The Second Coming of Gluttony - ตอนที่ 197
บทที่ 197 – พาราไดซ์กับโลก (3)
คนที่ออกมาจากประตูไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากคาซุกิ ซอลจีฮูได้แสดงสีหน้าไม่เข้าใจออกมา
ทำไมคาซุกิถึงได้ออกมาจากบ้านของซอยูฮุยกันล่ะ? ทำไม?
ซอลจีฮูไกด้ยกมือขึ้นและตะโกนออกมา
“คุณคาซุกิ!”
คาซิกิที่กำลังเดินออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดได้ชะงักเท้าไปอย่างกระทันหัน หลังจากมองมาทางซอลจีฮูแล้ว เขาก็มองซ้ายขวาก่อนที่จะเดินเข้ามา
คาซุกิได้เหลือบมองมาที่ซอลจีฮู จากนั้นก็หันไปมองจางมัลดง
“ไปที่ไหนมาหรอครับ?”
“พวกเราเพิ่งจะกลับมาจากบาร์น่ะ”
“บาร์… ถ้างั้นก็มีข้อแก้ตัวอยู่สินะครับ ค่อยโล่งใจหน่อย?”
“ข้อแก้ตัว?”
ซอลจีฮูได้ส่งเสียงขึ้นมา คำพูดนี้ได้กระแทกใส่เขาราวกับฟ้าผ่ากลางแข้ง ในเวลาเดียวกันนี้ก็มีความรู้สึกไม่ดีเข้ามาในหัวของเขา
คาซุกิได้พูดขึ้นมาอย่างสงบ
“มีการโจมตีเกิดขึ้น”
“?”
“คุณซอยูฮุยถูกโจมตี”
คาซุกิได้อธิบายสถานการณ์ออกมาอย่างง่ายๆ
“…หืม?”
จากสิ่งที่ได้ยินทำให้ซอลจีฮูพูดไม่ออก
พี่สาวซอยูฮุย… อะไรนะ?
เขาคิดอะไรไม่ออก จู่ๆสมองของเขาก็ขาวโพล่น และคำพูดของเขาก็กลายเป็นติดอ่าง
“อะไรนะ… คุณหมายความว่ายังไง… ถูกโจมตี…”
“ช่วยอธิบายให้เราฟังหน่อยได้ไหม?”
เมื่อจางมัลดงได้ถามออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม คาซุกิก็ส่ายหัวออกมา
“ผมก็สับสนเหมือนท่านแหละครับ ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย ผมถูกทางราชวงศ์เรียกออกมากลางดึก…”
“แค่บอกสิ่งที่รู้มาก็พอแล้ว”
“…ได้ครับ แต่ว่าข้อมูลที่ผมรู้ก็มีจำกัดเช่นกัน นอกไปจากนี้พอผมมาถึงสถานการณ์ก็ได้ถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว”
คาซุกิได้หยุดพักสั้นๆก่อนจะถอนหายใจออกมา
“พวกเราคงจะต้องถามคุณซอยูฮุยให้มั่นใจ แต่ว่ามันดูเหมือนกับว่าเธอจะคิดไว้แล้วว่าจะถูกโจมตี”
เธอคาดเอาไว้แล้ว? ซอลจีฮูได้มองดูคาซุกิด้วยสีหน้าปวดใจ เขาไม่เข้าใจเลยว่าคาซุกิกำลังพูดถึอะไร
“ต่อสิ”
จางมัลดงได้เร่งให้คาซุกิพูดต่อ
“รอบๆ และภายในบ้านของคุณซอยูฮุยได้เต็มไปด้วยร่องรอยการต่อสู้อย่างดุเดือด”
“บุตรแห่งลูซูเรียคือนักบวช… เพราะงั้นเธอจะต้องมีคนคอยคุ้มกันอย่างลับๆแน่”
“น่าจะเป็นแบบนั้นแหละครับ นี่คือความปลอดภัยขั้นต่ำสุด แต่ว่า… มีปัญหาอยู่…”
คาซุกิได้เม้มปากเล็กน้อย
“ผู้บุกรุกดูเหมือนจะรู้ว่าคุณซอยูฮุยได้เตรียมตัวเอาไว้แล้ว”
จางมัลดงได้ขมวดคิ้วขึ้นมา
“นั่นมันหมายความว่ายังไง?”
