The Second Coming of Gluttony - ตอนที่ 211
บทที่ 211 – ประโยชน์ที่คาดไม่ถึง (2)
รถม้าได้ขับผ่านพรมแดน และเข้าสู่พื้นที่พรมแดน ทีมปฏิบัติการได้ลงมาจากรถม้า และเริ่มเดินเท้าไปที่จุดหมาย
ในระหว่างเดินทางพวกเขาไม่ได้ถูกมอนสเตอร์แม้แต่ตัวเดียวเข้าโจมตีแล้ว จริงๆแล้วพวกเขาถึงขนาดยังไม่เคยเห็นมอนสเตอร์สักตัวด้วยซ้ำไป
นี่มันเพราะว่าพื้นที่นี้เป็นที่ที่มนุษย์กับสมาชิกของสหพันธรัฐใช้กันบ่อยๆ ซึ่งต่างไปจากป่าแห่งการปฏิเสธที่เป็นเขตพรมแดนระหว่างปรสิตกับมนุษย์ มอนสเตอร์ส่วนใหญ่ของที่นี่ได้ถูกจัดการกวาดล้างออกไปเป็นร้อยๆพันๆครั้งแล้ว
ผลก็คือทีมปฏิบัติการสามารถจะเดินทางโดยไร้อุปสรรคได้จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน
“พระเจ้า มันเกือบจะมืดแล้วนะ ทำไมเจ้าพวกนั้นมันช้าจังเลยล่ะ? หากว่าพวกเขาตั้งใจจะหอกให้พวกเรากลัว แล้วก็ไม่ให้เรานอนหลับจะทำยังไง?”
โชฮงได้บ่นออกมาหลังจากที่โดยที่บอกว่าสหพันธรัฐอาจจะลอบโจมตีพวกเขาหลังจากที่ทำให้พวกเขาหมดแรง
ซอลจีฮูไม่ได้พูดอะไรเลยนั่นเพราะเขาก็รู้ดีว่าเธอก็แค่บ่นออกมาตามภาษาคนที่เบื่อกับการเดินทางเท่านั้นเอง
‘ทำไมพวกเขายังไม่มาอีก…?’
จริงๆแล้วซอลจีฮูก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ คำว่า ‘ห้ามนอนหลับ’ ยังคงติดอยู่ในใจของเขา
พวกเขายังอยู่ห่างไกลจากเป้าหมาย หากว่ายังเป็นแบบนี้ต่อไปพวกเขาก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินทางในตอนกลางดึก
ในตอนนั้นเองจู่ๆคาซุกิที่กำลังนำทางกลุ่มอยู่ก็หยุดนิ่งไป
“คุณคาซุกิ?”
เงียบ
ซอลจีฮูได้รีบเดินออกไปข้างหน้า คาซุกิยังคงยืนเงียบและมองตรงไปข้างหน้า มันราวกับว่าเขากำลังบอกว่า ‘นายเห็นนี่ไหม?’
และไม่นานนักคาซุกิก็พูดออกมาเบาๆ
“…ขอโทษ”
ทุกๆคนต่างก็สงสัยขึ้นมากับคำขอโทษที่กระทันหันของเขา
“ฉันพยายามตั้งสติเอาไว้แล้ว…”
เม็ดเหงื่อเย็นๆได้ไหลออกมาจากแก้มของคาซุกิ
“แต่ว่ามันดูเหมือนว่าเราจะถูกล้อมแล้ว”
ซอลจีฮูได้ค่อยๆมองไปรอบๆตัวเขา ซ้าย ขวา ข้างหน้า และข้างหลัง เขามองเห็นแค่ต้มไม้หนา และต้นหญ้าเท่านั้นเอง
ลมเย็นยะเยือกได้พัดผ่านมา
“โฮ่!”
