The Second Coming of Gluttony - ตอนที่ 263
บทที่ 263 – มุ่งหน้า (3)
“แกว๊กกกกกกก!”
บางอย่างได้ส่งเสียงร้องลั่น และกระโดดออกมาจากไข่ที่แตกในพริบตาเดียว ความเร็วของมันเร็วจนเทียบได้กับกระสุข และต้องทำให้ทุกๆคนต้องรีบมองตาม
‘อ่า’
เป้าหมายของมันอยู่ที่หัวโต๊ะ
ซอลจีฮูได้รีบบิดตัวหลบด้วยความตกใจจนทำให้มันพุ่งผ่านเขาไปอย่างเฉียดฉิว ใบหน้าของซอลจีฮูได้มองไปรอบๆอย่างสับสน
‘เร็ว…!’
เขามองไม่ทันแม้กระทั่งเงาของมันด้วยซ้ำไป หากว่าเขาไม่ได้ใช้สัญชาตญาณหลบมัน เขาก็คงถูกกระแทกเขาล้ว ยังไงก็ตามความประหลาดใจยังไม่ได้จบแค่นั้น
สิ่งที่พถ้งผ่านเขาไปได้เด้งกลับมาในทันทีที่กระแทกเข้ากับกำแพง จากนั้นมันก็ตีลังกาหลายตลบก่อนที่จะกลับมาหยุดลงบนโต๊ะอย่างนิ่มนวล
ซอลจีฮูได้มองลงไปบนโต๊ะด้วยความสับสน
บางอย่างที่มีขนาดอ้วนเตี้ยกำลังจ้องกลับมาที่เขา
‘…โมจิ?’
ทันทีที่เขาเห็นมันนี่คือความคิดแรกที่เข้ามาในหัว นั่นก็เพราะทั้งร่างกายของมันได้เต็มไปด้วยขนปุยที่ดูอ่อนนุ่มมาก หากว่าเขาโยนมันเข้าไปเคี้ยวในปากก็คงจะมีรสชาติเหมือนโมจิแน่ๆ
‘ไม่สิ ไม่’
ซอลจีฮูรีบสะบัดหัวออกมาก่อนที่จะค่อยๆหันกลับไปมองอีกครั้ง
ก่อนอื่นเลยมันมีขนาดที่เล็กมาก จะพูดว่ามันมีขนาดเท่ากำปั้นเด็กเลยก็ได้
มันมีสองขา มีขนปุกปุยสีเหลืองปกคลุมทั้งร่าง และมีแทบสีแดงเฉพาะบริเวณรอบท้องเท่านั้น
ที่ด้านข้างลำตัวมีปีกเล็กๆ และบนใบหน้ากลมมีดวงตาสีทับทิมคู่หนึ่งเปล่งประกายอย่างงดงาม
และที่ปากก็มีจงอยปากเล็กๆอยู่ หากจะพูดถึงจุดเด่นที่ชัดเจนที่สุดก็คงจะเป็นเส้นขนสีเขียวอ่อนที่งอกอยู่กลางหน้าผากของมันเพียงเส้นเดียว
แทนที่จะพูดว่าเป็นโมจิ ตอนนี้พอดูดีๆแล้วมันเหมือนกับลูกเจี๊ยบที่พึ่งจะฟักซะมากกว่า
ทันใดนั้นมันก็อ้าจงอยปากเล็กๆ และ…
“แกว๊กกก!”
มันได้ร้องออกมา
“..ลูกเจี๊ยบนี่… มันอะไรวะเนี้ย?”
“แกว๊ก แกว๊ก!”
ลูกเจียบได้สะบัดหน้าหันไปหาโชฮงที่พูดคำนี้ออกมา มันกำลังแสดงความไม่พอใจ
ซอลจีฮูได้พูดออกมาด้วยสีหน้าพูดไม่ออก
“ไม่สิ เดี๋ยวก่อน ทำไมนายถึงโจมตีล่ะ?”
“แกว๊ก แกว๊ก แกว๊ก แกว๊ก!”
เสียงร้องของมันยิ่งดังขึ้นกว่าเดิม
“แกว๊ก แกว๊ก แกว๊ก แกว๊กแกว๊ก แกว๊ก แกว๊ก แกว๊ก!”
มันได้ส่งเสียงร้องด้วยความไม่พอใจและตีปีกเล็กๆของมันไม่หยุด เขาก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่มันดูจะไม่พอใจเอามากๆ
“โอ้! น่ารักจัง!”
