The Second Coming of Gluttony - ตอนที่ 264
บทที่ 264 – พิธีเปิดอันงดงาม (1)
เมื่อเหตุการณ์รุนแรงได้ผ่านพ้นไป คาเพเดี่ยมก็ได้วันคืนอันแสนสงบสุขกลับมา
แต่ว่าสงครามไม่ได้จบลงเพียงแค่เพราะมีผู้ชนะ การจัดการปัญหาหลังสงครามก็เป็นสิ่งสำคัญกับผู้ชนะเช่นเดียวกัน
หากว่าคาเพเดี่ยมพอใจแค่กับการเอาชนะศัตรูได้ หลังจากวันนี้ไปมันก็คงจะไม่มีวันคืนอันสงบสุขอีกเหมือนกับที่ฮารามาร์ค มีคนมากมายนับไม่ถ้วนที่จะใช้วิธีการต่างๆมาขัดขวางพวกเขา
แต่คาเพเดี่ยมในตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เพราะพวกเขามีคิมฮันนาห์
ด้วยตัวตนจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ คิมฮันนาห์รู้ดีว่าชาวโลกคนอื่นๆจะไม่พอใจกับการที่คาเพเดี่ยมได้กลืนกินเมืองอย่างอีวาแค่เพียงลำพังได้ง่ายๆแน่
นี่คือเหตุผลที่เธอชูให้ซันเหอเด่นออกมา ทำให้คาเพเดี่ยมตกเป็นเหยื่อ และกระทั่งสร้างข่าวลวงที่บอกว่าจางมัลดง กับซอยูฮุยผู้เป็นคนทรงอิทธิพลในพาราไดซ์ได้รับบาดเจ็บสาหัส
เหนือสิ่งอื่นใดเธอยังได้ใช้โอมาร์ กราเซียแห่งแก๊งโอชัวร์ และหัวหน้าองค์กรต่างๆมาใช้ประโยชน์เพื่อจัดการกับตัวแทนของอีวาเกลีน จองซู
ทางฝ่ายอีวาเกลีนรับมือได้ยากเนื่องจากพวกเขามีความใกล้ชิดกับราชวงศ์ แต่หากว่าทุกๆอย่างเป็นไปด้วยดี คาเพเดี่ยมก็จะจัดการพวกเขาได้โดยไม่ต้องออกแรงเองเลย
จริงๆแล้วจุดนี้ก็สามารถจะมั่นใจในชัยชนะได้แล้ว ผลของการสืบสวนได้เผยหลักฐานจำนวนมากของการสื่อสารกันระหว่างจองซูกับโอมาร์ กราเซียออกมา และยังมีคำให้การณ์จากกลุ่มพ่อค้าดงชุน และเรดฮวารุอีกด้วย
ผลที่ออกมาคือจองซูได้ถูกรายล้อมไปด้วยศัตรูจากทุกๆด้าน และสมาชิกขององค์กรอีวาเกลีนก็กำลังออกไปจากองค์กรในทุกๆวัน
แต่ปัญหาก็คือจองซูยังคงกัดฟันทนต่อไปในสถานการณ์แบบนี้
“ซอกกูนีร์กำลังพยายามกดดันจองซูให้จนมุมด้วยข้อเท็จจริงที่เธอให้ความช่วยเหลือพันธมิตรอีวาโจมตีคาเพเดี่ยม”
นิ้วของคิมฮันนาห์ได้เคาะอยู่กับพนักพิงของเก้าอี้
“ปัญหาเดียวก็คือมีแค่หลักฐานตามสถานการณ์เท่านั้นเอง”
ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมา
“โอมาร์ กราเซียไม่ได้ให้คำสารภาพหรอ? เธอบอกว่ามีพยานอยู่นี่”
“แต่ว่าก็ไม่ได้มีหลักฐานที่เด่นชัด ในจุดๆนี้เธอควรที่จะยกธงขาวออกมาได้แล้ว แต่เธอกลับยังคงกัดฟันดิ้นรนจนถึงที่สุด เอาเถอะนะ เธอคงคิดว่ามันยังคงมีโอกาสรอดอยู่ตราบใดที่เธอเกาะราชินีน่ะ”
ซอลจีฮูได้คิดขึ้นกับตัวเอง
‘ราชินี’
ในตอนแรกที่เขามาอีวา เขาหวังเอาไว้สูงและอยากที่จะเจอกับเธอ แต่ยิ่งนานวันไปความสงสัยของเขาก็มีแต่เพิ่มยิ่งขึ้น ตอนนี้เขาไม่ได้สนใจอยากจะเจอเธอเลยสักนิด
‘เธอดูเหมือนจะเป็นคนที่น่าหงุดหงิดจริงๆเลย’
ซอลจีฮูได้ยิ้มบางๆออกมาจนทำให้คิมฮันนาห์มองเขาแปลกๆ
“ทำไมนายยิ้มล่ะ?”
“อ่ ฉันเพิ่งนึกถึงเรื่องที่เธอเคยพูด”
“อะไรล่ะ?”
