The Second Coming of Gluttony - ตอนที่ 240
บทที่ 240 – สายลมกลายเป็นพายุ (2)
การฝึกนรกแตกได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ในพาราไดซ์ ‘จิตใจ’ หมายถึงสติปัญญา ความคิด พรสวรรค์
‘เทคนิค’ หมายถึงทักษะและความสามารถ และ ‘ร่างกาย’ หมายถึงสภาพร่างกายและสรีระ รวมไปถึงมานาด้วย
สภาพจิตใจของซอลจีฮูจะขึ้นอยู่กับการควบคุมทั้งหมด และเขาได้ใช้เวลาไปกับการฝึกฝนร่างกายมาพอสมควรแล้ว
ปัญหาก็คือเทคนิคของเขา เติมดีเทคนิคเป็นส่วนที่มีระดับสูงที่สุดในองค์ประกอบทั้งสามอย่าง
แต่นั่นมันก็แค่สิ่งที่เขาคิด และมันก็ไม่ได้ผิดนัก ยังไงสุดท้ายแล้วเทคนิคหอกพื้นฐานของเขาต่างก็อยู่ในระดับสูงทั้งหมด
ปัญหามันไม่ใช่ว่าเทคนิคของเขาอยู่ในระดับไหน แต่ปัญหาก็คือเขาใช้มันได้ไม่ถูกต้องนั่นเอง
หลังจากได้รู้ถึงข้อบกพร่องของตัวเขาเองแล้ว ซอลจีฮูก็อดจะคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าเทคนิคของเขาล้าหลังที่สุดในองค์ประกอบทั้งสามอย่าง
ดังนั้นการฝึกนี้ เขาจึงตั้งเป้าหมายเอาไว้ที่การตรวจสอบในเทคนิคที่เขาละเลยเอาไว้
ซอลจีฮูได้วิ่ง ในขณะที่วิ่งออกไปสุดกำลัง เขาก็จะกระขายมานาออกไปทุกๆส่วนของร่างกาย จากนั้นก็ระเบิดมันออกมาทันที
ตูม! พร้อมๆกับเสียงระเบิด ร่างกายของซอลจีฮูก็พุ่งออกไปข้างหน้าเหมือนกับลูกธนู
ความสามารถที่ได้รับการปลดล็อคในแต่ล่ะการเพิ่มระดับจะแบ่งออกเป็นสองหมวดหมู่ มีการวิวัฒนาการความสามารถที่มีอยู่แล้ว และความสามารถใหม่ไปเลย
เขาได้เรียนรู้ก้าวพริบตาในระดับ 3 และประกายสายฟ้าที่พึ่งจะปลดล็อคในระดับ 4 ก็คือการวิวัฒนาการของก้าวพริบตานั่นเอง
นั่นก็หมายความว่าการใช้ก้าวพริบตาให้เชี่ยวชาญจะเป็นทางลัดในการได้รับประกายสายฟ้า
แน่นอนว่าด้วยนิสัยของจางมัลดงแล้ว ซอลจีฮูจึงแทบไม่ได้ฝึกลงลึกไปที่ทักษะใดทักษะหนึ่งเลย
ตึง! ขณะที่ซอลจีฮูกำลังใช้ก้าวพริบตาอีกครั้ง…
“ตอนนี้แหละ!”
เสียงตะโกนของจางมัลดงได้ดังออกมา
ในเวลาเดียวกันฟีโซราที่ยืนรออยู่แล้วได้เหวี่ยงตะกร้าในมือออกไป ทำให้หินหลากสีที่อยู่ภายในตะกร้าได้พุ่งโค้งเข้าใส่ซอลจีฮู
เมื่อระยะห่างระหว่างซอลจีฮูกับหินได้สั้นลงไปในพริบตาเดียว จางมัลดงก็ได้ตะโกนขึ้น
“สีเหลือง!”
