The Second Coming of Gluttony - ตอนที่ 258
บทที่ 258 – จิ้งจอกก็คือจิ้งจอก (4)
หยางหยาง
เขาคือหัวหน้าของหนึ่งในองค์กรของพันธมิตรอีวาซึ่งเป็นกองกำลังในระดับอ่อนแอ และยังเป็นเพื่อนสนิทกับโอมาร์ กราเซีย นี่ก็เพราะว่าหยางหยางจะยอมทำทุกอย่างหากมีค่าตอบแทน และความสนใจของพวกเขามักจะตรงกัน
จริงๆแล้วจะบอกว่าโอมาร์ กราเซียเป็นคนอุ้มชูให้อิทธิพลของหยางหยางยกระดับขึ้นมาเป็นหนึ่งในตัวแทนสี่องค์กรอ่อนแอก็ไม่ได้ผิดนัก
ในวันนี้โอมาร์ กราเซียก็ได้ติดต่อมาหาเขาด้วยเหตุผลคล้ายๆกัน
“ฉันก็ไม่ได้อยากจะทำถึงขนาดนี้หรอกนะ”
โอมาร์ กราเซียได้พูดออกมาอย่างสงบ
“คาเพเดี่ยม ซอลจีฮู แล้วก็ซันเหอ มันดูเหมือนว่าการดึงพวกเขาเข้ามาในกลุ่มพันธมิตรจะไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย ฉันเคยคิดที่จะลืมเรื่องในอดีต และกระทั่งกัดฟันมอบของขวัญให้พวกเขาด้วยอาณาเขตของรอยัลพัทยา แต่มันดูเหมือนว่านี่จะเป็นแค่ความฝันเท่านั้นแหละ”
หยางหยางยิ้มออกมา
“คุณใจกว้างเกินไป”
“ที่ฉันคิดการมีหุ่นเชิดมันก็ไม่ได้แย่เลย แต่เมื่อไม่นานนี้ฉันเพิ่งจะมีความคิดใหม่”
“พวกเขาสร้างความวุ่นวายขึ้นมากเกินไป ที่พันธมิตรอีวาต้องเผชิญปัญหาก็เพราะพวกเขา”
“ทุกๆอย่างต่างก็มีขีดจำกัด พูดตรงๆพวกเขาคงจะมองพวกเราว่าอ่อนแอสินะ หากไม่แล้วล่ะก็… ชิ”
โอมาร์ กราเซียเดาะลิ้นและพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เบาลง
“นายคิดยังไงล่ะ?”
“คุณได้วางแผนไล่พวกมันไว้หรอครับ?”
“พูดให้ถูกคือแก้แค้นพวกเขา แต่ยังไงแล้วดูเหมือนว่าคราวนี้ฉันจะต้องให้นายช่วย นายจะต้องไม่ผิดหวังกับค่าตอบแทนอย่างแน่นอน”
“ผมคงต้องปฏิเสธครับท่าน”
หยางหยางได้ตัดสินใจออกมาโดยไม่ยอมฟังโอมาร์ กราเซียพูดให้จบจนทำให้โอมาร์ กราเซียคิ้วกระตุก
“ฉันยังพูดไม่จบ”
“ได้โปรดอย่ามอบคำขอที่ไร้สาระมาเลยครับ ผมจะไม่มีทางเอาตัวเองเดินเข้าหลุมศพแน่”
“หยางหยาง ฉันไม่ได้ขอให้นายประกาศสงครามกับพวกเขา นายแค่ต้องให้พวกเขาได้รับอะไรตอบแทนกลับไปบ้างเท่านั้นเอง”
“นั่นมันก็ดูไม่ต่างกันเลยนะครับ คุณคาดหวังอะไรกับผมกันในเมื่อทั้งกลุ่มพันธมิตรก็ยังไม่อาจทำอะไรพวกเขาได้..”
“แล้วถ้าซอลจีฮูออกไปจากอีวาล่ะ?”
หยางหยางๆได้หรี่ตาลง
“…อะไรนะครับ?”
“ราชวงศ์ได้ยื่นมือช่วยเรา คาเพเดี่ยมกำลังจะส่งสมาชิกจำนวนมากออกไปเพื่อทำภารกิจส่งสมาชิกของสหพันธรัฐกลับบ้าน”
“หรือก็คือ…”
หยางหยางๆได้ถามออกมาอย่างสงสัย
“คุณอยากจะให้ผมลอบโจมตีพวกเขาในตอนที่สมาชิกหลักไม่อยู่งั้นหรอ?”
