The Second Coming of Gluttony - ตอนที่ 200
บทที่ 200 – พาราไดซ์กับโลก (6)
ท้องฟ้าได้มิดครึ้ม และปกคลุมไปด้วยเมฆสีดำจนทำให้บรรยากาศดูมัวหมอง
อากาศยามเย็นได้พัดผ่านผิวหนังให้ความรู้สึกชื้นอบอ้าวจนดูเหมือนกับว่าจะมีฝนหรือหิมะตกลงมาได้ตลอดเวลา
ฮ่าวอวิ่นได้จุดบุหรี่ที่ปากก่อนที่จะยืดห่อขึ้นมา
“เกือบจะหน้าหนาวแล้วสินะ”
หน้าหนาว ซอลจีฮูได้มองขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้งหนึ่ง
เขาไม่เคยคิดเรื่องหน้าหนาวในพาราไดซ์เลย ทุกๆครั้งที่เขาเข้ามา เขาจะคิดว่ามันเป็นหน้าร้อนอยู่ตลอดเวลา
พอมาคิดแบบนี้แล้วมันก็ค่อนข้างที่จะไร้สาระดี
“หากว่าไม่ได้เตรียมตัวสำหรับหน้าหนาว มันก็คงจะเป็นความลำบากอันยาวนานเลยล่ะ”
พูดไปแล้วพาราไดซ์คือดาวเคราะห์ เป็นโลกใบหนึ่งจริงๆ มันมีฤดูกาล ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ออกซิเจน มหาสมุทร และมีกระทั่งผู้คนจำนวนมากมายรวมอยู่ด้วยกัน
จู่ๆที่คิดแบบนี้ ซอลจีฮูก็ยิ้มบางออกมา
หากว่าเขาเป็นคนดังบนโลก เขาก็อาจจะได้ประสบการณ์ที่คล้ายๆกันแบบนี้ก็ได้
หากว่าเขากลับไปที่โลก และหาข่าวหรือบทความเกี่ยวกับคนดัง เขาก็คงจะเจอเหตุการณ์ที่คล้ายๆกันกับที่เขาได้เจอนับไม่ถ้วนแน่ และเพราะแบบนี้โลกทั้งสองจึงเหมือนกัน
จะมีความต่างอยู่ก็แค่วิถีชีวิต และวัฒนธรรมเท่านั้นเอง
…ใช่แล้ว
ทั้งพาราไดซ์กับโลก
“นี่คือเหตุผลที่เราจะย้ายฐานปฏิบัติการณ์ เพื่อเตรียมตัวสำหรับหน้าหนาว”
ฮ่าวอวิ่นที่กระชับผ้าพันคอได้เริ่มเดินออกไปตามทางเดิน ซอลจีฮูได้มองดูแผ่นหลังของเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะออกเดินตามไป
“จริงๆแล้ว ฉันเคยคิดว่ามันมีเศษเสี้ยวของความหวังอยู่ ความเป็นไปได้ที่จะหวนคืนความรุ่งเรืองในอดีตกลับคืนมา”
นี่คือเรื่องที่ซอลจีฮูเคยได้ยินบ้างแล้วในก่อนหน้านี้
เมื่อก่อนซันเหอเป็นองค์กร์ที่ได้แข่งขันกับซิซิเลียอย่างดุเดือดในฮารามาร์ค ยังไงก็ตามพวกเขาก็ถูกผลักออกไปจากการแข่งขันเพราะความขัดแย้งภายในที่กระจายไปจนถึงบนโลก
“แต่ว่าในสงครามนี้ ซินเซียได้เผยออกมาแล้วว่าเธอคือผู้บริหาร ฮ่าห์! นักเวทย์ แถมยังเป็นดวงดาวแห่งความเกียจคร้าน แค่แคลร์ แอ็กเนสเราก็สู้ไม่ไหวแล้ว เพราะงั้นตอนนี้ไม่ว่าจะคิดยังไง มันก็ไม่มีทางที่เราจะเหนือกว่าซิซิเลียได้เลย”
