The Second Coming of Gluttony - ตอนที่ 225
บทที่ 225 – ฉันคือไข่ (1)
เมื่อเขาใส่มานาเข้าไป คริสตัลก็เปล่งแสงออกมา มันส่องสว่างสลับกับดับแสงไปมาอยู่ซ้ำๆ
สิบนาทีได้ผ่านไปภายในพริบตาเดียว แต่ไม่ว่าเขาจะรอนานแค่ไหนสายที่ติดต่อไปก็ไม่มีทีท่าว่าจะรับสายเลย
‘ทำไมมาตอนนี้เธอถึงไม่รับสายล่ะ…’
การที่คนไม่ได้รับสายในทันทีมันไม่ใช่เรื่องแปลกเลย
ในสองสามครั้งแรกอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญได้ แต่ว่าหากนับตั้งแต่ครั้งที่สามขึ้นไปมันก็ยากที่จะเชื่อแบบเดิมแล้ว
เขารู้ว่าคิมฮันนาห์ไม่ใช่คนประเภทที่จะว่างอยู่ตลอดเวลา แต่ว่านี่ก็ยัง…
‘สกีเฮราซาร์ด’
ซอลจีฮูได้หลับตาลงไป คิมฮันนาห์เคยบอกให้เขาอยู่ห่างจากที่นั่นให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้จนกว่าที่เขาจะแกร่งขึ้น
เมื่อก่อนเพราะความไม่รู้อะไรทำให้เขาหวาดกลัวซินยอง แต่ในตอนนี้มันต่างออกไปแล้ว
ซอลจีฮูแกร่งกว่าแต่ก่อนจนเทียบไม่ติดแล้ว และเขาก็มีพรรคพวกที่ทรงพลังอยู่มากมาย มันคงยากที่จะเชื่อว่าซินยองจะวางแผนร้ายต่อเขาตรงๆ เว้นแต่พวกเขาจะบ้าคลั่งไป
หลังจากไตร่ตรองอยู่นาน ซอลจีฮูก็ได้ตัดสินใจจะมุ่งหน้าไปสกีเฮราซาร์ดหลังจากที่ทำธุระในฮารามาร์คเสร็จสิ้น
หากว่าจำเป็นเขาก็จะเตรียมตัวไปสำนักงานใหญ่ของซินยองอีกด้วย
มันจะต้องมีเหตุผลอยู่
เหตุผลที่เขาติดต่อกับคิมฮันนาห์ไม่ได้
***
สี่วันต่อมาจางมัลดงก็ได้กลับมาที่สำนักงานคาเพเดี่ยม เขาได้พาคนสองคนที่มีสภาพเหมือนขอทานกลับมาด้วย ซึ่งทั้งคู่ก็คือพี่น้องตระกูลยี่
พวกเขาเพิ่งจะผ่านประสบการณ์เลวร้ายอะไรกันมานะ?
ซอลจีฮูได้กลืนน้ำลายลงไปเมื่อเขาเห็นยี่ซอลอากับยี่ซังจินทรุดตัวลงไปในทันทีที่ก้าวเข้ามาในสำนักงาน
“ยินดีต้อนรับกลับครับ”
“อืมมม”
จางมัลดงได้แบกสองพี่น้องไปที่ห้องก่อนที่จะเดินกลับมานั่งที่โซฟา จากนั้นเขาก็พูดขึ้นห้วยๆ
“เอาหอกกับหนังสือมาให้ฉันดูสิ”
เขาได้พูดถึงเรื่องผลลัพธ์ของปฏิบัติการในทันที
ซอลจีฮูได้หยิบเอาหอกพิสุทธิ์ กับหนังสือเทคนิคทั้งสองเล่มออกมา จางมัลดงได้เปิดหนังสือขึ้นพร้อมใส่แว่นขยาย และขมวดคิ้วขึ้นมา
“หืมมม”
พรึบ พรึบ
เขาได้เริ่มศึกษาหนังสืออยู่ประมาณ 10 นาที หลังจากอ่านหนังสือทั้งสองเล่มจบแล้ว จางมัลดงก็ได้เงยหน้าขึ้นมามองซอลจีฮูด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
“ไอ้เจ้าดวงดีนี่”
“?”
“นายคงจะเกิดขึ้นมาพร้อมกับดาวนำโชคแน่ๆ”
สีหน้าของซอลจีฮูได้กลายเป็นสดใสขึ้นมา มันดูเหมือนกับว่าหนังสือทั้งสองเล่มจะค่อนข้างพิเศษ
“มันยังเร็วเกินไปที่จะดีใจ”
จางมัลดงได้อบกลับมาสั้นๆ
“มันมีปัญหาอยู่หรอครับ?”