เสียงอุทานตื่นเต้นได้ดังออกมาสั้นๆพร้อมกับสายลมที่พัดผ่านมา
ดวงตาซอลจีฮูได้เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย เขามองไม่เห็นใครเลย แต่เขาก็ยังได้ยินเสียงอย่างชัดเจน
“นายมีสัมผัสที่ยอดเยี่ยมมากมนุษย์”
โชฮงได้ยกแท่งเหล็กหนามขึ้นมาในทันที และตั้งท่าเตรียมต่อสู้ เทเรซ่าได้ดึงโชฮงถอยไป จากนั้นก็ตะโกนขึ้นมา
“คุณยังไม่ได้รับการติดต่อจากเบื้องบนหรอ? พวกเราคือ-!”
“เรารู้”
เสียงยืนยันอย่างสงบได้ดังออกมา ซอลจีฮูได้จดจ่ออยู่กับเสียงนี้
“แต่ว่ามันมีปัญหาอยู่เล็กน้อยที่ทำให้เราไม่ได้เผยตัวกับพวกนาย”
น้ำเสียงแหบแห้งแต่ไม่ค่อยชัดเจนได้ดังออกมา มันเป็นเสียงที่ทุ้มลึก จริงๆแล้วมันคล้ายกับเสียงของนักรบที่ทรงพลัง
“นายช่วยยืนนิ่งๆโดยไม่ถามหรือเรียกร้องอะไรได้ไหม? แน่นอนว่า เราจะบอกว่านายควรทำตามที่เราพูด”
“นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกัน?”
“ไม่มีทาง”
โชฮงได้สะบัดเทเรซ่าออกไปอย่างไม่พอใจ และยกไม้กระบองขึ้นอย่างไม่พอใจ มาแชล จิโอเนียก็ยังตั้งท่าเตรียมเหนียวไกหน้าไม้ทุกเมื่อ ทั้งคู่ต่างก็มีมุมมองของสหพันธรัฐในแบบของตัวเอง แต่ไม่ว่าจะยังไงพวกเขาก็ไม่มีวันยืนอยู่นิ่งๆตามที่บอกหลังจากถูกล้อมเอาไว้แน่ๆ
“หากว่าเธอไม่เห็นด้วย เราก็ได้แต่ขอให้เธอออกไป พวกเราจะไม่โจมตีหรือไล่ตามพวกเธอ”
เมื่อเสียงที่ฟังดูเหมือนกับมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรดังออกมา มาเรียก็กำหมัดแน่น
“แกเป็นใครถึงได้บอกให้เราทำแบบนั้น? พวกเราจะไปไหนก็ได้!”
“ถ้างั้นเธอจะอยู่ต่อก็ได้ แต่… เธอจะเสียใจ”
น้ำเสียงเย้ยหยันไม่แยแสได้ดังออกมา
“ทำตามใจเถอะนะ แต่ว่าจะให้คำแนะนำสำหรับที่ช่วยพรรคพวกของเราหน่อยแล้วกัน เราขอแนะนำให้เธอกลับไปที่อีวาในทันที ถ้าเป็นไปได้ก็รีบไปวิหารอินวิเดียโดยที่อย่าไปเจอมนุษย์เข้าล่ะ”
นี่มันกระทันหันจริงๆ แต่ว่าซอลจีฮูที่จำได้ถึงเงื่อนไขที่สหพันธรัฐเคยพูดกับเขามาก่อนก็ได้พูดออกมา
“พวกเราก็ห้ามนอนระหว่างทางกลับด้วยใช่ไหม?”
