The Great Worm Lich - ตอนที่ 148
มาสทิฟฟ์เป็นหนึ่งในสายพันธุ์โมลอสเซอร์หนึ่งในสายพันธุ์โบราณที่ยังมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้ ย้อนกลับไปปี 55 ก่อนคริสต์ศักราช สมัยโรมันที่นำโดยจูเลียส ซีซาร์ได้บุกเกาะอังกฤษ สายพันธุ์นี้ก็ถูกนำมาใช้ในการสงครามด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้สุนัขพันธุ์มาสทิฟฟ์เลือดบริสุทธิ์จึงมักมีราคาแพง
แน่นอนว่าสุนัขที่มีค่าตัว 30,000 ดอลลาร์ค่อนข้างจะสูงเกินไปเล็กน้อยทว่าจางลี่เฉินก็ไม่ได้โต้แย้งราคาของสุนัขแต่อย่างใด กลับกันเขาพยักหน้าเป็นการรับรู้ให้แทน “พาผมไปดูหน่อย”
“ตามผมมาทางนี้เลยครับ” พนักงานร้านที่กำลังมีความสุขเร่งฝีเท้าเร็วยิ่งขึ้นเพื่อไปยังชั้นสาม
ชั้นสามเต็มไปด้วยสุนัขมากมาย พวกเขาดูแลสถานที่กันดีมาก มันทั้งสะอาดและไม่มีกลิ่นเหม็นเลยแม้แต่น้อย พนักงานเดินนำชายหนุ่มไปยังบ้านสุนัขหลังใหญ่ที่สุด “นี่คือสุนัขที่ว่าครับ พ่อแม่ของมันมาจากสายพันธุ์ของท่านดยุกแห่งเดวอน แม้ตอนนี้การต่อสู้สำหรับสุนัขจะไม่ได้รับอนุญาตให้จัดขึ้นที่อเมริกาอีกต่อไปแต่มันก็ยังเป็นที่นิยมมากทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พ่อของมันเคยถูกเรียกว่าเป็นช้างศึกของทหารพม่า…”
สุนัขในบ้านเลี้ยงนี้มีหัวทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า จมูกสั้น หน้าผากกว้างและมีรอยยุบตรงกลาง ร่างกายของมันดูแข็งแรงสมคำอธิบายมากจริง ๆ ขาทั้งสี่เองก็ดูทรงพลังด้วยเช่นกัน
จางลี่เฉินเพิกเฉยต่อคำอธิบายจากพนักงานพลางจะมองไปรอบ ๆ ทั่วทั้งชั้น เขาตระหนักได้ว่าสุนัขที่อยู่ข้างหน้านี้เป็นสุนัขตัวที่ใหญ่ที่สุดและดูเหมือนจะเป็นสุนัขที่แข็งแกร่งที่สุดแล้วเขาจึงหันไปพูดกับพนักงานว่า “ผมจะรับเลี้ยงมันเอง พามันออกมาที ผมจะพามันออกไปด้วยเลย”
สิ้นประโยคพนักงานร้านก็ตกตะลึงไปในทันที ด้วยรอยยิ้มเขาอธิบายว่า “แต่คุณลูกค้าครับ ตามขั้นตอนแล้วทางเราจะต้องให้ครูฝึกสุนัขมาดู…”
“ผมไม่ต้องการความช่วยเหลือจากครูฝึก ผมแค่อยากจะเอามันไปด้วยกันตอนนี้เลย ไม่ได้งั้นเหรอ?”