“ผู้คุ้มกันคุณซอยูฮุยทั้งสี่คนต่างก็ทรงพลัง แต่ว่าผู้บุกรุกทั้งแปดก็ไม่ธรรมดาเลย นอกไปจากนี้…”
คาซุกิได้หยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเม้มปากอย่างไม่พอใจ
“พอผมได้เข้าไปข้างใน มีควันสารกระตุ้นการนอนหลับ และสารกระตุ้นปลุกเซ็กส์อยู่เต็มบ้าน มันดูเหมือนกับว่าพวกเขาจะได้ใช้อุบายสกปรกทุกประเภทเลย”
ซอลจีฮูได้ตัวสั่นขึ้นมา ยาปลุกเซ็กส์เป็นสารกระตุ้นที่จะกระตุ้นความต้องการทางเพศในส่วนลึกของจิตใจคนๆหนึ่งออกมา
เขาไม่อาจจะจินตนาการได้เลยว่าเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนเพิ่งจะเกิดเหตุการณ์น่าตกตะลึงขึ้นมา มันราวกับว่าเขากำลังฝันร้ายอยู่
“พี่สาวยูฮุยอยู่ไหนล่ะ!?”
“…พี่สาว?”
คาซุกิได้ขมวดคิ้วขึ้นมาก่อนที่จะมองสีหน้าซอลจีฮู และหน้าตึงขึ้นมา
“เธอสบายดี อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ถึงชีวิต”
“อย่างน้อย?”
การได้ยินคำที่มีความหมายสองแง่ ซอลจีฮูก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาอีกครั้ง
“คุณซอยูฮุยได้ติดต่อราชวงศ์กับวิหารในทันทีที่เธอสังเกตเห็นการโจมตี เหล่าทหารได้ออกทัพกันทันที และที่เธอทนอยู่ได้ก็เพราะองครักษ์ทั้งสี่คนของเธอได้เสี่ยงชีวิตช่วยเธอเอาไว้ แต่น่าเสียดายที่ผู้บุกรุกดูเหมือนจะหนีไปได้”
ซอยูฮุยตอบสนองค่อนข้างที่จะเร็ว เธอคงจะคาดเดาถึงการโจมตีเอาไว้แล้วเหมือนอย่างที่คาซุกิพูด
ไม่สิ นี่มันไม่ใช่สิ่งสำคัญในตอนนี้
แม้ว่าคาซุกิจะบอกว่าอาการไม่ถึงชีวิต แต่ว่าซอลจีฮูก็รู้สึกว่าเขาต้องยืนยันด้วยสายตาตัวเองเท่านั้นถึงจะโล่งใจได้
“ยังไงก็ตามมันยังมีจุดที่น่าสงสัยอยู่อีกหลายจุด พวกเราได้ไล่ตามพวกมันไปในทันที แต่ว่าพวกมันได้หลบหนีผ่านทางรถม้าที่จอดรออยู่นอกประตูกำแพง พวกเราพอจะสันนิษฐานได้ว่าจะต้องมีองค์กรที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีนี้แน่ๆ”
“ฉันไปดูเธอได้ไหม? ถ้าแค่นิดเดียวมันน่าจะไม่เป็นอะไร…!”