ในมุมมองของซอลจีฮูมีหินอยู่นับสิบ สีแดง สีส้ม สีเหลือง และสีเขียว ในหมู่สีที่ต่างกันสี่สีนี้ เขาจะต้องแทงแค่หินสีเหลืองเท่านั้น
โดยที่ยังใช้ก้าวพริบตาแบบเต็มกำลังอีกด้วย
เขาได้เห็นบางอย่างสีเหลืองอยู่มุมสายตา และยื่นแขนออกมา
ตึก! หอกของเขาได้กระแทกกับหินสีเหลืองจนทำให้ก้อนหินกระเด็นออกไปไกว
แต่ว่ามันไม่ได้มีแค่ก้อนเดียวเท่านั้น
ก่อนที่เขาจะทันได้เช็คดูว่าเขาแทงถูกเป้าหมายหรือเปล่า ซอลจีฮูก็รีบมอบดูกลุ่มหินที่ลอยเข้ามาในทันที
หอกของเขาได้ถูกสะบัดออกไปอย่างรวดเร็ว และจัดการกระแทกกับก้อนหินไปอีกสองก้อน โดยที่ทั้งสองก้อนต่างก็เป็นสีเหลือง
แต่ว่าก้อนหินที่เหลืออยู่ก็กลิ้งลงไปบนพื้นพร้อมเสียงดัง จากนั้นซอลจีฮูก็ร้องอะออกมา
ก้อนหินสีเหลืองที่เขาไม่ทันมองตกอยู่ที่เท้าของเขาแล้ว
“เก็บมาให้หมด!”
น้ำเสียงไม่พอใจได้ดังออกมาทันที
“มันเกิดอะไรขึ้นกับการฝึกหลบขอนไม้ของนายกัน!? นายลืมไปแล้วงั้นหรอ? ฉันบอกแล้วนี่ว่าอย่าโจมตีหลังจากที่เห็น และคิดแล้ว! ให้โจมตีในทันทีที่เห็น! ใช้สัญชาตญาณของนายซะ!”
นี่มันฟังดูไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“ผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงจะโจมตีออกไปก่อนที่จะรับรู้ซะอีก ในตอนที่นายเคลื่อนไหว หัวของนายก็ขาดไปแล้ว!”
นั่นมันหมายความว่ากระบวนการคิดของเขาต้องเกิดขึ้นไปพร้อมๆกันกับการเคลื่อนไหวร่างกายก่อน
จริงๆแล้วการแทงถูกหินสามในสี่ก้อนก็น่าประทับใจแล้ว แต่ว่าซอลจีฮูก็ได้กลับไปประจำตำแหน่งโดยไม่พูดอะไร และเตรียมตัววิ่งอีกครั้งหนึ่ง
ด้วยแบบนี้จะทำให้เขาถูกตำหนิน้อยลง นอกไปจากนี้เขาก็รู้สึกถึงผลของการฝึกนี้ด้วย
ทักษะสัญชาตญาณของเขาที่ซึ่งอยู่ในระดับเดิมมานากำลังเติบโตขึ้นในทุกๆวัน
***
ด้วยสถานที่แห่งใหม่ทำให้เนื้อหาการฝึกจึงเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเช่นเดียวกัน
การฝึกอีกอย่างที่จางมัลดงสั่งให้เขาทำก็คือการสู้กับเงา มันคือการสร้างศัตรูในจินตนาการขึ้นมา และศึกษาวิธีการต่อสู้และป้องกันด้วยตัวเอง
หลังจากลองคิดดูแล้ว ซอลจีฮูก็ได้เลือกฟีโซราให้เป็นศัตรูในจินตนาการของเขา แน่นอนว่าเขาก็สามารถสู้กันจริงๆได้ แต่ว่าเป้าหมายหลักของการฝึกนี้คือ ‘การคิด’
หลังจากได้จำถึงสิ่งที่ฮิวโก้บอกลึกลงไปในใจแล้ว ซอลจีฮูก็ได้หลับตาลง และเค้นสมองคิดในทันที
[ฉันคิดมานานแล้วนะ นายนี่มันกล้าจริงๆ]
สิ่งที่ฟีโซราบอกมันไม่ใช่คำชม กลับกันเลยมันคือการประชด
‘ฮิวโก้พูดถูก อาวุธของเขาคือหอก ระยะของมันคือข้อได้เปรียบ มันไม่มีเหตุให้ฉันต้องพุ่งเข้าใส่เลยสักนิด’
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากว่าศัตรูคือผู้เชี่ยวชาญ
ถ้างั้นการยืนนิ่งๆคือคำตอบที่ถูกต้องงั้นหรอ?
หากเขาเอาแต่รอ เธอจะทำอะไรกัน?
เธอจะต้องพุ่งเข้ามาแน่ๆใช่ไหม?
ถ้างั้นแล้วฉันควรจะทำยังไง?