ฮ่าวอวิ่นได้พูดออกมาราวกับเยาะเย้ยตัวเอง
“เพราะงั้นเราก็เลยตัดสินใจยอมแพ้ ซิซิเลียเปรียบเทียบได้กับ ‘ราชา’ ในฮารามาร์คไปแล้ว ด้วยเวลาและความพยายามที่เธอได้ลงทุนมันไปกับฮารามาร์คได้ทำให้เธอประสบความสำเร็จในการควบคุมทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังของเมือง เว้นก็แต่ว่าเขาจะไปอยู่ใต้ร่มใบของพวกเขา เราก็ไม่อาจจะทำอะไรได้อีกแล้ว”
ฮ่าวฮวิ่นได้พึมพำว่านี่มันมากเกินไปสำหรับพวกเขาที่ครั้งหนึ่งเคยมีอำนาจเท่าเทียมกัน
ซอลจีฮูได้ฟังอยู่เงียบๆโดยไม่คิดอะไรออกมา พร้อมทั้งคิดถึงสิ่งที่ซินเซียเคยพูดกับเขา
[ที่นี่มาเข้าเรื่องเลยนะ หากว่าซันเหอหมายความอย่างที่พูดจริงๆ ถ้างั้นวิธีการสร้างกำไรของพวกเขาก็ไม่น่าจะขัดแย้งกับเรา]
[พวกเขาก็มีกองกำลังสำรองเหมือนกัน นับตั้งแต่ที่เราเข้ามาในพาราไดซ์ และได้ทำหน้าที่เดียวกัน ซิซิเลียก็จะเป็นกำลังใจให้พวกเขาหากพวกเขาไม่ได้ขัดแย้งกับเรา นายเข้าใจทั้งหมดนี่นะ?]
‘นี่คือสิ่งที่เธอจะบอกสินะ’
บางทีฮ่าวอวิ่นอาจจะวางแผนย้ายถิ่นฐานมานานแล้วก็ได้ และเมื่อความลับของซินเซียได้เผยออกมาจึงเป็นการทำให้การตัดสินใจสุดท้ายเกิดขึ้นมา
ซอลจีฮูรู้สึกอิจฉาฮ่าวอวิ่นอยู่เล็กน้อยเมื่อเขาคิดเรื่องนี้
เขาคงจะต้องอยู่ในจุดที่ยากลำบากที่ต้องแบกรับความรับผิดชอบในการฟื้นฟูซันเหอ และในสถานการณ์นี้ฮ่าวอวิ่นก็ได้ตัดสินใจออกมาอย่างกล้าหาญที่จะล่ะทิ้งฐานที่พวกเขาอยู่เป็นเวลานาน
เขาจะต้องมีความเชื่อมั่นในพลังของกลุ่มที่เขานำอยู่ขนาดไหนกันนะ
ในสถานการณ์ปัจจุบันซอลจีฮูก็หมดหนทางเช่นกัน เขาจะตัดสินใจอะไรแบบนั้นได้ไหมนะ?
“เอาเถอะนะ ฉันก็จะไปนั่นแหละ แต่ว่า…”
ควันสีขาวได้ลอยคลุ้งออกมาจากปากที่ปล่อยลมหายใจออกมาของฮ่าวอวิ่น
“หากว่านายอยู่ในเมืองมันก็คงจะดี”
ซอลจีฮูได้สติกลับมาอีกครั้งหลังจากได้ยินคำพูดนี้
“สำหรับนายแล้ว ฮารามาร์คคือที่ที่ปลอดภัยที่สุดที่นายอยู่ได้แล้ว”
เขาไม่ได้พูดผิดเลย แต่ว่าทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงแรงต่อต้านที่จู่ๆก็ระเบิดออกมา
“สิ่งที่นายกำลังจะพูดคือ…”
ซอลจีฮูได้เพิ่มความเข้มแข็งของน้ำเสียงขึ้นอีก
“นั่นคือหากว่ามีอะไรเกิดขึ้นอีก ฉันก็ควรจะอยู่เฉยๆ แล้วก็แค่ป้องกันตัวงั้นหรอ?”
