The Second Coming of Gluttony - ตอนที่ 261
บทที่ 261 – มุ่งหน้า (1)
มีหนังสือพิมพ์หลายฉบับถูกวางไว้เกลื่อนถนน
ซอลจีฮูเพิ่งจะกลับมาที่เมือง แต่ว่าเขารู้สึกเหมือนกับมีสายตาจำนวนนับไม่ถ้วนแอบจับจ้องมาที่เขา ทั่วทั้งเมืองเหมือนกับกำลังกรีดร้องถึงความผิดปกติออกมา
ซอลจีฮูได้เลือกหยิบหนังสือพิมพ์เล่มหนึ่งที่ถูกวางไว้บนพื้นขึ้นมา
ไม่นานนักดวงตาเขาก็ต้องเบิกกว้างก่อนจะหรี่ลง หนังสือพิมพ์ได้อธิบายไว้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนที่เขาไม่อยู่
-ในระหว่างที่กำลังหลักของคาเพเดี่ยมได้ออกไปทำภารกิจตามการมอบหมายของราชวงศ์ กลุ่มพันธมิตรอีวาได้ส่งนักรบระดับ 5 ของแก๊งโอชัวร์ ‘โนอาร์ เฟรย่า’ และนักรบระดับ 5 ตัวแทนของพันธมิตรอีวา ‘หยางหยาง’ เพื่อไปโจมตีฐานทัพของคาเพเดี่ยม แต่คาเพเดี่ยมที่ได้รับการช่วยเหลือจากซันเหอที่ส่ง ‘อายาเสะ คาซุกิ’ และคนอื่นๆไปได้กำจัดพันธมิตรอีวาที่บุกคาเพเดี่ยมได้สำเร็จ
น่าบังเอิญที่ในเวลาเดียวกันแก๊งโอชัวร์กับองค์กรอื่นๆได้เลือกต่อสู้กับสมาชิกของซันเหอที่บาร์ แม้ว่าในตอนแรกจะเป็นการมีปากเสียงกันเล็กน้อย แต่ก็บานปลายอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นการปะทะกันอย่างเต็มรูปแบบ
ผู้บริหารของซันเหอ ‘หมิงเจี่ย’ ได้เข้าใจถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ และพยายามที่จะหยุดความขัดแย้ง แต่ว่าพันธมิตรอีวากลับยกอาวุธขึ้นมาอย่างไม่แยแส แม้ว่าหมิงเจี่ยจะพยายามทำให้สถานการณ์สงบลงแล้วก็ตาม ในท้ายที่สุดพวกเขาก็ได้เริ่มโจมตีกองกำลังของซันเหอก่อน
ซันเหอจึงได้ตอบกลับด้วยการกระหน่ำยิงคืนไปเป็นสงครามซึ่งจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของกลุ่มพันธมิตรอีวา
หัวหน้าของแก๊งโอชัวร์ ‘โอมาร์ กราเซีย’ ได้โผล่เข้ามาในที่เกิดเหตุ ขณะที่เขากำลังหลบหนี เขาก็ได้ถูกสมาชิกของคาเพเดี่ยมที่เดินทางมาด้วยกันกับกำลังเสริมของซันเหอจับเอาไว้ได้ เมื่อถูกจับกุมและสอบสวน เขาก็ได้เผยออกมาว่าเขาร่วมมือกับจองชู ตัวแทนขององค์กรที่เป็นพันธมิตรกับราชวงศ์ อีวาเกลีน
จองซูได้อ้างว่าตัวเองบริสุทธิ์โดยไม่รับรู้ถึงแผนอะไรของโอมาร์ กราเซียเลย แต่ว่าเรื่องการที่พันธมิตรอีวาได้พยายามโจมตีคาเพเดี่ยมกับซันเหอหลังจากต้องประสบการสูญเสียธุรกิจผิดกฎหมายเมื่อเร็วๆนี้ก็เป็นเรื่องแน่ชัดแล้ว
ด้วยความที่จองซูเป็นหนึ่งในคนที่แนะนำภารกิจให้กับคาเพเดี่ยม คำพูดของเธอจึงขาดซึ่งความน่าเชื่อถือ
ผลที่ออกมาก็คือกลุ่มพันธมิตรอีวาได้ถูกกำจัดจนสิ้น หลงเหลือไว้เพียงแค่กลุ่มพ่อค้าดงชุนกับเรดฮวารุเท่านั้น ยังไงก็ตามซันเหอกับคาเพเดี่ยมก็ประสบความสูญเสียอย่างหนักเช่นกัน
ที่คาเพเดี่ยมรอดพ้นจากสถานการณ์ที่เลวร้ายถึงขีดสุดได้ก็เพราะการสนับสนุนอย่างทันเวลาของซันเหอ แต่ว่าสองตำนาแห่งพาราไดซ์ ซอยูฮุยกับจางมัลดงได้บาดเจ็บสาหัสจนทำให้เกิดเป็นความโกรธแค้นของชาวโลกจำนวนมาก…
‘อะไรนะ?’