“แต่มันจะไม่ปลอดภัยนะครับคุณลูกค้า มันเป็นสุนัขที่ดุร้ายมาก…”
“ดุร้าย? ผมคุ้นชินเป็นอย่างดีเลยล่ะ” ชายหนุ่มยิ้มอย่างน่าประหลาดก่อนเหลือบตาไปมองป้ายชื่อบนอกของพนักงาน “เอาล่ะบ็อบ ตอนนี้ผมไม่มีเวลามากแล้ว ผมจะให้คุณ 35,000 ดอลลาร์ ขอแค่คุณปล่อยให้มันไปพร้อมกับผมตอนนี้”
“3…35,000 ดอลลาร์! ได้แน่นอนครับคุณลูกค้า! หากคุณลูกค้าสนใจอยากลงชื่อแบบฟอร์มสละสิทธิ์ คุณลูกค้าก็สามารถรับมันกลับบ้านไปได้เลยครับ”
“เยี่ยม แล้วจะรออะไรอยู่อีกล่ะ”
5 นาทีต่อมาจางลี่เฉินก็เดินออกจากร้านมาพร้อมกับสุนัขตัวใหญ่ สุนัขที่มีขนาดใหญ่และแข็งแรงตัวนี้ดูเหมือนจะเชื่องจนน่าประหลาดเมื่อได้พบกับชายหนุ่มครั้งแรกแต่ก็อาจเป็นเพราะในร้านมีครูฝึกอยู่ด้วยก็เป็นได้ เพราะเมื่อพวกเขาเดินออกจากร้านมาเจ้าสุนัขตัวใหญ่ตัวนี้ก็เริ่มทำตัวเกเรขึ้นมาทันที แม้จะรู้ว่าผู้ที่ถือสายจูงเป็นเจ้าของคนใหม่แต่ก็ยังโยกตัวไปทางซ้ายทีขวาทีบนถนนเพื่อแสดงให้เห็นอีกด้านของการเป็นสุนัขต่อสู้
ในสถานการณ์เช่นนี้จางลี่เฉินจึงทำได้เพียงพยายามดึงมาสทิฟฟ์ไว้ด้วยมือทั้งสองข้างโดยใช้กำลังที่ตัวเองมีอย่างเต็มที่ และก่อนที่พวกเขาจะดึงดูดความสนใจจากเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนบนถนนไปได้มากกว่านี้เขาก็รีบดึงมันเข้าไปในตรอกด้านหลังที่อยู่ใกล้มากที่สุด
“ช่างเป็นหมาที่น่าสงสารอะไรขนาดนี้ แต่ฉันไม่มีทางเลือกนอกจากให้นายสละชีวิตเพื่อการแก้แค้นของฉัน โชคดีที่ท่าทางเกเรเมื่อกี้ของนายช่วยลดความผิดของฉันลงได้มาก ลองคิดดูสิ นายกำลังเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อความปลอดภัยของโลกใบนี้ทั้งใบเชียวนะ ไม่แน่วันหนึ่งอาจมีใครบางคนมาสร้างรูปปั้นให้นายไว้ในเมืองนี้ก็ได้” หลังจากมองไปรอบ ๆ ตรอกที่เข้ามาแล้วไม่เห็นถึงการมีอยู่ของคนอื่นจางลี่เฉินก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะเริ่มพึมพำอะไรบางอย่าง
แม้ว่าเจ้ามาสทิฟฟ์จะไม่เข้าใจในสิ่งที่ชายหนุ่มพูดแต่สัญชาตญาณของสัตว์ได้บอกให้มันตื่นตัวระวัง ทันใดนั้นมันก็กระแทกตัวไปข้างหน้าและออกแรงอย่างเต็มกำลังเพื่อให้หลุดพ้นจากมือของจางลี่เฉินและหลบหนีออกมาจากตรอกด้านหลังไปอย่างรวดเร็ว
แต่น่าเสียดายที่เจ้าสุนัขตัวใหญ่ได้วิ่งออกไปแค่เพียงไม่กี่ก้าวมันก็ชนกับอะไรบางอย่างที่ตกลงมาจากท้องฟ้าเข้าเสียก่อน มันทรุดตัวลงไปกับพื้น ขาทั้งสี่ของมันแผ่ออกอย่างสยองขวัญ
ขณะเดียวกันตัวต่อยักษ์ที่น่าเกลียดก็พุ่งตัวออกมาจากกระเป๋าของจางลี่เฉินแล้วกระโดดขึ้นไปเกาะอยู่บนไหล่เขา มันกระพือปีกบินไปหาสุนัขตัวใหญ่ก่อนที่จะใช้เหล็กในของตัวมันเจาะลงไปในผิวของสุนัข
ร่างสุนัขกระตุกราวกับว่ามันมีอาการชักแต่มันไม่สามารถเคลื่อนไหวตัวภายใต้แรงกดดันนี้ได้เลย จางลี่เฉินสั่งให้คิวโกะกลับไปอยู่ในกระเป๋าเป้อีกครั้งหลังเดินไปหาเจ้ามาสทิฟฟ์ด้วยท่าทีสงบและหยิบสายจูงมันขึ้นมา
