The Second Coming of Gluttony - ตอนที่ 207
บทที่ 207 – ล่าทาส (1)
อายาเสะ คาซุกิกับเทเรซ่า ฮัสเซ่ย์ได้ตอบรับเขาร่วมปฏิบัติการแล้ว ด้วยการได้นักธนูแรงค์เกอร์ระดับสูง และนักรบมาเข้าร่วมได้ทำให้ซอลจีฮูรู้สึกมั่นใจในความสำเร็จมากยิ่งขึ้น
ในคืนนั้นซอลจีฮูได้บอกแผนปฏิบัติการกับเพื่อนของเขา เขาได้บอกถึงข้อมูลที่ได้รวบรวมมาจากห้องสมุด และได้ทำให้เพื่อนร่วมทีมเขาต้องใจด้วยการพูดถึงคาซุกิกับเทเรซ่าที่จะมาเข้าร่วมด้วย
แน่นอนว่าขั้นตอนปกติแล้วควรที่จะบอกกับเพื่อนร่วมทีมก่อนที่จะไปรับความช่วยเหลือจากภายนอก แต่ว่านี่มันก็ไม่ได้สำคัญอะไร นั่นเพราะว่าโชฮงฮงกับฮิวโก้ต่างก็ไฟติดพร้อมจะลุยแล้ว
ปฏิกิริยาของเพื่อร่วมทีมเขาเป็นไปอย่างที่ซอลจีฮูคิดไว้
“ตกลง ตกลง โครตจะตกลงเลย”
“กรี๊ดดด! ในที่สุดเราก็จะมีเงินสักก้อนแล้ว!”
โชฮงได้ชูมือขึ้นและเต้นออกมา ในขณะที่ฮิวโก้ได้ยิ้มกริ่มหัวเราะออกมา
ในเวลาเดียวกันมาแชล จิโอเนียก็มองดูสองคนนี้แปลกๆ
ตามปกติแล้วส่วนใหญ่การสำรวจและปฏิบัติการมักจะล้มเหลวมากกว่าสำเร็จ หากวัดเป็นค่าตัวเลขแล้ว อัตราความล้มเหลวก็คือ7:3
แต่ว่าจากท่าทางของโชฮงกับฮิวโก้แล้ว มันราวกับว่าพวกเขาได้ทำปฏิบัติการสำเร็จไปแล้วซะอีก เหมือนกับว่าพวกเขามั่นใจกันมากว่ามีโบราณสถานอยู่ที่นั่น
จางมัลดงที่กำลังมองดูแผนที่ได้พึมพำออกมาเบาๆ
“เขตพรมแดน…”
ซอลจีฮูได้เลิกคิ้วขึ้น
“มีปัญหาหรอครับ?”
“มันชัดเจนว่านายควรจะระวังหน่อย แต่ว่าการไปที่นั่นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอก ยังไงที่นั่นมันก็แค่เขตพรมแดนเท่านั้นเอง แต่ว่านายก็อย่าได้เข้าไปลึกแล้วกัน ที่นั่นมันเป็นเขตของสหพันธรัฐอยู่กึ่งหนึ่งนะ”
“สหพันธรัฐเกลียดมนุษย์ที่รุกล้ำเข้าไปในเขตของพวกเขาหรอครับ?”
“มันก็แล้วแต่ล่ะนะ บางเผ่าพันธุ์ก็ใจกว้างและเข้าใจในมนุษย์ แต่ว่าบางเผ่าพันธุ์ก็ไม่ชอบ บางคนอาจจะปล่อยพวกนายไปโดยไม่สร้างปัญหาหากว่าเขารู้ว่านายแค่ผ่านทาง หรือบางคนก็อาจจะไล่ตามนายต่อโดยที่คิดว่านายเป็นผู้บุกรุก”
“แต่ว่าเราไม่ใช่พันธมิตรกันหรอครับ? มันไม่ใช่ว่าตราบใดที่เราไม่เริ่มโจมตีก่อนก็โอเคแล้วหรอครับ?”