“ฉันกำลังพูดอยู่”
โอมาร์ กราเซียได้ยิ้มพร้อมพูดต่อ
“นายไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก แค่แอบลอบเข้าไปโจมตีพวกเขาในตอนเช้าตรู่ จากนั้นก็ถอยกลับมาเงียบๆหลังจากทำสำเร็จแล้ว เผาทุกอย่างทิ้งให้หมด อย่าให้เหลือหลักฐานทิ้งเอาไว้”
“นี่เป็นสิ่งที่เราทำมาตลอดนะ แต่ว่า…”
หยางหยางได้ครุ่นคิดกับตัวเอง ในทางทฤษฎีแล้วนี่มันเป็นงานที่เป็นไปไม่ได้
ถึงจะเหลือแค่แรงค์เกอร์ระดับสูงที่ไม่ใช่สายต่อสู้หากสมาชิกหลักของคาเพเดี่ยมออกไป มันก็จริงว่ามีคนระดับผู้บริหารอยู่ แต่ว่าความลับเรื่องที่ซอยูฮุยสูญเสียพลังไปหลังจากสงครามก็ถูกเผยออกมาแล้วด้วย…
ในตอนแรกเขาไม่ได้สนใจความคิดไร้สาระอะไร แต่ว่าหลังจากที่คิดมาถึงจุดนี้ ความคิดวิปริตก็ได้เกิดขึ้นมา
‘บุตรแห่งลูซูเรีย…’
ดอกไม้ที่กระทั่งซึงชิฮยอนก็ยังไม่อาจจะเด็ดมาได้ หากจะบอกว่าเขาไม่สนใจเลยมันก็คงไม่จริง
“ผมยังมีคำถามที่อยากจะถาม”
“เอาสิ”
“แล้วเราจะจัดการกับซันเหอยังไง? หากพวกเขาไม่โง่ พวกเขาก็จะต้องขอให้ซันเหอช่วยคุ้มครองอย่างแน่นอน”
“ฉันรู้ว่านายจะถามแบบนี้ จริงๆแล้วเมื่อไม่นานมานี้ฉันเพิ่งจะไปแอบเจอกับซันเหอมา”
โอมาร์ กราเซียได้พูดราวกับว่าทุกๆอย่างอยู่ในการคำนวณ
ฉันสังเกตว่าซันเหอมักจะเฝ้าคอยอยู่นิ่งๆเสมอ ดังนั้นฉันเลยออกไปพูดกับเขาตรงๆ และฉันก็คิดถูก”
“มันจริงงั้นหรอ?”
“พอเห็นแล้วนายจะรู้เอง”
“อย่าทำแบบนี้สิ บอกมาเถอะครับ คงไม่ใช่ผมแค่คนเดียวที่ทำงานนี้ใช่ไหม? ผมจำเป็นต้องรู้สถานการณ์ก่อนที่จะวางแผนอะไรได้”
เมื่อเห็นหยางหยางแสดงความนใจ โอมาร์ กราเซียก็ยอมและอธิบายออกมา
“มันก็ง่ายมาก ซันเหอได้ยอมตกลงที่จะจ้างนักเลงสี่ห้าคน”
“ทำไมถึงเป็นนักเลงล่ะ…”
“ฟังก่อน สิ่งที่เราจะทำก็คือ…”
แผนของโอมาร์ กราเซียมีดังนี้
ฮ่าวอวิ่นจะให้นักเลงที่จ้างมาสวมใส่ชุดเหมือนกับสมาชิกซันเหอ และส่งพวกเขาไปทะเลาะกับสมาชิกของแก๊งโอชัวร์ที่บาร์
“การทะเลาะกันที่บาร์มันก็เป็นเรื่องปกตินี่ครับ?”
“แน่นอน”
“ในตอนแรกมันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ยังไงก็ตามเมื่อมีใครสักคนชักอาวุธออกมา มันก็จะไม่ใช่การทะเลาะเล็กๆน้อยๆอีกต่อไป”
“คุณตั้งใจจะจัดฉากขึ้น?”
