The Second Coming of Gluttony - ตอนที่ 239
บทที่ 239 – สายลมกลายเป็นพายุ (1)
หลังจากตั้งแคมป์แล้ว ซอลจีฮูที่กำลังยืดกล้ามเนื้ออยู่ก็ได้นั่งลงตามคำขอของจางมัลดง
เทคนิคไหนควรจะเรียนก่อน ควรจะฝึกอะไรเป็นอย่างแรก
ความคิดเหล่านี้ได้วนเวียนอยู่ในหัวของเขาไปมาจนทำให้เขาตื่นเต้น
“โซรา มาตรงนี้ด้วย”
จนกระทั่งจางมัลดงได้พูดแบบนี้
“เรากำลังจะเริ่มมันแล้วใช่ไหม?”
“แค่มาตรงนี้ก็พอ”
ฟีโซราได้ค่อยๆก้าวเท้าเข้ามาอย่างไม่เต็มใจ
“ไม่ว่าฉันจะบอกเขากี่ครั้งก็ไม่มีทางที่เขาจะเข้าใจได้ เพราะงั้นเราจะต้องแก้นิสัยเขาด้วยวิธีนี้”
ซอลจีฮูไม่เข้าใจเลยว่าจางมัลดงกำลังหมายถึงอะไร
แต่ว่าเขาก็รู้ว่านี่คือคติของจางมัลดง ‘ถ้าสมองไม่เข้าใจ ถ้างั้นก็ให้ร่างกายได้เรียนรู้’
“ทั้งคู่เตรียมประลอง”
เขาได้ทิ้งคำประกาศออกมา
“ประลอง?”
“อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำสอง”
หลังจากพูดออกมาอย่างหนักแน่น เขาก็เสริมออกมาอีกว่า “แต่”
“ทั้งคู่ห้ามใช้มานา”
มันเป็นเงื่อนไขที่ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด โดยเฉพาะกับซอลจีฮู
“ไม่ใช่แค่มานานะ แต่ก็ห้ามใช้พลังจากอุปกรณ์ด้วยเหมือนกัน”
นี่มันก็หมายความว่าซอลจีฮูกับฟีโซราจะประลองกันด้วยร่างกายและเทคนิคเพียงเท่านั้น
จางมัลดงได้ก้าวถอยไป และให้พื้นที่ทั้งสองคน
‘…อะไรนะ?’
ซอลจีฮูได้ผงะไป แต่ว่าเขาก็หยิบหอกขว้างออกมาจากเข็มขัดแต่โดยดี สิ่งที่จางมัลดงบอกกับเขาจะต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน
ฟีโซราได้มองไปรอบๆ และหยิบกิ่งไม้ขึ้นมา แต่ว่า…
“ตั้งใจ เธออยากจะแพ้อีกงั้นหรอ?”
จากคำเตือนของจางมัลดงทำให้เธอต้องเปลี่ยนไปหยิบเอาดาบยาวที่ซื้อมาจากร้านขายของ
“… อ๊า นี่มันทำให้ฉันนึกถึงในตอนนั้นเลย”
เธอได้บ่นออกมาก่อนจะเล็งดาบยาวใส่ซอลจีฮู
เมื่อเห็นชายหนุ่มกำลังมองมาที่เธอ ฟีโซราก็ถอนหายใจออกมา
“อย่ามาเกลียดฉันแล้วกัน”
“ว่ายังไงนะครับ?”
“ไม่มีมานา ไม่มีพลังของอุปกรณ์ นายรู้ตัวไหมว่าข้อจำกัดพวกนี้มันทำให้นายเสียเปรียบขนาดไหนกัน?”
“?”
“ยกตัวอย่างนะ ปู่ไม่ได้แค่บอกให้นายเอารถถังกับปืนใหญ่ออกไปเท่านั้น แต่ปู่ยังบอกให้นายเอาดาบไปสู่กับรถถัง”
หากว่านี่เป็นเรื่องจริง ถ้างั้นจางมัลดงไม่ได้ต้องการให้พวกเขาประลองเลย เขาแค่อยากจะให้ซอลจีฮูถูกอัดฝ่ายเดียว
“แต่ว่าคุณก็ถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขเดียวกันไม่ใช่หรอ?”
“ฉันน่ะต่างออกไป”
ฟีโซราได้ส่ายหัวออกมา
“ต่อให้ไม่มีมานา อย่างน้อยฉันก็ยังมีรถถังอยู่ ร่างกายของฉันน่ะยังจำทักษะได้อยู่ คิดซะว่ามันเป็นทักษะติดตัวไปแล้วก็ได้”
ซอลจีฮูเข้าใจได้ในทันที เธอคงจะกำลังพูดถึง ‘หนึ่งเดียวกับดาบ’
“ยังไงก็ตาม-“
“มัวแต่พึมพำอะไรกันอยู่?”