ซอยูฮุยได้ทำสีหน้าฝันหวานพร้อมยกมือขึ้นมาจับแก้ม
“ว้าว…”
ฮิวโก้ก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา เขาได้มองมาที่ลูกเจี๊ยบตัวน้อย และเลียริมฝีปากออกมา
มันได้ฟักออกมาในเวลาที่คาดไม่ถึงจริงๆ
ลูกเจี๊ยบยังคงเอาแต่จ้องซอลจีฮู ในขณะที่คนที่เหลือต่างก็มองโดยไม่พูดอะไร แทบจะเหมือนกับว่ามันเสียใจและผิดหวังมากๆจนทำให้มันใช้สายตาเล็กๆจ้องซอลจีฮู และส่งเสียงร้องออกมา
“เอ่อ… คุณพี่”
ยี่ซอลอาที่กำลังยืนอยู่ข้างๆด้วยสีหน้าตกตะลึงได้ค่อยๆเรียกซอลจีฮู
“คุณพี่เคยเอาไข่มากลิ้งเล่นหรือทำอะไรแบบการเล่นโบว์ลิ่งหรือเปล่าคะ?”
ใบหน้าของซอลจีฮูได้แข็งทื่อไปในทันที มันเป็นความลับที่มีแค่โฟลนเท่านั้นที่รู้ แล้วนี่ยี่ซอลอารู้ได้ยังไงกัน?
“หรือคุณพี่ได้ต้มไข่โดยบอกว่าอยากจะกินไข่ต้ม”
“…”
“หรือคุณพี่เล่นโยนเล่นแล้วก็… เล่นมายากล? ว้าว! คุณพี่ถึงขนาดเอาไข่มาเล่นมายากล?”
ความลับที่มีเพียงแต่ซอลจีฮูเท่านั้นที่รู้ได้ถูกเผยออกมา
“ธะ เธอรู้ได้ยังไงกัน?”
“ไม่ค่ะ มันไม่ใช่แบบนั้น…”
ยีซอลจีฮูได้เว้นช่วงและเอียงหัวออกมา เธอได้มองไปที่ลูกเจี๊ยบตัวน้อยด้วยสีหน้าไม่มั่นใจ
“เกิดอะไรขึ้นหรอ?”
จางมัลดงที่ตั้งสติได้แล้วรีบถามขึ้นทันที
“อ่า จริงๆก็คือ…”
ซอลจีฮูได้ตั้งสติกลับมาและอธิบายออกไปทุกๆอย่างตั้งแต่ปฏิบัติการณ์เจดีย์แห่งความฝันจนไปถึงสิ่งที่เขาได้ยินจากเทพธิดาลูซูเรีย เขาต้องใช้เวลาอยู่สักพักกว่าจะได้อธิบายว่าเขาได้ไข่มายังไง และบอกพวกเขาถึงตัวตนของมัน
“งั้นนี่ก็คือภูติผู้พิทักษ์ที่เทพธิดาแห่งความบริสุทธิ์ หนึ่งในเจ็ดคุณธรรมได้มอบให้กับตระกูลรอชเชอร์งั้นสินะ?”
“ใช่ครับ ถูกแล้ว ชื่อของมันก็คือ…”
[ภูติสีรุ้ง อาคัส]
“อ่า ใช่แล้ว อาคัส ภูติอาคัสนั่นแหละ”
โชคดีที่ซอลจีฮูนึกชื่อออกหลังจากที่โฟลนเตือนเขาอย่างพอเหมาะ เมื่อเขาพูดออกมาแบบนี้สีหน้าของลูกเจี๊ยบก็คลายลง สายตาเสียดแทงได้อ่อนลง และความไม่พอใจก็ค่อยๆเริ่มลดน้อยลง
จางมัลดงที่สังเกตดูลูกเจี๊ยบจากหลายๆมุมได้เอียงหัวออกมา
“แต่ว่าทำไมมันถึงได้มาฟักเอาตอนนี้ล่ะ?”