“ฉลาดนี่”
ฟุฟุฟุ เสียงหัวเราะเบาๆได้ดังออกมา
ซอลจีฮูได้ครุ่นคิดกับตัวเอง มันคงจะดีหากว่าเจ้าของเสียงอธิบายให้ชัดเจน แต่ว่าตอนนี้สถานการณ์ของพวกเขากำลังอยู่ระหว่างทางแยกแล้ว หากว่านี่เป็นเกม หน้าจอก็คงจะแสดงทางเลือกอะไรออกมาประมาณนี้
[ฟังสหพันธรัฐและยืนนิ่งๆ]
[ปล่อยมนุษย์จิ้งจอกเอาไว้ และทำปฏิบัติการต่อ]
[ทิ้งมนุษย์จิ้งจอกเอาไว้ และกลับอีวา]
‘ฉันไม่รู้สึกถึงความมุ่งร้ายหรือความเป็นศัตรูใดๆ… กลับกันฉันกลับรู้สึกเหมือนเขากำลังพยายามช่วยเรา’
เมื่อเหลือเพียงทางเลือกเหล่านี้ ซอลจีฮูก็ได้เปิดใช้งานนพเนตรขึ้นมา ในทันทีที่เขาได้เห็นถึงสีสัน เขาก็อุทานออกมาอย่างตกใจ
“อ่า!”
สีแดง แนะนำให้ถอยในทันที
สิ่งสำคัญก็คือมีสีแดงแค่ตรงที่ซอลจีฮูกับพรรคพวกอยู่เท่านั้น ที่ที่สันนิษฐานว่าสหพันธรัฐอยู่เป็นสีเหลือง และส่วนที่เหลือเป็นสีเขียว
เขาได้ทำพลาดร้ายแรงลงไปแล้ว
เมื่อไหร่กันที่ทีมปฏิบัติการของเขาได้ถูกย้อมไปด้วยสีแดง?
‘เป็นไปได้ไหมว่า?’
ซอลจีฮูได้มองลงไปที่เฮย่าที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา จากนั้นก็ตัดสินใจขึ้นมา
“โชฮงลดอาวุธลง”
“อะไรนะ? เฮ้ ซอล-“
“จองโชฮง”
เมื่อโชฮงพยายามจะแย้งออกมา คาซุกิก็ห้ามตัวเองไม่อยู่ และคำรามออกมา
“ลดทิฐิของเธอลงหน่อย”
โชฮงได้ขมวดคิ้วขึ้นกับคำพูดเหน็บที่เย็นชาของคาซุกิ
“อะไรนะ? นายว่ายังไง?”
“เมื่อเธออยู่ระดับ 4 แล้วเธอก็ควรที่จะรู้จักแยกแยะเรื่องส่วนตัวกับส่วนร่วมได้แล้วนะ แต่นี่มันอะไรกัน? ตอนนี้เธอเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงแล้วนะ เธอยโสมากจนไม่ฟังหัวหน้าของเธอเลยงั้นหรอ?”
โชฮงได้ผงะถอยไป มันดูเหมือนกับจะมีเข็มน้ำแข็งพุ่งออกมาจากสายตาของคาซุกิ นี่มันคือความโกรธของคาซุกิ
“นี่ไม่เพียงแต่เป็นการตัดสินใจของหัวหน้านะ แต่ฉันที่เป็นคนนำทางก็ยังอยู่นิ่งๆเลย แล้วเธอมีสิทธิ์อะไรมาทำแบบนี้ในปฏิบัติการนี้?”
โชฮงไม่ได้รู้เรื่องเลยว่าคาซุกิได้ไม่พอใจเธอนับตั้งแต่ที่ทั้งกลุ่มเจอเข้ากับเฮเรียวแล้ว แม้ว่าซอลจีฮูที่เป็นหัวหน้าปฏิบัติการก็ยังขอและแสดงความเคารพในความคิดเห็นของเขา แต่ว่าโชฮงกับไม่ได้สนใจในอำนาจใดๆของคนนำทางเลย
โชฮงก็ดูเหมือนจะเริ่มโกรธขึ้นมาเช่นกัน แต่ในท้ายที่สุดปากที่ดูเหมือนจะพร้อมสบถคำหยาบมากมายออกมาก็ปิดลงไป
ในระหว่างปฏิบัติการนี้ การตัดสินใจทั้งหมดจะถูกกระทำผ่านทางหัวหน้ากับคนนำทางร่วมกัน หากพูดถึงกฎพื้นฐานนี้โชฮงก็ไม่มีสิทธิ์จะพูดอะไรได้เลย
แม้ว่าเธอจะไม่พอใจ แต่ว่าเธอก็ยอมลดอาวุธลงแต่โดยดี จากนั้นเธอก็สูดหายใจเข้าลึกๆ และละบายมันออกมา
“โอเค นับจากนี้ฉันจะระวังให้มากขึ้น”
แม้ว่าเธอจะเป็นคนเจ้าอารมณ์ แต่การยอมรับในความผิดของตัวเองก็เป็นหนึ่งในจุดดีของโชฮง
“เราขอคิดว่าการอยู่เฉยๆของพวกนายว่าจะเป็นการทำตามที่เราบอกได้ใช่ไหม?”