“ปัญหาหรอ? ใช่แล้ว ปัญหานั่นแหละ วิธีบ่มเพาะมานาก็เรื่องหนึ่ง แต่ว่าเทคนิคหอกจันทร์เสี้ยวนี่มันมากเกินไปแล้ว… นายได้ดูมันหรือยัง?”
ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมา
“ผมอ่านผ่านๆมาแล้ว แต่ว่าเพราะมันซับซ้อนเกินไป ผมก็เลยไม่เข้าใจอะไรเลย”
“ฉันเข้าใจ”
จางมัลดงได้ถอดแว่นและหยักหน้าออกมา
“เทคนิคหอกจันทร์เสี้ยวนี่เป็นสุดยอดเทคนิคหอกที่ประกอบไปด้วยเทคนิคชั้นยอดเจ็ดชนิด แต่ว่านะ แม้กระทั่งเทคนิคแรกก็ยังต้องใช้การเป็นหนึ่งเดียวกับหอกเป็นพื้นฐาน… เทคนิคหอกนี่อาจจะละเอียดอ่อนยิ่งไปกว่าเทคนิคหอกหยกของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็ได้”
จางมัลดงได้ถอนหายใจพร้อมส่ายหัวออกมา
ซอลจีฮูได้ผงะไปเช่นกัน เขามีความสุขที่ได้หาเทคนิคหอกดีๆได้แล้ว แต่มันกลับกลายเป็นแทบจะใช้งานไม่ได้
หากว่าจะอะไรที่ดี นั่นก็คงเป็นการที่เขาไม่อาจจะประเมินระดับของเทคนิคหอกจันทร์เสี้ยวนี้ได้
จางมัลดงได้หยิบเอาหนังสืออีกเล่มขึ้นมา
“ทีนี้ก็มาที่หัวใจอันชอบธรรมบ้าง มันก็คือเทคนิคบ่มเพาะมานา จากชื่อของมันแปลความได้ถึงจิตใจอันงดงาม แต่ว่าในแง่การใช้งาน การตีความว่ามันเป็นการกลั่นพลังงานภายในตัวนายน่าจะถูกต้องกว่า”
“ใช่แล้วล่ะ มันดูเหมือนจะเป็นวิธีบ่มเพาะมานาที่มุ่งเน้นไปที่การทำให้มานาบริสุทธิ์”
“ถูกแล้วล่ะ เพราะแบบนี้มันถึงได้เหมาะกับนายไงล่ะ”
ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมา
“แต่ว่าผมได้ดื่มน้ำตาของไซซีลงไปแล้วนะครับ”
“น้ำตาของไซซีควรที่จะกำจัดของเสียที่ติดอยู่ในวงจรมานากับร่างกายของนาย แต่ว่าวงจรมานาที่เป็นจุดไหลเวียนของมานา ต่างไปจากมานาของนายนะ”
จางมัลดงได้พูดขึ้นอย่างมั่นใจ แต่ซอลจีฮูก็ยังคงสับสนอยู่
“ยกตัวอย่างง่ายๆก็คือ… นายได้รับปีกข้างหนึ่งมาจากการกินน้ำตาของไซซี นี่คือเหตุผลที่ทำให้ความเร็วในการไหลของมานาและประสิทธิภาพในการใช้มานาของนายเพิ่มขึ้น แต่ว่าในแง่ของตัวพลังมานาเอง มันไม่ได้เพิ่มขึ้นเอง”
จางมัลดงได้ลูบขมับราวกับว่าเขายังเหนื่อยอยู่เล็กน้อย
“หัวใจอันชอบธรรมเป็นเทคนิคบ่มเพาะมานาที่จะชำระล้างมานาที่นายมีอยู่ในบริสุทธิ์ หรือก็คือมันจะเพิ่มความบริสุทธิ์ให้กับมานา”
“ครับ”
“ลองคิดดูนะ นายชอบอ่านนิยายศิลปะการต่อสู้ใช่ไหม? ถ้างั้นนายก็น่าจะรู้ว่าคนที่มีพลังปราณที่บริสุทธิ์ก็จะทำให้แแข็งแกร่งขึ้นสินะ มันก็เหมือนกันกับมานานั่นแหละ ความบริสุทธิ์ของมานาจะทำให้นายแสดงพลังที่แข็งแกร่งออกมาได้”