เมื่อจางมัลดงได้คำรามออกมาอย่างไม่พอใจ ฟีโซราก็เงียบลงไป
‘หืม’
พอมาคิดดูแล้ว ซอลจีฮูก็สงสัยเหมือนกับว่าหากเทียบกันแค่เทคนิคอย่างเดียวฟีโซราจะแกร่งขนาดไหน เขารู้ว่าเธอแกร่งกว่าโอราฮีที่เป็นผู้เชี่ยวชาญการชักดาบ และเขาก็เคยได้ยินมาหลายครั้งว่าเมื่อเทียบกับแรงค์เกอร์ระดับสูงคนอื่นๆแล้ว เธอไม่ด้อยไปกว่าใครเลย
ซอลจีฮูได้หยุดดูถูกเธอ และตั้งสมาธิ
การไม่ใช่มานาในการต่อสู้มันทำให้เขารู้สึกแปลกๆ แต่ว่าเขาก็ตั้งท่าที่คุ้นเคย และจับหอกแน่น
ฟีโซรายังคงยืนนิ่งเล็งดาบมาที่เขาเหมือนอย่างเคย
‘อย่างแรก…’
ซอลจีฮูได้พุ่งตัววิ่งออกไปด้านหน้าในทันที
เมื่อเขาแทงหอกออกไปข้างหน้า คมหอกก็ตัดผ่านอากาศไปจนเกิดเสียงดังขึ้นมา
นี่เป็นการแทงที่หมดจด
ในเวลานั้นเองฟีโซราก็แค่นเสียงออกมา และยอมรับการท้าทาย เธอได้หมุนตัวปล่อยให้คมหอกผ่านตัวไป และพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างกระทันหันจนระยะห่างของพวกเขาสั้นลงไปในพริบตาเดียว
หลังจากปล่อยให้เธอเข้ามาประชิดตัวแล้ว ซอลจีฮูก็ได้ตอบโต้ด้วยการตวัดด้ามหอกฟาดเธอ จากนั้นเอง-
“จบแล้ว”
เขาได้ชะงักไปเพราะคมดาบได้จ่อที่คอเขาแล้ว
หลังจากยื่นมันมาตรงหน้าเขาแล้ว ฟีโซราก็ถอนดาบยาวกลับไปด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
“นายยังไม่ยอมรับผลใช่ไหมล่ะ? มาลองอีกครั้ง”
ฟีโซราได้ถอยหลังกลับไป
ซอลจีฮูได้แต่กระพริบตามองนิ่งๆ
ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาเห็นการเคลื่อนไหวของฟีโซราอย่างชัดเจน เธอได้พุ่งมาอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งหลบหอกของเขานิ่มๆ
อ่อนนอก แข็งใน นี่คือวิธีที่เขาใช้ในการอธิบายการเคลื่อนไหวของเธอ
เขาเห็นเธอ แต่ว่าเขาก็ยังถูกจัดการ นั่นเพราะว่าเธอเคลื่อนไหวเหมือนรู้ว่าเขาจะมีปฏิกิริยายังไง เขาถูกเอาชนะก่อนที่จะได้ทำอะไรซะอีก
ฟีโซราได้กระดิกดาบออกมา
“เข้ามาสิ มาลองอีกครั้ง”
ซอลจีฮูได้สะบัดหัว และตั้งท่าใหม่อีกครั้งหนึ่ง
เขาได้พุ่งตัวออกไปเป็นครั้งที่สอง คราวนี้เขาได้ใช้เทคนิคต่างๆออกไปอย่างต่อเนื่อง
เขาวางแผนที่จะหลอกแทงก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นฟัน แต่ว่าต่างไปจากคราวก่อน ฟีโซราก็ใช้คมดาบผลักด้ามหอกของเขาออกไป
ซอลจีฮูที่ตกใจได้พยายามที่จะฟาดเธอด้วยหอก แต่แล้ว…
“อึก!”
ฟีโซราได้จับด้ามหอกของเขาเอาไว้อย่างรวดเร็ว และฟาดเขาลงกับพื้น
เมื่อซอลจีฮูเงยหน้าขึ้นมามอง เขาก็ได้เห็นดวงตาเฉยเมยของฟีโซรา
หลังจากเสียสมดุลไปชั่วขณะหนึ่ง ซอลจีฮูก็รู้สึกเดจาวูอย่างคาดไม่ถึง
‘พอมาคิดดูแล้ว…’
ไม่ใช่ว่าในระหว่างสงครามเขาก็เคยมีประสบการณ์คล้ายๆกันนี้มาก่อนหรอกหรอ?
เขาได้คิดกับตัวเองก่อนที่จะฝืนรักษาสมดุลเอาไว้ได้
และจากนั้นการต่อสู้ก็ได้จบลง เพราะเขารู้สึกได้ถึงสัมผัสของเหล็กเย็นชาที่จ่อหัวเขาอยู่
“ฉันก็คิดมาสักพักแล้วนะ นายนี่มันกล้ามากจริงๆ”
“นี่ก็น่าจะพอแล้วใช่ไหมล่ะ?”
ฟีโซราได้ถามออกมาหลังจากหันไปมองจางมัลดง เมื่อเห็นจางมัลดงพยักหน้า เธอก็เก็บดาบกลับเข้าไปในฝัก
“เป็นยังไงล่ะ?”
ซอลจีฮูได้ค่อยๆเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินคำถามของจางมัลดง
เขารู้สึกสับสนอยู่เล็กน้อย ในความเป็นจริงแล้ว เขาก็ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นเลย เขารู้สึกอย่างรุนแรงว่าฟีโซรายังอ่อนให้เขาอีกด้วย
“เมื่อตะกี้นั่นแหละคือรากฐานพลังของนาย”
คำว่ารากฐานได้ดังก้องกังวาลอยู่ภายในหูของเขา
“ผมควรจะทำยังไง?”