ซอลจีฮูได้ตอบกลับไป
“พวกเราจะรับการช่วยเหลือจากคุณ”
“เยี่ยม ถ้างั้นเราก็จะส่งคนไป อยู่นิ่งๆอย่าทำอะไร”
ได้มีคนปรากฏตัวออกมาจากหญ้าตามที่เสียงได้บอกเอาไว้
ซอลจีฮูไม่อาจจะเห็นใบหน้าของเขาได้เพราะมีผ้าสีขาวสะอาดปกปิดเอาไว้จนหมด มันแทบจะราวกับว่าเป็นนักบุญจากศาลเจ้าที่กำลังใส่ชุดคลุมทำพิธีกรรม
จะมีจุดเด่นเดียวก็คือคนๆนั้นได้ถูกกิ่งไม้ที่มีควันออกมาเหมือนกับถูกฟ้าผ่า
คนๆนี้ได้เดินมาข้างหน้า ก่อนที่จะหยุดอยู่ห่างจากกลุ่มของเขาเล็กน้อย
“…”
ความเงียบได้เข้าปกคลุม ขณะที่ซอลจีฮูกำลังจ้องมองคนตรงหน้านิ่งๆ ทันใดนั้นกิ่งไม้ก็ถูกชี้มาที่เขา
“มนุษย์”
ซอลจีฮูได้วางมือลงบนตัวเองราวกับจะถามว่า ‘ผมหรอ?’
คนตกหน้าได้ค่อยๆหยักหน้าออกมา
“ลองใช้งานพลังของกำไลที่ข้อมือซ้ายดู”
น้ำเสียงของคนๆนี้นุ่มนวลและกระจ่างชัดต่างจากก่อนหน้านี้ ในตอนนี้พอมองดูใกล้ๆ มือที่กำลังถือกิ่งไม้ก็เป็นสีขาวหิมะ
‘แฟรี่ท้องฟ้า?’
นี่เป็นความคิดแรกเลยที่เข้ามาในหัวของเขา แต่ว่าซอลจีฮูก็ได้รีบปล่อยความคิดนี้ไว้ก่อน และดึงพลังมานาออกมา
วูมมม! โล่ทรงกลมสามอันได้ถูกสร้างขึ้นจากข้อมือซ้ายของเขา ซอลจีฮูได้โชว์โล่ที่กำลังหมุนไปมาออกมา แต่ว่าคนตรงหน้าก็ยังไม่ขยับ
จากนั้น
ซ่าาาาห์!