คาซุกิที่กำลังพึมพำกับตัวเองได้ส่ายหัวออกมา
“ฉันได้ยินมาว่านักบวชลูซูเรียได้ย้ายเธอไปที่วิหารแล้ว แถมเพราะการโจมตีเพิ่งจะเกิดขึ้น การไปเจอเธอในตอนนี้มันอาจจะยาก”
ยังไงก็ตามซอลจีฮูไม่ได้ฟังเขาอีกแล้ว ในทันทีที่เขาได้ยินคำว่า ‘ลูซูเรีย’ เขาก็ได้ออกวิ่งเต็มกำลังแล้ว
เขายังได้ยินเสียงคนเรียกเขาจากด้านหลัง แต่ว่าแทนที่เขาจะหันกลับไปมอง เขาได้เร่งพลังมานาขึ้นมาแทน ต่างหูเฟสติน่าก็ยังถูกใช้งานเช่นกัน เขาได้มาถึงวิหารภายในพริบตาเดียว ยังไงก็ตามการจะเข้าไปในวิหารก็เป็นอีกหนึ่งปัญหา มันเป็นอย่างที่คาซุกิได้พูดเอาไว้
“คุณเจอเธอไม่ได้”
หญิงสาวได้ขวางทางเข้าห้องพักฟื้น และปฏิเสธอย่างหนักแน่น ไม่ว่าซอลจีฮูจะขอร้องอ้อนวอนยังไง เธอก็เพียงแต่ตอบกลับมาทำนองว่า ‘กลับไป’ หรือ ‘การเจอเธอเป็นไปไม่ได้’
เมื่อซอลจีฮูไม่ยอมแพ้ไปสักที สุดท้ายแล้วหญิงสาวก็คำรามออกมา
“ไอ้บ้านี่ ฟังนะ ฉันรู้ว่านายเป็นใคร ฉันรู้ว่านายเป็นวีรบุรุษสงครามแห่งฮารามาร์ค แล้วก็เป็นคนที่พี่สาวเอาใจใส่อย่างมาก แต่ว่าปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ตัวนาย”
เมื่อเธอเรียกซอยูฮุยว่า ‘พี่สาว’ ซอลจีฮูก็เงียบลงไป
“พี่สาวก็เมายาที่เหมือนคำสาปคล้ายกันกับองครักษ์ที่คุ้มกันเธอเช่นกัน การเข้าไปใกล้เธอก็อาจจะทำให้หยินหยางเสียสมดุลไปได้ กว่าพวกเราจะทำให้เธอสงบลงได้ก็ยากอยู่แล้ว นายอยากจะเข้าไปทำให้มันพังลงหรือยังไงกัน?”
เมื่อถูกปฏิเสธเพราะปัญหาด้านสุขภาพ ซอลจีฮูจึงไม่อาจจะหาข้อแก้ตัวใดๆได้เลย
“…ผมเข้าใจแล้ว ขออภัยด้วย”
ในท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่อาจจะหาคำพูดเหมาะๆได้ และได้แต่ต้องหันหลังกลับ
“ฉันเข้าใจนะว่านายรู้สึกยังไง แต่ว่าอย่างทำให้มันวุ่นวายเกินจำเป็นเลย นายไม่ใช่คนเดียวที่จะคลั่งเพราะความโกรธหรอกนะ”
ซอลจีฮูได้ค่อยๆโดนลงบันไดโดยปล่อยหญิงสาวที่กำลังกัดฟันทิ้งไว้ด้านหลัง และเขาก็ได้เห็นจางมัลดงรีบวิ่งเข้ามา
“กลับกันเถอะ”
“…”
“เราทำอะไรไม่ได้หรอกนอกจากรอ”
ซอลจีฮูเข้าใจว่าจางมัลดงพูดถึงอะไร เขารู้ดีว่าจางมัลดงพูดถูก แต่ว่าภายในใจเขากลับร้อนรนที่ทำได้แค่ยืนเฉยๆโดยไม่ทำอะไรเลย
ความโกรธที่ไม่อาจอธิบายกำลังพุ่งพล่านอยู่ภายในตัวเขา เหมือนกับภูเขาไฟที่กำลังรอวันปะทุ เขาแทบจะไม่อาจควบคุมความโกรธเอาไว้ได้ และเปล่งเสียงแหบแห้งออกมา
“บอกผมที”
“..เรื่องอะไร?”