ฮ่าวอวิ่นได้ชะงักไปจากคำพูดที่กระทันหันนี้ และค่อยๆวางเท้าลง
“พูดตรงๆเลยก็ใช่ นายจะต้องทำเหมือนกับที่ทำในตอนนี้”
เขาได้พูดต่อด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
“อย่าได้คิดว่ามันผิด นี่มันไม่มีทางเลือกอื่น โลกมันก็เป็นแบบนี้แหละ”
“ไม่ ไม่เลย มันไม่ใช่”
ฮ่าวอวิ่นได้ระเบิดหัวเราะออกมาเบาๆกับคำปฏิเสธของซอลจีฮู
“นี่ฉันเจ้ากี้เจ้าการไปสินะ?”
“ไม่ มันไม่ใช่แบบนั้น”
ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมา และบอกถึงเรื่องราวของบันทึกที่เขาได้อ่าน
“หืมมม”
ฮ่าวอวิ่นได้ฟังอยู่เงียบๆก่อนจะพูดออกมา
“มันก็เป็นทฤษฎีที่น่าสนใจดีนะ ฉันจำได้ว่าไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อนเลย”
และก่อนที่ซอลจีฮูจะได้พูดว่า ‘อะไรนะ?’ ฮ่าวอวิ่นก็ขัดขึ้นมา
“แต่ไม่ว่าเราจะพูดถึงเรื่องบันทึกในอดีตพวกนั้นยังไงกันตาม มันก็ไม่ได้มากไปกว่าเรื่องราวที่น่านึกถึงหรอกนะ”
“…”
“นั่นเพราะว่าเราจะต้องเปลี่ยนคำๆนี้ มันจะไม่ใช่แค่ ‘เมื่อก่อน’ อีกต่อไป แต่เป็น ‘ตอนนี้’”
ไม่ว่าเมื่อก่อนจะเป็นยังไง แต่ว่าโลกก็ยังเป็นตอนนี้ ความเป็นจริงว่าพาราไดซ์กำลังอยู่กับตอนนี้มันยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่นิด
ฮ่าวอวิ่นได้เดินต่อไป และเดาะลิ้นออกมา
“โลกที่ผู้คนเอาแต่แสวงหาความอิสระและความสำเร็จของตนเอง โยนความชอบธรรม และความรับผิดชอบทิ้งไปหมด เป็นโลกที่ถูกพิษร้ายจากความเห็นแก่ตัว”
ขณะที่ซอลจีฮูหมดคำพูดไป…
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงอากาศเย็นแต่จมูก เขาได้ลูบจมูกโดยอัตโนมัติ จากนั้นก็เห็นหงดน้ำบนมือ และเอียงหัวออกมา
‘หิมะ’
หิมะกำลังตก
หิมะกำลังโปรยปรายลงมาจากบนท้องฟ้า
“…นายพูดถูก”
ซอลจีฮูได้พึมพำออกมาโดยที่มองดูหิมะกำลังโปรยปรายออกมาเหมือนกับเศษกระดาษ
“ฉันมันน่าสมเพช”
“?”
“ฉันสาบานกับตัวเองไว้ว่าจะไม่หนีอีก…”
แต่ในท้ายที่สุดเขาก็กำลังหนีอีกครั้ง เขาต้องหนีไปอีกเท่าไหร่การหลบหนีของเขาถึงจะสิ้นสุดลง?
ฮ่าวอวิ่นได้หยุดก้าวเท้า
“เพราะงั้น?”
“…ทำไมหรอ?”
ฮ่าวอวิ่นได้ถอนหายใจยาวออกมา
“ฉันขอโทษที่ต้องพูดแบบนี้นะ แต่ว่า- ฉันค่อยๆคิดว่าการคุยกับนายมันเสียเวลา”
เขาได้หันกลับมามองหน้าซอลจีฮู
“การคุยกับนายมันทำให้ฉันนึกถึงเรื่องราวของโจโฉ”
“ฮ่าวอวิ่น?”