หลังจากนั้นสัตว์ร้ายขนาดยักษ์ที่มีความยาวเกือบ 20 เมตรที่มีเกล็ดสีดำไปทั่วทั้งตัวซึ่งกำลังกดตัวอยู่ที่อุ้งเท้าของสุนัขตัวใหญ่ก็ได้สบตากับมาสทิฟฟ์ด้วยดวงตารูปร่างแบบแท่งปริซึมที่ดูเป็นอันตรายก่อนจะหายตัวไปในพริบตา
เมื่อเจ้าสุนัขตัวใหญ่ได้รับอิสรภาพคืนจากการถูกควบคุม มันก็ลุกขึ้นยืนด้วยความกังวลใจ เมื่อจางลี่เฉินดึงตัวให้มันเคลื่อนที่ไปข้างหน้าคราวนี้มันกลับไปเป็นหมาเชื่อง ๆ อีกครั้งเหมือนตอนอยู่ในร้านขายสัตว์เลี้ยงอย่างว่าง่าย
หลังจากพาสุนัขกลับไปที่ถนนเส้นหลักจางลี่เฉินก็เรียกรถแท็กซี่คันหนึ่งเพื่อไปที่อู่รถขนาดใหญ่
เขาเลือกแลนด์ โรเวอร์ ดีเฟนด์เดอร์ที่แข็งแกร่งซึ่งกำลังมีขนาดที่พอเหมาะและจ่ายเงินเพิ่มไปอีก 5,000 ดอลลาร์เพื่อเปลี่ยนกระจกหน้าต่างธรรมดาให้กลายเป็นกระจกกันกระสุน ภายใน 2 ชั่วโมงทุกอย่างที่เขาต้องการก็ถูกจัดเตรียมเป็นที่เรียบร้อย เขาขับรถออกจากเมืองโฮโนลูลูและเริ่มมุ่งหน้าไปยังลานจอดรถที่อยู่ปลายทางถนนหลวงเส้นนี้
ระหว่างเดินทาง การกระทำของเขาที่คิดฆ่าแคสเดียโดยไร้ซึ่งการยับยั้งชั่งใจเมื่อเช้านี้ย่อมทำให้ตำรวจฮาวายให้ความสนใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาเตรียมตัวพร้อมแล้วสำหรับการเผชิญหน้ากับรถตำรวจและแม้แต่การสอบสวนจากตำรวจเองก็ตาม
แต่เมื่อไปถึงที่ลานจอดรถเขากลับรู้สึกงุนงงอย่างมากที่ได้เห็นทหารสหรัฐกลุ่มหนึ่งสวมเครื่องแบบอำพรางที่ทั้งกระชับและเบาตัวยืนอยู่ข้างรถหุ้มเกราะ 2 คันที่กำลังขวางถนนพร้อมกับถือปืนยาวไว้ในมือท่ามกลางอากาศร้อนของช่วงบ่ายที่ดวงอาทิตย์กำลังแผดเผา
“ทำไมถึงมีทหารมาขวางทาง? มันเป็นแค่เพียงคดีอาญาธรรมดาแค่นั้นเองนี่ และแม้จะมีคนไปบอกว่าเห็นสัตว์ประหลาดแต่เราก็ทำลายกล้องวงจรปิดไปหมดแล้วดังนั้นใครจะไปเชื่อพวกเขา… โอ้ เวรแล้ว! อย่าบอกนะว่าคนพวกนั้นคิดว่ามันคือการโจมตีของผู้ก่อการร้าย? แต่ทำไมทหารถึงได้ดำเนินการเร็วขนาดนี้นะ?” จางลี่เฉินพึมพำด้วยความงง
ขณะเดียวกัน ทหารสหรัฐและเจ้าหน้าที่แนวหน้าก็เดินด้วยท่าทีเกียจคร้านเข้าหาแลนด์ โรเวอร์ ดีเฟนด์เดอร์ก่อนจะเคาะกระจกที่ด้านข้างคนขับ
“หน้าต่างกันกระสุน…” เสียงทื่อ ๆ จากการเคาะกระจกทำให้การแสดงออกของเขาเปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึมในทันทีพร้อมยกกระบอกปืนขึ้นในเวลาเดียวกัน
อย่างไรก็ตามเขาเมื่อเขาได้เห็นใบหน้าตกใจของชายหนุ่มชาวเอเชียเมื่อลดระดับหน้าต่างลงมาเขาก็ตะลึงงันไปขณะหนึ่งก่อนจะลดกระบอกปืนลง จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงของชายหนุ่มถามมาด้วยสำเนียงอเมริกันพื้นเมืองว่า “มีการปิดกั้นถนนสายนี้งั้นเหรอครับ?”