ซอลจีฮูได้พูดออกมาในแง่ดี แต่ว่าจางมัลดงได้ส่ายหัวออกมาในทันที
“เรื่องนั่นมันก็มีอยู่นั่นแหละ แต่ว่าสหพันธรัฐกับมนุษย์ก็เคยทำสงครามกันด้วยซ้ำ สหพันธรัฐเป็นกลุ่มก้อนของเผ่าพันธุ์จำนวนนับไม่ถ้วนที่มารวมกัน แม้ว่าสมาชิกส่วนใหญ่ของพวกเขาจะประกอบขึ้นมาจากห้ากลุ่ม แต่ว่านั่นมันก็แค่ผิวเผินเท่านั้นเอง หากว่าให้ลงลึกล่ะก็มีแค่พันธมิตรมนุษย์สัตว์ที่…”
ขณะที่จางมัลดงมองขึ้นไปบนกำแพง เขาก็ค่อยๆเริ่มหุบนิ้วเขามาก่อนที่จะส่ายหัวออกมาในตอนท้าย
“ยังไงก็ตามพยายามอย่าไปทำอะไรโง่ๆแล้วกัน เผ่าพันธุ์ต่างๆต่างก็มีมุมมองและให้ค่ากับมนุษย์ที่ต่างกัน การจัดการกับสถานการณ์ตามแต่กรณีนั่นคือสิ่งสำคัญ”
ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมากับคำแนะนำของจางมัลดง
“ในแง่นั้นแล้วการขอให้คุณเทเรซ่าร่วมเดินทางกับนายเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมเลย เพราะว่าราชวงศ์ฮารามาร์คได้ทำการติดต่อกับสหพันธรัฐอย่างต่อเนื่อง… แล้วก็…”
จางมัลดงได้เหลือบไปมองสองพี่น้องยี่ที่กำลังนั่งเงียบอยู่ข้างๆ
“แล้วนายจะเอายังไงกับสองคนนี้ล่ะ?”
ซอลจีฮูได้มองไปที่ทั้งคู่ด้วยความกังวล ยีซังจินดูจะอยากจะติดตามพวกเขาไปด้วย ในขณะที่เขาอ่านอะไรไม่ได้เลยจากสีหน้าของยี่ซอลอา
ซอลจีฮูได้พูดขึ้นมา
“ผมคิดว่ามันยังเร็วเกินไป หากว่าเราจะไปในเขตของมนุษย์มันก็คงเป็นคนล่ะเรื่อง แต่ว่าปฏิบัติการครั้งนี้ของเขาจะเป็นที่เขตพรมแดนของสามอำนาจ แม้ว่าในตอนนี้ปรสิตจะยังคงต้องพักอยู่ แต่ว่าหากมีอะไรเกิดขึ้น….”
คำพูดช่วงท้ายของซอลจีฮูได้ขาดหายไป ภายในดวงตาของยี่ซังจินได้มีประกายความผิดหวังออกมา และยี่ซอลอาก็ถอนหายใจออกมาอย่างเคืองใจ
เขายังได้ยินเสียงแค่นของฟีโซราจากด้านข้างอีกด้วย
“จะยังไงมันก็อันตรายเกินไป อย่างน้อยที่สุดพวกเขาจะต้องอยู่ระดับ 4 ที่นั่นไม่ใช่ที่ที่ระดับ 1 หรือ 2 จะไปได้”
เมื่อได้ยินแบบนี้…
“ฮิวโก้ ฉันรู้จักคนที่ยืนกรานจะไปเขตพรมแดนของทั้งสามอำนาจในตอนเขายังอยู่แค่ระดับ 1 อยู่นะ นายจำเขาได้ไหม?”