ซอลจีฮูรู้สึกสงสัยในสิ่งที่เพิ่งจะเห็นไป โล่ทรงกลมสามอันของเขาได้กลายเป็นฝุ่นและเริ่มกระจายไป
การอวยพรแห่งเซอร์คั่มจะปกป้องผู้ใช้จากการโจมตีสามประเภท กายภาพ เวทมนต์ และคาถาเวทย์ โล่ทรงกลมสองอันที่ป้องกันเขาจากเวทมนต์กับคาถาเวทย์ได้หายไปอย่างรวดเร็ว
“เป็นอย่างที่คิด นายติดเชื้อแล้ว”
ร่างๆนั้นได้ก้าวเท้ามาข้างหน้าอย่างรวดเร็วก่อนที่จะยื่นมือออกมา
ตึก ตึก เธอได้เริ่มจากใช้กิ่งไม้ตีหัวของทุกๆคน
ซอลจีฮูได้สับสนอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่นานนักเขาก็เบิกตากว้างขึ้นมา และนั่นก็เพราะว่าเขารู้สึกได้ถึงพลังงานอันสดชื่นกระจายจากหัวของเขาลงไปที่ร่างกาย
เขาไม่เคยรู้สึกผิดปกติกับร่างกายมาก่อนเลย แต่ว่าในตอนนี้เขากลับรู้สึกสดชื่นราวกับออกมาจากห้องซาวน่า
“พิธีชะล้างได้เสร็จสิ้นแล้ว”
คนตรงหน้าได้เดินรอบๆทีมของเขาก่อนที่จะหันหน้ามาพูดห้วนๆ ซอลจีฮูได้สังเกตเห็นว่าส่วนหนึ่งของชุดสีขาวได้เปลี่ยนไปเป็นสีดำ ราวกับว่ามันถูกไฟเผา
“เยี่ยม ขั้นถัดไป…”
ต่อมาเงาก็ได้พุ่งออกมารอบๆพวกเขา มีเงาประมาณสิบเงาก่อตัวขึ้นล้อมรอบทีมของเขาก่อนที่จะค่อยๆเข้ามาใกล้
หนึ่งในเงาที่เป็นคนนำทีมและก้าวยาวๆออกมา คือคนที่เป็นหญิงสาวผอมบางที่มีหูยาว
ซอลจีฮูได้ถูกหญิงสาวผมยาวถึงก้นคนนี้ดึงความสนใจไป
เธอได้สวมชุดหนังสีน้ำตาลแดง และกางเกงหนังสีเทา มีมีดสั้นสี่เล่มถูกแขวนอยู่ที่สะโพกของเธอ และมีดาบยาวที่ถูกห่อไว้ด้วยผ้าหนังอยู่ที่สะโพกอีกด้าน สิ่งที่สะดุดตาที่สุดเลยก็คือผ้าสีดำที่ปกปิดดวงตาของเธอเอาไว้
ซอลจีฮูก็ไม่รู้ว่ามันเพราะภาพลักษณ์ภายนอกของเธอ หรือเพราะมันมีเหตุผลอะไรอยู่ แต่เขาก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเธอให้ความรู้สึกลึกลับมากจริงๆ
ไม่นานนักเธอก็หยุดเดินไป
ซอลจีฮูได้เงยหน้าขึ้น และมองไปที่หยิ่งสาวที่ยืนถือกิ่งไม้นิ่งอยู่ เมื่อเขาได้เห็นเธออีกครั้ง เขาก็มั่นใจขึ้นมา
คนที่ปรากฏตัวขึ้นคนแรกเป็นคนล่ะเผ่าพันธุ์กับสิบคนที่มาทีหลัง
อย่างแรกเลยสีผิวของพวกเธอต่างกันอย่างชัดเจน แม้ว่าพวกเธอจะมีสีผิวขาวเหมือนกัน แต่ว่าผู้หญิงที่ถือกิ่งไม้มีสีผิวที่ดูสุขภาพดี
ในทางกลับกันอีกฝ่ายหนึ่งที่หปิดตาเอาไว้มีสีผิวที่ซีดราวกับว่าพวกเธอโตขึ้นภายในถ้ำโดยที่ไม่เคยโดนแสงแดดเลยสักนิด พวกเธอมีผิวที่ขาวมากจนซอลจีฮูรู้สึกเหมือนกับเห็นหินปูนสีขาว
ที่สำคัญไปกว่านั้นกลิ่นของพวกเธอก็ต่างกัน หากว่าหญิงสาวที่ใส่ชุดพิธีกรรมให้กลิ่นของผลไม้ ถ้างั้นสิบคนที่เหลือก็ให้กลิ่นเหมือนคลอรีนที่มีตามสระว่ายน้ำ
“เข้าใจแล้ว ถ้างั้นนายคือวีรุบุษสงครามที่ถูกเรียกว่าอริราชศัตรูสินะ”