หากไม่นับรวมในตอนที่พลังทั้งสองอย่างที่ขัดแย้งกันปะทะกันแล้ว ตอนที่นักเวทย์ที่มีพลังมานาในระดับเดียวกันสู้กัน ฝ่ายที่มีความบริสุทธิ์ของมานาที่ต่ำกว่าจะพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงอยู่บ่อยๆ
“นายมีพลังต่อต้านปีศาจอยู่เช่นกัน มันเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์เลยล่ะ”
ในที่สุดซอลจีฮูก็เข้าใจแล้ว
ความบริสุทธิ์ของมานา และวงจรมานาที่โล่งสะอาด องค์ประกอบทั้งสองอย่างนี้จะส่งเสริมซึ่งกันและกัน รวมไปถึงเข้าได้กับพลังต่อต้านปีศาจของโซม่าเป็นอย่างดี
หรือก็คือการเรียนรู้วิธีบ่มเพาะมานาหัวใจอันชอบธรรมจะเป็นการทำให้ปีกของเขาสมบูรณ์ และเขาก็จะพุ่งทะยานขึ้นไปสูงยิ่งกว่าเดิม
จางมัลดงยังคงเก็บเอาเทคนิคหอกจันทร์เสี้ยวเอาไว้ แต่ว่าซอลจีฮูสามารถจะบอกจากสีหน้าของจางมัลดงได้เลยว่าเขารู้สึกลำบากใจแค่ไหน
จางมัลดงรู้ว่าเทคนิคบ่มเพาะมานาจะช่วยได้ยังไง แต่ว่าสำหรับเทคนิคหอกแล้วมันคนล่ะมิติกันโดยสิ้นเชิง
ซอลจีฮูและจางมัลดงมีแต่จะต้องรวมหัวกัน และพยายามช่วยกันคิด แต่ว่าแม้กระทั่งจางมัลดงก็ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะเริ่มจากตรงไหน
แม้กระทั่งปรมาจารย์หอกก็ยังต้องใช้เวลาหลายเดือนในการศึกษาถอดรหัสมันโดยไม่หยุดพัก
ยกตัวอย่างเช่นแบคแฮจู
ไม่ว่าจะยังไงก็ตามอย่างน้อยจางมัลดงก็ต้องหาคำอธิบายของมันออกมาให้ได้ เพราะงั้นจางมัลดงจึงเริ่มพูดออกมาอย่างอึดอัดใจ
“สำหรับเทคนิคหอกจันทร์เสี้ยวนี่… นายเคยอ่านเรื่องราวสามก๊กใช่ไหม?”
“แน่นอนครับ ในตอนยังเด็ก ผมได้อ่านมาหลายครั้งแล้ว”
ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมา
“ถ้างั้นนายก็น่าจะรู้จักลิโป้สินะ”
“แน่นอนครับ เขาเป็นนายพลที่แข็งแกร่งที่สุดในเรื่อง”
“ก็นะ มีข้อถกเถียงกันอยู่ว่าเขามีตัวตนอยู่ในประวัติศาสตร์จริงๆไหม…”
จางมัลดงได้กอดอกขึ้นมา
“เรื่องราวนี้ได้อธิบายว่าในแง่ของความแข็งแกร่ง ลิโป้เป็นเหมือนกับสัตว์ประหลาด แม้ว่าเขาจะขาดความเป็นผู้บัญชาการทหารไปบ้างก็ตาม”
จางมัลดงได้หยักหน้าออกมาก่อนจะถามอีกครั้ง
“แค่ฟังขำๆนะ นายคิดว่าลิโป้แข็งแกร่งเพราะอะไรล่ะ?”
เมื่อซอลจีฮูมองเขาอย่างงุนงง จางมัลดงก็หัวเราะออกมา
“นั่นเพราะใบมีดจันทร์เสี้ยว”
“ใบมีดจันทร์เสี้ยว?”
“นี่แหละ”
จางมัลดงได้แตะลงไปบนหอกพิสุทธิ์ หรือตรงที่มีใบมีดรูปร่างจันทร์เสี้ยวคู่
“ฝีมือการใช้หอกของลิโป้นั้นเป็นที่โด่งดังอยู่แล้ว แต่ว่าที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักจริงคือทักษะปีศาจทีเขาใช้กับง้าวจันทร์เสี้ยวของเขา นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ง้าวจันทร์เสี้ยวเป็นอาวุธสัญลักษณ์ของเขา”
“จริงหรอครับ?”