เมื่อเขาได้เริ่มคิดเรื่องการต่อสู้ ความคิดมากมายก็ได้วนเวียนอยู่ภายในหัวของเขา
‘การเคลื่อนไหวของคุณฟีโซรา… เธอได้พุ่งเข้ามาอย่างลื่นไหลเหมือนกับสายตา แต่ว่าเมื่อเธอใช้ดาบยาวโจมตีออกมา มันก็ได้เปลี่ยนเป็นคลื่นรุนแรง’
ซอลจีฮูได้ใช้ด้ามหอกของเขารับเอาไว้ แต่ว่าฟีโซราก็ดันดาบของเธอเข้ามาหยุดที่คอของเขาก่อนแล้ว
นั่นหมายความว่าเธอได้เข้ามาถึงตัวเขาอย่างรวดเร็ว
‘แล้วถ้าฉันไม่ให้โอกาสเธอเข้าใกล้มาล่ะ?’
ซอลจีฮูได้คิดย้อนกลับไปที่ตอนเริ่มต้นต่อสู้ และแทงหอกออกไปในทนัทีที่ฟีโซราพุ่งเข้ามา
เขาไม่ได้แทงออกไปเป็นเส้นตรง แต่ว่าเขาแทงหอกออกไปสุ่มๆเพื่อไม่ให้เธอเข้ามาใกล้ได้
แต่ว่าฟีโซราในจินตนาการของเขาก็ไม่ได้ถอยกลับไป
เธอได้ใช้คมดาบของเธอปัดป้องการแทงทั้งหมดของเขา ก่อนที่จะจับด้ามหอกที่ถูกปัดเอาไว้ และเหวี่ยงมันลงไปเพื่อที่จะทำให้ซอลจีฮูเสียสมดุล
‘นี่แหละ’
ซอลจีฮูได้ใช้แรงเหวี่ยงของฟีโซราเป็นประโยชน์โดยการหมุนด้ามหอก 180 องศา จากนั้นก็ใช้ด้ามหอกเล็งไปที่เข่าของเธอ
ตามการคำนวณของเขาแล้ว เขาก็น่าจะฟาดถูกหัวหรือไม่ก็ไหปลาร้าของเธอ-
ผั๊วะ!
“หือ!?”
แต่ว่าด้ามหอกกลับฟาดเข้าที่ขมับของซอลจีฮูอย่างรุนแรงแทน นั่นมันเพราะว่าเขาหลับตาอยู่ทำให้เขาไม่อาจจะคำนวณองศาของหอกได้
“อ๊าาาา-“
ซอลจีฮูได้ทรุดตัวลงไปนวดขมับแน่น
ในนานนักเขาก็หยุดร้องลงไป
เขาได้ลดมือลงมากอดอก และครุ่นคิด
‘มันต้องมีวิธีการรักษาระยะห่างระหว่างเราที่ดีกว่านี้…’
ซอลจีฮูได้คว้าหอกที่ตกอยู่ขึ้นมา และลุกขึ้น
หลังจากหลับตาลงไปอีกครั้ง เขาก็ได้เริ่มแกว่งหอกก่อนที่จู่ๆด้ามหอกจะเด้งขึ้นมากระแทกปลายคางของเขา
“อึก!”
ซอลจีฮูได้กลิ้งไปกับพื้นพร้อมจับคางเอาไว้ก่อนที่จะเด้งตัวกลับขึ้นมา
เขาได้กัดฟันแน่น
“ให้ตายสิ อย่างน้อยวันนี้ฉันต้องลจัดการให้ได้สักครั้ง!”
เสียงตะโกนของเขาได้ดังกังวาลออกไป
ซอยูฮุยที่เพิ่งจะเก็บผลไม้จากต้นไม้อยู่จู่ๆก็ตกใจขึ้นมา
‘จะ จัดการให้ได้?’
เธอเกือบจะเผลอโพล่งออกมาว่า ‘ใครกัน?’
‘ฉันเอาเสื้อมาด้วยไม่มากด้วยสิ… โชคดีนะที่ชุดชั้นในที่ฉันเอามาด้วยเหมาะกับโอกาสนี้…’
ในคืนนันซอยูฮุยได้แอบไปอาบน้ำ หลังจากทำความสะอาดตัวแล้ว เธอก็ได้เฝ้ารอเขาด้วยหัวใจที่เต้นแรง
แต่แน่นอนว่าในคืนนั้นก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น ซอยูฮุยได้ไปเจอซอลกำลังนอนหลับอยู่ด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า
“…”
และเธอก็ได้เผยสีหน้าไม่พอใจออกมาเป็นครั้งแรก
“เจ้าอันธพาลตัวจ้อย”
ในท้ายที่สุดเธอก็ได้จิ้มแก้มซอลจีฮูอย่างอ่อนโยน ก่อนที่จะหยิบถุงนอนของเธอเดินออกไปไกล
จากนั้นเธอก็กระชับเชือกไว้แน่นโดยไม่ยอมให้ใครเข้ามา
มันเป็นการการแก้แค้นและลงโทษที่แปลกประหลาดมากจริงๆ
***
“นายบอกว่าหลังจากกลายเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูง นายได้ปลดล็อคความสามารถใหม่มาสามอย่างงั้นหรอ?”