ซอลจีฮูไม่ได้สนใจประเด็นสุดท้ายที่เขียนเอาไว้ว่า ‘ทุกๆคนกำลังเฝ้ารอการตัดสินใจของราชินีอีวา ชาล็อต อาเรีย’ เลยสักนิด
ซอยูฮุยกับจางมัลดงได้รับบาดเจ็บสาหัส?
หัวของเขาได้ขาวโพลนขึ้นมา
“โอ้? อะไรหรอ? มีเรื่องบ้าอะไรเกิดขึ้น?”
ฟีโซราก็คงจะหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่านเช่นกันทำให้เธอพึมพำอย่างตกตะลึง ไม่ใช่แค่เธอเท่านั้น ทุกๆคนก็ตกใจเช่นเดียวกัน
จากนั้นซอลจีฮูก็วิ่งออกไป
ตอนแรกเขาวางผ่านที่จะไปรายงานภารกิจที่วังก่อน แต่ความคิดนั้นก็ได้หายไปในทันทีทำให้เขารีบวิ่งไปที่สำนักงานคาเพเดี่ยมเต็มกำลัง
เขาได้วิ่งผ่านประตูใหญ่ และตรงเข้าไปที่ทางเข้า ก่อนจะได้ยินเสียงร้องตามหลังมา
เป็นโชฮง
“อ่า เฮ้! นี่แก-“
โชฮงที่กำลังจะโกรธได้เงียบลงไปเมื่อเห็นซอลจีฮู
“โอ้ นายมาแล้ว…”
เธอได้เปลี่ยนท่าทีมาต้อนรับเขาก่อนที่จะชะงักไป เมื่อเห็นใบหน้าของเขา เธอก็ได้แต่ค่อยๆพูดออกมา
“นะ นายมาถึงเมื่อไหร่ล่ะ?”
“เมื่อกี้นี้เอง อาจารย์จางกับพี่สาวยูฮุยอยู่ไหน?”
ซอลจีฮูมีคำถามมากมายที่อยากจะถาม แต่ว่าเขาได้เลือกสิ่งสำคัญที่สุดก่อน
“โอ้ ตาแก่กำลังแช่น้ำพุร้อน… พี่สาวยูฮุย ฉันคิดว่าเธอคงกำลังพักอยู่ที่ห้องล่ะมั้ง”
ดวงตาซอลจีฮูได้หรี่ลง จากผู้บาดเจ็บทั้งสองคน คนหนึ่งกำลังแช่น้ำพุร้อน แล้วอีกคนก็กำลังพักอยู่ที่ห้องงั้นหรอ?
“พวกเขากลับมาหลังจากทำการรักษาฉุกเฉินที่ห้องแล้วงั้นหรอ?”
“อ่า เรื่องนั้น…”
โชฮงได้หลบตาของซอลจีฮู เธอดูจะรู้สึกผิดบางอย่างอยู่
“ฉันเพิ่งจะได้ยินหลังจากนายออกไปแล้ว… แล้วก็ตาแก่ก็เห็นด้วยอย่างไม่เต็มใจเหมือนกัน…”
เธอได้พึมพำในสิ่งที่ซอลจีฮูไม่เข้าใจออกมา เขารีบวิ่งขึ้นบันไดโดยไม่รอฟังคำตอบจากเธออีก เขาอยากจะเช็คสภาพทั้งสองคนด้วยสายตาของตัวเอง
ประตูได้ถูกเปิดขึ้น และซอยูฮุยกำลังพักอยู่ที่ห้องอย่างที่โชฮงบอกเอาไว้ พูดให้ชัดคือเธอกำลังนอนเล่นกับไข่สีแดงอยู่บนเตียง
‘เจ้านี่มาทำอะไรที่นี่?’