“โจโฉที่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงตามคำเชิญของรัฐมนตรีหวังผู้ที่ต้องทนกับการปกครองอันกดขี่ของตั๋งโต๊ะ โจโฉได้ถามพวกเขาว่าการร้องไห้หรือโกรธแค้นมันจะทำให้มีใครฆ่าตั๋งโต๊ะเพื่อพวกเขาไหม มันจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้กันล่ะ”
ซอลจีฮูได้กระพริบตาออกมาอย่างไม่เข้าใจ
“และเมื่อเขาได้รับดาบเจ็ดดาวอันล้ำค่า เขาก็ได้ทำการลอบสังหาร แม้ว่าเขาจะทำล้มเหลว แต่โจโฉก็ไม่ได้ยอมแพ้ และกลับไปที่ฐานทัพก่อนจะยกทัพมา”
“…”
“ซอล… ไม่สิ ซอลจีฮู เพื่อของฉัน”
ฮ่าวอวิ่นได้ค่อยๆเดินเข้ามาหาเขา
“มันเป็นเรื่องดีที่นายจะโกรธกับความพ่ายแพ้ การดูถูกตัวเอง และนึกย้อนถึงสิ่งที่ตัวเองกระทำไปมันก็เป็นเรื่องดีนะ แต่ว่านะ-“
น้ำเสียงของฮ่าวอวิ่นได้ค่อยๆสูงขึ้นมา
“แต่ว่า… มันมีแค่เท่านี้งั้นหรอ?”
ซอลจีฮูได้ยืนอยู่กับที่ และมองฮ่าวอวิ่นที่กำลังเข้ามาใกล้
“ไอ้พวกสารเลวที่ยั่วยุนายที่บาร์ นายไม่อยากจะหาตัวบงการ และบังคับให้พวกมันคุกเข่าหรอ?”
เขาต้องการ
“ไอ้พวกสารเลวที่ลอบโจมตีบุตรแห่งลูซูเรีย นายไม่อยากจะตามรอยไอ้สารเลวพวกนั้น แล้วทำลายพวกมันหรอ?”
เขาต้องการจะทำ
“ไอ้สารเลวที่ล่ะทิ้งหน้าที่ ไม่ได้เข้าร่วมสงคราม การได้เห็นพวกมันชูหัวอย่างภาคภูมิใจมันไม่ทำให้นายรู้สึกขยะแขยงหรอ?”
เขาอยากจะจับหัวของพวกนั้นมาและกระแทกมันกับพื้น
“ไอ้พวกสารเลวที่แอบวางแผนทำล้ายคนอื่นเพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการ นายไม่อยากจะรวบรวมพวกมัน แล้วฆ่าทิ้งให้หมดหรอ?”
แน่นอนว่าเขาอยากจะทำ แต่ว่าแค่เขาต้องการทำมันด้วยมือของตัวเองโดยไม่มีใครช่วย
ฮ่าวอวิ่นได้มาหยุดลงตรงหน้าซอลจีฮู เขาได้ถอดแว่นกันแดดออกไป และเก็บเอาไว้ในเสื้อโค้ท ดวงตาเป็นประกายของเขากำลังจ้องมองมาที่ซอลจีฮู
“เพราะงั้นสิ่งที่ฉันอยากจะพูดคือ…”
และฮ่าวอวิ่นได้ถามออกมา
“นายไม่มีความคิดอยากที่จะเป็นราชาหรอ?”