ซอลจีฮูได้พูดออกมาราวกับต้องมนต์
“ประเมิน”
จางมัลดงได้พูดอย่างหนักแน่น
“ประเมินตัวเอง และแยกแยะถึงสภาพรากฐานของนายในปัจจุบันให้ถูกต้อง นี่คือสิ่งที่นายต้องเริ่ม”
ก่อนที่จะพัฒนาขึ้นก็ต้องมองหาข้อบกพร่องก่อน
นี่คือสิ่งที่จางมัลดงกำลังจะบอกกับเขา
จางมัลดงได้ชี้ไปที่เต็นท์โดยที่ไม่พูดอะไรออกมา
ซอลจีฮูได้หันหน้าและเดินโซเซออกไป เขาได้เดินผ่านเต็นท์จนหายเข้าไปในป่า
“…ฮึ่ม นี่ปู่จะทำให้ฉันเป็นคนเลวนะ”
ฟีโซราหน้ามุ่ยขึ้นมา
“ถ้าเขาเริ่มเกลียดฉันเพราะเรื่องนี้ ปู่ต้องรับผิดชอบนะ”
จางมัลดงได้ขมวดคิ้วขึ้นมา
“นี่เธอคิดว่าจีฮูจะใจแคบเหมือนเธองั้นหรอ? เขาจะเกลียดเธอแค่เพราะแพ้ครั้งเดียวหรอ?”
จางมัลดงได้โต้กลับมา
ฟีโซราที่รู้สึกผิดได้หันไปมองทางที่ซอลจีฮูหายไป
“จะยังไงเราก็ต้องทำแบบนี้จริงๆงั้นหรอ? เขาก็ไม่ได้หยิ่งยโสอะไรแบบนั้นนี่นา”
“ฉันรู้”
จางมัลดงได้พยักหน้าออกมาอย่างเคร่งขรึม
“เขาไม่ได้หยิ่งผยอง แล้วก็ไม่ได้ยกย่องตัวเองเลย ฉันรู้ดี…”
จางมัลดงได้เว้นช่วงไปพักหนึ่งพร้อมทั้งมองไปทางที่ซอลจีฮูหายไปด้วยความเป็นกังวล
ฟีโซราได้ยิ้มออกมา
“ทำไมปู่ถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะ?”
“อะไรนะ?”
“ก็แบบว่าในตอนที่ยัยราฮีทำลายฉันในการประลอง ปู่ก็บอกว่า ‘เธอมั่นใจในตัวเองเกินไป ในที่สุดก็รู้จุดยืนของตัวเองแล้วใช่ไหม’”
“นั่น… นั่นมันก็เพราะเธอดื้อด้านเกินไป”
จางมัลดงได้หัวเราะออกมาก่อนที่จู่ๆจะเงียบลงไป หลังจากก้มหน้าต่ำลงไปเล็กน้อย…
“ฉันจะพูดอะไรแบบนั้นได้ยังไงกัน…”
เขาได้พึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงหดหู่อย่างไม่เคยมีมาก่อน
“ในเมื่อเขาพยายามอย่างเต็มที่แล้ว”
***
ซอลจีฮูได้เอนหลังพิงต้นไม้ครุ่นคิดอยู่กับตัวเอง เมื่อเห็นหน้าต่างสถานะของเขา เขารู้สึกเหมือนกับว่าเขารู้ว่าจางมัลดงอยากจะพูดอะไร
‘ฉัน…’
ฉันไม่ได้แกร่งเหมือนอย่างที่คนทั่วไปคิด
สิ่งที่เห็นคนอื่นๆเห็นคือเขาที่อยู่ภายใต้ผลของนิมิตและทักษะปลุกพลังหลายต่อหลายอย่างที่ทับซ้อนกันจนระเบิดพลังออกมาอย่างรุนแรง
เมื่อตระหนักได้ถึงความเป็นจริงของสถานการณ์นี้ ซอลจีฮูก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
เทคนิคของเขาเป็นสิ่งที่น่ากลุ้มใจจนพูดไม่ออกเลย
ทั้งๆที่อยู่ระดับ 5 เขาก็ยังไม่ได้เรียนรู้ทักษะที่ควรจะเรียนในระดับ 3 กับ 4 เลยด้วยซ้ำไป
มันก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่มีข้อแก้ตัวเลย เขากำลังพยายามที่จะเรียนรู้ทักษะนั้นด้วยตัวเอง ความก้าวหน้าที่ล่าช้า และเขาก็ต้องยุ่งกับการสร้างองค์กรหลังจากสงคราม
แต่ว่าในท้ายที่สุดแล้วข้อแก้ตัวต่างๆเหล่านั้นมันก็ไร้ค่า
จะเกิดอะไรขึ้นหากว่าศัตรูตรงหน้าเขาไม่ใช่ฟีโซรา แต่เป็นความหมั่นเพียรอันนิรันดร์?
ข้อแก้ตัวมันจะช่วยชีวิตเขาได้งั้นหรอ?
“หืม”
เสียงไอแห้งๆได้ดังขึ้นจนทำให้ซอลจีฮูหลุดออกมาจากห้วงความคิด พร้อมๆกันนั้นจางมัลดงก็ได้เดินออกมาจากหญ้า
ซอลจีฮูได้รีบลุกขึ้นมา
“นายกำลังทำอะไรอยู่?”
“อ่อ ผมแค่กำลังคิดอยู่ครับ”
“แล้วนายกำลังคิดอะไรอยู่ล่ะ?”