เรื่องนี้ซอลจีฮูก็ไม่รู้เช่นเดียวกัน ไข่จะสังเกตดูทุกๆการเคลื่อนไหวของคู่หูก่อนจะทำการตัดสินใจออกมา แม้ว่าเขาจะเคยขอร้องมันก็ไม่มีการตอบสนองกลับมาแม้แต่นิด แล้วทำไมมันถึงได้เลือกเวลามาฟักเอาตอนนี้ล่ะ? เขาไม่เห็นเข้าใจเลยสักนิด
“แล้วทำไมมันถึงได้โจมตีนายในทันทีที่โผล่ออกมาด้วย”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ”
ซอลจีฮูได้มองลงไปที่ลูกเจี๊ยบด้วยสีหน้าซับซ้อน
“บอกมาหน่อยสิ คราวนี้นายมีปากแล้วนี่”t
เมื่อเขาถามออกไปด้วยสีหน้าคาดหวัง จู่ๆลูกเจี๊ยบก็ทำสีหน้าเคร่งขึ้น และเปิดปากขึ้น
“แกว๊ก”
“…”
มันก็ยังคงร้องออกมาในเสียงที่ไม่อาจจะเข้าใจได้อยู่ดี ดูเหมือนมันจะเข้าใจที่เขาพูด และกำลังบอกอะไรบางอย่าง แต่ว่า…
ซอลจีฮูกำลังจะถอนหายใจจู่ๆก็ต้องกระพริบตาออกมา ยี่ซอลอาที่อยู่ข้างๆลูกเจี๊ยบกำลังพยักหน้าเหมือนกับเธอเข้าใจที่มันพูด
“อ่า เพราะแบบนี้…”
ยี่ซอลอาได้มองไปที่ซอลจีฮู สายตาของทั้งห้องได้จับจ้องไปที่เธอ เธอได้แสดงสีหน้าเข้มและเลียนเสียงลูกเจี๊ยบออกมา
“นายทำให้ฉันต้องอับอาย”
ฟีโซราได้ระเบิดหัวออกมาออกมา เธอตัวสั่นอย่างหนักก่อนที่จะรีบปรับสีหน้ากลับมา
“ไม่ เดี๋ยวก่อน! ไม่ใช่ว่ามันตลกหรอกนะ! มันแค่ไร้สาระเกินไปแล้ว!”
ซอลจีฮูได้ขมวดคิ้ว
“ซอลอา อย่ามาล้อเล่นสิ แค่นี้มันก็ซับซ้อนพอแล้วนะ”
“ไม่ค่ะ! ฉันไม่ได้ล้อเล่น!”
ยี่ซอลอาได้แย้งออกมา
“…ไม่ได้ล้อเล่น?”
“ใช่ค่ะ! คุณพี่ไม่ได้ยินหรอ?”
เขาไม่เข้าใจเลยว่าเธอกำลังพูดเรื่องอะไร แต่ดูจากการที่เธอเถียงออกมามันดูเหมือนกับว่าเธอจะไม่ได้โกหก จริงๆแล้วเขาก็มีข้อสงสัยอยู่
“คุณซอลอา ขอโทษนะ”
ในตอนนั้นเองซอยูฮุยก็ได้ขัดขึ้นมา เธอได้ถามเสียงต่ำด้วยสีหน้าที่ตกตะลึงและสงสัยเป็นอย่างมาก
“เมื่อตะกี้นี้คุณกำลังแปลสิ่งที่ลูกเจี๊ยบน่ารักตัวนี้พูดหรอ?”
“ไม่ค่ะ ฉันไม่ได้กำลังแปล”
ยี่ซอลอาได้กลอกตาก่อนจะพูดต่อเบาๆ
“แน่นอนว่าฉันได้ยินเสียงร้องด้วยเหมือนกัน แต่มันเหมือนกับว่ามีความคิดถูกส่งเข้ามาในหัวของฉันในเวลาเดียวกันด้วย… อ่า ถูกแล้วล่ะ เหมือนกับที่พี่สาวผีส่งเสียงไง”
ซอยูฮุยเผลอสูดหายใจเข้าโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเธอก็หันไปมองซอลจีฮูในทันที
“จีฮู นายบอกว่าสิ่งมีชีวิตในตำนานนี้คือภูติอาคัสใช่ไหม?”
“หืม? ใช่ครับ”
ซอลจีฮูได้ตอบกลับมาโดยไม่หยุดคิด จากนั้นจู่ๆเธอก็ถามเขาหลังจากพึมพำกับตัวเอง
“นายแน่ใจนะว่าเป็นภูติ?”
“ผมมั่นใจ มันมีเขียนเอาไว้ในบันทึก แล้วโฟลนก็ยังยืนยันเรื่องนี้ด้วย”
สีหน้าของซอยูฮุยได้กลายเป็นจริงจังขึ้น เธอที่มีสีหน้ากังวลได้มองไปที่ยี่ซอลอาด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ
“ไม่มีทาง ต่อให้คนๆนั้นจะมีความเป็นอัจฉริยะในบางเส้นทาง แต่ว่าหากไม่ได้ตรงกันจริงๆ… หากไม่ได้มีความเชี่ยวชาญหลากหลายด้านมันก็แทบจะ…”
เธอได้พึมพำในสิ่งที่ไม่อาจจะเข้าใจกับตัวเอง
“คุณซอลอา? เรามาคุยกันหน่อยได้ไหม?”