โชฮงได้ถามออกมา
“อ่อ! รู้จักสิ หมอนั่นไง หมอนั่นคนที่ไม่ได้เข้าร่วมสงคราม แล้วอาสาตัวเองไปเป็นเหยื่อล่อปรสิตด้วยตัวเอง? ตอนนั้นเขายังเพิ่งอยู่ระดับ 1 เองมั้ง”
และฮิวโก้ได้ตอบกลับมาในทันที
ซอลจีฮูไม่ได้สนใจพวกเขา และพูดต่อไป
“การเก็บเกี่ยวประสบการณ์เป็นเรื่องดี แต่ว่าอย่างที่พูดไป เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราไม่อาจจะดูแลพวกเขาได้ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด”
“เอาเถอะนะ ถ้างั้นระหว่างนายไม่อยู่ฉันจะฝึกพวกเขาเพิ่มเอง”
จางมัลดงได้กัดฟันและตอบกลับมา มันดูเหมือนว่าเขาจะพยายามอย่างมากที่จะกลั้นขำเอาไว้
จากนั้นเมื่อซอลจีฮูหันไปมองโชฮงกับฮิวโก้ที่กำลังหัวเราะอยู่ ฮิวโก้ก็กลั้นขำเอาไว้และถามกลับมา
“ซอล นายจะไม่พานักบวชไปด้วยหรอ?”
“แน่นอนว่ามีสิ ฉันคิดว่าจะไปหาเธอพรุ่งนี้”
“จะไปหาเธองั้นหรอ?… มาเรียสินะ?”
“ใช่แล้ว”
ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมา และโชฮงกับฮิวโก้ก็หยุดขำในทันที จากนั้นพวกเขาก็ดูจะไม่เต็มใจ
“เอ่อ อืมม… ฉันไม่รู้สิว่ามันจะดีไหมนะ”
“ทำไมล่ะ?”
“ฉันก็ไม่รู้ หลังจากสงครามจบเธอดูเหมือนจะบ้าไป…”
ซอลจีฮูเบิกตากว้างขึ้นมา
“คุณมาเรียบ้าไป?”
ฮิวโก้ได้หยักไหล่ออกมา
“ฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไม เธอเอาแต่พล่ามเรื่องการลงทุน และจากนั้นมันก็ล้มละลายไปก่อนที่จะได้ถอนทุน…”
ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมา จากนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าเขาลืมเรื่องของมาเรียไปเลย
“วันพรุ่งนี้ฉันจะไปเจอเธอแล้วกัน หากว่าเธอทำตัวแปลกๆ ถ้างั้น…”
ซอลจีฮูได้พึมพำออกมาอย่างคลุมเคลือราวกับว่าสิ่งที่เขาได้ยินมันยากที่จะเชื่อได้
“เราจะกำหนดวันเดินทางคือห้าวันนับจากนี้ ฉันจะไปบอกเจ้าหญิงเทเรซ่ากับคุณคาซุกิเอง เพราะงั้นเตรียมตัวกันไว้นะ”
“รับทราบ!”
“โอเค!”
โชฮงได้ลุกขึ้นตะโกนออกมา ในขณะที่ฟีโซราตอบกลับพร้อมประสานมือเข้าด้วยกัน
จางมัลดงได้หันมาหาพี่น้องยี่และพูดขึ้น
“ทั้งคู่ก็เตรียมตัวออกไปไว้ด้วยนะ”
“หืม? แต่ว่าเราไม่ได้-“
“มันไม่ใช่ปฏิบัติการ แต่เป็นภูเขาหินยักษ์”
“อ่า!”
ยี่ซังจินได้สะอึกไป
มาแชล จิโอเนียได้ปรบมือและภาวนาให้กับสองพี่น้อง
ซอลจีฮูยังเห็นยี่ซอลอากำลังจ้องไปที่ฟีโซราที่กำลังเหยียดตัวอีกด้วย
ในตอนนี้มันถึงเวลาเหมาะที่จะบอกกับเธอแล้ว
“ซอลอา มาคุยกับฉันหน่อยนึงได้ไหม?”