“เอ่อ…”
ซอลจีฮูได้เกาแก้มออกมา
“อย่างแรก ผมกำลังสงสัยว่าผมควรจะเรียนรู้เทคนิคหอกให้หลากหลายกว่านี้หรือเปล่า แค่การแทง ฟาด แล้วก็ฟันมันคาดเดาได้ง่ายเกินไป”
นี่มันไม่ใช่คำตอบที่เขาได้รับมาหลังจากไตร่ตรองอยู่นาน แต่ว่านี่เป็นสิ่งแรกที่เขาคิดขึ้นมา
จางมัลดงได้หยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัวออกมา
“ฉันไม่อาจจะพูดว่ามันเป็นคำตอบที่ผิดได้ไหม แต่ว่ามันก็ไม่ใช่คำตอบที่ถูกเหมือนกัน”
“ถ้างั้น-“
“ทำไมนายถึงเลือกเป็นนักรบล่ะ? แล้วก็ผู้ใช้หอกนั่นด้วย?”
จากคำถามที่กระทันหันทำให้ซอลจีฮูต้องเงียบไป
“ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ นายอาจจะคิดว่ามันไม่ยุติธรรม มานากับอุปกรณ์เวทย์คือส่วนหนึ่งของพาราไดซ์อย่างแน่นอน เพราะงั้นทำไมเขาถึงไม่ให้ฉันใช้ในการประลองล่ะ? ฉันมั่นใจว่านายกำลังคิดแบบนั้น”
ซอลจีฮูได้นั่งฟังอยู่อย่างเงียบๆ
“ฉันเห็นด้วยนะ แต่ว่าทำไมนายถึงไม่เป็นนักเวทย์ไปเลยซะล่ะ?”
“…”
“ฉันเคยพูดมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่ภูเขาหินยักษ์แล้วนะ นายพึ่งพามานาในการต่อสู้มากเกินไป จะพูดว่ามันเป็น 80%-90% ในพลังต่อสู้ของนายก็ไม่ได้ผิดเลย”
ซอลจีฮูได้กลายเป็นพูดไม่ออก เขาไม่กล้าจะปฏิเสธเลยสักนิด
“แต่ว่าถ้านายจะใช้มานาเป็นส่วนสำคัญในการต่อสู้ขนาดนั้น ถ้างั้นการเป็นนักเวทย์มันจะไม่ดีกว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่าหรอกหรอ?”
ในที่สุดซอลจีฮูก็เข้าใจในสิ่งที่จางมัลดงกำลังจะบอกแล้ว
นักรบ หรือก็คือผู้ใช้หอกจำเป็นต้องรู้วิธีใช้หอก
“ถ้าฉันอนุญาตให้นายใช้มานา แน่นอนว่าการต่อสู้ก็จะกลายเป็นอีกแบบหนึ่งไปเลย ยังไงสุดท้ายแล้วความเร็วและพลังของการแทง ฟาด แล้วก็ฟันก็จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อผสานมานาเข้าไป”
จางมัลดงได้สูดหายใจก่อนจะพูดต่อ
“แต่ว่าหากนายเจอเข้ากับศัตรูที่ใช้มานาสู้ด้วยไม่ได้ นายจะทำยังไงกันล่ะ?”
ในตอนนั้นเองซอลจีฮูก็รู้สึกเหมือนค้อนกระแทกเข้าที่หัวอย่างจัง
ในที่สุดความรู้สึกเดจาวูก็ค่อยๆชัดเจนขึ้นมา
ในตอนแรกที่เขาเจอกับความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ที่ป้อมปราการ เขาได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลังแล้ว แต่ว่าเขาก็พ่ายแพ้แบบน่าอนาถ
เขายังจำได้ชัดเจนว่าแค่นิ้วเดียวของความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ก็หยุดหอกของเขาไว้ได้ และผู้บัญชาการกองทัพก็โยนเขาออกไปเหมือนกับแมลงวัน
“นายมัวแต่สนใจอยู่กับจิตใจ เทคนิค ร่างกาย และการกลายเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงมากเกินไปจนนายได้ลืมสิ่งสำคัญ”
จางมัลดงได้พูดออกมาอย่างหนักแน่น
“นายจำเป็นจะต้องรู้วิธีต่อสู้”
ซอลจีฮูไม่ได้ตอบกลับมา เขาได้ยืนนิ่ง และครุ่นคิดตามคำพูดของจางมัลดง
เมื่อซอลจีฮูไม่ได้พูดอะไรออกมา จางมัลดงก็ไอแห้งๆ และถามขึ้น
“นายหงุดหงิดงั้นหรอ?”
“…ว่าไงนะครับ”
“มันคงจะน่าหงุดหงิดแน่ๆ”
“มะ ไม่เลยครับ…”
ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมา มันแทบจะดูเหมือนจางมัลดงอยากจะให้เขารู้สึกไม่พอใจ
“นายไม่หงุดหงิดงั้นหรอ?”
“พวกเราได้ต่อสู้ภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน ผมแพ้ก็เพราะผมด้อยกว่า”
ซอลจีฮูได้ยิ้มออกมา
“แล้วก็จริงๆแล้วผมโล่งใจมากกว่า”
“โล่งใจ?”