“ฉันบอกให้นายฟังขำๆไงล่ะ”
เมื่อซอลจีฮูได้ตกใจถามออกมา จางมัลดงก็เน้นย้ำว่านี่เป็นแค่ความคิดของเขาเท่านั้น
“นักวิชาการมีความเห็นที่ต่างออกไปเรื่องอาวุธง้าวจันทร์เสี้ยว ง้าวจันทร์เสี้ยวได้ปรากฏขึ้นมาในยุคซ่ง กับลิโป้ หากให้พูด… ไม่สิ นี่มันไม่ได้สำคัญเลย”
จางมัลดงได้ส่ายหัวออกมาก่อนจะพูดต่อ
“เรากลับมาเข้าเรื่องของเขาดูกว่า ง้าวจันทร์เสี้ยวเป็นการพัฒนาให้ตัวง้าวมีศักยภาพมากยิ่งขึ้น ใบมีดจันทร์เสี้ยวจะเหมาะกับการฟันเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่าในตอนที่แทงอาวุธออกไปจะไม่ทำให้อาวุธฝังลึกเข้าไปอีกด้วย”
ดวงตาของซอลจีฮูได้กลายเป็นประกายขึ้นมา ทั้งหมดนี่มันดูเหมือนจะหมายความว่าเขาจะสามารถใช้การแทง ฟาด และฟันได้ยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องพลังทำลายของมันเลยด้วย
แน่นอนว่าทั้งหมดนี่จะอยู่ภายใต้สมมติฐานที่เขาสามารถจะใช้หอกนี้ได้เท่านั้น
“ดูเหมือนว่าผมจะมีงานอีกมากให้ต้องทำนะ”
“ผมก็ไม่รู้ ตัวหอกก็เรื่องหนึ่ง แต่ว่าเทคนิคหอกจันทร์เสี้ยวนี่…”
ซอลจีฮูได้ยิ้มแห้งๆออกมา เพราะนี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้เห็นจางมัลดงไม่มั่นใจขนาดนี้ นอกจากนี้เขาก็ยังไม่ได้ถูกหอกพิสุทธิ์ยอมรับเลย เพราะงั้นการจะใช้เทคนิคหอกจันทร์เสี้ยวจึงดูเป็นเรื่องไกลตัวไป
“ผมเข้าใจแล้ว อาจารย์คงจะเหนื่อย ไปพักเถอะครับ”
“แต่ฉันยังไม่ได้ฟังเรื่องปฏิบัติการเลยนะ ไว้หลังจากรู้เรื่องนี้แล้ว ฉันจะไปพัก”
จากคำขอของจางมัลดง ทำให้ซอลจีฮูได้เริ่มต้นเล่าเรื่องด้วยการเจอเด็กสาวมนุษย์จิ้งจอกในทันที
เมื่อได้ยินว่าเด็กสาวมนุษย์จิ้งจอกถูกส่งกลับสหพันธรัฐอย่างปลอดภัย และทีมพวกเขาได้สนิทกันกับแฟรี่ถ้ำ จางมัลดงก็ยิ้มออกมา แต่เมื่อเขาพูดถึงเรื่องคำสาป ใบหน้าของจางมัลดงก็แข็งทื่อไป และเมื่อได้ยินเรื่องที่พวกเขาหลุดจากคำสาปมาได้เพราะโฟลนและได้เจอกับโรเซร่า จางมัลดงก็ส่งเสียงอุทานออกมา
และสุดท้ายเมื่อจางมัลดงได้ยินถึงเรื่องกองมรดกที่ถูกแจกจ่ายอย่างเท่าเทียมรวมถึงโฟลนด้วย จางมัลดงก็ไม่อาจจะซ่อนความตกใจเอาไว้ได้
“เยี่ยมมาก! เยี่ยมมากจริงๆ!”
จางมัลดงที่ไม่ค่อยชื่นชมใคร ได้ชื่นชมซอลจีฮูออกมาอย่างจริงใจ
“นายสามารถจะรับส่วนแบ่งส่วนมากไปได้อย่างแน่นอน แต่ว่านายก็ยังยืนกรานที่จะทำตามกฎที่ได้ตั้งเอาไว้แต่แรก ช่างเป็นหัวหน้าที่มีคุณภาพจริงๆ”
ซอลจีฮูได้แต่เกาแก้มเขินๆ
“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรครับ…”
“ฟุฟุ นายรู้ไหมว่าทำไมถึงเกิดการปฏิวัติขึ้น?”
ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมากับคำถามที่กระทันหัน
จางมัลดงได้ยิ้มขึ้นมา
เหตุผลนั่นง่ายมาก มันชัดเจนมากๆว่าทำไมผู้ที่สาบานว่าจะจงรักภักดีถึงไม่พอใจ
นั่นมันก็เพราะพวกเขาไม่พอใจในตัวกษัตริย์
เพราะกษัตริย์ของพวกเขาไม่อาจจะเติมเต็มความทะเยอทะยานของพวกเขาได้
ยกตัวอย่างเช่นชนชั้นสูงในยุคกลางได้มอบตำแหน่งอัศวิน และมอบค่าจ้างให้กับอัศวินของพวกเขา แต่ในทางกลับกันอัศวินก็จะต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อต่อสู้ให้กับเหล่าขุนนางในสงคราม
หรือก็คือเกียรติยศ และเงินตราเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงขุนนางกับอัศวินเอาไว้ด้วยกัน
ความกลมเกลียว และหลักฐานคือสิ่งสำคัญ แต่ว่าที่สำคัญไปกว่านั้นคือคุณค่าส่วนบุคคล
ตราบใดที่กษัตริย์ยังสามารถจะตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใต้บังคับบัญชาได้ พวกเขาก็จะไม่มีวันทรยศต่อกษัตริย์
จากมุมมองนี้แล้ว ในระยะยาวการตัดสินใจของซอลจีฮูนั้นถูกต้อง
อย่างน้อยที่สุดนี่ก็คือในสิ่งที่จางมัลดงคิด
จริงๆแล้วซอลจีฮูคิดแค่ว่า ‘ยังมีมรดกส่วนอื่นถูกเก็บเอาไว้อีก’ แต่ไม่ว่ายังไงผลลัพธ์ก็ได้ออกมาเหมือนกัน
“ไม่ว่าจะยังไง ในตอนนี้เราก็มีเงินทุนแล้ว มันถึงเวลาที่เราต้องเตรียมพร้อม”
“ใช่แล้ว เราควรจะเตรียมพร้อม”
“พวกเราจำเป็นต้องบอกให้เจ้าพวกนั้นรู้ด้วยเหมือนกัน ยังไงก็น่าจะมีคนที่พอจะรู้บ้างอยู่แล้วด้วย…”
จางมัลดงได้ลุกขึ้นเหมือนกับกำลังจะไปนอน แต่แล้วจากนั้นจู่ๆเขาก็ถามออกมา
“โอ้ จริงสิ แล้วนายคิดจะแนะนำตัวเด็กคนนั้นกับเราเมื่อไหร่ล่ะ?”
“แนะนำใครหรอครับ?”
“ก็วิญญาณสาวคนนั้นไง”
ซอลจีฮูได้กลายเป็นงุนงงไป
“…อาจารย์รู้?”
“ฉันสงสัยตั้งแต่ที่นายเริ่มกระซิบอยู่คนเดียวบนรถม้าแล้ว”
จางมัลดงได้หัวเราะออกมาจากนั้นก็แสดงสีหน้าจริงจัง
“เมื่อพิจารณาจากสิ่งที่นายบอกฉันมาจนถึงตอนนี้ วิญญาณสาวคนนี้คงได้ช่วยนายในหลายๆทาง รวมไปถึงปฏิบัติการนี้ด้วย มันดูเหมือนว่าเธอจะร่วมงานกับเราต่อไป เพราะงั้นมันไม่ใช่ว่าถึงเวลาที่เธอจะเผยตัวเองกับเราแล้วหรอ?”
“แต่ว่า…”
“ใครจะสนกันว่าเธอเป็นวิญญาณ? ในเมื่อเธอได้ผ่าฟันอุปสรรคไปพร้อมกับเรา เธอก็คือสหายของเรา”
ซอลจีฮูรู้สึกประทับใจ การที่โฟลนได้รับการยอมรับทำให้เขารู้สึกยินดีด้วยเช่นกัน
“เธอได้ยินไหมโฟลน?”
ซอลจีฮูมองลงไปที่จี้ และถามออกมา ยังไงก็ตามโฟลนไม่ได้ตอบกลับมา
เธอไม่ได้หลับอยู่
ซอลจีฮูรู้ว่าในสถานการณ์แบบนี้โฟลนกำลังอายมากๆ
“โฟลน? โฟลน! ไม่เป็นไรหรอก ออกมาเถอะ!”
ซอลจีฮูได้จับจี้ขึ้นมาเขย่า
[อู้วววว]
โฟลนยังคงไม่เต็มใจนัก
เธอคงจะอายเพราะจางมัลดงชมเธอ
ซอลจีฮูได้พูดขึ้นหลังจากหัวเราะออกมา
“ผมก็อยากจะแนะนำตัวเธอนานแล้ว แต่ว่าเธอก็ปฏิเสธอยู่ทุกครั้งเลย เธอขี้อายเกินไป”
“นายแน่ใจนะว่าไม่ได้ทำอะไรหยาบคายกับเธอ? เธอเป็นท่านหญิงจากตระกูลชั้นสูง นายจะไปเขย่าแบบนั้นได้ยังไงกัน?”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณโรเซร่าบอกว่าเมื่อก่อนโฟลนถูกรู้จักกันดีว่าเป็นทอม- อั๊ก!”
ผั๊วะ
จู่ๆจี้ก็เด้งขึ้นมากระแทกปากของซอลจีฮู
“ทะ ทำไมล่ะ…?”
ซอลจีฮูได้ปิดปากเอาไว้ด้วยความเจ็บปวด
[เงียบซะ!]
โฟลนโกรธขึ้นมาแล้ว
[ฉันไม่ใช่ทอมบอย! ฉันเต็มไปด้วยความสง่างาม และฉันก็เป็นตัวแทนของขุนนางอันงดงามในหมู่แวดวงสังคม!]