“ใช่แล้วล่ะ พวกเราจะส่งสมาชิกของแก๊งเรากับกลุ่มพ่อค้าดงชุนไป แน่นอนว่ารวมถึงสมาชิกองค์กรของนายด้วย ส่งไปแค่พอพิสูจน์ว่านายอยู่ในเหตุการณ์นั้นก็พอแล้ว”
ด้วยแบบนี้องค์กรทั้งหมดในพันธมิตรอีวาก็จะรีบเร่งไปที่บาร์ ตามมาด้วยสมาชิกของซันเหอที่คุ้มครองสำนักงานคาเพเดี่ยมอยู่
หยางหยางได้เยาะเย้ยออกมาเมื่อได้ยินแบบนี้
“นี่เราต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรอครับ?”
“หมอนั่นน่ะ เราต้องคิดถึงจุดยืนของซันเหอด้วย ชื่อเสียงเป็นสิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยสำหรับองค์กร”
หากว่าจู่ๆซันเหอถอนสมาชิกทั้งหมดออกมาจากสำนักงานคาเพเดี่ยมโดยไร้เหตุผลมันจะน่าสงสัยเกินไป นี่จึงเป็นเหตุผลให้พวกเขาสร้างสถานการณ์เพื่อ ‘บังคับ’ ให้พวกเขาถอนกำลังออกมา
ยังไม่หมดเท่านั้น
พันธมิตรอีวาจะเป็นกลุ่มแรกที่ถูกสงสัยหากว่ามีการโจมตีคาเพเดี่ยม ยังไงก็ตามหากว่าพวกเขาสร้างภาพที่ต่อสู้กับซันเหอ พวกเขาก็จะมีข้อแก้ตัวด้วยเช่นกัน นอกไปจากนี้มันก็ยากที่จะระบุว่าใครเป็นใครในตอนที่การทะเลาะกันเกิดขึ้น
“พอสถานการณ์คลี่คลายแล้ว ความสนใจจากทางราชวงศ์ก็จะมาอยู่ที่บาร์ นายจะต้องใช้จังหวะนั้นลอบโจมตีคาเพเดี่ยม พอเสร็จงานแล้วก็แค่ติดต่อมาหาฉันก็พอ”
“จากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ?”
“ฮ๋าวอวิ่นกับฉันจะไปปรากฏตัวในตอนที่สถานการณ์บานปลายสุดขีด จากนั้นฉันก็จะเป็นฝ่ายขอโทษก่อนเพื่อยุติสถานการณ์ แล้วเราก็จะกลับบ้าน”
“ผมเข้าใจที่คุณจะบอกนะ แต่เราจะทำยังไงในตอนที่สมาชิกหลักของคาเพเดี่ยมกลับมาล่ะ? พวกเขาจะอยู่เฉยงั้นหรอ?”
“หากว่าพวกเขาไม่มีหลักฐานจะทำอะไรได้ล่ะ? มีชาวโลกมากมายที่ไม่พอใจกับการที่พวกเขาทำลายย่านโคมแดง เราก็แค่โยนความผิดทุกๆอย่างก็คลี่คลายแล้ว”
“อืม… ตัดสินจากการกระทำของพวกเขาจนถึงตอนนี้ พวกเขาอาจจะพุ่งเข้าใส่เราเลย…”
“ถ้างั้นเราก็ควรจะขอบคุณพวกเขาด้วยซ้ำไป พวกเขาได้ให้เหตุผลในการเคลื่อนไหวกับเรา ยังไงแล้วความขัดแย้งภายในโดยไม่มีเหตุผลรองรับก็เป็นข้อห้ามของเมือง หากมันเกิดขึ้นไม่ใช่แค่พันธมิตรอีวานะ แต่กระทั่งราชวงศ์ก็จะเคลื่อนไหวเช่นกัน เรื่องนี้พวกเราก็ได้คุยกันเอาไว้แล้วด้วย”
หยางหยางอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจกับความละเอียดอ่อนของโอมาร์ กราเซียที่สามารถจะตอบสิ่งที่เขากังวลได้อย่างลื่นไหล
“ในเมื่อคุณทำขนาดนี้แล้ว คราวนี้คุณคงจะเอาจริงแล้วสินะ?”