“หืม? อ่า ค่ะ!”
ยี่ซอลอาได้ตอบกลับก่อนที่จะยิ้มอย่างสดใส และกระโดดขึ้นมา
***
ซอลจีฮูได้พายี่ซอลอาขึ้นมาที่ชั้นดาดฟ้า
“เธออยากจะไปกับเราใช่ไหม?”
“อ่า… ฮ่าฮ่า”
ยี่ซอลอาไม่ได้ยอมรับหรือว่าปฏิเสธ เธอทำเพียงแค่ยิ้มแห้งๆเท่านั้น
“มันช่วยไม่ได้นะ หากว่าทำได้ฉันก็จะพาเธอไปด้วย แต่ว่านี่ก็เป็นปฏิบัติการแรกของฉัน พวกเรามีข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ที่จะไปน้อยมาก”
“นั่นมันจะไม่อันตรายไปหรอกคะ?”
“ใช่แล้วล่ะ แต่ว่าเราต้องไป”
ซอลจีฮูกำลังคิดจะบอกเธอเรื่องการย้ายไปที่อีวาก่อนที่จะตัดสินใจอย่างอื่นอีก
มันคงไม่สายเกินไปที่จะบอกเธอหลังจากกลับมาจากปฏิบัติการ
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันรู้ว่ามันเพราะฉันยังมีความสามารถไม่พอ ระหว่างคุณพี่ไม่อยู่ ฉันจะฝึกให้หนักเอง”
“เยี่ยมมาก คราวหน้าเราจะไปด้วยกันแน่นอน”
เธอไม่ได้ดูผิดหวังมากขนาดนั้นเหมือนกับยี่ซังจิน ซอลจีฮูได้ตัดสินใจที่จะเข้าเรื่องทันที
“แล้วก็นะเรื่องของคุณฟีโซรา”
รอยยิ้มของยี่ซังจินได้ชะงักไปในทันที
“มันดูเหมือนว่าเราจะต้องร่วมงานกันไปสักพัก”
ยี่ซอลอาได้หลับตาแน่น เธอก็พอจะเดาไว้แล้ว แต่ว่าการมาได้ยินด้วยตัวเองก็ยังทำให้เธอตกใจอยู่ดี
“มันอาจจะยังไม่เกิดขึ้น แต่ว่าก็มีโอกาสที่เราจะรับเธอเข้าทีม ตอนแรกฉันก็ไม่ได้คิดแบบนั้นหรอกนะ แต่ว่าฉันได้มาเปลี่ยนใจหลังจากสงคราม คุณฟีโซราได้บอกถึงสิ่งที่เธอต้องการออกมาอย่างชัดเจน”
ซอลจีฮูได้บอกว่าคาเพเดี่ยมไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่จะเรื่องมากได้ และบอกถึงการที่ได้ชาวโลกที่ทรงพลังเพิ่มมาอีกคนจะแตกต่างไปจากเดิมขนาดไหน
ยี่ซอลอาได้ฝืนยิ้มออกมา
“อ๊า คุณพี่ไม่ต้องบอกเราทุกๆอย่างก็ได้ค่ะ แค่ทำตามที่ต้องการได้เลย ฉันไม่เป็นไร”
ซอลจีฮูได้จ้องไปที่ยีซอลอา
“โอเค แต่ว่าไม่ต้องกังวลไปนะ สิ่งที่เกิดขึ้นในกุหลาบขาวจะไม่เกิดขึ้นอีก ฉันได้บอกเธออย่างชัดเจนแล้ว”
“แล้วถ้าเธอทำอีกละค่ะ? คราวนี้ฉันจะไม่อยู่เฉยแล้ว!”