‘ราชา…’
ฮ่าวอวิ่นได้อธิบายถึงทาเซียน่า ซินเซียในฐานะราชา และในความเป็นจริงแล้วแค่พูดถึงชื่อของเธอก็ทำให้ชาวโลกตัวสั่น และหนีไป
เมื่อคิดถึงน้ำหนักอันมหาศาลที่อยู่หลังคำๆหนึ่งแล้ว ซอลจีฮูก็ได้ปิดตาลงอยู่ครู่หนึ่ง และเปิดมันอีกครั้งพร้อมเสียงถอนหายใจยาว
“นายคิดว่าฉัน…”
ฮ่าวอวิ่นได้ขัดเขาคิด
“…ฉันคิดว่านายทำมันได้ไหมน่ะหรอ? อย่าถามเลย มันไม่มีความสงสัยอยู่เลยแม้แต่นิด”
“…”
“มันไม่มีทางที่คนที่เคยทำความสำเร็จอย่าง -สังหารผู้บัญชาการกองทัพปรสิตเป็นแคนแรก- จะไม่มีคุณสมบัติหรอกนะ เพียงแต่ว่ามันจะขึ้นอยู่กับว่านายจะทำหรือไม่ทำเท่านั้นเอง”
เขาจะทำหรือไม่ทำ ซอลจีฮูได้กลายเป็นสับสนขึ้นมา
[นายไม่อาจจะหยุดแค่การคิดหรอกนะ นายจะต้องพูดมันออกมา และแสดงมันผ่านการกระทำ จากนั้นนายถึงจะปกคลุมทีมของนายด้วยกลิ่นและสีสันของมันได้]
[หัวหน้าไม่ใช่คนที่ถูกคนอื่นวางเอาไว้ในตำแหน่งนั้น แต่ว่าหัวหน้าเป็นคนที่อยากจะกลายเป็นหัวหน้าด้วยตัวเอง]
ซอลจีฮูได้มองฮ่าวอวิ่นด้วยสีหน้าเหม่อลอย เขาได้เห็นใบหน้าของเอียนเข้ามาซ้อนทับกัน
ฮ่าวอวิ่นได้เอียงหัวออกมา
“แล้วนายต้องการไหมล่ะ?”
คำพูดของเขาชัดเจนมาก หากว่าซอลจีฮูยังไม่เข้าใจอีก เขาก็คงจะผิดหวัง
สร้างกองกำลัง
กลายเป็นหัวหน้า รวมเพื่อนร่วมทีมที่มีเป้าหมายร่วมกัน และสร้างเป็นองค์กร
จากนั้นก็จับมือกับองค์กรอื่นๆเพื่อปักหลังในเมือง
เมืองที่เขาจะกลายเป็นราชาได้
นั่นคือจุดเริ่มต้นของคลื่นการเปลี่ยนแปลงในพาราไดซ์
ความเงียบที่ไม่มีแม้กระทั่งเสียงหายใจได้เข้าปกคลุม
หิมะได้ตกลงมารอบๆตัวพวกเขาอย่างเงียบๆ มันค่อยๆกองกันสูงขึ้นมาจนย้อนสวนให้กลายเป็นสีขาวก่อนที่พวกเขาจะรู้ตัว หากว่ามันยังตกอย่างนี้โดยไม่หยุด ถ้างั้นทั้งพื้นที่ก็จะต้องกลายเป็นทุ่งหิมะในสักวันหนึ่ง
ซอชจีฮูได้มองไปที่หิมะก่อนจะพูดออกมา
“ที่งานจัดเลี้ยง… ฉันได้คุยกับเทพทั้งเจ็ด ในตอนที่พวกเขาได้ยินสิ่งที่ฉันพูด พวกเขาขำกันออกมา”
ในตอนนั้นมันไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะหัวเราะออกมา
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว ในตอนนั้นเขายิ่งผยองขนาดไหนกันทั้งๆที่ไม่ได้รู้ถึงความเป็นไปของโลกเลยด้วยซ้ำ
“ในตอนที่ฉันคุยกับพวกเขา ฉันยังไม่ได้รู้เลยว่าที่นี่เป็นสถานที่แบบไหน…”
งานจัดเลี้ยงเป็นที่อยู่นอกเหนืออิทธิพลของกฎแห่งกรรม เขาก็ไม่อยากจะยอมรับมัน แต่มันคือความเป็นจริง แม้ว่าเขาจะรักในพาราไดซ์ แต่ว่าจากสิ่งที่เขาได้เห็นในแค่สองวันนี้ก็ทำให้เขาหน่ายกับมันแล้ว
แต่ว่าเขาก็ไม่คิดจะวิ่งหนีไปแบบนี้ เขาไม่อยากจะหนีอีกแล้ว
กฎแห่งทองคำกำลังบอกกับเขา
อย่าหยุดตัวเองไว้
เอาคืนไปเหมือนกับที่เขาได้รับมา
และเพื่อที่จะทำแบบนั้น เขาจะต้องมีพลัง เขาต้องการในอำนาจและกองกำลังที่มากยิ่งกว่าที่มีในตอนนี้
ในตอนที่เขาคิดแบบนี้ พลังก็ได้ปรากฏขึ้นในดวงตาเขา
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้ใช้ความสามารถนี้หลังจากที่ความสามารถโดยกำเนิดพัฒนาขึ้น
สีของนพเนตรที่แสดงออกมาจากฮ่าวอวิ่นคือ… สีคราม
บุกเบิกชะตากรรม
ซ่าาาห์!