ซอลจีฮูคิดไม่ออกเลยว่าไข่มาทำอะไรที่นี่ แต่ว่าเขาได้เก็บคำถามนี้เอาไว้ก่อน ยังไงมันก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น
สิ่งสำคัญคือสภาพร่างกายของซอยูฮุย
แต่ว่าจากรอยยิ้ม และการจั๊กจี้ไข่ของเธอแล้ว เธอดูจะไม่ได้บาดเจ็บอะไรเลยสักนิด
ซอลจีฮูได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนจะเคาะประตู
ซอยูฮุยได้รีบหันหน้ามามอง
“จีฮู?”
“…พี่สาว”
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“เมื่อตะกี้ครับ”
ซอลจีฮูได้พูดออกมาพร้อมกับเดินเข้าไปในห้อง
“พี่สาวไม่เป็นอะไรนะ”
“ใช่ ฉันสบายดี ไม่มีปัญหาอะไรเลยสักนิด อ่า เว้นก็แต่ปัญหาที่กำลังเป็นอยู่ล่ะก็นะ”
“พี่สาวไม่ได้เป็นอะไรจริงๆใช่ไหมครับ?”
เมื่อซอลจีฮูได้ถามย้ำอีกครั้ง ซอยูฮุยก็ยิ้มแห้งๆออกมา
“นายเห็นหนังสือพิมพ์แล้วสิน?”
ซอลจีฮูมั่นใจแล้ว เรื่องที่สาธารณะชนรู้เป็นเรื่องโกหก
คำพูดสามารถจะปรับแต่งได้ง่ายเพื่อปลูกฝังความคิดที่ต่างออกไปให้กับผู้คน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็มีใครบางคนได้ชักใยสร้างเรื่องหลอกหลวงนี้ออกมา
และในคาเพเดี่ยมแล้วมีแค่คนเดียวเท่านั้นที่คิดอะไรแบบนี้
ก่อนที่ซอลจีฮูจะเอ่ยชื่อนั้น เขาก็ได้ถามออกมา
“เกิดอะไรขึ้นครับ?”
“อื้อ… เราแกล้งทำเป็นเจ็บ คุณฮันนาห์ได้บอกว่ามันจะง่ายต่อการชักจูงความเห็นของสาธารณะ”
ซอยูฮุยได้พูดออกมาด้วยความขวยเขินเล็กน้อย
‘อย่างที่คิดเลย’
หลังจากความสงสัยของเขาคลี่คลายไปแล้ว ซอลจีฮูที่รู้สึกอึดอัดก็ได้รีบถามออกมา
“ช่วยอธิบายให้ผมฟังได้ไหมครับ?”
***
จากเหตุการณ์ครั้งล่าสุดได้ทำให้คิมฮันนาห์ต้องวิ่งทำงานไปทั่ว แม้กระทั่งในวันนี้เธอก็ต้องออกไปจากสำนักงานตั้งแต่เช้า และยังไม่ได้กลับมาเลย
ซอลจีฮูได้นั่งอยู่ในห้องทำงานหลังจากที่ได้ยินคำอธิบายของซอยูฮุยแล้ว เขาได้นั่งสูบบุหรี่อยู่บนโต๊ะไปเรื่อย ๆ หากไม่เช่นนั้นแล้วเขาจะรู้สึกไม่สบายใจ
แม้ว่าเขาจะพยายามแสดงว่าเขาปกติดี แต่ภายในของเขามันได้ร้อนระอุขึ้นมาเหมือนกับเตาหลอม
ควันสีขาวได้ไหลออกมาจากจมูกและปากของเขาเหมือนกับไอน้ำที่ไหลออกมาจากหม้อน้ำ จนกระทั่งเมื่อบุหรี่ใกล้ที่จะหมดมวน เสียงรองเท้าส้นสูงก็ดังออกมาจากโถงทางเดิน
ไม่นานนักเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงประตูกำลังถูกเปิด
“กลับมาแล้วหรอ? เยี่ยมมาก แล้วภารกิจเป็นไปด้วยดีไหม?”