ยี่ซอลอาได้กำหมัดแน่นและพูดออกมาอย่างมั่นใจ
ซอลจีฮูได้หัวเราะออกมาเบาๆ
“ฉันรู้ถึงประวัติระหว่างพวกเธอนะ เพราะงั้นฉันจะไม่บอกให้พวกเธอเข้ากันให้ดี แต่ว่า…”
‘ฉันได้คุยกับเธอ และเธอก็ไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไร มันอาจจะใช้เวลาแต่ว่าลองพัฒนาความสัมพันธ์ดูนะ’
ซอลจีฮูได้กลืนคำพูดเหล่านี้ลงคอไป เขารู้สึกเหมือนกับว่าการพูดออกไปแบบนี้มันจะคล้ายกันกับในตอนที่เขาเกือบจะบังคับให้ฟีโซราต้องขอโทษออกมา
มันไม่มีอะไรจะอ่อนไหวไปกว่าเรื่องความสัมพันธ์อีกแล้ว เพราะงั้นตอนนี้ซอลจีฮูได้ตัดสินใจถอยออกมาก่อน แทนที่จะเข้าไปสร้างปัญหาเพิ่ม การปล่อยให้เวลาเป็นตัวแก้ปัญหาคงจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด บางทีทั้งสองคนอาจจะทำงานร่วมกันได้ในสักวันเองก็ได้
หลังจากจัดการกับความคิดแล้ว ซอลจีฮูก็กล่าวลา และหันหน้าไป
ยี่ซอลอาไม่ได้จากไปทันที เธอได้ยืนนิ่งและสูดหายใจออกมาก่อนที่จะเดินเม้มปากแน่นลงไป
เมื่อเธอได้กลับมาถึงห้อง ยี่ซังจินก็ได้นั่งรอเธออยู่
“พี่สาวไปคุยอะไรกับพี่ชายหรอ?”
“ไม่มีอะไรหรอก มันก็แค่เรื่องปฏิบัติการน่ะ”
ยี่ซอลอาได้ตอบกลับไปเหมือนกับมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร จากนั้นเธอก็นอนลงไปบนเตียง
“พวกเราไม่ได้ไปร่วมปฏิบัติการใช่่ไหมครับ”
“คุณพี่บอกว่าคุณพี่ไม่ได้รู้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับที่นั่นเลย เพราะงั้นมันอันตรายเกินไป แต่ว่าคุณพี่ก็บอกว่าเราจะได้ไปกับเขาในปฏิบัติการต่อไป
ยี่ซังจินได้หยักหน้าอย่างอดไม่ได้
“ฟู่ววว เราต้องรีบแกร่งขึ้นจะดีกว่า ในตอนนี้เราก็เป็นได้แค่ตัวถ่วงของพี่ชายเท่านั้นเอง”
ยี่ซอลอาได้หน้ามุ่ยขึ้นมา
“คุณพี่ก็ยังบอกว่าคาเพเดี่ยมก็จะอยู่กับพี่สาวไปอีกสักพัก คุณพี่บอกว่ายังไม่ได้ตัดสินใจ แต่ว่ามันดูเหมือนคุณพี่จะรับเธอเข้าทีมมา”
น่าแปลกที่ยี่ซังจินดูไม่ตกใจเลย
“ผมก็คิดไว้แล้ว ผมได้ยินมาว่าเธอทำได้เยี่ยมมากในระหว่างสงคราม”
“งั้นหรอ? ฉันก็ยังไม่ชอบเลย ในตอนแรกคุณพี่ทำเหมือนจะไม่รับพี่สาวเข้าทีม แล้วในตอนนี้…”
ยี่ซังจินได้ผงะไป ยี่ซอลอาได้กลอกตาไปด้านข้าง และมองมาที่เขา
“น้องเห็นด้วยไหมล่ะ?”
“…พี่สาว”
น้ำเสียงของยี่ซังจินได้เบาลงไป
ยี่ซอลอาได้หันมามองเขาด้วยสีหน้าประมาณว่า ‘ทำไมถึงมองฉันแบบนั้นล่ะ?’