จางมัลดงได้ระเบิดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นซอลจีฮูถูกข่มเหง
***
เช้าวันถัดมา ซอลจีฮูได้ออกไปจากสำนักงานแต่เช้า
เป้าหมายของเขาก็คือวิหารลูซูเรีย
เขาวางแผนที่จะไปหาเทพธิดาลูซูเรีย แต่ว่านักบวชจากวิหารได้มาหาเขาแทน นักบวชได้บอกกับเขาว่าเทพธิดาลูซูเรียได้เชิญตัวเขาไปที่วิหารเป็นการส่วนตัว
พิธีกรรมคงจะจบลงไปแล้วเพราะในวิหารตอนนี้ได้ว่างเปล่า
เนื่องจากว่านี่เป็นครั้งแรกที่ซอลจีฮูจะได้คุยกับเทพคนอื่นนอกจากกู่ลาเป็นการส่วนตัว เขาจึงรู้สึกกังวลเล็กน้อย
ซอลจีฮูได้จับไข่สีแดงที่เขาเก็บเอาไว้ในกระเป๋าตลอดเวลา และเดินเข้าไป
จากนั้นในทันทีที่เขาเห็นรูปปั้น…
[โอ้ มาแล้วสินะลูกข้า?]
น้ำเสียงนุ่มนวลได้ดังออกมา
‘…ลูก?’
ซอลจีฮูได้ผงะไปโดยไม่รู้ตัวเพราะความเป็นธรรมชาติในน้ำเสียงของเธอ
[ยินดีต้อนรับ ข้ากำลังรอเจ้าอยู่เลย]
ซอลจีฮูได้ชะงักเท้าและหลับตาลง
เขาได้สูดหายใจเข้าลึกๆ
เขาต้องทำ
น้ำเสียงของเธอได้กระตุ้นให้หัวใจเขาเริ่มเต้นแรงแค่เพราะได้ยินเสียง
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเธอถึงเป็นเทพที่นิยมมากที่สุดในหมู่ชาวโลกเพศชาย
[เข้ามาใกล้ๆสิ กู่ลาปกป้องเจ้ามากเกินไปจนข้าต้องระวังมากกว่าจะเชิญตัวเจ้ามาได้ ข้าอยากจะเห็นใบหน้าของเจ้าให้ชัดๆ มันก็นานมากแล้ว]
เมื่อได้ยินน้ำเสียงนิ่งสงบของเธอ ซอลจีฮูก็ได้ก้าวไปข้างหน้าราวกับต้องมนต์
[เข้ามาใกล้ๆสิ… ตรงนี้ เด็กดี~]
ซอลจีฮูได้หยุดลงตรงหน้ารูปปั้นลูซูเรีย
ซอลจีฮูเริ่มรู้สึกได้ถึงอ้อมกอดที่อบอุ่น และมือที่กำลังลูบหัวของเขา
เขาคุ้นเคยกับสิ่งที่เขากำลังรู้สึกนี้
เธอไม่ได้ทรงอำนาจเหมือนกับเทพคนอื่นๆที่เขารู้จัก แต่ว่ามีความเป็นมิตรเหมือนกับพี่สาวที่อาศัยอยู่ข้างบ้าน แต่… ด้วยเหตุผลบางอย่างเขาไม่เพียงแต่รู้สึกคุ้นเคย แต่ก็ยังโหยหาอยู่เล็กน้อยอีกด้วย
[แล้วเจ้ามาที่นี่เพื่อฝักจิตวิญญาณอาร์คัสใช่ไหม?]
‘คะ ครับ…’
[เพราะอำนาจของหอกพิสุทธิ์ทรงพลังเกินไป เราจึงจำเป็นต้องใช้เวลาคุยกันเอง ช่วยเข้าใจด้วยนะ]
เขารู้สึกเหมือนเขาจะทำบาปไปหากว่าเขาพูดว่า ‘ไม่ ผมไม่เข้าใจ’ ซอลจีฮูจึงตอบกลับไปว่า ‘ใช่’
[ขอบคุณมาก]
‘ท่านกู่ลาบอกว่าท่านจะอธิบายเรื่องหอก’
[ใช่แล้วล่ะ คาทิตัส กับข้าเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน เพราะงั้นข้าก็เลยรู้เรื่องหอกด้วย พวกเราเคยได้คุยกันเรื่องต่างๆมากมาย]
เคย นั่นมันหมายความว่าพวกเขาไม่ได้คุยกันอีกแล้ว
[อย่างแรก ข้าจะบอกถึงการตัดสินใจของเราก่อน พวกเราได้ตัดสินใจเป็นเอกฉันท์ที่จะมอบพลังแห่งเทพ หอกพิสุทธิ์เป็นอาวุธเทพที่มีพลังที่อันตรายอยู่ แต่ว่าเราได้ตัดสินใจแล้วว่ามันจำเป็นสำหรับการต่อสู้กับปรสิต]
‘ถ้างั้น!’