แม้ไม่มองเขาก็บอกได้เลยว่าเป็นใคร
ซอลจีฮูได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อย
“…นั่งสิ”
“อะไรล่ะ ทำไม? ทำไมนายถึงต้องทำเป็นเคร่งขรึมขนาดนั้น?”
ซอลจีฮูได้ส่ายหัวเบาๆ คิมฮันนาห์คงจะรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร ยิ่งการได้มาเห็นเธอทำแบบนี้ยิ่งทำให้เขาโกรธ
ซอลจีฮูได้สูดหายใจลึก
“เธอไม่มีอะไรจะบอกฉันหน่อยหรอ?”
“ช่วงนี้ฉันกำลังยุ่งอยู่หน่อย…”
“เธอไม่มีเวลาจะมาคุยกันแม้แต่นิดเดียวเลยหรอ?”
“…ก็ได้ ฉันจะอยู่คุยกับนายเอง”
“นั่งสิ”
แม้กระทั่งซอลจีฮูก็ยังตกใจกับน้ำเสียงเย็นชาของตัวเอง คิมฮันนาห์ได้มองซอลจีฮูด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไป จากนั้นเธอก็ได้เดินเข้ามานั่งลงบนเก้าอี้เงียบๆ
ซอลจีฮูได้ยินถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นจนมาถึงตอนนี้ไปแล้ว
หลังจากเงียบอยู่สักพัก เขาก็ถามออกมา
“นี่คือเหตุผลที่ทำให้เธอยืมจี้ของฉันงั้นหรอ?”
“ใช่แล้ว เผื่อไว้ว่าจะมีคนเข้ามาโจมตี… การมีจี้ได้ช่วยเราเอาไว้”
ซอลจีฮูได้หัวเราะเยาะเย้ยออกมา
“ไม่หรอก เธอได้ยืมจี้ไปก็เพื่อพลิกสถานการณ์หากว่าพันธมิตรอีวาบุก และกลืนกินพวกเขาแทน”
“นายพูดถูกแล้ว ในเมื่อโฟลนอยู่ด้วย ฉันก็ไม่คิดว่าเราจะแพ้”
คิมฮันนาห์ได้ยอมรับออกมาง่ายๆ
“แต่ว่าฉันก็ไม่ได้คิดจะพึ่งจี้มากขนาดนั้นหรอก ความแข็งแกร่งของโฟลนก็เรื่องหนึ่ง แต่ข้อได้เปรียบสำคัญของเราก็คือตัวตนของเธอยังไม่ได้ถูกเปิดเผยในพาราไดซ์ ฉันจะต้องวางแผนโดยใช้ข้อได้เปรียบนี้ และนี่คือที่มาของแผนนี้”
สิ่งที่เธอพูดไม่ได้ผิดเลย
“แต่ว่าอย่างที่ฉันเคยพูดไป ความสำเร็จและล้มเหลวของแผนมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับนาย พวกเขาได้กระตุ้นกลุ่มพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง แต่พวกเขาก็ยังอยู่นิ่งเฉย จนกระทั่งในตอนสุดท้ายที่นายออกไปจากเมืองเพื่อล่อพวกเขาออกมา”
ซอลจีฮูเข้าใจว่าเธอหมายถึงอะไร
“ยังไงก็ตามทุกๆอย่างเป็นไปด้วยดี ด้วยการเข้าโจมตีก่อนของพันธมิตรอีวา พวกเราก็มีสิทธิที่จะตอบโต้กลับไป พวกเรายังได้ซ่อนตัวตนของโฟลน และด้วยหลักฐานที่ชัดเจนจึงทำให้สาธารณะชนสนับสนุนพวกเราด้วยเช่นกัน กลุ่มพันธมิตรอีวาจบสิ้นแล้วล่ะ”
ถูกต้อง ผลลัพธ์ของแผนนี้สำเร็จจนไม่อาจจะปฏิเสธได้เลย ยังไงแล้วห้าในเจ็ดองค์กรที่เหลืออยู่ของพันธมิตรอีวาได้ล่มสลายไป
….แต่นั่นก็แค่เฉพาะในแง่ของผลลัพธ์เท่านั้น
สิ่งที่ซอลจีฮูรู้สึกไม่พอใจมันไม่ใช่เรื่องนั้น