“พี่สาวคงไม่ได้หมายถึงว่าไม่ชอบสิ่งที่พี่ชายทำใช่ไหม?”
“หืม? ทำไมล่ะ?”
“ก็ที่พี่เพิ่งพูดไปไง ที่พี่บอกว่าไม่ชอบ แล้วก็การที่พี่ชายทำเหมือนกับว่าจะไม่รับเธอเข้าทีม”
“อ๊า แน่นอนว่าใคร! น้องคิดว่าฉันเป็นใครกัน?”
จากนั้นเธอก็ได้ถามออกมาด้วยสีหน้าไร้เดียงสา
“แต่ทำไมถึงจะคิดไม่ได้ล่ะ?”
“ใช่แล้ว ไม่ได้ พี่ทำไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด”
ด้วยการตอบกลับอย่างหนักแน่นของยี่ซังจินได้ทำให้ยี่ซอลอาเอียงหัวออกมา
“ทำไมล่ะ? เราเป็นเพื่อนร่วมทีมกันนะ”
“จุดยืนเราต่างออกไปนะพี่ พูดจริงๆแล้ว เราก็เป็นแค่ตัวถ่วงของพี่ชายเท่านั้นเอง”
“แต่ว่า-“
“นี่ไม่ใช่ทีมของเรา แต่ว่าเป็นทีมของพี่ชาย”
ยี่ซอลอาได้แสดงสีหน้าออกมาราวกับว่าเธอพูดไม่ออก จากนั้นเธอก็ยกตัวขึ้นมาอย่างไม่พอใจ
“ซังจิน พี่แค่ไม่ชอบคนๆนั้น น้องก็รู้นี่”
“ผมรู้ ผมก็ไม่ชอบเธอเหมือนกัน แต่ว่าพี่ชายก็ไม่ได้ต้องสนเรื่องที่ว่าเราขอบเธอไหมนี่นา ทั้งสองเรื่องนี้มันคนล่ะเรื่องกัน”
“เพราะงั้นน้องกำลังบอกว่าเราก็แค่ต้องเห็นด้วยกับสิ่งที่คุณพี่พูดงั้นหรอ?”
“แน่นอนว่าพวกเขาก็ท้วงได้ หากว่าพวกเราถูกกลั่นแกล้ง”
ยี่ซังจินได้พูดออกมาอย่างสงบ
“แต่ว่าเราก็ไม่เคยถูกกลั่นแกล้งแม้แต่ครั้งเดียวนับตั้งแต่ที่เราเข้าคาเพเดี่ยมมา แล้วก็พี่ชายก็ไม่ใช่คนที่จะปล่อยอะไรไว้ด้วยนะ”
ยี่ซอลอาดูเหมือนกับว่าเธอไม่อาจจะเข้าใจเรื่องนี้ได้เลย
“แล้วนี่น้องจะพูดอะไรกันล่ะ?”