“อาจารย์บอกจะอธิบายให้ผมฟัง”
พูดให้ถูกคือสิ่งที่ซอลจีฮูกำลังพูดมันเป็นคนล่ะเรื่องกัน แต่ว่าในตอนนี้เขาไม่ได้สนใจเลยสักนิด
“ไมว่าผมจะคิดมากแค่ไหน ผมก็ไม่เข้าใจเลย”
“…”
“แม้ว่าอีกฝ่ายจะมากกว่า แต่พี่สาวก็มีคนคุ้มกัน… แล้วพี่สาวก็ยังมีพลังเทียบเท่ากับผู้บัญชาการกองทัพ…”
นี่คือสิ่งที่ทำให้เขาสงสัยอย่างมาก เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าซอลจีฮูที่เป็นดั่งตำนานแห่งพาราไดซ์จะเกือบถูกลอบสังหารได้ง่ายๆ
เมื่อดูเหมือนว่าซอลจีฮูจะไม่ยอมขยับเว้นแต่ว่าจะได้รับคำอธิบายที่เหมาะสม เพราะงั้นในท้ายที่สุดจางมัลดงก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาหลังจากมองเขาอยู่นาน
จากนั้นเขาก็ได้เริ่มพูดขึ้น
***
ระหว่างทางเดินกลับสำนักงานคาเพเดี่ยมย่าวก้าวของซอลจีฮูดูอันตรายเป็นพิเศษ จากการโคลนเคลนไปมาของร่างกายของเขาในทุกๆไม่กี่ก้าว มันทำให้คนที่มองดูกลัวว่าร่างกายของเขาจะล้มลงไปได้ตลอดเวลา
[คุณซอยูฮุย… กำลังทุกข์ทรมานกับอาการบาดเจ็บภายในอย่างหนัก]
เมื่อคำพูดของจางมัลดงย้อนกลับเข้ามาในหัวของเขา แขนขาของเขาก็อ่อนแรงลงไปอีกครั้งหนึ่ง
[ฉันก็ไม่ได้รู้รายละเอียดอะไรมากหนักหรอก เพราะฉันก็ได้ยินมาเพียงเท่านี้]
[โดยปกติแล้วพิธีกรรมจะเป็นการดึงพลังมาใช้โดยแลกกับค่าตอบแทนที่สูง เนื่องจากว่าเธอได้ใช้เวทย์ระดับ 9 ในสภาพที่อ่อนแรง เธอคงจะต้องได้ผลสะท้อนกลับที่รุนแรงจนน่ากลัว]
[หากว่าเป็นไปได้เธอก็คงรักษาตัวไปแล้ว แต่ว่าจากที่เธอได้บอกฉัน เธอได้สูญเสียความสามารถในฐานะผู้บริหารไปรวมถึงความสามารถในฐานะนักบวชอีกด้วย ในตอนนี้คุณซอยูฮุยไม่ได้ต่างไปจากนักบวชระดับต่ำที่เทียบไม่ได้แต่กระทั่งแรงค์เกอร์ระดับสูง]
[เธอได้ข้อร้องไม่ให้ฉันบอกนาย เธอบอกว่านายจะทุกข์ใจเพราะความรู้สึกผิด…]
ในท้ายที่สุดความเจ็บปวดก็ได้เข้ามาในหัวของซอลจีฮู ศัตรูจะต้องได้รับข้อมูลเรื่องอาการบาดเจ็บของซอยูฮุย และเข้าโจมตีเธอในสภาพที่เธอกำลังอ่อนแอ
‘แต่ว่าทำไมล่ะ…?’
หลังจากมาถึงสำนักงานแล้ว ซอลจีฮูก็ได้มองไปที่อาคารที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เขายังจำถึงสิ่งที่ซอยูฮุยบอกกับเขาในตอนที่เขาอยู่ในห้องพักฟื้นได้
[ฉันได้ฟื้นตัวแล้ว ฉันไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการใช้ชีวิตประจำวันเลย]
ทำไมเขาถึงไม่รู้ตัวเร็วกว่านี้? ไม่สิ เขาไม่ได้คิดมันเลยด้วยซ้ำไป?