“เธอก็รู้นี่ว่าฉันไม่ได้กำลังจะพูดถึงเรื่องนั้น”
“…”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่-“
ซอลจีฮูได้หยุดชะงักไปกลางคันเมื่อรู้สึกว่าน้ำเสียงของเขามีความดุดันเกินจำเป็น ยังไงก็ตามเสียงของเขาได้ดังออกมาไปแล้ว
“ตาลุงปาร์ดงชุนได้ให้ข้อมูลกับเขา เขาบอกว่าพันธมิตรของราชวงศ์จะเผยความลับบางอย่างออกมา”
คิมฮันนาห์ได้เผยความจริง
“และหลังจากนั้นสั้นๆฉันก็ได้รับข้อความจากซอกกูนีร์ที่บอกว่าจองซูที่เป็นตัวแทนของอีวาเกลีนได้เสนอความคิดในการให้คาเพเดี่ยมรับภารกิจคุ้มกันสมาชิกสหพันธรัฐ เขาได้ชะลอการตัดสินใจนี้เอาไว้ และต้องการข้อมูลจากเราเพิ่มเติมในเรื่องนี้ ฉันคิดว่านี่เป็นโอกาสเหมาะ เพราะงั้น-“
“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันได้ยินเรื่องนี้”
ซอลจีฮูได้ขัดเธอเอาไว้ และคิมฮันนาห์ก็ได้เงียบไป เมื่อเห็นว่าเธอกำลังจ้องเขาอยู่ ซอลจีฮูก็พูดต่อ
“เธอไม่ได้พูดอะไรกับฉันเลยหรอ? หรืออย่างน้อยเธอก็แค่ติดต่อไปหาฉันหลังจากแผนสำเร็จไปได้ด้วยดีก็ได้นะ เธอรู้ไหมว่าฉันตกใจมากแค่ไหนในตอนที่กลับมาน่ะ?”
คิมฮันนาห์ได้เกาหัวด้วยสีหน้าลำบากใจออกมา
“อ่า… นายล่ะ?”
“อะไรนะ? ฉันอะไร?”
“มันก็จริงนะที่ฉันไม่ได้บอกอะไรนาย… แต่ว่านี่มันผิดด้วยหรอ? ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย แล้วดูในแง่ผลลัพธ์มันยอดเยี่ยมไปเลยนะ”
ซอลจีฮูรู้สึกสงสัยในสิ่ที่ได้ยิน ในที่สุดเขาก็หันสายตาไปจ้องคิมฮันนาห์ คิมฮันนาห์ที่ถูกสายตาไม่พอใจของเขาจ้องได้ผงะไปโดยไม่รู้ตัว
เธออยากจะแกล้งทำเป็นสบายดี แต่ว่าร่างกายของเธอกลับหดตัวไปเอง ลำคอของเธอแห้งผาก ละเธอต้องเลียริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว
ใบหน้านี้ ท่าทีแบบนี้ ซอลจีฮูในตอนนี้เป็นด้านที่คิมฮันนาห์ได้เห็นเป็นครั้งแรก
ใครกันจะไปคิดว่าจะมีใบหน้าอันน่ากลัวซ่อนอยู่ภายใต้เสียงหัวเราะอันไร้เดียงสากัน
‘เข้าใจแล้ว’
ในที่สุดเธอก็เข้าใจแล้วว่าศัตรูของซอลจีฮูรู้สึกอย่างไร เธอได้ฝืนยกมือและหยักไหล่ออกมา
“หยาบคาย! ฉันคิดว่านายจะชมฉันซะอีกนะ ฉันยอมรับเลยว่าฉันตกใจกับความโกรธของนายอยู่หน่อยแล้ว”
เธอพูดเหมือนกับไม่ผิดและไม่แยแส ซอลจีฮูแทบจะตะคอกและปลดปล่อยความโกรธออกมา แต่ว่า-
“…”
เขาได้ห้ามตัวเองเอาไว้ในวินาทีสุดท้าย
เมื่อได้ใช้นพเนตรตรวจสอบเธอ เขาก็ยืนยันได้ว่าเธอยังคงเปล่งประกายสีทองอยู่
มันจะต้องมีเหตุผลที่บัญญัติทองคำปรากฏออกมาในสถานการณ์แบบนี้ มันจะต้องมีเหตุผลที่คิมฮันนาห์ทำกับเขาแบบนี้
ซอลจีฮูได้คำรามออกมา
“ทำไมเธอถึงทำแบบนี้?”