ซอลจีฮูได้ส่งเสียงครางยาวออกมา ผู้หญิงคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าของเขาดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม ซอลจีฮูยังได้ยินเสียงอุทานของเทเรซ่าจากด้านหลังอีกด้วย
“ให้ฉันแนะนำตัวเองก่อนแล้วกัน”
หญิงสาวได้ยื่นมือออกมา
“ฉันชื่อยูเรล แอนทั่ม วาเลนไฮม์”
ซอลจีฮูได้ยื่นมือออกไปจับมือกับเธอ
“ผมซอลจีฮู”
ยูเรลได้จับมือเขาเบาๆก่อนที่จะปล่อย และเดินไปหาเทเรซ่าที่กำลังเบิกตากว้างอยู่
“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่เราได้มาเจอหน้ากัน เธอดูสวยมากเลย”
“ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้เราเคยแต่เจอกันผ่านคริสตัลสื่อสาร ขอบคุณสำหรับคำชมนะ”
เทเรซ่าได้จับมือกับยูเรล และหัวเราะออกมาอย่างยินดี
“ขอบคุณสำหรับสงครามก่อนหน้านะนะ พวกเรายึดป้อมปราการไทกอลกลับมาได้ก็เพราะพวกเธอเลย”
“ไม่เลย แบบนี้เราก็ได้ชดใช้หนี้ที่หยุดแผนการสร้างออร์คกลายพันธุ์จำนวนมากไว้ได้แล้ว”
“อ่า ยังจะ- ฉันได้ยินมาแล้วนะ ถึงมันจะสายไปหน่อย แต่ก็เสียใจกับการเสียหน้าอกจุ๊บจุ๊บไปนะ”
เทเรซ่าได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“…ขอบคุณนะ”
ซอลจีฮูได้ขมวดคิ้วขึ้นมา
“หน้าอกจุ๊บจุ๊บ?”
ไม่ว่าเขาจะคิดยังไง หากแปลตรงๆแล้วมันก็หมายความว่า ‘จุ๊บหน้าอก’
ขณะที่เขากำลังคิดว่า ‘ฉันไม่รู้นะว่าใคร แต่นี่เป็นชื่อที่โง่เง่ามาก’
[ชอบหน้าอก เขาบอกว่าเขามีนามสกุลว่าหน้าอก แล้วก็มีชื่อว่าชอบ]
ทันใดนั้นเองเขาก็ได้นึกถึงเอียน
‘ไม่มีทางน่า!’
“ช่างน่าเสียดาย มีไม่กี่คนหรอกที่เข้าใจสหพันธรัฐเหมือนกับจอมเวทย์จากราชวงศ์ฮารามาร์ค”
เมื่อได้ยินยูเรลพูดออกมาอย่างเสียใจ ซอลจีฮูก็หลับตาลงไป มันดูเหมือนว่าเอียนจะได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้ในทุกๆที่ที่เขาไป
ซอลจีฮูได้เดาะลิ้นในใจก่อนที่จะมองดูยูเรลที่กำลังคุยกับเทเรซ่า ออร่าที่ออกมาจากตัวเธอมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย และซอลจีฮูก็รู้สึกถึงมันได้ในตอนที่พวกเขาจับมือกัน
เขาอดไม่ได้ที่จะสงสัยขึ้นมาว่าเธอจะแกร่งกว่าที่เห็นอีกไหม
“ยังไงก็ตาม นี่มันน่าตกใจจริงๆ ฉันไม่คิดเลยว่าเธอจะมาด้วยตัวเอง”
“ฉันมาทำธุระที่เขตพรมแดนในตอนที่ได้รับการติดต่อมาจากเบื้องบนน่ะ ฉันได้ปล่อยทุกๆอย่างเอาไว้ก่อน แล้วก็มาที่นี่ก็เพราะว่าฉันสนใจ”
ซอลจีฮูได้กลายเป็นมั่นใจขึ้นมาหลังจากที่ได้ยินสิ่งที่เทเรซ่าพูด เมื่อสังเกตเห็นถึงความสงสัยของซอลจีฮู คาซุกิก็กระซิบออกมา
“เธอเป็นแฟรี่ถ้ำ ฉันดีใจ”
เธอไม่ใช่แฟรี่ท้องฟ้าอย่างที่เขาคิดไว้เลย
“คุณดีใจ?”