ขณะเดินขึ้นบันไดไป ซอลจีฮูก็กำหมัดแน่นไปด้วย พอมาคิดดูแล้วมันก็ไม่มีทางที่ซอยูฮุยจะไม่มีปัญหาอะไรแน่ๆ
แต่ว่าทำไมเขาถึงได้ไม่คิดเรื่องอาการของเธอ และไปเยี่ยมเธออย่างสบายใจ ยิ่งคิดตัวของเขาก็ยิ่งสั่นสะท้านกับความโง่เง่าของตัวเอง
เขาได้เปิดประตูขึ้นด้วยลมหายใจแรง แสงสว่างจ้าได้เข้ามากระทบที่ดวงตาของเขา
มีอยู่สองคนที่กำลังนอนอยู่บนโซฟา โชฮงได้ล้มตัวนอนอยู่ด้วยสีหน้าแรงระเรื่อ ในขณะที่ฟีโซรากำลังนั่งดื่มเหล้าอยู่เงียบๆ
สายตาของพวกเขาได้สบกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นขณะที่ซอลจีฮูกำลังจะเดินผ่านไป-
“อย่าได้วอกแวก”
น้ำเสียงไม่แยแสได้ทำให้เขาชะงักไป
“เจ้าพวกโง่ที่หาเรื่องที่บาร์ก็น่าจะเป็นแค่ส่วนหางเท่านั้น ส่วนหางที่สามารถจะตัดทิ้งได้ตลอดเวลา”
ซอลจีฮูได้ค่อยๆหันหน้าไปหาฟีโซรา เธอกำลังเอาปากออกมาจากขวดเหล้า และพูดออกมา
“เป้าหมายของพวกเขาก็คือการปั่นหัวนาย ในทันทีที่นายตกหลุมพรางของพวกเขา และโต้ตอบไป พวกเขาก็เท่ากับทำตามเป้าหมายสำเร็จไปแล้ว”
เพราะเหตุผลบางอย่างเขาได้นึกถึงคำพูดหนึ่งในอดีต
[ทำไมทุกๆคนถึงได้เอาแต่รังควานฉันล่ะ?]
…สิ่งที่เขาเคยคุยกับคิมฮันนาห์
“คุณฟีโซรา”
ซอลจีฮูได้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เบาลง
“คุณแข็งแกร่ง และใจเย็น”
ฟีโซราได้ยิ้มขึ้น
“ทำไมล่ะ มันไม่เข้ากับฉายา ‘ตัวปัญหา’ ของฉันล่ะสิ?”
เธอได้พูดต่อด้วยรอยยิ้ม
“พวกตรงๆเลยนะ นี่มันไม่ใช่ปัญหาของฉันเลยสักนิด นายคิดว่าฉันมันทึ่มเหมือนกันงั้นหรอ?”
ซอลจีฮูได้จ้องเขม็งไปที่ฟีโซราที่กำลังเยาะเย้ยออกมา เขาเคยมองเธอว่าเธอทึ่ม นั่นมันก็เพราะว่าการกระทำของเธอมักตรงไปตรงมาเหมือนกับคนที่ไม่คิดอะไรเลย
“น้องชายน้องสาวจากกุหลาบขาวไม่เคยเรียกฉันแบบนั้นแม้แต่ครั้งเดียว และตอนนี้ก็เหมือนกัน”
ยังไงก็ตามในตอนนี้ซอลจีฮูได้มองเธอต่างออกไปแล้ว พูดให้ชัดก็คือเขาเริ่มมองเธอในมุมใหม่ๆนับตั้งแต่ที่พวกเขาได้คุยกันที่ร้านอาหาร
“นายรู้ไหมว่าในตอนที่ฉันแข็งแกร่ง และเริ่มสร้างชื่อให้กับตัวเอง มันมีพวกแมงเม่าเริ่มเข้ามาหาฉันมากแค่ไหนกัน? เหมือนอย่างเจ้าพวกโง่ในวันนี้น่ะ”
ฟีโซราได้ฝืนยิ้มออกมา
“ฮ่าห์ แม้กระทั่งในตอนนี้มันก็ยังดูไร้สาระเลย… ยังไงก็ตามย้อนไปในตอนนั้น ฉันไม่ได้ห้ามตัวเองไว้เลย บางครั้งฉันก็สาปส่งพวกเขารุนแรงยิ่งกว่าพวกเขาดูถูกฉันซะอีก บางครั้งฉันกระทั่งอัดพวกเขาจนป่นปี้ด้วยซ้ำไป””
“…”
“แล้วก่อนที่ฉันจะรู้ตัว ฉันก็ได้รับฉายา ‘ตัวปัญหา’ ขึ้นมาซะแล้ว เมื่อฉันไม่ได้เปลี่ยนการกระทำของฉันสักนิด ภาพลักษณ์ของฉันก็ได้เริ่มเสถียรขึ้นมา ทั้งหมดนี้ฉันถูกทำเหมือนกับเป็นมังกรที่ผงาดขึ้นมาจากกองซากขยะ”
ฟีโซราได้เขย่าขวดเหล้า และหยักไหล่ออกมา
“นั่นแหละคือสิ่งที่มันเป็น”
ซอลจีฮูได้ถามออกมา
“…แล้วคุณไม่โมโหเลยหรอ?”