จางมัลดงได้ขมวดคิ้วขึ้นมา
“ครับ เส้นทางในการกลายเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงมันดูจะคลุมเครือมากเกินไป…”
ดวงตาซอลจีฮูเป็นประกายขึ้นมา
“แต่ว่าในตอนนี้ ถึงผมจะผสานจิตใจ เทคนิค และร่างกายเข้าด้วยกันไม่ได้ แต่ว่าผมก็รู้ว่าแค่การก้าวข้ามจุดอ่อนในปัจจุบันไปได้ ผมก็จะแข็งแกร่งขึ้น”
จางมัลดงได้จ้องซอลจีฮูด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป เขาได้มองสำรวจชายหนุ่มอย่างตั้งใจราวกับจะยืนยันว่าสิ่งที่ชายหนุ่มพูดจริงใจหรือเปล่า
เมื่อเขาได้ช่วยให้ชาวโลกได้เผชิญหน้ากับความจริงอันโหดร้าย พวกเขาก็มักจะแสดงปฏิกิริยาออกมาในสองรูปแบบ
อย่างแรกคือความสิ้นหวังที่เกิดจากการผิดหวังและหดหู่ใจ
อย่างที่สองคือเปลี่ยนแปลงความอัปยศให้กลายเป็นความปรารถนาที่จะเอาชนะอย่างน่ากลัว
คนที่เป็นอย่างแรกนั้นไม่มีค่าให้พูดถึงเลย สำหรับอย่างหลังนั้นอย่างน้อยก็น่าที่จะยกย่อง ท้ายที่สุดแล้วการมีแรงกระตุ้นนั่นหมายความว่าจะทำให้พวกเขาพยายามให้มากขึ้น
แต่ว่าสำหรับปฏิกิริยาของซอลจีฮูไม่ได้เป็นไปตามแบบอย่างข้างต้นนั้น
มันไม่ใช่เขาจะดูหัวอ่อนเลยสักนิด
ดวงตาที่ใสกระจ่างของเขาได้แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาในการแสวงหาศิลปะการต่อสู้อันบริสุทธิ์ และความปรารถาในการพัฒนาตัวเองให้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่สิ้นสุด
นี่เป็นกรณีที่หาได้ยากยิ่ง
‘เอาเถอะนะ จริงๆแล้วเขาก็แค่หลงไหลในการต่อสู้กับปรสิตเท่านั้นเอง… มันคงไม่ใช่เรื่องแย่หรอกนะ’
จางมัลดงได้มาปลอบใจเขาสักหน่อย แต่แล้วเขาก็ต้องเปลี่ยนใจ
“นายเพียงจะก้าวมาได้แค่ก้าวเดียวเท่านั้น ไม่สิ แค่ครึ่งก้าวเท่านั้นเอง คนที่ปีนขึ้นมาอย่างง่ายดายด้วยคะแนนคุณูปการ กับคนที่กัดฟันพยายามอย่างเต็มเพื่อเรียนรู้สิ่งที่ดีที่สุดด้วยกำลังของตัวเอง ระดับชั้นของแรงค์เกอร์ระดับสูงระหว่างทั้งสองอย่างนี้จะเริ่มแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน”
ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างขึ้นมา
จากนั้นจางมัลดงก็พูดเสริมขึ้นมา “นายได้อยู่ระดับ 5 แล้ว เพราะงั้นอีกไม่นานหรอกนะ”
“นายอยากจะอยู่ไหมล่ะว่าทั้งสองประเภทนั้นต่างกันขนาดไหน?”
ซอลจีฮูได้ค่อยๆพยักหน้าออกมา
“เอาชนะจุดอ่อนของนาย และค้นหามันด้วยตัวเองซะ”
จากนั้นจางมัลดงก็ชี้ไม้เท้าไปที่ทางซ้ายมือ
“อย่างแรกไปหาฮิวโก้ซะ”
“ทำไมถึงเป็นฮิวโก้…?”
“ฮิวโก้มีค่าสถานะมานาที่ต่ำมาก เขาเป็นนักรบที่ฝึกเพียงแค่ร่างกายเท่านั้น”
จางมัลดงได้ยิ้มออกมา
“นายน่าจะได้เรียนรู้อะไรสักสองสามอย่างจากเขาได้”
“ถ้างั้นผมจะไปเดี๋ยวนี้เลย”
ซอลจีฮูได้เริ่มวิ่งออกไปก่อนที่จะหยุดหันหน้ากลับมามองจางมัลดง
“อาจารย์จาง”
“อืมม?”
“คำถามนี่เป็นแค่สมมติฐานเท่านั้นนะครับ”
ซอลจีฮูได้กระแอ่มออกมา
“แต่ว่าถ้าผมเอาชนะคุณฟีโซราได้แค่ด้วยเทคนิคเท่านั้น… ถ้างั้นแล้วผมจะกลายเป็นแข็งแกร่งขนาดไหนกัน?”