ยี่ซังจินได้ถอนหายใจออกมา
“…พี่สาว ผมก็ชอบพี่สาวแบบนี้นะ แต่บางครั้งพี่ก็ตื่นตูมไปหน่อย”
“…”
“ผมก็แค่หวังว่าเราจะไม่ล้ำเส้นไป”
ยี่ซังจินได้พึมพำออกมาในขณะที่ค่อยๆหลบตาออกไป
ยี่ซอลอาได้จ้องยี่ซังจินอยู่นานก่อนที่จะกลับไปนอนลงบนเตียง เธอได้ดึงผ้าห่มขึ้นมาจนคลุมหัวเธอ
“ผมก็แค่บอกว่าเราควรที่จะรีบแกร่งขึ้น ด้วยวิธีนี้เราจะได้รักษาจุดยืน และมีสิทธิ์มีเสียงขึ้นมาได้”
ยี่ซอลอาไม่ได้ตอบกลับมา
‘ฉันพูดมากเกินไปหรือเปล่านะ?’ ยี่ซังจินได้เกาหัวขึ้นมา
“พวกเราจะเป็นแบบนี้ตลอดไปไม่ได้ นี่คือพาราไดซ์”
ด้วยแบบนี้ยี่ซังจินก็ถอนหายใจยาว และปิดไฟลง
“…ฉันรู้”
เมื่อความมืดเข้าปกคลุมเสียงพึมพำเบาๆก็ดังออกมาจากผ้าห่ม
***
วันต่อมา
ซอลจีฮูได้ออกจากสำนักงานคาเพเดี่ยมในตอนประมาณช่วงบ่าย
เขาได้มาเจอมาเรีย
เมื่อเขาได้ขอเข้าพบที่แผนกต้อนรับ หญิงสาวนักบวชที่แผนกต้อนรับก็เผยสหน้าไม่เต็มใจ เธอได้รีบเดินไปเหมือนกับลูกหมูถูกลากไปเชือด จากนั้นก็กลับมาในเวลาไม่ถึงห้านาที
สิ่งหนึ่งที่ควรรู้ก็คือผมที่เรียบร้อยของเธอได้ยุ่งเหยิงขึ้นมา
“ฉะ ฉันบอกเธอแล้ว”
“ผมเข้าไปได้ไหม?”
ก็ได้… แต่ว่าฉันแนะนำว่าอย่าเลย… แต่ก็ทำตามใจเถอะนะ”
นักบวชได้หลบสายตาของเขา
ดูเหมือนจะมีอะไรแปลกๆ แต่ว่าซอลจีฮูก็เดินเข้าไปโดยไม่ลังเล
จริงๆแล้วความเห็นของซอลจีฮูที่มีต่อมาเรียก็ไม่ได้แย่เลย ใช่แล้ว เธอชอบในเงิน แต่ว่าเขาก็ไม่คิดว่านั่นจะทำให้เธอถูกเรียกว่าคนบ้าทั้งหก
[…ความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ได้บอกว่าจะไว้ชีวิตเธอหากว่าเธอเผยตัวตนของนาย แต่ว่าเธอก็ปิดปากเงียบและทุบเขาด้วยโยเนียร์]
สิ่งที่โชฮงได้บอกกับเขาก็มากพอจะยืนยันในความซื่อสัตย์ของเธอแล้ว
‘เธอมีความสามารถ ซื่อสัตย์ แล้วก็ยึดมั่นในหลักการตอนที่เธอเอาจริง
[พี่ชาย ฉันอาจจะหน้าเงิน แต่ว่าฉันก็เป็นผู้หญิงที่ดีและมีศีลธรรม]
[หากว่าเป็นการสำรวจหรือปฏิบัติการก็เป็นคนล่ะเรื่อง แต่ว่านี่คือสงคราม มันเป็นหน้าที่ที่เราทุกคนต้องทำ… พี่ชายคิดจะทำให้ฉันเป็นยัยหน้าไม่อายหรอ?]
เมื่อนึกถึงคำพูดในวันนั้น ซอลจีฮูก็ยิ้มออกมา เขาได้หยิบอาร์ติแฟคออกมาจากกระเป๋า และเดินตัดเข้าไปในห้องโถง
“คุณมาเรีย! นี่ผมเองนะ!”
เมื่อเขาได้เข้ามาหน้าห้องของมาเรีย และเคาะประตู…
-กรี๊ดดดดดดด!
ทันใดนั้นเสียงร้องก็ดังออกมา พร้อมๆกันกับเสียงบางอย่างตกและกระแทก
“คุณมาเรีย?”
ซอลจีฮูได้รีบเปิดประตูเข้าไป จากนั้นเขาก็ต้องเอียงหัวในทันที นั่นมันก็เพราะขวดเหล้าได้ลอยเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว
เคร๊ง! ขวดได้ลอยออกไปชนกับกำแพงและแตกเป็นชิ้นๆ
ซอลจีฮูได้มองเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าสับสน
ห้องยังคงเละเหมือนเคย มาเรียดูเหมือนอยู่ระหว่างเก็บของ และถูกจับได้ในระหว่างกำลังจะหนี
“มะ มีอะไรหรอ? คุณไม่เป็นไรนะ?”