น้ำเสียงแผ่วเบาได้ดังออกมา มันเหมือนกับว่าเขากำลังห้ามตัวเองไว้แม้ว่าจะมีอะไรมากมายให้พูด
เนื่องจากคิมฮันนาห์เป็นคนที่จับอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของฝ่ายตรงข้ามได้เป็นอย่างดี มันจึงไม่มีทางที่เธอจะไม่รู้เรื่องนี้
บางทีนี่อาจะเป็นโอกาสสุดท้าย
หลังจากที่มาถึงอีวาแล้ว คิมฮันนาห์ก็ได้เรียนรู้บางอย่าง นั่นคือซอลจีฮูจะไม่ลังเลเลยที่จะชักหอกชี้ไปที่คนที่เขาคิดว่าเป็นศัตรู
หากไม่คำนึงถึงเจตนาแล้วคิมฮันนาห์ได้หลอกซอลจีฮู
บางทีการจะพูดว่า ‘หลอก’ มันก็เกินไปหน่อย แต่ว่าคิมฮันนาห์ได้ดำเนินแผนการโดยที่ไม่บอกซอลจีฮูคือเรื่องจริง
โชคดีที่ความเชื่อใจที่พวกเขาสร้างกันมานานดูเหมือนจะบอกซอลจีฮูว่ามันมีเหตุผลที่ดีสำหรับการกระทำของเธอ
“…นายรู้อะไรไหม”
จากนั้นเธอก็ตัดสินใจพูดออกมาตรงๆ เธอได้ปรับท่าทางเป็นนั่งตัวตรง และอธิบายออกมา
“นายคงจะรู้สึกตกใจและสับสน นายอาจจะโกรธแล้วก็ผิดหวังด้วย”
“แต่ว่านะซอลจีฮู”
“…”
“สิ่งที่นายกำลังรู้สึกอยู่ก็คือสิ่งที่ฉันรู้สึกในตอนแรกที่เรามาถึงอีวา”
เมื่อซอลจีฮูได้ยินแบบนี้ เขาก็รู้สึกเหมือนกับถูกฟาดเข้าที่หัวอย่างจัง
สีหน้าของเขาได้กลายเป็นสับสน และปากเขาก็อ้าค้างเล็กน้อย
“ฉันไม่ได้บอกว่าฉันเป็นฝ่ายถูกหรอกนะ ยังไงแล้วฉันก็เป็นคนที่พานายไปทัวร์รอบเมืองเอง”
คิมฮันนาห์ได้เลิกกอดอก และลดสายตาต่ำลง
“แต่ว่าฉันก็ไม่ได้ขออะไรยากๆสักหน่อยนี้”
เธอได้ค่อยๆพูดออกมา
“จัดการประชุม ค่อยๆอธิบายถึงสถานการร์ ฟังความเห็นจากทุกๆคน และปรึกษาว่าใครมีความคิดที่ดีกว่านี้ไหม… อย่างน้อยที่สุดเราก็สามารถจะติดต่อเพื่อแจ้งแผนของเราให้กับซันเหอได้”
“…”
“นายจะคิดยังไงล่ะหากว่าอยู่ ๆ ก็ถูกลากไปสู้ด้วยคำพูดที่มีแค่คำว่าเชื่อฉันเถอะน่ะ?”