ในระหว่างช่วงพักจางมัลดงก็ได้ถามซอลจีฮูที่กำลังดื่มน้ำอยู่ขึ้นมา
“ปราณดาบ หอกคำสาปอวมงคล หอกอาฆาตลงทัณฑ์”
เมื่อจางมัลดงได้ค่อยๆท่องความสามารถของเขาออกมาทีล่ะอย่าง ซอลจีฮูก็ได้รีบกลืนน้ำและพยักหน้าออกมา
“ใช้แต้มคุณูปการของนายเรียนรู้หอกต้องสาปอวมงคลเถอะ”
“อะไรนะครับ?”
ซอลจีฮูอดจะพูดแบบนี้ออกมาไม่ได้ นั่นมันเพราะว่าตอนแรกเขาไม่เข้าใจเลยสักนิด เขาไม่เชื่อเลยว่าเขาจะได้ยินคำพูดแบบนี้จากจางมัลดง
“มันช่วยไม่ได้หรอกนะ ตัดสินจากคำอธิบายของนายแล้ว หอกคำสาปอวมงคลมันดูเหมือนกับเวทมนต์มากกว่าเทคนิคหอก แล้วก็เป็นเวทมนต์ในระดับสูงมากๆอีกด้วย การจะฝึกมันแค่อย่างเดียวก็ยากพออยู่แล้ว เพราะงั้นการใช้แต้มคุณูปการเรียนรู้มันไปคงจะดีกว่าการต้องเอาเวลาอันล้ำค่าไปเสีย”
เนื่องจากว่าเขาได้พัฒนานิสัยการฝึกทักษะต่างๆออกมาด้วยตัวเองตั้งแต่เขตพื้นที่เป็นกลาง ซอลจีฮูจึงเกลียดการที่จะได้รับความสามารถมากง่ายๆ แต่ว่าเขาก็ยอมรับอยู่ดีเนื่องจากว่าเขาเคยจำได้ว่าแอ็กเนสก็เคยพูดอะไรคล้ายๆกันนี้มาก่อน
นั่นคือการใช้แต้มคุณูปการเรียนรู้ความสามารถที่ยากมากจนเกินไปจะเป็นประโยชน์กว่า
“แล้วเรื่องหอกอาฆาตลงทัณฑ์ล่ะครับ?”
“หืม สำหรับหอกลงทัณฑ์…”
จางมัลดงได้เม้มปากขึ้น เทคนิคหอกทั้งสองอย่างนี้ทำให้เขาปวดหัวมากจริงๆ
ทั้งคนที่พยายามเรียนรู้และคนที่พยายามจะสอนต่างก็ทำอะไรไม่ถูก
มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ความสามารถในระดับสูงจะออกมาจากคนที่มีระดับสูง แต่ว่าความสามารถทั้งสองอย่างนี่มันก็ยากเกินไป
“พูดตรงๆเลยนะ ปราณดาบน่ะไม่มีปัญหา แต่ฉันไม่คิดว่าหอกคำสาปกับหอกลงทัณฑ์จะเป็นอะไรที่นายจะเรียนรู้ได้ในระดับ 5”
“?”