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด!”
เมื่อซอลจีฮูได้เดินเข้าไป มาเรียก็รีบคว้าขวดเหล้ารอบตัว และเริ่มโยนออกมามั่วไปหมด
“ยะ อย่าเข้ามา!”
“เคร๊ง!”
“ไปซะ! ไสหัวไป! ได้โปรด!”
เคร๊ง!
“นายมันปีศาจดวงซวย! นายกำลังจะทำให้ฉันถังแตกอีกแล้ว!”
เคร๊ง!
ยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งทำให้หลบขวดได้ยากขึ้นจนซอลจีฮูต้องเปิดใช้งานพรแห่งเซอร์คั่มเพื่อสร้างโล่ขึ้นมา จากนั้นเขาก็มองดูมาเรียที่กำลังหวาดกลัวและทำอะไรไม่ถูก
“คะ คุณมาเรีย?”
“กรี๊ดดดดดดดดด!”
มาเรียได้กุมหัวของเธอและร้องออกมาสุดเสียง จากนั้นเธอก็พึมพำคำที่เข้าใจยากออกมาก่อนที่จะคุ้ยพื้นห้อง
“ไสหัวไป! ฉันบอกให้ไสหัวไป!”
เธอดูเหมือนกับจะบ้าไปแล้วจริงๆ
“นายจะอยู่อีกนานแค่ไหนถึงจะพอใจ…?”
ขณะที่มาเรียกำลังถีบเท้าถอยออกไป สายตาของเธอก็ได้เห็นสิ่งของในมือของซอลจีฮู เธอกำลังมองมาที่อาร์ติแฟครูปใบกางเขนที่มือซ้ายของซอลจีฮู
‘นั่นมัน….’
ดวงตาของเธอได้สั่นไหว
ทำไมเขาถึงเอามันมา?
ในพริบตาเดียวหัวสมองของมาเรียก็ประมวลผลอย่างรวดเร็ว และได้ข้อสรุปออกมา
เธอลังเลอยู่แค่ครู่เดียวเท่านั้น ต่อมาร่างกายของเธอก็ขยับตามสัญชาตญาณโดยปล่อยขวดเหล้าทิ้งไป ทรุดตัวลงอย่างไร้เรี่ยวแรง เธอได้บิดใบหน้า เม้มปาก และเอาเลือดออกมาจากหัว จากนั้นก็ชะดิ้นชะงอเหมือนกับปลาเกยตื้น
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างกระทันหันเหมือนกับเธอเคยทำมานับครั้งไม่ถ้วน
“คุณมาเรีย!”
ซอลจีฮูได้รีบวิ่งเข้าไปพยุงเธอเอาไว้ เสียงครางได้ดังออกมาจากปากของมาเรีย
“คุณไม่เป็นไรนะ”
ซอลจีฮูได้สั่นเธออย่างแรง และผมสีบลอนด์ของเธอก็ส่ายไปมาอย่างไร้พลัง
“…อ่า…”
เธอได้ค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบากเหมือนนางเอกที่เป็นโรคร้าย ริมฝีปากที่มีรอยกัดของเธอสั่นไหว เธออได้กระพริบตาอยู่หลายครั้งก่อนที่จะมองซอลจีฮูด้วยความสับสน
“คุณเข้าใจผมใช่ไหม?”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล มาเรียก็จับมือซ้ายของซอลจีฮูเอาไว้
ไม่นานนัก… เธอก็ค่อยๆขยับปากออกมา
“พี่… ชาย?”
น้ำเสียงที่อ่อนแรง และสั่นเทาได้ดังขึ้น