“ทำไมจะไม่โมโหล่ะ? แต่ว่าฉันยอมแพ้ไปแล้วล่ะ”
ฟีโซราได้ถอนหายใจออกมา จากนั้นก็นอนแผ่ลงไปบนโซฟา
“หลับไปเถอะ อย่าได้ไปมัวเสียพลังงานเลย หากว่านายร้อนรนเกินไปแบบนี้ นายจะอยู่ได้ในพาราไดซ์ได้ไม่นานเพราะเหนื่อยไปเอง”
ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมาโดยไม่พูดอะไร จากนั้นเขาก็เดินกลับไปที่ห้อง และนอนลงไปบนเตียง แม้ว่าร่างกายของเขาจะเหนื่อยล้า แต่ว่าเขากลับนอนไม่หลับ
เมื่อคนโกรธ กล้ามเนื้อใบหน้าจะสั่นไหว และผิวหนังจะร้อนขึ้นมา ในตอนนี้ซอลจีฮูก็รู้ว่าตัวเขากำลังอยู่ในสภาพนี้มานานแล้ว
การอดทนมันไม่ใช่เรื่องยาก การรอคอย และมองดูสิ่งต่างๆให้เป็นไปคือทางเลือกหนึ่ง
แต่ปัญหาคือสมองของเขามันไม่ยอมหยุดคิด และมีคำถามพุ่งเข้ามาไม่หยุด
‘ใคร?’
ใครกันที่สั่งให้ชายคนนั้นกวนโมโหเขาที่บาร์? แล้วมีเป้าหมายคืออะไร?
‘ทำไม?’
ทำไมองค์กรลึกลับถึงได้ใช้วิธีซ่อนตัวโจมตีซอยูฮุย?
‘พี่สาวซอยูฮุยไม่ใช่คนที่จะไปสร้างความแค้นกับใครด้วย’
นอกไปจากนี้…
‘ไม่ใช่ว่าเราทุกคนอยู่ทีมเดียวกันหรอกหรอ?’