“หืมม”
จางมัลดงได้ลูบคางออกมา
“หากว่านายเสริมสร้างรากฐานจนเหนือกว่าของฟีโซราได้ แล้วหากบวกมานาเข้าไปด้วย…”
เขาได้หยุดครู่หนึ่งก่อนจะพูดอย่างหนักแน่น
“ถ้างั้นหากจะพูดว่านายเป็นชาวโลกที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่คนที่มีระดับต่ำกว่าระดับ 7 ก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลย”
นั่นมันหมายความว่าแม้กระทั่งแคลร์ แอ็กเนสก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
‘ในที่สุด’
ในที่สุดเขาก็เริ่มไล่ตามแอ็กเนสทันแล้ว
เขาได้ตั้งเป้าหมายใหม่อีกครั้งหนึ่ง
***
ฮิวโก้เขากำลังอยู่ระหว่างการฝึกอย่างเข้มข้น
เขาได้แขวนขอนไม้เอาไว้ และพยายามหลบขอนไม้เหล่านี้ด้วยท่าทีที่แตกต่างไปจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง
ซอลจีฮูที่เห็นการฝึกของฮิวโก้ได้ประหลาดใจขึ้นมา เขาไม่เคยคิดว่าฮิวโก้อ่อนแอเลย แต่ว่าเมื่อได้เห็นแบบนี้ ฮิวโก้ก็ดีกว่าที่เขาคิดจริงๆ
มันเป็นครั้งแรกเลยที่ซอลจีฮูได้เห็นฮิวโก้พยายามอย่างหนัก
การหลบของฮิวโก้ได้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเขาถูกขอนไม้อันที่แปดร้อยฟาดเข้าใส่
“อ๊า เวรเอ้ย!”
หลังจากสบถออกมา เขาก็ลุกขึ้นยืนจากพื้น หลังจากที่เห็นซอลจีฮูกำลังแอบมองอยู่อย่างเงียบๆ เขาก็กระพริบตาออกมาอย่างสับสน
“หืม? นี่นายดูมานานแค่ไหนแล้ว?”
“ก็ไม่ได้นานหรอก”
ซอลจีฮูได้ตอบกลับมาสั้นๆ ทันใดนั้นฮิวโก้ก็ยืดหลังออกมา
“อะไรล่ะ นายอยากจะให้ฉันให้กำลังใจนายงั้นหรอ?”
“กำลังใจ?”
“อย่ามาทำเป็นไม่เข้าใจนะว่าฉันกำลังพูดอะไร ฟีโซราเพิ่งจะทำลายนายมานะ”
น้ำเสียงของเขาได้เต็มไปด้วยความล้อเล่น ซอลจีฮูรู้ดีว่าฮิวโก้ไม่ได้เจตนาร้าย แต่ว่าเขาก็ยิ้มแห้งๆออกมา
“อาจารย์จางได้บอกให้ฉันมาหานาย อาจารย์บอกว่าฉันจะได้เรียนรู้บางอย่างจากการมาดูนาย”
“อะไรนะ? ตาแก่บอกนายว่าจะได้เรียนรู้จากฉันหรอ?”
ฮิวโก้ได้พูดออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“…ก็นะ ข้อบกพร่องของนายมันชัดเจนมากเลยซอล เพราะงั้นฉันก็พอเข้าใจแหละ…”
แต่แล้วจากนั้นเขาก็พยักหน้าออกมาราวกับว่าเขาเข้าใจได้ในทันทีว่าทำไม เมื่อเห็นแบบนี้ซอลจีฮูก็กลายเป็นเศร้าไปเล็กน้อย
ฮิวโก้ได้ถามออกมาอีกครั้งด้วยความยินดี
“ยังไงก็เถอะนะ ตาแก่พูดแบบนั้นจริงๆงั้นหรอ?”
“ใช่แล้ว”
“จริงๆงั้นหรอ?”
“ใช่สิ”
ด้วยเหตุผลบางอย่างฮิวโก้ได้ถามคำถามเดิมซ้ำๆออกมาอย่างดีใจ
“ฮิฮิ ตาแก่ยังตาแหลมเหมือนเดิมเลย! ดีกว่าตาลุงเยอะเลย”
ไม่นานนักซอลจีฮูก็รู้ว่า ‘ตาลุง’ ที่ฮิวโก้หมายถึงนั่นคือผู้ดูแลราชวงศ์อีวา
“ฮุฮุฮุ เอาเถอะนะ ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ แต่ว่าฉันก็ยังยุ่งกับการฝึกอยู่ เพราะงั้นฉันไม่อาจจะใช้เวลาของฉันไปช่วยนายได้นะ ฉันก็แค่จะบอกคำตอบกับนาย”
ซอลจีฮูไม่มีเหตุผลให้ต้องปฏิเสธ มันหาได้ยากที่ฮิวโก้จะแสดงความกระตือรือร้นแบบนี้ เพราะงั้นซอลจีฮูก็ไม่อยากจะขัดเขา
“โอเค-“
ฮิวโก้ได้ไอออกมา จากนั้นขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา เขาก็แสดงสีหน้าทึ่มๆออกมา
“แล้วฉันบอกว่าจะพูดเรื่องอะไรนะ?”