ซอลจีฮูยังคงอยู่เงียบๆ
“แล้วก็ไม่หมดเท่านั้นนะ นายได้ตอบรับภารกิจจากราชวงศ์ในทันที นายไม่เคยคิดที่จะหันกลับมามอง และปรึกษาพวกเราก่อนเลยสักนิด”
ในที่สุดซอลจีฮูก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคิมฮันนาห์ถึงทำทั้งหมดนี้
[เราต้องจัดการประชุมไหม? บอกฉันมาได้เลย]
และเขาก็รู้แล้วว่าทำไมคิมฮันนาห์ถึงจ้องกลับมาที่เขาในโรงอาหาร
“ฉันจะพูดตรงๆเลยนะ หากว่าฉันบอกว่าเราควรจะไปสกีเฮราซาร์ดและโจมตีซินยองเดี๋ยวนี้โดยไร้ซึ่งคำอธิบาย นายจะทำยังไงล่ะ? ก็อย่างที่นายรู้ว่าฉันไม่พอใจกับซินยอง และพวกเขาก็ไม่ใช่องค์กรที่ดีเช่นเดียวกัน”
ซอลจีฮูได้กัดฟันแน่น
“แน่นอนว่านายก็ต้องปฏิเสธ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ขอคำอธิบาย ฉันคงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำตามคำสั่งของนาย นั่นก็เพราะในท้ายที่สุดแล้วฉันก็เป็นสมาชิกของทีมนี้ แต่สำหรับนายมันไม่ใช่”
ฉันทำได้ แต่เธอทำไม่ได้
ซอลจีฮูเกลียดคำพูดทำนองนี้มาที่สุด แต่ว่าในตอนนี้มันกลับเป็นสิ่งที่เขาทำ
“หากว่านายกดดัน พวกเราก็หมดทางเลือกนอกจากต้องทำตาม ตราบใดที่เราเป็นส่วนหนึ่งของทีม เราก็จะไม่มีทางเลือก ทำไมล่ะ? นั่นก็เพราะมันชัดแล้วว่าพวกเราจะถูกมองข้ามไปในทันทีที่ปฏิเสธ จากนั้นเราก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องออกจากองค์กรไป”
แน่นอนว่าซอลจีฮูไม่เคยคิดจะทำแบบนั้น แต่ว่าที่เขาบังคับให้สมาชิกคาเพเดี่ยมตามเขาไปทำตามเป้าหมายของเขาให้สำเร็จก็เป็นเรื่องจริง
“นี่คือความหมายของคำว่าหัวหน้า นายมีอำนาจ และยืนอยู่ในจุดที่จะใช้อำนาจนั้น นี่คือที่นาย ทุกๆคน ไม่ควรจะทำแบบนั้น”
เขาเป็นผู้พิชิต แต่ในความจริงแล้วเขาคือเผด็จการ
อย่างน้อยที่สุดก็ในสถานการณ์ก่อนหน้านี้ ซอลจีฮูได้ทำตัวเป็นเหมือนเผด็จการ
“แน่นอนว่าจองโชฮงกับริชาร์ด ฮิวโก้อาจจะไม่ได้คิดแบบนี้ อาจารย์จางก็เหมือนกัน พวกเขาได้เฝ้าดูนายอยู่ข้างๆมานาน เพราะงั้นพวกเขาคงจะมีความเชื่อใจในตัวนายมาก”
แต่ว่านั่นไม่ใช่สำหรับคิมฮันนาห์หรือคนอื่นๆ
“ไม่ว่าจะยังไงฉันก็อยากจะให้นายได้รู้สักครั้งว่าในคืนนั้นทุกๆคนคิดยังไงกัน”
คิมฮันนาห์ได้ถอนหายใจออกมา
“และแบบนั้นฉันก็ยอมรับว่าฉันทำเกินหน้าที ฉันจะไม่บอกว่าฉันทำเพื่อนายหรอกนะ ฉันทำมันลงไปโดยที่เตรียมรับการลงโทษเอาไว้แล้ว”
ซอลจีฮูถึงกลับหลุดปล่อยลมหายใจที่กลั้นเอาไว้ออกมา จากนั้นขาก็มองขึ้นไปบนเพดาน
มุมมองของเขามันพร่ามัว และเขาก็รู้สึกเหมือนกับเห็นใบหน้าของเอียนสั่นไหวอยู่บนเพดาน
[ฉันได้เห็นศักยภาพของนายด้วยสายตาตัวเองแล้ว แต่ว่าฉันยังจำเป็นต้องถามนายอีกครั้งหนึ่ง”
[ในแง่นักวางกลยุทธ์แล้ว นายกำลังเอาชีวิตคนนับร้อยนับพันไปเสี่ยงหากเป็นความขัดแย้งขนาดเล็ก และหากเป็นความขัดแย้งขนาดใหญ่ก็จะเป็นนับแสนนับล้าน นายจะเสนอแผนโดยรับรู้ถึงผลกระทบที่ตามมาดีแล้วใช่ไหม?]