“ความอดทนของฉันมีจำกัด ฉันได้แสดงความเมตตาออกไปแล้ว ในตอนนี้มันถึงเวลาที่จะแสดงให้พวกเขาเห็นแล้วว่าฉันคนนี้ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะมาหาเรื่องด้วยได้”
หยางหยางได้พยักหน้าเห็นด้วยกับเขา
“แล้วเอายังไงล่ะ? ตอนนี้นายมั่นใจหรือยัง?”
“ก็นะ… หากว่าทุกๆอย่างเป็นแบบที่คุณพูด ถ้างั้นมันก็เป็นไปได้ คุณได้เตรียมทุกอย่างไว้ให้ผมแล้ว”
“เยี่ยม! ถ้างั้น-“
“แต่”
หยางหยางได้ขัดเอาไว้ และชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว
“ผมจะเอาด้วยหากคุณยอมฟังคำขอผมสามอย่าง”
“…จริๆงเลยนะ นายนี่”
“การทำทุกอย่างให้ชัดเจนแต่แรกดีที่สุดแล้วครับ”
หยางหยางได้แสยะยิ้มเมื่อได้ยินเสียงบ่นของโอมาร์ กราเซีย
“อย่างแรกผมจะรับภารกิจก็ต่อเมื่อยืนยันว่าซอลจีฮูออกไปจากอีวาแล้วเท่านั้น หรือก็คือผมจะเป็นคนตัดสินใจเองว่าจะเริ่มแผนเมื่อไหร่”
“ตามสบาย”
“อย่างที่สองก็คล้ายๆกัน ผมจะดำเนินการก็ต้องเมื่อซันเหอออกไปจากสำนักงาน”
“ได้สิ”
“แล้วก็อย่างที่สาม… ผมอยากจะขอยืมตัวแรงค์เกอร์ระดับสูง”
โอมาร์ กราเซียได้จ้องมาที่เขาแทนที่จะตอบกลับในทันที ความโกรธได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขาก่อนที่จะหายไปอย่างรวดเร็ว
“…นายก็เปลี่ยนไปมากนะ ความกล้าที่จะทำทุกๆอย่างเพื่อเงินมันหายไปไหนแล้วล่ะ?”
“ผมไม่อยากจะตาย แน่นอนว่าผมจะเลือกแต่สมาชิกระดับสูงขององค์กรผมไปด้วย แต่ว่าผมก็จำเป็นต้องส่งคนไปที่บาร์เพื่อสร้างภาพด้วยนี่ นอกจากนี้ก็ยังไม่มีอะไรรับประกันว่าสมาชิกหลักของคาเพเดี่ยมจะออกไปกันหมด”
“นายต้องการหลักประกันสินะ ก็ดี ฉันจะส่งโอลิเวอร์ โรเจอร์ไปกับนาย”
“ไม่ ผมอย่างได้คุณโนอาร์ เฟรย่ามากกว่า”
“อะไรนะ?”
“หากว่าคุณโอลิเวอร์ โรเจอร์มาด้วย… เราก็จะต้องแบ่งกัน”
“แบ่งกัน?”
ใบหน้าของโอมาร์ กราเซียได้แสดงความสงสัยออกมา แต่ไม่นานนักเขาก็ส่งสายตาแปลกๆออกมา
“ตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว…”
“ผมได้ศึกษามาเองอยู่สักหน่อย แล้วที่นั่นก็มีจิ้งจอก แล้วก็สาวน้อยอีกคน ยิ่งไปกว่านั้นคือบุตรแห่งลูซูเรีย…”
หยางหยางได้เว้นช่วงพูด และหัวเราะออกมา มันเป็นเสียงหัวเราะอันสกปรกและโรคจิต
“อย่าปฏิเสธเลย โอกาสมันไม่ได้มาบ่อยๆนะครับ”
“ชิ ก็ไ ทำตามใจนายเถอะ”
โอมาร์ กราเซียได้หัวเราะเบาๆ
“มันก็ดีที่นายจะได้สนุกก่อนฆ่าพวกเธอ แต่ว่าอย่าได้ทำพลาดล่ะ”
“ไม่ต้องห่วง ผมรู้ตัวเองดี ผมจะรีบฆ่าทุกๆคนที่จำเป็นต้องฆ่าให้หมด และรีบออกมาหลังจากเผาที่นั่น จากนั้นก็ลากเธอออกมาแล้วก็… ฮ่าฮ่า!”
