย่างมาตอบและต้องเป็นคำตอบที่ฟังขึ้นพอสมควร “ผมจำได้ว่าแม่ใส่ถั่วไว้ให้ด้วยขวดหนึ่งก่อนมาฮาวายแต่ผมหามันไม่เจอ”
แอนเน็ตต์ที่ได้ยินคำพูดของชายหนุ่มขณะกำลังยัดเนื้อที่ปรุงสุกแล้วเข้าปากก็ส่งเสียงดังไปว่า “หาถั่วไม่เจองั้นเหรอ? เดี๋ยวฉันช่วยนายหาเอง”
“ถ้าคิดจะลองหาดูก็เชิญได้ตามสบาย แต่ฉันหาแล้วยังไงก็ไม่เจอ…” ในที่สุดการร่ายคาถา “เปลี่ยนร่าง” ครั้งสุดท้ายก็เสร็จสิ้น จางลี่เฉินยกหัวตัวเองออกจากกระเป๋าพร้อมใบหน้าซีดเซียวแต่ก็สามารถเห็นความตื่นเต้นที่พยายามซ่อนอยู่บนใบหน้าของเขาได้ด้วยเช่นกัน
ก่อนที่จะกลายมาเป็นพ่อมดระดับ 6 นอกเหนือจากคุณภาพของคาถาที่ได้รับระหว่างการผ่านระดับมาได้แล้วแล้วนั้น ความแข็งแกร่งของพลังพ่อมดของเขาก็จะถูกขัดเกลาเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน
ตอนนี้เขาได้รับนักสู้ตัวเก่งตัวใหม่ที่ทรงพลังมา ชายหนุ่มที่รู้สึกได้ว่าตอนนี้สถานการณ์ของเขากำลังถูกผลิกกลับอย่างสิ้นเชิงไปได้ในระดับหนึ่งแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นมองจักรวาลอันกว้างใหญ่ก่อนที่จะเริ่มเพิ่มพลังพ่อมดให้กับตัวเองโดยใช้อารมณ์เชิงลบที่นักธนูสร้างขึ้นในตอนที่เขากำลังถูกเกาะมังกรกลืนกินก่อนตาย เขากำลังคิดว่าถ้าเขาสามารถฆ่าคนจากโลกอื่นพวกนี้ได้ทั้งหมดเขาจะได้รับพลังเชิงลบมาปรับปรุงมากขนาดไหนกัน
ในขณะที่เขากำลังขบคิดเกี่ยวกับมัน ท้องฟ้าเบื้องหน้าก็ถูกแทนที่ด้วยใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่งที่มีรอยยิ้มอย่างขมขื่น “กำลังคิดอะไรอยู่? สถานการณ์ของเราแย่มากขนาดนี้แล้วยังจะมายิ้มได้อีกงั้นเหรอ? ดูเหมือนว่าคนที่ประสบความสำเร็จในการสร้างรายได้ 100 ล้านดอลลาร์ต่อปีจะแตกต่างจากพวกเราคนธรรมดาไปอย่างสิ้นเชิงจริง ๆ”
ชายหนุ่มตะลึงจนพูดไม่ออกก่อนจะคิดได้ว่าเขากำลังคิดถึงเรื่องความสุขเร็วเกินไปจึงตบหน้าตัวเองเบา ๆ ก่อนตอบกลับไปว่า “มิสแอชลีย์ ตอนนี้คุณเองก็ยิ้มอยู่ด้วยเหมือนกันไม่ใช่หรอครับ?”
“รอยยิ้มเบี้ยว ๆ นี่น่ะเหรอ หึ ตอนแรกที่ฉันมีโอกาสได้เจอคนรวย ๆ แบบคุณฉันก็คิดแล้วนะว่าโอกาสที่ฉันต้องการคงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม แต่ใครจะไปคิดว่า…”
“อย่าห่วงเลย ความจริงที่คนพวกนั้นยังไม่ฆ่าเราก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้แล้วว่าเรายังมีประโยชน์ในสายตาของพวกเขาอยู่ เราจะต้องไม่เป็นไร!”