“แฟรี่ถ้ำดูคล้ายกันกับมนุษย์ แถมพวกเขาก็ยังมองพวกเขาในแง่ดีด้วย”
คาซุกิได้พูดออกมา
“ยูเรลคนนี้คงจะเป็นแม่ทัพแฟรี่”
“แม่ทัพแฟรี่?”
“เป็นสายบัญชาการอันดับสองของแฟรี่ถ้ำ คิดซะว่าเธอเป็นผู้บัญชาการสูงสุดก็ได้ วาเลนไฮม์คือ-“
คาซุกิได้เงียบลงไปโดยที่ยังพูดไม่จบ นี่มันก็เพราะว่ายูเรลได้หันหน้ามามองซอลจีฮู เมื่อเธอได้เห็นเฮย่าในอ้อมแขนเขา เธอก็ยิ้มออกมา
“ไอ้เจ้าเด็กดื้อ”
“ฮี๊!”
เฮย่าได้ร้องออกมาและรีบมุดอ้อมกอดของซอลจีฮู ยูเรลได้หัวเราะออกมา
“ขอบคุณอีกครั้งนะ แม่ของเด็กทั้งสองคนกำลังเดินทางมา พวกเราได้บอกแล้วว่าเราจะพาพวกเธอกลับไป แต่ว่าเธอก็ยังดึงดันที่จะมา”
“ผมก็ดีใจที่พาพวกเธอกลับมาส่งได้อย่างปลอดภัย นี่-“
ซอลจีฮูกำลังจะส่งเฮย่าออกไป แต่แล้วก็ต้องหยุดลง เฮย่าไม่ยอมที่จะไป
“มะ มีอะไรหรอ? ถึงเวลากลับบ้านแล้วนะ”
ซอลจีฮูได้แกะเธอออกและวางเธอลง แต่ว่าเฮย่าก็ยังกระโดดเข้ามาเกาะขาเขาเอาไว้
“เฮย่า?”
“กรร!”
“เธอไม่อยากจะกลับไปหรอ?”
“กรรร!”
‘…อะไรล่ะเนี้ย?’
เขาได้พยายามจะปลอบเฮย่า แต่ว่าเธอก็ไม่ยอมขยับเลย แทนที่จะพูดว่าเธอชอบเขา เธอกลับดูเหมือนจะกลัวแฟรี่ถ้ำมากกว่า มีความเป็นไปได้สูงว่ามนุษย์จิ้งจอกอาจจะไม่ชอบหรือไม่เป็นมิตรกับแฟรี่ถ้ำ
ซอลจีฮูทำอะไรไม่ถูกขึ้นมา ยูเรลที่เห็นแบบนี้ก็พูดขึ้น
“ไม่ต้องห่วงหรอก อย่างแยกสุดก็แค่จับหางเธอหรือไม่ก็ทำให้เธอหมดสติไป
“กรร กรร!”
…ซอลจีฮูได้เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเฮย่าถึงกลัว
“หืมม”
ยูเรลได้ลูบผ้าปิดตาของเธอก่อนจะพูดขึ้นมา
“ช่างเด็กสองคนนี้ก่อนเถอะ ฉันได้ยินมาว่านายกำลังจะไปที่ไหนนี่ พอจะบอกได้ไหมว่าทำไมพวกนายถึงมาที่นี่?”