และซอลจีฮูก็ได้เห็นมันอย่างชัดเจน
อนาคตที่นพเนตรกำลังแสดงมันให้เขาเห็น
มันไม่ใช่มีแค่ฮ่าวอวิ่นในสายตาเขา เขายังเห็นตัวเขาเองกับฝูงชนกลุ่มใหญ่ที่ส่งเสียงเชียร์เขา
ราชา
หัวหน้าที่เป็นผู้นำและปกครองประเทศ
ราชันที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุด บัญชาการกองทัพที่น่าสะพรึง และได้รับความเคารพนับถือจากทุกๆคน
ซอลจีฮูคิดยังไงหลังจากเห็นภาพนี้งั้นหรอ?
“…”
ชายหนุ่มยังคงอยู่เงียบ เขาเพียงแค่มองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสายตาสุขุมก่อนจะค่อยๆหลับตาลงไป
เขาได้เห็นอนาคตอย่างชัดเจน ปัญหาคือเขามีความมุ่งมั่นที่จะทำตามอนาคตนั่นให้สำเร็จหรือเปล่า
เขามีแรงบรรดาลใจ ในตอนนี้เขามีแรงบรรดาลใจพอแล้ว
หากว่าเขาสามารถเลี่ยงไม่ให้ถูกบงการโดยคนที่เขาไม่รู้กระทั่งใบหน้า…
หากว่าเขาสามารถยกย่องสิ่งที่ดี และลงทัณฑ์สิ่งที่ผิด…
หากว่าเขาสามารถทำให้พาราไดซ์กลับไปเป็นเหมือนแต่ก่อน ทำให้เป็นโลกที่ผู้คนจะทำตามบัญญัติทองคำ…
“จริงๆแล้ว…”
หากว่าเขาสร้างโลกแบบนั้นขึ้นมาได้…
ซอลจีฮูได้ลืมตาขึ้นหลังจากเงียบอยู่นาน ดวงตาของเขาได้เปล่งประกายสะท้อนแสงจันทร์ท่ามกลางเกล็ดหิมะจนเป็นเหมือนกับดวงตาที่ชวนฝัน
รอยยิ้มได้ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเขา
“มันฟังดูดีนะ”
และดั่งเช่นที่ฮ่าวอวิ่นได้เผยความคิดออกมา-
“การกลายเป็นราชา”
ซอลจีฮูก็ได้ประกาศออกมาอย่างมั่นใจเช่นกัน
“…ใช่ไหมล่ะ?”
ฮ่าวอวิ่นได้เผยรอยยิ้มสดใสออกมา
และในเวลาเดียวกันแสงสีครามที่โอบล้อมรอบตัวเขาก็ได้ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีใหม่ที่เปล่งประกายสีเหลือทอง
“ใช่แล้ว”
ฮ่าวอวิ่นได้ยกมือที่กำลังเปล่งประกายสีทองขึ้นมา และวางมันลงบนบ่าของซอลจีฮู
“นี่แหละคือสิ่งที่ฉันอยากได้ยิน”