“ใช่ กฎอัยการศึกน่ะ นายมาจากไหน? รถนายดูดีมากเลยนี่แล้วว้าว พระเจ้า! นายมีหมาตัวใหญ่ขนาดนี้ด้วยเหรอ?!”
“ผมมาจากนิวยอร์ก ผมเพิ่งซื้อทั้งรถและสุนัขเมื่อวันนี้เอง ตอนแรกผมวางแผนที่จะซื้อบ้านที่โฮโนลูลูในฤดูร้อนนี้และลองมาเป็นชาวพื้นเมืองที่ฮาวายดูสัก 3 เดือน แต่ไม่คิดว่าแค่วันแรกก็จะเจอเรื่องอะไรแบบนี้ซะแล้ว”
จากประโยคแรกจนสุดท้ายทำให้นายทหารเข้าใจได้ในทันทีว่าเด็กหนุ่มคนนี้คงจะเป็นลูกชายที่มาจากครอบครัวร่ำรวยสักครอบครัวหนึ่งในนิวยอร์ก เขาสูญเสียความสนใจในการสอบสวนลำดับต่อไปในทันที เขากลับมาจ้องมองชายหนุ่มด้วยท่าทีเกียจคร้านอีกครั้ง “หันหน้ากลับเข้าเมืองไปได้เลย ที่นี่อันตรายมาก มันไม่ใช่สถานที่ที่นายควรจะไปต่อ”
“อะไรที่อันตราย? มีผู้ก่อการร้ายงั้นหรือครับ?”
“ความลับระดับชาติ! หยุดถามไปเรื่อยได้แล้ว! เอาล่ะ หันหน้ารถกลับไปทางที่นายขับมาซะ!” ทหารโบกมืออย่างฉุนเฉียวให้จางลี่เฉินเมื่อเขาหันหลังกลับและนำเจ้าหน้าที่แนวหน้ากลับไปยืนข้างรถหุ้มเกราะตำแหน่งเดิม
ทันใดนั้นก็มีเสียงกระสุนปืนดังก้องออกมาจากป่าตามด้วยลูกธนูสามลูกที่ยิงออกมาในช่วงเวลาเดียวกัน หนึ่งในนั้นปล่อยเสียงที่แหลมชวนแสบหูก่อนจะกระแทกเข้าที่คอของเจ้าหน้าที่นายหนึ่ง
แรงโจมตีที่ทรงพลังพร้อมกับความดันเลือดในร่างกายมนุษย์ส่งผลให้ศีรษะของเจ้าหน้าที่คนนั้นลอยออกไปไกลเกือบ 10 เมตร คอที่ไร้หัวของเขามีน้ำพุที่พ่นเลือดสดไปทุกที่ทุกทาง
“เวรเอ้ย! มีคนลอบโจมตี! ยิงไปที่ป่า ยิง…”
“แต่ท่านครับ พวกเราบางคนยังอยู่ในป่า…”
“พวกเขาจะไม่ปล่อยให้ศัตรูโจมตีเราแบบนี้หากพวกเขายังมีชีวิตอยู่! ฟังคำสั่งของฉัน! โจมตีซะ!”