“เรากำลังจะไปที่ที่ถูกเรียกว่าเจดีย์แห่งโรคระบาด”
ซอลจีฮูไม่ได้พยายามจะปิดบังเลยว่าพวกเขากำลังจะไปที่ไหน เขารู้ดีว่าการปกปิดไปมันไม่มีความหมายอะไร
ยูเรลได้ถามออกมา
“เจดีย์แห่งโรคระบาด… หมายถึงเจดีย์แห่งความฝันงั้นหรอ?”
“สหพันธรัฐเรียกแบบนั้นงั้นหรอ?”
“อืมม… ฉันคิดว่าทั้งสองชื่อนั่นน่าจะเป็นที่เดียวกันนะ”
ยูเรลได้หยักหน้าพึมพำกับตัวเอง
ซอลจีฮูได้กลืนน้ำลายลงไป เขาได้คิดไว้แล้วว่ามันอาจจะเป็นแบบนี้ และในตอนนี้เขาก็มั่นใจแล้ว ยังไงก็ตามมันก็หมายความว่าสหพันธรัฐได้ทำการศึกษาเจดีย์ไปก่อนแล้ว
แต่ว่าเขาก็ไม่ได้กังวลอะไร ตามที่เฮเรียวได้บอกไว้ เจดีย์แห่งความฝันเป็นสถานที่ต้องห้ามของสหพันธรัฐ นี่จึงมีโอกาสสูงที่มรดกที่ถูกฝังเอาไว้ยังคงไม่ถูกเจอ
“จำเป็นที่จะต้องไปจริงๆงั้นหรอ? ถ้าเป็นไปได้ ฉันขอแนะนำให้นายกลับไปดีกว่า”
“มันมีปัญหาอยู่หรอครับ?”
“ปัญหา… ถ้านายถามว่าสหพันธรัฐไม่สบายใจที่ให้นายไปที่นั่นล่ะก็ จริงๆแล้วฉันไม่ว่าอะไรเลย”
ยูเรลได้ลูบหัวของเธอก่อนจะถอนหายใจออกมา
“แต่ฉันคิดว่ามันน่าเสียดายหากว่าวีรบุรุษที่พึ่งฟื้นขึ้นมาจากอิลิกเซียร์อันล้ำค่าตาบไปอย่างเสียเปล่า”
จากนั้นยูเรลก็เงยหน้าขึ้นไป เธอดูเหมือนกับจะมองดูแสงยามเย็น แม้ว่ามันจะไม่มีให้เห็นแล้วในตอนนี้ก็ตาม
“จะไปตอนนี้เลยหรอ?”
ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมา การไปตอนเช้ามันดีกว่าการไปในตอนกลางคืน
“ถ้างั้นพวกนายคงจะตั้งแคมป์กันในคืนนี้สินะ”
มีประกายแสงวูบออกมาที่ดวงตาของซอลจีฮู เขาไม่ได้โง่ เขาเข้าใจถึงสิ่งที่เธอกำลังจะบอกได้ง่ายๆเลย นี่เป็นโอกาสดีเลยเพราะว่าเขากังวลอยู่กับการขาดข้อมูลเรื่องสถานที่อยู่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยิ่งเขาดำเนินปฏิบัติการไปเท่าไหร่ก็ยิ่งมีคำถามมากยิ่งขึ้น
“ถ้าคุณไม่ว่าอะไร พอจะช่วยเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับเจดีย์แห่งโรคระบาดให้เราฟังหน่อยได้ไหม?”
“แน่นอนสิ นี่มันง่ายมาก แล้วก็พูดตรงๆนะ-“
ยูเรลได้หยักหน้าออกมาราวกับเธอกำลังรอคำนี้อยู่ จากนั้นเธอก็หันมองกลับลงมา
ภายใต้ดวงตาที่ถูกปิดเอาไว้…
“ฉันก็อยากจะคุยกับนายสักครั้ง”
ริมฝีปากสีลูกพีชของเธอได้ขยับโค้งเป็นรอยยิ้มอันยั่วยวน