ใบหน้าของหยางหยางได้เต็มไปด้วยความหื่นกระหายราวกับว่าแค่คิดก็ทำให้เขาตื่นเต้นแล้ว ดวงตาของโอมาร์ กราเซียก็ยังเป็นประกายขึ้น
“จู่ๆฉันก็เริ่มอิจฉานายแล้วสิ”
“พอเสร็จงานแล้วก็แวะมาหาเราก็ได้ครับ พวกเราอาจจะยังอยู่ที่ชั้นใต้ดินเพื่อแบ่งปันช่วงเวลาอันร้อนแรงอยู่… คุณอาจจะต้องต่อแถวรอด้วยซ้ำไป!”
“ดูที่นายพูดเข้าสิ เยี่ยม! มันเป็นภาพที่คุ้มค่าให้ไปดู”
“ผมชักจะตื่นเต้นแล้วสิ มีจิ้งจอกอีกด้วย การได้ทำอะไรกับตำนานแห่งพาราไดซ์ด้วยมือตัวเองนี่มัน… ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เสียงหัวเราะได้ดังลั่นภายในห้องอยู่เป็นเวลานาน
***
ในเวลาเดียวกันมีการประชุมสามฝ่ายที่สำนักงานคาเพเดี่ยม
มีสองประเด็นที่น่าสังเกต
หนี่งซอลจีฮูไม่อยู่ และมีฝ่ายหนึ่งที่เข้าร่วมการประชุมผ่านทางคริสตัลสื่อสาร
มันไม่มีทางที่ซอลจีฮูจะรู้เรื่องนี้ได้เลยในเมื่อคิมฮันนาห์ได้แอบทำการประชุมอย่างลับๆในตอนที่เขากำลังยุ่งกับการเตรียมภารกิจส่งตัวสมาชิกสหพันธรัฐ
“หืมม…”
จางมัลดงได้พึมพำกับตัวเองในระหว่างที่นั่งบนโซฟาด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“อาจารย์”
คิมฮันนาห์ได้พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ฉันรูเว้าคุณคิดยังไงกับเรื่องนี้ แต่ว่าจีฮูจะต้องถูกลงโทษสักครั้ง”
“…”
“หมอนั่นไม่ได้รู้เลยด้วยซ้ำว่าคราวนี้เขาทำอะไรพลาดไป”
“…ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเราต้องทำถึงขนาดนี้”
จางมัลดงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย
“จีฮูเป็นเด็กที่ไม่ได้คิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่นเลย คุณไม่อาจจะเข้าใจได้ถึงความยอดเยี่ยมของเขาได้เลยว่ามันมากแค่ไหนในตอนที่เขาจัดการล้มความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ “
“ฉันรู้ เขาไม่ได้เป็นคนไม่ดี”
คิมฮันนาห์ได้พูดต่อ
“แต่ก็อย่างที่คุณพูด เขาไม่ได้คิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น แต่ว่าเขามีนิสัยเห็นใจเหยื่อ”
“เห็นใจเหยื่อ?”
สายตาของจางมัลดงได้กลายเป็นเฉียบแหลมขึ้น สีหน้าของเขามันเรียบนิ่งเหมือนกับจะถามว่าเธอพูดจบหรือยัง
ยังไงก็ตามคิมฮันนาห์ก็ไม่ได้สะดุด และพูดต่ออย่างมั่นใจ
“เนื่องจากพวกคุณอยู่กับเขามานาน คุณก็คงจะรู้ว่าซอลจีฮูติดอยู่กับพาราไดซ์มากเกินไป หากจะบอกว่าเขาทำเหมือนกับที่นี่คือทั้งชีวิตของเขาก็ไม่ได้ผิดเลย
“…”
“ในตอนที่มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นจู่ๆเขาจะกลายเป็นคนละคนไปเลย นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เผชิญหน้ากับมันด้วยตัวเอง แต่ว่าสำหรับพวกคุณคงเคยเห็นกันมาหลายครั้งแล้วแน่ๆ”
จางมัลดงยังคงเงียบอยู่เช่นเดิม