จากนั้นเธอก็ลากยี่ซอลอาออกไปจากห้องประชุม เมื่อทั้งสองคนออกไปจากห้อง ซอลจีฮูก็ได้แต่เลียริมฝีปากที่แห้งผาก
ไม่ว่ายังไงไข่ก็ฟักออกมาแล้ว งั้นตอนนี้เขาควรจะทำยังไงล่ะ?
ซอลจีฮูได้คิดกับตัวเองอยู่สักพักก่อนจะค่อยๆยื่นมือออกไป ขนของลูกเจี๊ยบดูนุ่มฟูมากจริงๆจนเขาอยากที่จะลองสัมผัสมันตั้งแต่วินาทีที่เห็นแล้ว
ลูกเจี๊ยบได้เอียงหัวออกมาเมื่อถูกฝ่ามือแตะลงบนหัวของมัน
ซอลจีฮูที่กำลังลูบมันอยู่รู้สึกเหมือนเขากำลังสัมผัสกับสำลี ลูกเจี๊ยบได้หมุนคอและบิดร่างไปมาอย่างไม่อาจจะอยู่นิ่ง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธไม่ให้เขาสัมผัสเลย
“โอ้ว…”
“ปะ เป็นยังไงบ้าง?”
เมื่อซอลจีฮูส่งเสียงอุทานออกมา ฟีโซราที่จ้องมองอยู่ด้านข้างก็ถามออกอมา
“นิ่มมาก… เหมือนกับจับผ้าไหมอยู่เลย… แล้วก็อุ่นด้วย เหมือนกับกำลังจับถ่านอยู่เลย”
ฟีโซราได้ครางออกมาเบาๆเมื่อลองคิดตาม
“ฉะ ฉันก็อยากลองจะด้วย”
เธอได้รีบยื่นแขนออกไปเหมือนกับไม่มีแรงต้านต่อสิ่งที่น่ารักเลย แต่ว่าเมื่อเธอทำแบบนั้นลูกเจี๊ยบก็สะดุ้งและหันไปจ้องเธอ
“แกว๊กกกกก”
ปีกเล็กๆของมันไได้กางขึ้นและคำรามออกมา มันบอกไม่ให้เธอแตะมัน
“โอ้ ดูเจ้าหนูนี่สิ ทีตอนที่รักแตะมันยังอยู่นิ่งเลยนี่ แล้วทำไมถึงต้องเลือกปฏิบัติกับคนอื่นด้วย? น่าขำซะจริง”
ฟีโซราได้หยุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพึมพำกับตัวเอง และในท้ายที่สุดก็ยื่นมือออกไปต่อ ท่าทีของเธอเหมือนกับว่า ‘ถึงจะไม่ให้ฉันแตะ แล้วนายจะทำอะไรฉันได้ล่ะ?’
“แกว๊กกก!”
ลูกเจี๊ยบได้ใข้จงอยปากของมันจิกฝ่ามือของเธออย่างรวดเร็ว
“โอ๊ย มันเจ็บนะ!”
ฟีโซราได้ตะโกนและถอยกลับไป
“ไอ้เจ้านี่?”
ใบหน้าของเธอได้กลายเป็นเย็นชา และเธอได้สะบัดมือออกมาอีกครั้ง แต่ว่าลูกเจี๊ยบก็หลบเธอได้อย่างง่ายดาย
“หืม? อ่า? เจ้านี่? เชี้ย!”
เกมตีตุ่นได้ถูกเริ่มขึ้น
ความเร็วในการเหวี่ยงแขนของฟีโซรานั้นเร็วมาก แต่ว่าความเร็วของลูกเจี๊ยบก็มีมากยิ่งกว่าเธอ
ฟุบ ฟุบ ฟุบ ฟุบ
มันได้แสดงจังหวะเท้าอันน่าทึ่งออกมาพร้อมกับเสียงหวดอากาศ และหลบฝ่ามือของเธอได้จนหมด
“อ่า เอาจริงดิ! ให้ฉันจับสักครั้งเถอะน่า!”
ฟีโซราที่เริ่มไม่พอใจได้ปลดปล่อยมานาออกมา
ทันทีที่เธอทำแบบนี้ ลูกเจี๊ยบได้รีบกระโดดลงไปใต้โต๊ะ มันได้ใช้ขาเล็กๆของมันวิ่งไปหลบอยู่หลังขาของซอลจีฮู ยิ่งได้เห็นมันยื่นหน้าออกมามองเธอยิ่งทำให้ฟีโซราต้องพูดไม่ออก
เมื่อเขารู้สึกว่ามันจะใช้จงอยปากจิกขาของเขา ซอลจีฮูก็คอยๆใช้สองมือยกลูกเจี๊ยบขึ้นมา
“แกว๊ก!”