“ตอนนี้เราอาจจะยังมีประโยชน์แต่หลังจากนั้นไปอีกล่ะ? ตอนนี้เราอยู่ในมือพวกเขาแล้วแล้วเราจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่คนพวกนั้นต้องการ บ้าเอ้ย! ฉันไม่ใช่ผู้หญิงเลว ๆ อะไรเลย ฉันแค่อยากประสบความสำเร็จและใช้ความงามของฉันเพื่อทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้นก็เท่านั้น สิ่งที่ฉันต้องการมันต่างกับพวกศิลปินหญิงและพวกนางแบบคนอื่น ๆ ทั้งหมดเลยอย่างนั้นเหรอ! ทำไมล่ะ? ทำไมฉันถึงต้องมาโชคร้ายแบบนี้ด้วย!” แอชลี่ย์เริ่มพูดด้วยอารมณ์ที่ยากจะควบคุม
“โอ้! เวร! นี่มันอะไรกันล่ะเนี่ย เครื่องสั่นงั้นเหรอ?” ทันใดนั้นแอนเน็ตต์ซึ่งกินเนื้อย่างเสร็จก็เริ่มไปค้นหาถั่วจากกระเป๋าจางลี่เฉินโดยไม่บอกให้เขารู้ล่วงหน้า เขารีบดึงมือของตัวเองออกมาด้วยพลังทั้งหมดก่อนร้องตะโกนเสียงดัง
“แน่นอนว่าไม่ใช่” จางลี่เฉินลุกขึ้นยืนไปหาแอนเนนต์พร้อมก้มหยิบตุ๊กตาตัวต่อน่าเกลียดที่มีรูปร่างบิดเบี้ยวซึ่งยาวหนึ่งฟุตขึ้นมาแล้วเขย่า “นี่คือของนำโชค ผึ้ง…กิวโกะ นายอาจถูกหางของมันแทงเข้าได้เพราะมันทำจากวัสดุเลียนแบบ ระวังให้ดีเมื่อถือมันไว้ในมือ”
“ไอ้เครื่องช่วยตัวเองนี่น่ะหรอจะแทงฉัน? ห้ะ? คิดจะแทงฉันจริง ๆ งั้นเหรอ?! ฉันจะทำให้แกได้ลิ้มรส…” ความเจ็บปวดที่เริ่มทนไม่ไหวทำให้แอนเนตต์ระเบิดออกมาในที่สุด เขาคว้าตัวต่อมาจากมือของชายหนุ่มแล้วโยนมันลงพื้นพร้อมกับกระทืบมันซ้ำ ๆ หลังจากเหยียบมันเพื่อระบายอารมณ์เสร็จเขาก็ทรุดตัวลงไปกับพื้นในขณะที่เขาหมดแรงด้วยความสิ้นหวังแล้วเริ่มร้องไห้
เมื่อมองไปที่กองไฟอีกกองหนึ่งพลางมองดูเหยื่อสามในสี่ที่เริ่มมีอาการทางจิตทีละน้อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป ทันใดนั้นอัลท์แมนก็ยืนขึ้นแล้วเดินไปที่กองไฟนั้นภายใต้การดูแลของนักรบสองคนและคามิล
เมื่อชายชรามายืนข้างกองไฟ ทรงผมตลก ๆ ของเขาที่ดูเหมือนจะมืดก็ค่อย ๆ สว่างขึ้นเรื่อย ๆ ภายใต้แสงจากเปลวไฟ “คามิล บอกเพื่อนของเจ้าไปทีว่าพวกเขาจะปลอดถ้ายอมทำตามที่เราสั่ง จางลี่เฉิน ขอคุยเป็นการส่วนตัวจะได้หรือไม่?”
“ท่านนักปราชญ์ ผมจะดูแลพวกเขาให้เอง” เมื่อได้ยินคำสั่งของอัลท์แมน คามิลก็จ้องมองจางลี่เฉินด้วยท่าทางแปลก ๆ ก่อนจะพยักหน้าและก้มตัวลงไปอยู่ข้าง ๆ แอนเน็ตต์
จางลี่เฉินกลืนน้ำลายก่อนจะถามออกไปอย่างหงุดหงิด “นักปราชญ์ เอ…อัลท์แมนอยากจะพูดอะไรกับผม?”
อัลท์แมนยิ้มแล้วก็ยื่นมือไปตบไหล่ของเขาเบา ๆ ราวกับคนที่เคยได้พูดคุยกันทุกวัน “มาเถอะเจ้าหนู ให้เราได้เดินไปรอบ ๆ ขณะที่เราคุยกันจะดีกว่า ข้าคิดว่าเจ้าคงได้รู้ที่มาของเราจากเพื่อนของเจ้าแล้วใช่ไหม?”