“คำถามน่ะเอาไว้ก่อนเลย คำอธิบายความสามารถของมันก็ยิ่งทำให้ความสามารถพวกนี้มันดูน่าสับสนขึ้นไปอีก โดยเฉพาะเจ้าหอกลงทัณฑ์นั่น”
เรื่องนี้ซอลจีฮูก็เห็นด้วยเช่นกัน การส่งการโจมตีกลับไปตามความเสียหายที่ได้รับอย่าง ‘สมบูรณ์’ ไม่ว่าจะมองยังไงนี่มันก็เป็นเหมือนกับความสามารถที่โกงมากจริงๆ
“มันดูเหมือนจะเป็นความสามารถที่นายจะต้องเป็นแรงค์เกอร์ระดับพิเศษหรืออย่างน้อยต้องระดับ 6 เท่านั้นถึงจะเรียนได้”
จางมัลดงได้ค่อยๆแสดงความเห็นออกมา
“ฉันก็ไม่มั่นใจหรอกว่าทำไม แต่ว่ามันดูเหมือนกับว่านายจะปลดล็อคความสามารถที่เกินกว่าระดับของนายในทุกๆครั้งที่นายเลื่อนระดับขึ้นไป…”
เขาได้หยุดพูดไปด้วยความไม่มั่นใจ แต่ว่านี่ก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่เขาพูดมันไร้มูล
แค่ดูจากชื่อคลาสของซอลจีฮูมันก็บอกใบ้เป็นนัยๆเอาไว้แล้ว
ยกเว้นกรณีพิเศษอย่างคิมฮันนาห์ ในหมู่คลาสปกติทั่วไปแล้ว ชื่อคลาสอย่าง ‘ผู้ใช้หอกแห่งเนเมซิส’ เป็นสิ่งที่จะมีเพียงระดับ 6 ที่จะได้รับ และเป็นคนกลุ่มน้อยมากๆเท่านั้นอีกด้วย
แต่ว่าซอลจีฮูยังอยู่ในระดับ 5 เท่านั้นเอง
ไม่ว่าจะมองยังไง มันก็มีจุดที่น่าสงสัยอยู่มากมาย
“อย่างน้อยก็ปล่อยหอกลงทัณฑ์เอาไว้ก่อน มันก็ไม่ใช่ว่าเราไม่ได้มีเบาะแสอะไรเลย”
“เบาะแสหรอครับ…”
“นายก็บอกเองนี่ นี่มันเป็นเทคนิคที่พัฒนาขึ้นมาจากการเรียนแบบเทคนิคการผลัดเปลี่ยนดอก”
“การผลัดเปลี่ยนดอก…”
ปากของซอลจีฮูได้ขยับออกมาเล็กน้อย
เขาเคยได้ยินชื่อนี้มาอยู่สองสามครั้ง แต่ว่าเมื่อเขาพยายามนึกว่ามันคืออะไร ก็นึกไม่ออกเลย
“พูดให้ชัดคือการผลัดเปลี่ยนดอกเป็นสิ่งที่เหนือไปกว่าเทคนิคต่างๆที่นายเคยได้รับมาอย่างสิ้นเชิง มันอาจจะยากยิ่งกว่าปราณดาบด้วยซ้ำไป”
ปราณดาบเป็นยอดสัญลักษณ์ของเหล่านักรบระดับสูง
เนื่องจากว่านี่เป็นตัวแทนของเทคนิคที่ไม่อาจจะได้รับมาง่ายๆ คนๆนั้นต้องผ่านความพยายามอย่างหนักมาเท่านั้นถึงจะได้รับมันมา
แม้กระทั่งฟีโซราก็ยังได้รับปราณดาบหลังจากที่เธอได้รับเป็นหนึ่งเดียวกับดาบแล้ว
ในเมื่อจางมัลดงบอกว่าเทคนิคผลัดดอกยากยิ่งกว่าปราณดาบซะอีก เพราะงั้นซอลจีฮูก็พอจะจินตนาการได้แล้วว่ามันยากที่จะเรียนรู้ขนาดไหน
“การผลัดเปลี่ยนดอก (移花接木). การย้าย (移), ดอกไม้ (花), เชื่อมต่อ (接), ต้นไม้ (木) หรือแปลตรงตัวคือการนำต้นไม้ที่กำลังออกดอกไปเชื่อมต่อเข้ากับอีกต้นหนึ่ง”
จางมัลดงได้เริ่มอธิบายออกมา
“เทคนิคโดยทั่วไปแล้วจำเป็นต้องใช้มานา แต่ว่ามานาได้ไหลผ่านอยู่ในวงจรมานาของนาย นี่คือความเป็นจริง”
“ครับ”
“การผลัดเปลี่ยนดอกจะเป็นการปลูกถ่ายมานาของนายเข้าไปในมานาของคนอื่น และเปลี่ยนแปลงการไหลของมัน จะเรียกว่ามันเป็นการทดแทนชนิดหนึ่งก็ได้”
จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่ซอลจีฮูด้วยมือซ้าย และใช้มือขวาชี้มาที่ตัวเอง
“การควบคุมการไหลมานาของศัตรู และควบคุมมัน หรือใช้พลังที่เหลือกว่าทวนกระแสมัน ด้วยวิธีนี้จะเป็นการย้อนศรเทคนิคของศัตรูกลับคืนไป การผลัดเปลี่ยนดอกก็เป็นอะไรทำนองนี้นั่นแหละ และการที่จะทำอะไรแบบนี้ให้ได้ นายจำเป็นจะต้องเข้าใจในเทคนิคของศัตรู และการไหลของมานาของอีกฝ่ายก่อน”
“…”
ซอลจีฮูได้เงียบลงไป
“ตอนนี้นายพอจะคิดอะไรออกไหมล่ะ?”