ลูกเจี๊ยบได้กระโดดขึ้นไปอยู่บนหัวของซอลจีฮู มันได้พับขาสองข้างนั่งลงไปอย่างพอใจราวกับเป็นรังของมัน และหลังจากหาวกว้างออกมามันก็ก้มหัวลง
“…เป็นเจ้าตัวน้อยที่ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลเลยนะ!”
จางมัลดงได้ปล่อยเสียงหัวเราะออกมา
“เจ้านี่มันคิดว่าซอลเป็นพ่อของมันงั้นหรอ?”
โชฮงก็ยังแสดงความเห็นออกมา
ซอลจีฮูได้เงยหน้าขึ้นไปมองเท่าที่ทำได้ก่อนที่จะยอมแพ้ และเม้มริมฝีปากออกมา
การที่มางีบหลับในทันทีหลังจากที่ฝักไข่ออกมา… มันเกินกว่าความเข้าใจของเขาไปแล้ว หลังจากพึมพำอยู่กับตัวเอง ซอลจีฮูก็มองไปรอบๆ และพูดออกมา
“จะยังไงเรามาสรุปการประชุมวันนี้กันดีกว่านะ”
เพราะแบบนี้ลูกเจี๊ยบจึงยังคงนอนอยู่บนหัวของเขา
***
เมื่อการประชุมจบลง ซอลจีฮูก็ติดต่อไปหาฮ่าวอวิ่นโดยที่ลูกเจี๊ยบยังคงอยู่บนหัวของเขา เขาอยากจะแสดงความขอบคุณที่ฮ่าวอวิ่นให้ความร่วมมือกับคาเพเดี่ยม และขอโทษกับการกระทำที่เอาแต่ใจของเขาเมื่อคราวก่อน
-ไม่เป็นไรหรอก
ยังไงก็ตาม ฮ่าวอวิ่นดูจะไม่ได้คิดอะไร
-ฉันก็บอกไปก่อนแล้วนี่ นายไม่ต้องขอโทษหรอกนะ ฉันก็ไม่ได้ทำเรื่องที่ถูกเหมือนกัน เพราะงั้นแค่ติดต่อมาก็พอแล้ว
เขาได้หัวเราะออกมาอย่างพอใจ
-จะยังไงแบบนี้เราก็ได้ข้ามเส้นไปแล้ว เพราะงั้นจนกว่าจะจบลงอย่างได้ประมาทล่ะ
“แน่นอนสิ แล้วฉันก็ขอสัญญาว่าจะไม่มีครั้งที่สองอีก”
-ฉันดีใจนะที่นายคิดได้แบบนั้น วิธีของจิ้งจอกคงจะได้ผลดีเลยสินะ
“คราวนี้ฉันได้เรียนรู้อะไรมาตั้งเยอะ และยังมีอีกหลายสิ่งที่ฉันต้องเรียนรู้ต่ออีกด้วย”
ซอลจีฮูได้พูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา ฮ่าวอวิ่นได้หรี่ตามองดูเขาจากอีกฟากของคริสตัล
-…นี่แหละที่เป็นนิสัยที่น่ากลัวของนาย
มันเป็นคำพูดที่คาดไม่ถึงเลย
-นายจะเป็นชายที่น่ากลัวหากพูดแบบนี้อย่างตั้งใจ แต่หากว่านายพูดมันอย่างจริงใจ ถ้างั้นนายก็จะยิ่งเป็นคนที่น่ากลัวยิ่งกว่า
“หืม?”
-คนเราจะเปลี่ยนแปลงไปเมื่อมีความสำเร็จมากมาย และมีตำแหน่งที่สูงขึ้น พวกเขาจะคิดว่า ‘ฉันทำได้ถึงขนาดนี้ ฉันประสบความสำเร็จตั้งมากมาย แล้วนายล่ะมีอะไรบ้าง?’ พวกเขาจะรู้สึกลำพองใจไปเองโดยไม่รู้ตัว
ฮ่าวอวิ่นได้กอดอกพูดต่อด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย
-มันไม่ง่ายหรอกนะที่จะแก้ไขเรื่องนั้น ไม่แม้กระทั่งตัวฉันด้วย
ซอลจีฮูได้แต่ยิ้มตอบกลับไป
-ยังไงไว้จบเรื่องนี้แล้วเรามาดื่มกันนะ ไม่ว่าจะเป็นที่โลกหรือพาราไดซ์ก็ได้
“ได้สิ”
-ถ้างั้นก็… โอ้ จริงสิ
ฮ่าวอวิ่นได้ถามบางอย่างออกมาก่อนจะวางสาย
-ฉันก็อยากจะถามนายมาสักพักแล้วนะ แต่ว่าทำไมนายถึงเอาโมจิไว้บนหัวล่ะ?