นับตั้งแต่ที่พวกเขาเข้ามาในพาราไดซ์ ชาวโลกทุกคนก็จะได้รับหน้าที่เดียวกัน ทุกๆคนโดยไม่มีข้อยกเว้น พวกเขาต่างก็จะมีศัตรูคนเดียวกัน ราชินีปรสิตจะเป็นคนที่ยินดีมากที่สุดเลยหากว่าซอยูฮุยตายไป
หลังจากกลิ้งพลิกตัวอยู่นาน ในที่สุดซอลจีฮูก็ลุกขึ้นมาจากเตียง ขณะที่เขากำลังเดินเป็นวงกลมในห้อง จู่ๆเขาก็เห็นกองกระดาษอยู่มุมหนึ่ง
นั่นก็คือบันทึกที่เอียนได้ทิ้งเอาไว้ เป็นสิ่งที่เอียนได้บอกให้เขาใช้เวลาอ่านมัน
ซอลจีฮูได้จ้องมองอยู่บนบันทึกราวกับความคิดของเขาตกอยู่ในภวังค์ จากนั้นเขาก็เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ และค่อยๆลูบไล้หน้าปกสีซีดๆ เขาได้ค่อยๆขยับมืออย่างเหม่อลอย
‘หากว่าอาจารย์เอียนอยู่ที่นี่…’
หลังจากหวนนึกถึงคนที่จากไปแล้ว ซอลจีฮูก็ค่อยๆเปิดหน้าแรกขึ้นมา รายมือที่คุ้นเคยได้ปรากฏขึ้น-
-อัล ซาราห์ (อิรัก)
…ชื่อ นี่เป็นชื่อที่เขาไม่รู้จักเลย ด้านล่างมีคำอธิบายถูกเขียนเอาไว้อยู่
-นักธนู ชาวโลกคนแรกที่ได้กลายเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูง เธอได้ถูกจดจำในฐานะของผู้ที่มีส่วนร่วมในการสร้างเสถียรภาพที่สกีเฮราซาร์ด และบุกเบิกดินแดนใหม่ เพื่อเป็นเกียรติยศให้กับความสำเร็จของเธอ ตระกูลราชวงศ์จึงตั้งชื่อเมืองใกล้ๆว่าซาราห์
‘นี่มันอะไรกัน?’
ซอลจีฮูได้อ่านต่อไป
-อัลวาโร่ สโคเกอร์ (ฟิลิปปินส์)
ผูู้ก่อตั้งองค์กรระหว่างประเทศขนาดใหญ่ แพ็ค โดยมีภารกิจในการทำงานเพื่อสันติภาพในพาราไดซ์
เขาได้รับภารกิจสนับสนุนทั่วทั้งภูมิภาคในพาราไดซ์โดยไม่แบ่งแยกใดๆ เขายังเป็นชาวโลกที่ชักจูงตระกูลราชวงศ์ว่ามนุษย์ควรจะเข้าร่วมมือกับสหพันธรัฐ
-เอเลนอร์ ลูน่า (อังกฤษ)
อัจฉริยะในการสำรวจซากโบราณสถานการณ์ เธอได้ค้นพบซากโบราณสถานจำนวนนับไม่ถ้วยด้วยทักษะการสืบค้นที่น่าทึ่ง และได้ก่อตั้งสมาคมการค้าขนาดใหญ่โดยใช้เงินจากการขายอาร์ติแฟค
มีการอ้างว่าในช่วงที่ชาวโลกไม่อาจจะปรับตัวกับพาราไดซ์ได้ง่ายๆกับแค่การมีบทฝึกสอนกับเขตพื้นที่เป็นกลาง เพราะงั้นเธอจึงได้ใช้เงินของตัวเองก่อตั้งโรงเรียนสอนของแต่ล่ะคลาสขึ้นมา เเธอยังเป็นแรงผลักดันให้เกิดสองผู้บริหารขึ้นจากเบื้องหลังอีกด้วย
-โจชัวร์ คาฟลิน (เยอรมนี)
จบการศึกาจากสถาบันลูน่า และเป็นผู้บริหารคนแรก ถูกเลือกโดยเทพแห่งความเกียจคร้าน
หลังจากค้นพบถึงแผนการในการทำให้ดินแดนอาณาจักรคาปี้ซานแปดเปื้อน และกระจายโลกระบาดของราชินีปรสิต เขาจึงได้เข้าโจมตีอาณาจักรคาปี้ซาน
เอาชนะกองทัพศัตรูหกครั้งด้วยพลังของตัวเอง เขาได้พิชิตอาณาจักร และชำระล้างดินแดนที่แปดเปื้อนให้บริสุทธิ์
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์นี้ซ้ำขึ้นอีก และเพื่อที่จะสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรมนุษย์สัตว์ เขาได้เป็นตัวตั้งตัวตีในการแนะนำให้ราชวงศ์ทั้งหมดร่วมมือกันทำให้อาณาจักรคาปี้ซานเป็นฐานปฏิบัติการณ์