“ใช่ ๆ แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมากเหลือเกิน” จางลี่เฉินเดินตามชายชราอยู่ข้าง ๆ
“มันเป็นเรื่องจริง เหตุผลที่เรามายังโลกของเจ้านั้นเราไม่ได้มาเพื่อฆ่าหรือประกาศสงคราม แต่เราเพียงต้องการปกป้องตนเองและหยุดยั้งการถูกบุกรุกและในที่สุดก็พินาศ…”
“เสียใจด้วยที่ได้ยินแบบนั้น”
“เจ้าไม่ควรแค่เสียใจแต่ควรยืนอยู่ข้างความยุติธรรมและช่วยเหลือพวกเรา”
“ชะ…ช่วยพวกคุณ ตราบใดที่มันยังอยู่ในความสามารถของผมแน่นอนว่า…”
“อย่าได้พูดคำที่ไม่จริงใจเช่นนี้ ข้าเข้าใจดีว่าบุคคลที่มีรายได้ 100 ล้านดอลลาร์ต่อปีสามารถออกแรงได้มากแค่ไหนบนโลกใบนี้” อัลท์แมนหงายมือของเขาที่ถือหนังสือเล่มหนึ่งออกมา
“ท่านนักปราชญ์ ท่านรู้ได้อย่างไร?”
“เพื่อเจ้าบางคนบอกข้อมูลนั้นมา คามิลสอนให้ข้ารู้วิธีใช้มันและข้าก็ต้องยอมรับว่าความรู้และข้อมูลเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์อย่างแท้จริงบนโลกของพวกเจ้า บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเจ้าถึงสามารถบังคับให้เราตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าสิ้นหวังได้แม้จะมีร่างกายที่อ่อนแอเช่นนี้”
“โอ้ หมายความว่าแท็บเล็ตอันนี้เชื่อมอินเทอร์เน็ตไว้ด้วยอย่างนั้นเหรอ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสถานที่ดังกล่าวจะมีเครือข่ายไว้ให้ใช้งานเหมือนกัน หากเป็นเช่นนั้นคุณก็สามารถโพสต์ลงบนอินเทอร์เน็ตและเปิดเผยการมีอยู่ของโลกและประณามการรุกรานของกองทัพสหรัฐฯบนโลกของคุณ … ”
“ไม่มีใครสนใจเรื่องข้อความพวกนั้นหรอก! การทำเช่นนี้ต่างหากที่จะดึงดูดความสนใจของรัฐบาลสหรัฐฯได้ พวกเขาจะส่งกองทัพพร้อมอาวุธที่ทันสมัยที่สุดและทำลายพวกเราทุกคนรวมถึงพวกเจ้าทุกคนด้วยเช่นกัน” อัลท์แมนชี้กลับไปที่คนของตัวเอง จางลี่เฉิน อลิซ และคนอื่น ๆ
“บ้าเอ้ย! มันเป็นความเป็นไปได้ที่ใหญ่ที่สุดที่จะ…” จางลี่เฉินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มตระหนักตาม
“ด้วยเหตุนี้ก็เท่ากับว่าตอนนี้เราลงเรือลำเดียวกันแล้ว การช่วยเราก็เท่ากับช่วยตัวเองด้วยเช่นกัน ด้วยความกตัญญู เราจะไม่ให้พวกเจ้าช่วยแบบเสียเปล่า”
“ไม่ได้ให้ช่วยแบบเสียเปล่า?” รอยยิ้มบิวเบี้ยวที่ยอมอยู่ใต้อิทธิพลของคนจากนอกปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “ผมจะขอบคุณมากถ้าคุณไว้ชีวิตผม”
“โอ้ เด็กน้อย เจ้าดูถูกเรามากเกินไปแล้ว! ไม่คิดบ้างหรือว่ายังมีสิ่งใหญ่กว่านี้ที่ข้ามอบให้เจ้าได้อยู่ด้วย แม้โลกของเราจะไม่ได้ก้าวหน้าไปมากกว่าของพวกเจ้าแต่ก็สามารถเห็นได้แล้วนี่ว่าเมื่อพูดถึงพลังของแต่ละบุคคล ทางฝั่งข้าแข็งแกร่งยิ่งกว่าเจ้ามาก ยกตัวอย่างแคสเดีย เขามีความแข็งแกร่งที่เกินขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์ ยูลีนาสมีพลังเวทลึกลับที่ซับซ้อน และข้าที่มีช่วงชีวิตยาวนานจนทำให้ข้ามีชีวิตอยู่มาได้ 157 ปีแล้ว เราสามารถมอบสิ่งเหล่านี้ให้พวกเจ้า…”
“นี่ท่าน…ท่านกำลังล้อเล่นอยู่ใช่ไหม?” จางลี่เฉินที่เดินตามชายชราไปรอบ ๆ กองไฟอย่างช้า ๆ ตัวแข็งทื่อก่อนจะเอ่ยถามออกไปด้วนน้ำเสียงแหบแห้ง