และสิ่งที่จางมัลดงพูดก็ยังเข้ามาในหัวของเขา
[จีฮู การเป็นสมาชิกองค์กรหมายถึงการใช้ชีวิตร่วมกัน มันเป็นชุมชนที่สมาชิกมีความสนใจและมุมมองที่เหมือนกัน]
[มันมีข้อจำกัดในการชี้ขาดและรับมือกับปัญหาอยู่ นายจะต้องปล่อยให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องจัดการกับสถานการณ์เอง แน่นอนว่านายจะต้องไม่ให้อิสระพวกเขามากเกินไป หรือไม่เช่นกันชุมชนก็จะปั่นป่วน ฉันเคยเห็นมาหลายองค์กรแล้วที่ล่มสลายไปเพราะอะไรแบบนี้]
[นี่คือเหตุผลที่นายต้องมีกฎข้อบังคับ นำเอาหลักการและกฎพื้นฐานมาตัดสินทุกๆอย่างอย่างยุติธรรม คุณคิมฮันนาห์ได้รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี]
คำแนะนำที่เขาเคยได้ยินในอดีตได้หวนกลับมาตอกย้ำเขา ยิ่งไปกว่านั้น
[ฉันจะจัดการเอง ฉันอยากจะทำมันด้วยพลังของฉัน]
[อย่างน้อยที่สุดฉันก็บอกนายไว้ก่อนแล้วไม่ใช่หรอ?]
ซอลจีฮูยังจำได้ว่าทำไมเขาถึงโกรธโชฮงมากในระหว่างเหตุการณ์ปฏิบัติการศูนย์วิจัยเดลฟิเนี่ยน
เขาไม่อาจจะซ่อนความอับอายได้ แน่นอนว่าสถานการณ์มันอาจจะต่างกัน แต่ก็อย่างที่คิมฮันนาห์พูด การแค่บอกให้เพื่อนร่วมทีมเชื่อใจมันไม่ใช่คำพูดที่น่าเชื่อถือเลยสักนิด
ใช่แล้ว เขายุ่ง แต่ว่าเขาไม่ได้มีเวลาติดต่อไปหาซันเหอเลยสักครั้งจริงๆน่ะหรอ?
ไม่เลย มันไม่ใช่เลยสักนิด
มันไม่ใช่ว่าเขาติดต่อไปหาซันเหอไม่ได้ แต่เขาไม่ทำต่างหาก
ไม่ว่าจะทำอะไรเราก็ควรที่จะรักษาหลักการและกฎพื้นฐานเอาไว้
ก่อนที่ซอลจีฮูจะรู้ตัวความโกรธและความผิดหวังของเขาก็หายไปจนหมดแล้ว สภาพจิตใจที่หลงมัวเมาของเขาได้กระจ่างชัดขึ้น และสมองเขาก็ดูเหมือนจะเฉียบคมขึ้นมา
ในตอนนี้เขาได้เริ่มมองรอบตัวแล้ว
นี่ฉันใช้อารมณ์มากเกินไปงั้นหรอ? ฉันถล้ำลึกเกินไปหรอ? ฉันรีบไปหรือเปล่านะ?
พอมาคิดดูแล้วเขาก็ติดอยู่ในความรู้สึกแปลกๆเหมือนเดจาวู
“…”
เขาคิดว่าเขาได้แก้ปัญหานี้ไปแล้วหลังจากที่ประสบการณ์สูญเสียครั้งใหญ่ในเขตพื้นที่เป็นกลาง
‘นี่ฉัน…’
แต่ก็อยากที่เขาพูดกันว่ามนุษย์มักจะทำความผิดพลาดเดิมซ้ำๆ เขาทำพลาดซ้ำเดิมแค่เพราะเขาเติบโตขึ้นมานิดหน่อยเท่านั้นเอง
‘ใจร้อนเกินไป…?’
ซอลจีฮูได้หลับตาลง