กับคำถามนี้ได้ทำให้ซอลจีฮูแสดงสีหน้าอุดอัดใจออกมา
“หรือว่าผมก็ควรจะใช้แต้มคุณูปการในการเรียนรู้เทคนิคนี้เหมือนกันครับ?”
จางมัลดงได้หัวเราะออกมา
“ก่อนอื่นก็ลองพยายามดูก่อนแล้วกัน การเรียนรู้ผ่านการใช้คะแนนแบบเรียบง่าย กับการเรียนรู้มันหลังจากผ่านความพยายามมาแล้วมันน่าจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างชิ้นเชิง”
จางมัลดงได้ถอนหายใจก่อนจะหยิบเอาหนังสือออกมาจากกระเป๋า
“แล้วก็นะ…”
เขาได้ถือหนังสือสีซีดที่บนปกถูกเขียนไว้ว่าเทคนิคหอกจันทร์เสี้ยวเอาไว้
“เราก็ต้องเลื่อนเทคนิคนี้ไปเหมือนกัน ไม่ว่าฉันจะศึกษามันยังไง ฉันก็ไม่เข้าใจอยู่ดี นายจำเป็นต้องมีผู้ใช้หอกระดับปรมาจารย์มาสอน และคนๆนั้นต้องไม่ใช่แค่ผู้เชี่ยวชาญทั่วๆไปด้วย”
ซอลจีฮูได้ยอมรับออกมาอย่างรวดเร็ว เขาก็ได้อ่านเทคนิคหอกจันทร์เสี้ยวมาแล้ว และจากที่เขาสรุปมาได้ เทคนิคหอกจันทร์เสี้ยวจะมีสุดยอดเทคนิคถึงเจ็ดชนิดที่เป็นพื้นฐานของมัน
ยกตัวอย่างเช่นเทคนิคแรกเลยก็คือเป็นหนึ่งเดียวกับหอก เทคนิคที่สองคือหอกบิน เทคนิคที่สามหอกไร้รูป และเทคนิคที่สี่สำนึกหอก
ส่วนเทคนิคที่ห้ากับหกเป็นเทคนิคที่มีความซับซ้อนอย่างมหาศาลจนเขาไม่รู้เลยว่าจะต้องเริ่มต้นจากตรงไหน
‘เทคนิคที่เจ็ดคือหอกแห่งเทพ…’
“แต่อย่างน้อยนายก็เรียนเจ้านี่ได้”
จางมัลดงได้หยิบเอาหนังสือหัวใจอันชอบธรรมออกมา
“ฉันอยากจะอธิบายแค่แนวคิดพื้นฐาน แล้วให้นายเรียนรู้ด้วยตัวเองอยู่นะ… แต่ว่าถ้าแบบนั้นเส้นทางตรงหน้าสำหรับนายมันจะยาวเกินไป”
หลังจากพูดแบบนี้จู่ๆจางมัลดงก็แสดงสีหน้าเคร่งขรึมออกมา
“ฉันรู้ว่าตอนนี้นายมีงานมากมาย ฉันรู้ว่านายพยายามเต็มที่แล้ว แต่ก็อย่าได้ลืมสิ่งที่ฉันเคยบอกไปนะ นั่นคือนายได้เลือกเดินในเส้นทางที่เต็มไปด้วยขวากหนาม”
ผสานจิตใจ เทคนิค และร่างกายเป็นหนึ่งเดียวกันโดยไม่หยุดการพัฒนาของเทคนิค
ซอลจีฮูได้พยักหน้าออกมาอย่างหนักแน่น
“ตั้งใจฝึกทักษะสัญชาตญาณของนาย แต่ว่าอย่าได้ละเลยการฝึกอื่นๆ”
“ครับผม”
“ดีมาก ตอนนี้นั่งไขว่ห้างซะ”
ซอลจีฮูได้นั่งลงไปในทันที
“มันก็ไม่ได้ยากหรอก แค่ทำตามการนำมานาของฉัน”
จางมัลดงไม่ได้อยู่เฉยๆในระหว่างที่ซอลจีฮูวิ่งวุ่นอยู่กับคิมฮันนาห์ เขาได้ตั้งใจศึกษาในเทคนิคต่างๆอย่างเต็มที่เพื่อเติมเต็มสัญญา
เพื่อที่จะทำให้ซอลจีฮูเติบโตได้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้
ซอลจีฮูที่รู้สึกได้ถึงมือที่แตะหลังได้หลับตาลงไป ทันใดนั้นพลังงานก็ถูกส่งเข้ามาและไหลไปตามส่วนต่างๆของร่างกายเขา
***
[ความสามารถคลาส ‘วงจรมานา [ปานกลาง (สูง)]’ พัฒนาเป็น ‘หัวใจอันชอบธรรม (ต่ำ)’]
[โปรดเช็คหน้าต่างสถานะ]
แม้ว่าเขาจะฝึกฝนเทคนิคเป็นหลัก แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ละเลยอีกสององค์ประกอบเลย อย่างคำที่ว่า ‘เรี่ยวแรงคือพลังโดยรวม’ ซอลจีฮูจึงจะแบ่งเวลาออกไปฝึกร่างกายในช่วงเย็นเสมอ
ยกตัวอย่างเช่นที่เขาวิ่งอยู่ในวันนี้
“ฮึก ฮึก!”