ซอลจีฮูหัวเราะออกมา
“นายบอกว่าข้อบกพร่องของฉันมันชัดเจน”
“โอ้ โอ้ ใช่แล้ว การได้เห็นสักครั้งมันคงดีกว่าการได้ยินเป็นร้อยครั้ง ส่งหอกนายมาให้ฉันสิ”
เมื่อซอลจีฮูส่งหอกของเขาออกไป ฮิวโก้ก็ตั้งท่า และพูดออกมา
“ตั้งใจดูให้ดีนะ ฉันกำลังจะเลียนแบบวิธีการต่อสู้ของนาย”
จากนั้นเขาก็ก้าวไปข้างหน้าก่อนจะแทง ฟัน และฟาดหอกออกมา
เขาได้พึมพำออกมาว่า “เรียบร้อย”
เขาได้ถอยกลับ และส่งหอกคืนมา
“นี่แหละ ทั้งสามอย่างนี้ และเนื่องจากว่ามันคือเทคนิคพื้นฐานจึงสามารถจะมองออกได้ง่ายๆ…”
ฮิวโก้ได้มองมาที่ซอลจีฮูก่อนที่จะค่อยๆพูดต่อ
“อืมม… ซอล อย่ากดดันเกินไปนักล่ะ”
“แน่นอนสิ”
“ถ้างั้นฉันจะพูดตรงๆนะ มันไม่ใช่แค่ฟีโซราเท่านั้น หากสู้ในเงื่อนไขเดียวกัน ไม่ว่าจะโชฮง มาแชล จิโอเนีย หรือฉันก็จะไม่แพ้นาย”
“อืมม…”
“แน่นอนสิ มันอาจจะต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงหากว่านายใช้งานมานาที่สูงผิดปกติของนาย แต่ในแนวเดียวกันพลังของนายก็จะหายไปอย่างมากหากไร้ซึ่งมานา”
การประเมินที่ตรงไปตรงมาของฮิวโก้ได้กระแทกใจเขาอย่างแรง แต่ว่าเขาก็พยายามอย่างมากที่จะไม่แสดงมันออกมาจากภายนอก
“อาจารย์จางบอกว่าฉันไม่รู้วิธีการต่อสู้”
“ถูกแล้วล่ะ นั่นมันตรงจุดมากจริงๆ ในตอนที่ฉันดูนายต่อสู้นะ… จะพูดว่ายังไงดีล่ะ มันเหมือนกับว่านายไม่มีแผนอะไรที่มันชัดเจนเลย”
“ช่วยอธิบายให้ชัดหน่อยได้ไหม?”
เมื่อได้ยินแบบนี้ฮิวโก้ก็จ้องไปที่ซอลจีฮู
เขาได้แสดงสีหน้าจริงจังออกมา
“ฉันขอถามนายหน่อยได้ไหม?”
เขาได้ถามออกมาก่อนที่ซอลจีฮูจะตอบว่าใช่ซะอีก
“ทำไมนายถึงพุ่งออกไปในทันทีที่การตอสู้เริ่มต้นขึ้นล่ะ?”
“นั่นก็เพราะ-“
“หอกเป็นอาวุธที่ดีกว่าดาบ ทำไมล่ะ? นั่นมันก็เพราะว่ามันมีระยะที่ยาวกว่าดาบเป็นสองเท่า ผู้ใช้หอกทุกๆคนจะรู้จักการต่อสู้พร้อมทั้งรักษาระยะห่างไปด้วย มันไม่มีเหตุผลอะไรให้นายต้องพุ่งเข้าใสตั้งแต่แรกเลย”
ซอลจีฮูพูดไม่ออกทันที
“ยังไม่หมดเท่านั้นนะ การแทง ทำไมนายถึงแทงไปข้างหน้าอยู่เสมอล่ะ? นายสามารถจะแทงไปในหลายๆทางได้พร้อมๆกัน การเขย่าหอกเล็กน้อยเพื่อก่อกวนการมองเห็นของฝ่ายตรงข้าม หรือใช้เล่ห์เหลี่ยมเล็กๆน้อยๆใส่คู่ต่อสู้ด้วย”
“…”
“สำหรับการฟันกับฟาดก็เป็นเช่นเดียวกัน นายสามารถจะฟันได้หลายๆทาง แต่ว่านายก็เอาแต่ฟันในแนวนอนหรือแทยงมุมอยู่เสมอ นายเอาแต่ฟาดด้วยการใช้คมหอก แต่ว่านายก็สามารถจะบิดหอกแล้วก็ใช้ด้ามหอกฟาดเหมือนคทาก็ได้ ทำไมนายไม่ทำแบบนั้นล่ะ?”
ฮิวโก้ได้สูดหายใจอยู่นาน หลังจากสังเกตถึงสีหน้าของซอลจีฮู เขาก็พูดต่อเงียบๆ
“ฉันรู้ว่านายก็เคยคิดเรื่องนี้เหมือนกันนะ แต่ว่าซอล นายพึ่งพามานามากเกินไป นั่นมันเพราะว่าแค่นายใช้มานามันก็ทำให้คนอื่นสู้กับนายได้ยากแล้ว”
ซอลจีฮูได้ค่อยๆหลับตาลง ในที่สุดเขาก็รู้ถึงน้ำหนักของสถานการณ์แล้ว
“ให้ฉันให้คำแนะนำสุดท้ายกับนายแล้วกันนะ นายคิดว่าอะไรที่ทำให้นายพ่ายแพ้ฟีโซราอย่างง่ายดาย?”
“…”
“มันง่ายมาก ยกตัวอย่างเช่น… ฮ่าห์”
ฮิวโก้ได้เดินเข้าไปซ่อนตัวในพุ่มไม้
“สมมติว่าฉันซ่อนตัวอยู่ที่นี่ แล้วนายก็เดินมา หากว่าฉันลอบโจมตีนาย นายจะทำยังไง?”
“ฉันจะปัดป้องหรือสวนกลับกลับไป”
“ก็ใช่แล้วล่ะ แต่ว่าถ้าหากว่านายไม่รู้ว่าฉันกำลังซ่อนอยู่ตรงนี้ล่ะ?”