เขาให้ความสำคัญกับซอลจีฮู เขาอยากที่จะปกป้องซอลจีฮูเหมือนปกติ แต่ว่า… เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาง่ายๆ
นั่นก็เพราะว่าจางมัลดงก็เคยเห็น และรู้สึกอะไรแบบนี้มาหลายครั้ง
“เขาถล้ำลึกเกินไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากมาถึงที่อีวา… จีฮูอาจจะกำลังคิดว่าชาวโลกทุกๆคนนอกจากตัวเองเป็นภัยคุกคามต่อพาราไดซ์”
“แต่ถึงเขาจะคิดแบบนั้น มันก็ไม่ได้ผิดนะ”
“คุณพูดถูก เขาไม่ได้ผิด แต่ว่าไม่ใช่ทุกๆคนจะเป็นแบบนั้น เอาแค่ทีมเราก็ได้ มีทั้งคุณ แล้วก็คุณซอยูฮุย”
-ผมคิดว่าการทำตามความคิดของคุณจิ้งจอกสักครั้งก็ไม่ใช่ความคิดที่แย่อะไรนะ
ฮ่าวอวิ่นที่ฟังอยู่เงียบๆมาตลอดได้เสนอความเห็นขึ้นมา
-ซอลเขาหลงมัวเมาไปแล้ว เขาอาจจะไม่รู้ตัว แต่ว่าเขาไม่ได้มองคนรอบตัวเขาเลย หากว่าเขายังเป็นแบบนี้ต่อไป มันก็แน่นอนว่าเขาอาจจะไม่มองดูตัวเองด้วยซ้ำไป
ฮ่าวอวิ่นได้สรุปคำพูดออกมาโดยเน้นย้ำในช่วงท้าย
“…ฉันเข้าใจว่าคุณกำลังพูดอะไรอยู่ แต่ว่าหัวหน้าทีมนี้ก็คือซอลจีฮู”
จางมัลดงได้พูดออกมาอย่างยากลำบาก
“สิ่งที่คุณคิมฮันนาห์กำลังจะทำมันชัดเจนมากว่าเป็นการทำเกินอำนาจของตัวเอง ฉันกังวลในเรื่องนี้”
“แน่นอนว่าฉันรู้เรื่องนี้ดี”
คิมฮันนาห์ได้ยอมรับออกมาตรงๆ
“ฉันทำแบบนี้โดยที่เตรียมตัวเผชิญหน้ากับผลที่ตามมาแล้ว แต่ว่าที่สำคัญกว่านั้นคือซอลจีฮูได้สัญญากับฉันเอาไว้”
“สัญญา?”
“ใช่แล้ว ที่โรงแรมในสกีเฮราซาร์ด ซอลจีฮูอยากจะให้ฉันเข้าร่วมทีม และฉันได้ยอมเข้าร่วมด้วยเงื่อนไขสามอย่าง หนึ่งในเงื่อนไขทั้งสามอย่างคือฉันจะไม่ดูแลเขาเหมือนเป็นพี่เลี้ยงเด็ก
“…”
“พูดให้ชัดก็คือฉันได้ขออำนาจในการกระทำในฐานะตัวแทนหัวหน้า และซอลจีฮูก็ยอมรับ ฉันรู้ว่าจีฮูจะไม่มีทางผิดสัญญา”
จางมัลดงได้หลับตาลงไป เขาได้เอนหลัง และฟุบหน้าไปกับโซฟาก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา
“หากว่าคุณพูดแบบนั้น ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วล่ะ”
ในท้ายที่สุดเขาก็พยักหน้าออกมา เขาได้ลุกขึ้นยืน และเดินออกไปจากห้องโดยไม่พูดอะไรอีก
เมื่อมีคนลุกออกไปได้ทำให้เกิดความเงียบอันน่าอึดอัดขึ้นมา
-คงเป็นเพราะเขาแก่แล้วสินะ เขาถึงได้ดื้อดึงจนน่าแปลกใจ
ฮ่าวอวิ่นได้ล้อเล่นออกมา คิมฮันนาห์ได้ถอนหายใจออกมาสั้นๆ และวางมือลงบนคริสตัล
“ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือมากนะ เพราะคุณทำให้ทุกๆอย่างมันง่ายขึ้นมา”
-ฉันก็ไม่รู้ว่ามันจะกลายมาเป็นแบบนี้เลย ฉันแค่ฉวยโอกาสเหมาะที่ถูกนำมาเสนอต่อหน้าเท่านั้นเอง
“การไม่พลาดโอกาสก็นับเป็นความสามารถ”
-ฉันแค่จะขอบคุณ
ฮ่าวอวิ่นได้หัวเราะออกมา
-ในที่สุดฉันก็จะได้เต้น PPAP ที่เตรียมตัวไว้หลายวันสักที
คิมฮันนาห์ได้ขมวดคิ้วกับคำพูดนี้ของเขาทันที
“PPAP?”