[แต่ว่าแค่เพราะข้ามอบพลังแห่งเทพไป นั่นมันไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะสามารถใช้หอกพิสุทธิ์ได้อย่างสมบูรณ์]
ลูซูเรียยังพูดไม่จบ
[ในเรื่องนี้แล้วพวกเราได้ตัดสินใจที่จะปล่อยให้จิตวิญญาณอาร์คัสเป็นคนตัดสินใจ เพราะนี่คือวิธีที่ถูกต้องในการใช้หอกพิสุทธิ์ และก็ยังเป็นวิธีการสร้างหอกอีกด้วย]
‘ตัดสินใจ? นั่นหมายถึงหลังจากฝักไข่แล้วหรอครับ?’
[จิตวิญญาณอาร์คัสคือจิตวิญญาณสายรุ้งที่เกิดขึ้นมาจากพลังเทพของคาทิตัส]
จากนั้นเธอก็ถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูซุกซนแปลกๆ
[เจ้ารู้ไหมว่าทำไมคาทิตัสถึงเรียกมันว่าจิตวิญญาณสายรุ้ง? และเจ้าคิดว่านี่มันเกี่ยวข้องกับหอกพิสุทธิ์ยังไง?]
ซอลจีฮูได้นิ่งครุ่นคิดกับตัวเอง ไม่นานนักเขาก็ได้คำตอบ
เขาได้นึกถึงได้รูเจ็ดรูที่เขาเห็นอยู่บนด้ามจับหอกพิสุทธิ์
[ช่างสังเกตจริงๆ]
ลูซูเรียได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
[ถูกแล้วล่ะ หอกพิสุทธิ์กับอาร์คัสคือหนึ่งเดียวของกันและกัน จะพูดว่าทั้งสองอย่างเชื่อมต่อกันแล้วกันก็ได้]
[เมื่อจิตวิญญาณอาร์คัสถูกฝักออกมาแล้ว มันจะกลายเป็นพันธมิตรอันแข็งแกร่ง ในเวลาเดียวกันมันก็คอยเฝ้าดูเจ้าตลอดช่วงชีวิตและทำการประเมินเจ้า ไม่ว่าจะยอมมอบพลังทั้งเจ็ด หรือแค่สาม… หรือไม่ก็ได้เลย ทั้งหมดนั่นจะขึ้นอยู่กับสิ่งที่จิตวิญญาณตนนี้เลือก]
ซอลจีฮูได้กลืนน้ำลายลงไป เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้
โฟลนได้บอกว่าจิตวิญญาณอาร์คัสจะทำหน้าที่เป็นผู้สังเกตการณ์
แต่ว่าจากสิ่งที่ลูซูเรียบอกแล้ว นี่มันดูเหมือนจะเป็นผู้ทดสอบมากกว่า
ในที่สุดเขาก็ได้เปิดนพเนตรขึ้นเต็มกำลังแล้ว แต่ว่าตอนนี้เขายังต้องมาเปิดพลังของหอกพิสุทธิ์อีก
‘จะมีการทดสอบแบบไหนกันหรอครับ…?’
[ชื่อของหอกได้บอกเจ้าถึงเรื่องการทดสอบแล้ว]
พิสุทธิ์หรือความบริสุทธิ์
นั่นหมายถึงการเป็นบุคคลที่มีความบริสุทธิ์และชอบธรรม
‘พรหมจรรย์? ผมต้องรักษาพรหมจรรย์ไว้ด้วยหรือเปล่า?’