เขาได้วิ่งไปกลับจากที่ตั้งแคมป์ไปยอดเขาซ้ำๆ
ในตอนที่นั่งรถม้าระยะทางมันก็ไม่ได้ดูไกลนัก แต่ว่าเมื่อได้ว่าวิ่งเองมันให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ยาวไกลไร้ที่สิ้นสุด
หลังจากวิ่งไปอยู่หลายสิบนาทีตามสันเขา ในที่สุดเขาก็ได้เห็นภูเขาไฟ
และภูมิประเทศมันก็ขรุขระมากเหมือนกับภูเขาไฟส่วนใหญ่ การตกตะกอนของลาวา และหลุมอุกกาบาตที่ภูเขาไฟสร้างขึ้นมาได้ทำให้สภาพพื้นดินขรุขระเป็นอย่างมาก
บวกเขาไปกับความสูงชันของภูเขาก็ยิ่งเพิ่มความอันตรายขึ้นไปอีก แต่ว่านี่กมีแต่ทำให้ซอลจีฮูยิ้มเบิกบานออกมาอย่างมีความสุข
เขาได้ผ่านส่วนที่จะบ่นเรื่องความยากของการฝึกไปนานแล้ว เขารู้ว่ายิ่งมันเจ็บปวด และหนักหน่วงเท่าไหร่ ผลลัพธ์ที่ออกมาก็จะยิ่งยอดเยี่ยมเท่านั้น
ยังไม่หมดเท่านั้น
[ฉันเคยบอกเรื่องผลของการฝังเข็มของฉันไปแล้วนะ]
[นายจะต้องรู้ว่าขีดจำกัดร่างกายของนายได้เพิ่มขึ้นไปแล้ว]
[สรีระร่างกายนายก็น่าจะเปลี่ยนไปเหมือนกัน นายเคยได้ยินเรื่องการชะล้างไขกระดูก กับผลัดเปลี่ยนกระดูกไหม?]
[การชะล้างไขกระดูกับการผลัดเปลี่ยนกระดูกจริงๆมันอาจจะเป็นตำนาน แต่ว่าเมื่อพูดในแง่ของพาราไดซ์แล้ว สภาพร่างกายของนายก็น่าจะช่วยสนับสนุนต่อการพัฒนาเทคนิคของนาย]
เพียงแค่การเพิ่มขึ้นของศักยภาพโดยกำเนิดก็น่าทึ่งแล้ว แต่เทคนิคการฝังเข็มของจางมัลดงก็ยังช่วยเร่งการพัฒนาของเทคนิคอีกด้วย
แล้วเมื่อได้รับการเตรียมการอันยอดเยี่ยมแบบนี้ไปแล้ว ซอลจีฮูจะไม่กระตือร้นกับการฝึกได้ยังไงกัน?
ในตอนนั้นเองเขาก็เห็นเด็กหนุ่มหน้าตาบูดบึ้งกำลังวิ่งมาทางเขาจากอีกฝั่งหนึ่ง
คนๆนั้นก็คือซังจิน
ซอลจีฮูที่เห็นเขาได้ตะโกนขึ้นทันที
“ไปกลับกี่รอบแล้ว!?”
“นี่คือ…! รอบสอง…!”
เขาได้พูดออกมาอย่างตะกุกตะกักราวกับไม่อาจจะพูดออกมาได้ง่ายๆ
ซอลจีฮูได้ถีบตัวออกไป และถามออกมา
“ไปถึงยอดเขามาแล้วหรอ!?”