-โอ้ ไม่มีอะไรหรอก ฉันก็แค่พูดกับตัวเอง ทุกๆอย่างจะเป็นไปตามที่วางแผนไว้ พวกเราเตรียมพร้อมไว้แล้ว”
“ถ้างั้นฝากด้วยนะ”
-ได้เลย
รอยยิ้มของฮ่าวอวิ่นได้ปรากฏออกมาจากคริสตัลสื่อสาร
-ในที่สุดก็ถึงเวลาสำหรับสุดยอดวิดีโอตลกแล้ว
***
เช้าวันถัดมาซอลจีฮูได้นำทีมส่วนหนึ่งไปทำภารกิจส่งตัวสมาชิกสหพันธรัฐกลับบ้าน เขาได้ขอให้ซันเหอช่วยคุ้มกันไว้แล้ว แต่ว่าเขาก็ยังปล่อยให้โชฮงคอยเฝ้าไว้อีกแรงด้วย
หลังจากได้รับความไว้วางใจจากคนของสหพันธรัฐแล้ว ซอลจีฮูก็รีบมุ่งตรงไปที่เขตพรมแดนในทันที
ในวันนั้นไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น วันที่สองก็เช่นกัน
และเมื่อผ่านพ้นวันไปจนผ่านเลยยามค่ำคืนไป… ความวุ่นวายเล็กๆก็ได้เกิดขึ้นที่บาร์ริมถนน
มันเป็นการมีปากเสียงกันที่พบเห็นได้บ่อยๆ จะมีเพียงก็แค่ว่านี่เป็นการทะเลาะกันระหว่างคนที่ดูเหมือนจะเป็นคนจากพันธมิตรอีวา กับชายในชุดสูทดำที่เป็นเครื่องหมายการค้าของซันเหอจนทำให้เกิดบรรยากาศไม่น่าไว้วางใจขึ้นมา
และความไม่น่าไว้วางใจนั้นก็ได้เกิดขึ้นจริง
เสียงได้ค่อยๆดังขึ้นก่อนที่ผู้คนจะเริ่มตะโกน และปล่อยจิตสังหารออกมา เมื่อเห็นบรรยากาศได้กลายเป็นหนักหน่วงขึ้น เหล่าคนมุงก็ได้รีบถอยสร้างระหว่างห่างระหว่างกลุ่มคนทั้งสองฝ่าย
ในระหว่างที่ความสนใจของผู้คนถูกดึงดูดไปด้วยความวุ่นวายที่เกิดขึ้นที่บาร์ ช่วงเช้าตรู่นั้นก็ได้มีกลุ่มคนได้เริ่มเคลื่อนไหว
ผ่านใต้การปกคลุมของความมืดมน พวกเขาได้เคลื่อนไหวไปล้อมสถานที่เป้าหมายโดยไร้สุ่มเสียง ซึ่งที่นั่นก็คือสำนักงานคาเพเดี่ยม
***
ในเวลาเดียวกันสมาธิทั้งหมดของซอลจีฮูก็มุ่งอยู่แต่กับภารกิจโดยไม่ได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในอีวาเลยสักนิด เนื่องจากว่าเขาไม่อาจจะเดินทางทั้งวันได้เนื่องจากสมาชิกของสหพันธรัฐกำลังพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บอยู่ ทำให้เขาจะต้องตั้งแคมป์พักในตอนพระอาทิตย์ตกดิน และเตรียมอาหารเย็น
และในระหว่างค่ำคืนที่ทุกๆคนหลับไหล
“หืมมมม เยี่ยมมาก~”
“ถ้างั้นฉันไปนอนแล้วนะ ฝากดูแลต่อด้วย”
“ได้สิ หลับให้สบายนะ”
ซอลจีฮูที่เฝ้ายามกะกลางคืนเสร็จแล้วได้สลับเวรยามกับฟีโซรา
มีอยู่หนึ่งจุดที่แปลกตา นั่นคือจี้ที่ปกติเขาจะสวมใส่เอาไว้เสมอได้หายไป