“มันไม่ใช่โมจิหรอกนะ”
ซอลจีฮูได้ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
“มันเป็นสิ่งมีชีวิตในตำนาน แค่ตอนนี้ดูเหมือนกับลูกเจี๊ยบเท่านั้นเอง”
ลูกเจี๊ยบได้จิกหัวเขาอย่างไม่พอใจเมื่อเห็นเขาพูดแบบนี้ ซอลจีฮูได้รีบแก้คำพูดทันที
“คู่หูของฉันเอง”
-คู่หู… สัตว์เลี้ยงน่ะหรอ? อะไรแบบนั้นสินะ?
แกว๊กก! ลูกเจี๊ยบได้บินลงมาจิกคริสตัลอย่างรุนแรงจนทำให้ฮ่าวอวิ่นหัวเราะออกมา
-ดูสิ เจ้าอารมณ์ซะด้วย
“ไม่หรอก… ไว้คราวหน้าฉันจะแนะนำให้นายรู้จักนะ”
-ฉันจะคอยเลยล่ะ
สายได้ตัดไป
ซอลจีฮูได้ส่ายหัวอย่างอดไม่ได้ก่อนที่จะรู้สึกสงสัยสายตาตัวเอง
ลูกเจี๊ยบได้หายไปแล้ว
ทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกแปลกๆอยู่บนหัว มันขึ้นมาอีกแล้วตั้งแต่เมื่อไหร่กัน…
“เฮ้! นายจะ…”
ซอลจีฮูได้พยายามดึงมันออกมาจากหัว แต่ว่า…
“แกว๊ก!”
มันได้จิกฝ่ามือของเขาจนต้องทำให้เขาลดแขนลงมาในทันี มันดูเหมือนในกรณีนี้แม้แต่เขาก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ลูกเจี๊ยบคงจะชอบหัวของเขามากเพราะมันไม่คิดจะลงมาเลยสักนิด
“เฮ้! ในตอนนี้นายฟักออกมาแล้วนะ”
ไม่มีเสียงตอบกลับ
“ไม่ใช่ว่าพอตื่นแล้วนายก็ควรจะทำอะไรสักอย่างหรอกหรอ? อย่างน้อยก็คุยกัน… หรือแค่แสดงความสามารถของนายออกมาก็ได้”
ยังคงไม่มีคำตอบกลับ
ยิ่งเมื่อเขาสงสัยกว่าเดิม และมองภาพสะท้อนจากคริสตัล เขาก็เห็นลูกเจี๊ยบดูเหมือนจะหลับไปแล้ว
‘เจ้านี่?’
เขารู้สึกอยากจะดึงมันออกมาจากหัวมากๆ แต่ว่า…
“…ฟู่ว”
เขาก็ถอนหายใจ และลุกขึ้นจากที่นั่ง
***
ในตอนเย็นซอลจีฮูได้ออกมาจากสำนักงานพร้อมกับคิมฮันนาห์ ก่อนหน้านี้เขาทั้งสองคนได้สัญญาว่าจะไปกินมื้อเย็นด้วยกัน
มีภัตตาคารอยู่ในสำนักงาน แต่เมื่อคิดว่าคิมฮันนาห์คงมีเหตุผลของตัวเอง ซอลจีฮูจึงออกมาพร้อมกับเธอโดยไม่พูดอะไร
หลังจากที่เข้าไปในร้านอาคารริมถนน และสั่งอาหารกับแอลกอฮอล์แล้ว คิมฮันนาห์ก็พูดขึ้น
“ฉันมีเรื่องอย่างจะคุยกับนาย ฉันไม่อยากจะให้นายเข้าใจผิดเพราะงั้นแค่ฟังซะ”
‘อีกแล้ว?’
เมื่อได้ยินเธอพูดออกมาเสียงต่ำ ซอลจีฮูก็เตรียมใจทันที เขาไม่ได้คิดว่าพวกเขาจะเริ่มคุยกันรนับตั้งแต่ที่ได้นั่งลง แต่ว่าเขาก็ยังพร้อมอยู่แล้ว
“ไม่เป็นไรหรอก แต่ว่าฉันรู้ว่าจากมุมมองของเธอ เธอรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม การลงโทษลงเธอ…”
“นั่นน่ะ”
ยังไงก็ตามจู่ๆคิมฮันนาห์ก็ชี้มาที่ซอลจีฮู ไม่สิ เธอชี้มาที่หัวของเขา
“เอาออกมาไม่ได้หรอ? ทุกๆคนมองอยู่นะ มันน่าอาย”
“…”
ใบหน้าของซอลจีฮูได้แข็งทื่อไปก่อนที่จะห่อไหลออกมา
“ฉันก็อยากจะทำเหมือนกัน”
“ทำไมล่ะ? มันไม่ยอมลงมาหรอ?”