ชายหนุ่มกับเด็กหนุ่มได้วิ่งสวนกันไป ซอลจีฮูก็อดที่จะเห็นยี่ซังจินกัดฟันวิ่งไม่ได้ พอมาคิดดูแล้วเขาก็เห็นน้ำตาของเด็กหนุ่มอีกด้วย
‘ซังจิน…’
เมื่อเห็นยี่ซังจินค่อยๆวิ่งหายไปไกล ซอลจีฮูก็ยิ้มออกมาอย่างอบอุ่น
‘เมื่อก่อนฉันก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน’
พอมาคิดดูแล้ว เขาได้มาไกลมาจริงๆ
ย้อนกลับไปในเขตพื้นที่เป็นกลาง เขาได้ร้องไห้ออกมาจากแค่การวิ่งรอบสนาม แต่ในตอนนี้เขาสามารถวิ่งในพื้นที่ที่ขรุขระแบบนี้ได้หลายต่อหลายรอบแล้ว
ความคุ้นเคยที่เกิดขึ้นนี้มันหมายความว่าเขาได้โตขึ้นมา
แต่ในทางกลับกันนั่นก็หมายความว่าพัฒนาการของเขาได้ชะงักไป
ถ้าเขาพอใจกับตำแหน่งที่อยู่ในตอนนี้ เขาก็คงจะไปไหนต่อไม่ได้
‘ฉันอยากจะแกร่งขึ้น แกร่งขึ้นยิ่งกว่าตอนนี้อีก…!’
ขณะที่เขากำลังจะถีบพื้นออกไปอีกครั้งหลังจากตั้งมั่น…
“?”
ดวงตาของซอลจีฮูได้เบิกกว้างขึ้นก่อนที่เขาจะหันกลับไปมองด้านหน้า
เขาไม่เคยรู้ตัวเลยมาจนถึงตอนนี้ แต่ว่ามันมีไข่สีแดงกำลังเด้งขึ้นเด้งลงไล่ตามเขามาอยู่
“เกิดอะไรขึ้นเนี้ย?”
ซอลจีฮูได้ถามออกมาด้วยความตกตะลึง?”
ซอลจีฮูได้ถามออกมาด้วยสีหน้าตกตะลึง
“ทำไมนายถึงตามฉันมาล่ะ? แล้วตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่แล้ว?”
แต่ว่าไข่ก็ไม่ได้ตอบเขากลับมาเหมือนอย่างเคย แม้ว่าในขณะที่เขาวิ่งต่อไป มันก็ยังกระเด้งไล่ตามเขามาอย่างสบายๆ
“นี่นายหิวหรอ? นี่เป็นเหตุผลที่นายตามฉันมาสินะ?”
ดึ่ง! ดึ่ง!
“หรือว่านายแค่อยากจะวิ่งกับฉัน?”
ดึ่ง! ดึ่ง!
“นายปล่อยให้ฉันใช้หอกพิสุทธิ์ไม่ได้หรอ?”
“ฉันทำไม่ได้”
“ทำไมถึงไม่ได้ล่ะ? หยุดเล่นตัว… หือ?”
ซอลจีฮูได้ชะงักนิ่งไป ในขณะที่ไข่ยังคงเด้งไปข้างหน้าอย่างรุนแรง
มันได้เด้งอย่างรวดเร็วจนแซงซอลจีฮูไปในทันที
“นาย… เพิ่งจะพูด?”
‘หรือว่าฉันหูฝาดฟังเสียงลมผิดไป? หรือฉันหลอนไปเอง?’
ซอลจีฮูได้มองไปข้างหน้าอย่างสับสน ก่อนจะตะโกนออกมา
“เจ้าไข่! เดี๋ยวก่อน!”
เขาได้ดึงพลังมานาออกมาอย่างรวดเร็ว และเตรียมใช้ก้าวพริบตาอย่างเต็มกำลัง
แต่เพราะสายตาที่จ้องอยู่กับไข่ทำให้เขาไม่ได้รู้ตัวเลย
มีประกายสายฟ้าสีทองกระจายออกมารอบๆข้อเท้าของเขา
นี่มันคือเอกลักษณ์ของประกายสายฟ้าอย่างแน่นอน
ไม่นานนักกระแสไฟฟ้าบ้าคลั่งก็ได้พุ่งจากเท้าของเขาไปจนถึงน่อง จากน่องไปร่างกาย จากร่างกายไปสู่ส่วนหนึ่ง…
“เดี๋ยวก่อน…!”
ซ่าาาาาห์!
พร้อมๆกับเสียงฟ้าผ่า ร่างกายของซอลจีฮูก็ได้พุ่งไปข้างหน้าเหมือนกับพายุ