การสูญเสียเพื่อนร่วมชาติของพวกเขาสามคนในเวลาเดียวกันทำให้ผู้บังคับบัญชาการที่จุดตรวจออกคำสั่งให้ยิงโต้ตอบไปอย่างชาญฉลาด
ภายใต้คำสั่งของเขา ทหารก็เริ่มยิงสวนกลับขณะหลบอยู่หลังรถหุ้มเกราะ มือปืนบนรถหุ้มเกราะก็เริ่มยิงโต้ไปที่ป่าโดยใช้ปืนกลที่ติดตั้งอยู่บนยานพาหนะนั้นโจมตี
การโจมตีก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ กิ่งก้านและใบไม้ต่าง ๆ พากันกระจัดกระจายไปทุกหนทุกแห่งทันทีที่ต้นไม้ถูกกระสุนเจาะผ่านจนกลายเป็นรูพรุน
ขณะดูการจู่โจมของทหารสหรัฐผ่านทางหน้าต่างรถยนต์ จางลี่เฉินก็ถอนหายใจแล้วส่ายหัว “คุณไม่สามารถทำร้ายสิ่งมีชีวิตที่เหนือธรรมชาติพวกนั้นได้ถ้ายังเป็นกันแบบนี้”
จากนั้นเขาก็กลับรถออกไปเพื่อทำให้ดูเหมือนว่าเขากำลังจะหนี
หลังจากขับห่างออกมาได้ประมาณ 200 – 300 เมตร แลนด์ โรเวอร์ ดีเฟนด์เดอร์ก็เลี่ยงจากเส้นทางหลวงราวกับว่าคนขับสูญเสียการควบคุมไปจากเหตุการณ์ที่น่าตื่นตระหนกด้วยการมุ่งหน้าตรงเข้าไปในป่าแล้วชนกับต้นไม้เล็ก ๆ ก่อนจะหยุดชะงัก
ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดแบบนี้ไม่มีใครมาให้ความสนใจกับอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ไม่มีนัยสำคัญอะไรนี้เลย
จางลี่เฉินผู้ซึ่งคาดเข็มขัดนิรภัยไว้แล้วได้ปลอมแปลงอุบัติเหตุรถยนต์นี้ขึ้นมาก็เพื่อแกล้งทำเป็นหลบหนีออกจากสนามรบ เขาลูบไหล่อันเจ็บปวดของเขาเบา ๆ แล้วค่อย ๆ เปิดประตูรถออกไปอย่างเงียบ ๆ พร้อมปล่อยเจ้ามาสทิลฟฟ์ออกมา เขาหยิบกล้องส่องทางไกลออกมาจากเบาะหลังเพื่อสังเกตการณ์การต่อสู้ที่เกิดขึ้นอยู่ไม่ไกล
ผ่านกล้องส่องทางไกลนี้ ชายหนุ่มสามารถเห็นทหารสหรัฐที่กำลังประสบกับการบาดเจ็บล้มตายได้เป็นอย่างดี ทหารราบได้เสียสละชีวิตของพวกเขาและมีเพียงรถหุ้มเกราะติดอาวุธนี้เท่านั้นที่เหลืออยู่พลางส่งการโจมตีไปตามทิศทางของลูกศร
การได้เห็นทหารมืออาชีพใช้อาวุธสมัยใหม่ในการต่อสู้ด้วยตาตัวเองเป็นครั้งแรกแบบนี้ทำให้จางลี่เฉินตระหนักได้ว่าเขาประเมินอาวุธพวกนี้ไว้ต่ำเกินไป
แม้ว่ามันจะเป็นเพียงรถหุ้มเกราะติดอาวุธที่มีเครื่องยิงลูกระเบิดขนาดเล็กภายใต้การโจมตีเต็มรูปแบบแต่มันก็สามารถทำลายพื้นที่ป่าขนาดใหญ่ได้อย่างรวดเร็วพร้อมเปลี่ยนให้ผืนป่าธรรมดากลายเป็นทะเลเพลิง
“บ้าแล้ว! เป็นแค่รถหุ้มเกราะติดอาวุธแต่กลับทรงพลังขนาดนี้เชียว ถ้าเป็นรถติดอาวุธที่ใช้ในการต่อสู้หลักล่ะจะเป็นยังไง…” ชายหนุ่มพึมพำด้วยความตกใจ ทันใดนั้นเขาก็ได้เห็นร่างที่ดูแข็งแกร่งเคลื่อนไหวอยู่ในเปลวไฟพร้อมด้วยดาบสองเล่ม
ชายคนนั้นมีส่วนสูงที่ไม่มากเท่าไหร่นักแต่กลับดูแข็งแรงอย่างมาก สีเดิมของเกราะบนตัวเขาไม่ปรากฏให้เห็นอีกต่อไปเพราะมันกลายเป็นสีเทามอมแมมที่เปื้อนเลือดแทน
เขาได้รับความเดือดร้อนจากการบาดเจ็บสาหัสแต่การกระทำของเขายังคงคล่องแคล่วมาก ด้วยการออกวิ่งเพียงครั้งเดียวเขาก็มาปรากฏตัวอยู่ที่ด้านหน้าของรถหุ้มเกราะและซ่อนตัวตรงจุดบอดซึ่งปืนครกนี้ไม่สามารถเข้าถึงได้ อย่างช้า ๆ เขาเริ่มควงดาบสองเล่มในมือ
ขณะที่ชายคนนั้นกำลังทำการเคลื่อนไหวที่ทั้งทรงพลังและสง่างาม เสียงลมที่แหลมแสบหูก็ได้ดังก้องกังวานไปทั่วอากาศอย่างใกล้ชิดบนขอบของดาบของเขา