“ไม่ว่าจะทำยังไงมันก็ไม่ยอมลงมาเลย”
ซอลจีฮูได้บ่นออกมา
“หากว่าฉันไปแตะมันสักคิด มันก็เหมือนกับจะคลั่งไปเลย มันคงคิดว่าหัวของฉันเป็นรังของมัน”
คิมฮันนาห์ได้หัวเราะออกมา เธอได้พยายามจะแตะมันด้วยสีหน้าหลงใหล แต่ลูกเจี๊ยบได้สังเกตเห็นเธอก่อน และแยกเขี้ยวออกมา
จากนั้นมันก็ใช้ปีกตีหัวของซอลจีฮูราวกับกำลังจะบอกว่า ‘ทำไมถึงเอาแต่ดูแล้วไม่ยอมปกป้องฉันในตอนที่มีคนจะแตะฉันโดยไม่ได้รับอนุญาต?’
“เป็นเด็กที่น่าสนใจ”
คิมฮันนาห์ได้แต่ลดมือลงมาพร้อมส่ายหน้า จากนั้นเธอก็ถามขึ้น
“แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ?”
“?”
การประชุมน่ะ จองโชฮงพยาพยามที่จะบดขยี้ฉันเต็มที่เลย”
ซอลจีฮูได้แต่ฝืนยิ้มออกมา เธอคงจะถามเขาว่าคิดยังไงหลังจากที่เห็นปฏิกิริยาของเพื่อนร่วมทีมในระหว่างการประชุม การที่มีผู้คมยอมรับอำนาจของเขาในฐานะหัวหน้าเป็นสิ่งที่เขาควรจะยินดี แต่ว่ามันก็มีขีดจำกัดอยู่เช่นกัน
ตัวแทนอยู่ในตำแหน่งที่สูงที่สุดอย่างแน่นอน แต่ว่ามันก็เป็นตำแหน่งที่ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เหนือสิ่งอื่นใดการขอโทษในสิ่งที่เขาทำพลาดลงไปมันไม่ใช่เรื่องน่าอาย
“แล้วเธอล่ะเป็นยังไงบ้าง?”
ซอลจีฮูได้ถามกลับไป
“ถ้าเรื่องอำนาจ ฉันไว้ค่อยเอากลับมาทีหลังก็ได้”
คิมฮันนาห์ได้ตอบกลับมาเรียบๆ
“จะยังไงฉันก็ยังคงรับหน้าที่บริหารอยู่”
แต่ถึงแบบนั้นอำนาจในฐานะฝ่ายบริหารเพียงคนเดียวก็เป็นสิ่งที่เมินเฉยไม่ได้
“นี่เป็นเรื่องที่ฉันได้เตรียมตัวถอดเครื่องแบบตั้งแต่แรกแล้ว ฉันพอใจกับมัน”
“เครื่องแบบงั้นสินะ”
ซอลจีฮูได้มองดูเสื้อคลุมที่คิมฮันนาห์แขวนไว้บนเก้าอี้ด้วยหางตา เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตามองจิก เขาก็หลบสายตาและเปลี่ยนเรื่อง
“ปล่อยกลุ่มพ่อค้าดงชุนกับเรดฮวารุไว้ก่อนนะ แต่เราจะเอายังไงต่อกับอีวาเกลีนงั้นหรอ?”
“พวกเขาแทบจะถูกทิ้งลงเหวไปนับตั้งแต่ทีมความสัมพันธ์ของพวกเขากับกลุ่มพันธมิตรอีวาถูกเผยออกมาแล้ว ตอนนี้พวกเขากำลังจับฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้อยู่”
“จริงหรอ?”