ทันใดนั้นฮิวโก้ก็ลุกขึ้นมา
“ถ้างั้นนายจะทำยังไงล่ะ?”
สีหน้าของซอลจีฮูได้แข็งทื่อไป
ฮิวโก้ได้พูดออกมาเบาๆหลังจากที่ออกมาจากพุ่มไม้
“หากว่านายเห็นว่าอะไรกำลังเข้ามา นายก็จะมีปฏิกิริยา แต่ว่าหากนายไม่รู้ นายก็จะตายได้ง่ายๆเลย นี่มันต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลยใช่ไหมล่ะ?”
‘อ่า’
ในที่สุดซอลจีฮูก็เข้าใจถึงสิ่งที่เขาจะบอกแล้ว
เหตุผลที่ฟีโวราเอาชนะเขาได้ง่ายๆก็เพราะเธอได้คาดเดาถึงการเคลื่อนไหวของซอลจีฮูไว้แล้ว
ในอีกด้านหนึ่งซอลจีฮูไม่ได้คาดเดาถึงการเคลื่อนไหวของฟีโซราเลยสักนิด
‘ฉัน…’
เขาได้ต่อสู้โดยที่ไม่รู้กระทั่งพื้นฐานของการต่อสู้เลยด้วยซ้ำไป
ในตอนนี้เขาอดไม่ได้ที่จะคิดว่าตัวเองโชคดีมากแล้วที่รอดชีวิตมาจนถึงตอนนี้
ฮิวโก้ได้กำหมัดแน่น และเขกหัวของเขา
“สิ่งสำคัญก็คือต้องคิด”
หรือก็คือตลอดมาซอลจีฮูได้ต่อสู้โดยไม่คิดอะไรเลย
เขาเอาแต่พึ่งพามานา
และข้อบกพร่องนี้ก็ได้เผยออกมาในระหว่างสงครามสุดท้าย
“ยังไงก็ตามเมื่อนักสู้ที่มีทักษะสองคนสู้กัน พวกเขาก็จะใช้เวลาสักพักหนึ่งในการตรวจสอบกันและกัน การปะทะกันไม่กี่ครั้งจะมีข้อมูลที่ไม่อาจจะประเมินได้ถูกส่งไปมาอยู่ตลอดเวลา อะไรจำพวกเทคนิคที่ฝ่ายตรงข้ามใช้ ลักษณะนิสัยเฉพาะตัว”
“…มันไม่ใช่ง่ายๆสินะ”
ซอลจีฮูได้ถอนหายใจออกมา
“การที่จะคิดเรื่องทั้งหมดนี่ในการต่อสู้ที่กดดัน…”
“นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญ!”
ฮิวโก้ได้หัวเราะออกมาอย่างสดชื่น
“ร่างกายของนายจะตอบสนองไปโดยอัตโนมัติตามประสบการณ์การต่อสู้ของนาย! ฉันคิดว่านายจะพูดว่าร่างกายมันรู้ได้เองโดยสัญชาตญาณก็ได้”
ฮิวโก้ได้ขยิบตาออกมาก่อนจะตบหลังซอลจีฮู
“ทำไมนายถึงกงัวลล่ะ? นายยังมีเวลาให้ฝึกอีกมาก!”
“ฉันหรอ? ไม่หรอก ฉัน-“
“เอาเถอะน่า!”
ฮิวโก้ได้ชี้นิ้วไปที่ต้นไม้
“ลองคิดให้ดีสิว่าทำไมตาแก่ถึงให้นายฝึกแบบนั้น”
ซอลจีฮูได้มองไปที่ขอนไม้ที่ยังแกว่งอยู่บนต้มไม้ และร้องอ่อออกมา
‘ลองคิดดูสิ-‘
[ฟังนะเจ้าหนู ฉันอาจจะช่วยนายฝึกได้ แต่ว่านายจะต้องเป็นคนที่ทำมัน! หากว่านายรู้ว่าความตั้งใจที่ฉันให้นายฝึกแบบนี้คืออะไร และทำให้มันสำเร็จได้ในระดับหนึ่ง นายก็จะมีอาวุธที่ยอดเยี่ยมอยู่ภายในมือ]
[เอาล่ะ… มันจะเป็นพื้นฐานในการแก้ไขจิตใจ เทคนิค และร่างกายที่บิดเบี้ยวของนาย]
นี่คือสิ่งที่ซอลจีฮูได้ยินในระหว่างการฝึกหลบขอนไม้ครั้งแรก
และจากการฝึกนี้ ซอลจีฮูก็ได้รับทักษะหายากที่มีชื่อว่าสัญชาตญาณ
ใช่แล้ว เขามีคำตอบอยู่ภายในมือแล้ว เขาก็แค่ไม่รู้วิธีใช้งานมันเท่านั้นเอง
[ครึ่งก้าว]
ในตอนนี้เขาเห็นยอดเขาแล้ว
ทันทีที่ซอลจีฮูรู้เรื่องนี้ ดวงตาของเขาก็ได้เริ่มลุกโชนขึ้นมาอย่างรุนแรง
“ขอบคุณฮิวโก้”
“อืมม! การเอาชนะกับแพ้จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ทุกๆคนเติบโต! จากนั้นก็จัดการยัยฟีโซราซะเลย”
ฮิวโก้ได้ยื่นหมัดออกมา
และซอลจีฮูก็ยื่นหมัดกลับไปชนด้วยรอยยิ้ม