ในกรณีนี้ซอลจีฮูได้ล้มเหลวไปแล้ว เขาขาดคุณสมบัตินั้นสุดๆไปเลย
ลูซูเรียได้หัวเราะออกมา
[ความบริสุทธิ์ที่หอกพูดถึงนั่นมันไม่ใช่ความบริสุทธิ์เรื่องเพศหรอกนะ]
[ความงดงาม ความดี ความจริง… มันกล่างถึงอารมณ์ในระดับสูงที่จะเกิดขึ้นในตอนที่นายทำสิ่งต่างๆ แนวคิดของมันได้ครอบคลุมไปถึงคุณธรรมทุกประเภท รวมถึงจริยธรรม สุทรียศาสตร์ และสติปัญญา]
ลูซูเรียได้อธิบายออกมาอย่างยาวเหยียด แต่ในท้ายที่สุดแล้ว นั่นมันก็หมายความว่าเขาจะต้องใช้หอกในทางอันชอบธรรมเพื่อที่จะดึงพลังที่แท้จริงออกมา
“เอาล่ะ ผมคิดว่านี่คงเป็นการป้องกันไม่ให้มีคนใช้หอกในทางที่ผิด…’
เขาเข้าใจว่าทำไมหอกถึงได้มีข้อจำกัดที่ยากลำบากแบบนี้ แต่ว่าเขาก็ยังยิ้มออกมาด้วยความเสียใจ
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกคิดถึงหอกน้ำแข็ง
[อย่าเศร้าไปเลย]
ลูซูเรียได้ปลอบซอลจีฮูที่กำลังตกตะลึงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
[ลองคิดดูนะ ทำไมคาทิตัสถึงได้วางข้อจำกัดแบบนี้ไว้บนหอกด้วยล่ะ]
‘แต่ว่า-‘
[ข้าบอกเจ้าไปแล้วนี่ หอกพิสุทธิ์น่ะอันตรายมากถึงขนาดที่เป็นอันตรายต่อโลกได้เลย]
ลูซูเรียได้กระแอ่มออกมา
[แค่การปลดล็อคพลังขั้นแรกของหอกก็จะมอบพลังที่เกินกว่าที่เจ้าในตอนนี้จะรับมือไหวแล้ว หากว่าเจ้าปลดล็อคได้สามขั้น เจ้าก็จะติดอยู่ในอันดับหนึ่งในสิบของมนุษยชาติทั้งมวล]
ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างขึ้นมา
แค่การปลดล็อคหอกพิสุทธิ์ก็จะมอบพลังให้กับเขามากขนาดนี้เลยหรอ?
เขารู้ว่านี่คือหอกของเทพ แต่ว่ามันก็ยังเกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้ไปมาก
‘ถ้างั้นหากว่าผมปลดล็อคอำนาจถึงขั้นห้า…’
[หืมม… ฉันก็ไม่มั่นใจ เจ้าจะลองดูให้มั่นใจก็ได้ แต่ว่าเจ้าอาจจะสามารถบดขยี้ผู้บัญชาการกองทัพได้]
ซอลจีฮูค่อยๆอ้าปากค้างออกมาอย่างช้าๆ
ถ้างั้นหากว่าเขาปลดล็อคอำนาจทั้งเจ็ดได้ล่ะ?
[ฟุฟุ]
ลูซูเรียที่อ่านความคิดของซอลจีฮูได้ยิ้มออกมาเงียบๆ
[คำถามที่เจ้ากำลังมีอยู่ในตอนนี้แหละคือเหตุผลที่เราต้องใช้เวลาคุยกันอยู่หลายวัน]
ในเวลานี้เธอไม่ได้ให้คำอธิบายออกมา แต่ว่าซอลจีฮูก็รู้ว่าเธอจะสื่อถึงอะไร
นั่นคือแม้กระทั่งเทพทั้งเจ็ดก็ยังต้องระวังต่อพลังของหอก
เขาก็ไม่ได้รู้อะไรมาก แต่มันดูเหมือนว่าเขาจะได้รับพลังในการยืนหยัดต่อต้านเทพ
บางทีอาจจะอยู่ในระดับเดียวกันกับราชินีปรสิต หรือกระทั่งเหนือกว่านั้น
‘หืม…’
ในตอนนี้ซอลจีฮูได้รู้แล้วว่าเขาได้รับสมบัติล้ำค่าขนาดไหนมา
เขาคิดว่าอย่างมากเขาก็น่าจะใช้หอกได้ไปจนถึงกลายเป็นแรงค์เกอร์ระดับพิเศษ แต่ในตอนนี้เขาไม่มั่นใจแล้วว่าต่อให้เขาเป็นแรงค์เกอร์ระดับพิเศษแล้ว เขาจะใช้มันได้หรือเปล่า
ในอีกด้านหนึ่ง เขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมหัวหน้าส่วนใหญ่ของตระกูลรอชเชอร์ถึงได้ไม่ได้มีสิทธิ์ใช้อำนาจของหอกแม้แต่อย่างเดียว เขาก็ยังเข้าใจอีกด้วยว่าทำไมผู้ก่อตั้งคนแรกของตระกูลรอชเชอร์ถึงได้เป็น ‘ผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์’ เพียงแค่เพราะได้รับอนุญาตให้ใช้อำนาจได้สามอย่าง
‘ฉันไม่ควรจะพูดว่าแค่อำนาจสามอย่างสิ…’
[สิ่งที่เจ้าอยากถามมีแค่นี้หรอ?]
ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมาด้วยความสับสน
[เข้าใจแล้ว เยี่ยมมาก]
พร้อมๆกับคำนี้ ซอลจีฮูก็รู้สึกว่ากางเกงของเขากำลังขยับ เขารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างกำลังออกมาจากกระเป๋าของเขาโดยอัตโนมัติ
[ถ้างั้น-]
ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างออกมาด้วยความสับสน
[ข้าจะมอบพลังแห่งเทพให้กับมัน]
ไข่สีแดงที่เขาเก็บไว้ในกระเป๋ากำลังลอยอยู่