แต่มันดูเหมือนฟางเส้นสุดท้ายนี้จะทนมากเพราะพวกเขายังยื้อเอาไว้ได้อยู่ ในตอนนี้ราชินีผู้ยิ่งใหญ่ของเขาดูเหมือนจะกำลังปิดหูปิดตา”
“ฉันหวังว่าเรื่องจะไม่เงียบไปนะ”
“มันไม่น่าเป็นแบบนั้นหรอก ซอกกูนีร์ได้พยายามอย่างมากในคดีนี้”
คิมฮันนาห์ได้พูดต่อ
“ในทันทีที่มีเรื่องอะไรเราก็จะได้รับการติดต่อจากราชวงศ์ในทันที สำหรับตอนนี้การเฝ้ารอมันก็ไม่ได้แย่หรอกนะ ในที่สุดเราก็มีเวลาพักหายใจแล้วก็แก้ไขสิ่งที่เราพักไว้ก่อนแล้ว”
ซอลจีฮูได้เชือฟังคำพูดของคิมฮันนาห์โดยไม่รู้ตัว
“สิ่งที่เราพักเอาไว้นี่คิอ…?”
“เราควรที่จะทำงานที่เราเริ่มไว้ให้เสร็จ ฉันคิดว่าเราควรที่จะทำการลงทะเบียนองค์กร แล้วก็เรื่องพิธีเปิดตัวด้วย…”
คิมฮันนาห์ไม่ได้ใช้คำพูดในเชิงคำสั่งเมื่อพูดถึงทิศทางและแผนในอนาคตขององค์กร
เธอได้เลือกใช้คำอย่าง ‘ฉันคิดว่า’ หรือ ‘เราควร’ แทนที่จะเป็น ‘ทำไม’ และปล่อยการตัดสินใจสุดท้ายไว้กับเขา เธอกำลังให้คำแนะนำกับเขาในฐานะของสมาชิกคนหนึ่ง
“แล้วก็นาย”
“ฉัน?”
“นายควรที่จะคิดว่านายจะจัดตั้งองค์กรประของระบบองค์กรใหม่ ตำแหน่งภายในองค์กร แล้วก็เรื่องต่างๆ นายไม่คิดแบบนั้นหรอตัวแทนซอล?”
“ใช้ระบบของคาเพเดี่ยม… ไม่ได้ใช่ไหม?”
“หยุดไร้สาระได้แล้ว คาเพเดี่ยมเคยมีระบบด้วยงั้นหรอ? ทุกๆอย่างมันขึ้นอยู่กับอารมณ์นี่”
คิมฮันนาห์ได้แค่นเสียงขึ้นมา
“ยิ่งมีคนมากองค์กรก็จะใหญ่ขึ้น และผลที่ออกมาก็คือนายจะต้องแบกคนไปตามทีมที่ต่างกันตามแต่ละหน้าที่ จากนั้นมันก็เป็นธรรมที่นายจะต้องมีเจ้าหน้าที่หรือผู้จัดการคอยดูแลพวกเขา นายอย่าได้คิดว่านายจะเข้ากันได้กับทุกๆคนอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้เชียวนะ”
ซอลจีฮูได้เม้มปากออกมา
“ฉันจะต้องได้เจอกับมันด้วยตัวเองถึงจะได้รู้ แต่ว่า… นี่มันยาก นี่สินะคือการเป็นตัวแทน”
“เจ้าหนู ถ้างั้นนายคิดว่ามันง่ายหรอ?”
คิมฮันนาห์ยิ้มออกมา
“แต่ก็ไม่ต้องกังวลมากหรอกนะ”
“ทำไมล่ะ?”
“มีอยู่หลายปัจจุบันที่จะทำให้มันสำเร็จ ระดับเครือข่าย สมาชิก เงินทุน อันที่จริงแล้วมีองค์กรน้อยมากที่เริ่มต้นขึ้นมาพร้อมเงื่อนไขเหล่านี้”
“นายอาจจะไม่เชื่อฉันในสกีเฮราซาร์ด”
“ตอนนั้นฉันเป็นคนนอก แต่ตอนนี้ฉันเป็นคนในแล้ว”
หลังจากพูดแบบนี้ออกมา เธอก็เหลือบมองไปด้านข้าง
“แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้มีอะไรให้ต้องกังวลหรอกนะ…”
ในที่สุดอาหารและแอลกอฮอล์ที่พวกเขาสั่งเอาไว้ก็ได้มาถึง เพราะแบบนี้พวกเขาจึงหยุดพูดและเริ่มกินกันก่อน
“ดื่มอวยพรกันหน่อยไหม?”
คิมฮันนาห์ได้พูดออกมาพร้อมเทแอลกอฮอล์ ซอลจีฮูได้หยักไหล่
ต่อจากนั้น
“แด่องค์กรใหม่ของเรา!”
คิมฮันนาห์ไดยกแก้วขึ้นหลังจากส่งให้เขาแก้วหนึ่ง
“แด่พาราไดซ์!”
ซอลจีฮูก็ยกแก้วรับเช่นกัน
แก้วทั้งสองได้ชนกันจนเกิดเป็นเสียงดังออกมา