“มันไม่ใช่ว่าทุกๆราชวงศ์จะเป็นอย่างเจ้าหญิงเทเรซ่า หรือราชาฟีไฮ”
คิมฮันนาห์ได้พยักหน้าออกมา
“ก็ช่วยไม่ได้หรอกนะ หากว่าตัดสินจากความเป็นมนุษย์ และไม่ใช่เจ้าเมืองแล้ว ราชินีของอีวาก็เป็นคนน่าสงสารนะ”
“แล้วถ้าตัดสินเธอในฐานะเจ้าเมืองล่ะ?”
“มีแต่ความล้มเหลว หากว่าคนแบบเธอเป็นราชินีได้ ฉันก็คงจะทำมันได้ดีกว่าเป็นล้านเท่า ฉันยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่ายัยเด็กนี่จะมีสายเลือดเดียวกันกับพ่อและพี่ชายของเธอ”
คิมฮันนาห์ได้วิจารณ์ราชินีออกมาอย่างเด็ดขาด ความสงสัยของซอลจีฮูมีแต่จะเพิ่มขึ้นอีก
“แล้วจองซูเป็นคนแบบไหนล่ะ? เธอก็มาจากพื้นที่ที่ 1 ใช่ไหม?”
“เธอเป็นนักฉวยโอกาส แล้วก็ถ้าจะมีอะไรอีก-“
ดวงตาของคิมฮันนาห์ได้กลอกไปมา
“พอมาคิดดูแล้ว นายก็ได้เข้าร่วมงานจัดเลี้ยงครั้งล่าสุดใช่ไหม?”
“ใช่”
“ถ้างั้นนายก็น่าจะจำการเล่นสวมบทบาทได้นะ”
เล่นสวมบทบาท นี่เป็นคำที่เขาไม่ได้ยินมาสักพักแล้ว
ชายร่างใหญ่ที่ถูกเรียกด้วยชื่อดาวพิฆาตสวรรค์ และเด็กสาวสวมผ้าโผกหัวสีขาวแปลกๆก็ได้เข้ามาในความคิดของเขา แต่ว่าเขาก็เลือกไว้ค่อยถามถึงทีหลัง นี่มันยังไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องสนใจ
“จองซูได้หลงทางไปกับการสวมบทบาท และกำลังดิ้นรนอยู่กับความหลงผิดของเธอเอง เมื่อรวมเข้ากับนิสัยจอมฉวยโอกาสโดยธรรมชาติของเธอ ทำให้เธอเป็นคนประเภทแปลกๆที่นายอาจจะยังไม่เคยเจอมาก่อน”
“สวมบทบาทที่เธอหมายถึงนี่อะไรงั้นหรอ?”
“สวมบทบาทเป็นหัวหน้าของเธอเอง”
คิมฮันนาห์ได้ตอบกลับในทันที แต่ซอลจีฮูก็ยังแสดงสีหน้าสับสน
“ช่วยอธิบายรายละเอียดเพิ่มหน่อยได้ไหม?”
“อ่า- มันก็ซับซ้อนอยู่หน่อยนะ ฉันควรจะเริ่มตรงไหนดีล่ะ…”
คิมฮันนาห์คงจะเดาไว้แล้วว่าเขาจะต้องตอบกลับแบบนี้ทำให้เธอหลับตาลง และลูบหน้า
“อีวาเกลีนเป็นองค์กรที่ดี ฉันหมายถึงในมาตราฐานของฉันล่ะนะ”
“?”
“ฟังนะ นายรู้ใช่ไหมว่าในตอนนี้กำลังมีสมาชิกของอีวาเกลีนกำลังออกไปอย่างต่อเนื่อง?”
“ใช่ ฉันก็ได้ยินมา”
“นายคิดว่าทำไมพวกเขาถึงกำลังออกไปล่ะ? หรือนายคิดว่าพวกเขาจะได้อะไรจากเรื่องนี้?”
คิมฮันนาห์ได้พูดออกมาต่อ
“มันก็ง่ายมาก ความรักของพวกเขาได้หมดลงเมื่อรู้ว่าตัวแทนองค์กรที่พวกเขาคิดว่าหมดจดเที่ยงธรรมนั้นจริงๆแล้วโสโครก นั่นมันหมายความว่าจองซูไม่ได้บอกเรื่องความสัมพันธ์กับพันธมิตรอีวาให้คนที่เหลือในองค์กรรู้”
“เธอกำลังจะบอกว่าจองซูเคยเป็นชาวโลกที่เป็นห่วงในพาราไดซ์งั้นหรอ? แล้วตอนนี้เธอก็ได้เปลี่ยนไป?”
“ไม่หรอก”
คิมฮันนาห์ได้พูดออกมาอย่างหนักแน่น
“ฉันบอกนายแล้วไง จองซูเป็นนักฉวยโอกาสที่หลงใหลในการสวมบทบาท ตัวตนที่เธอสวมบทบาทเป็นก็คือหัวหน้าคนก่อน อีวาเกลีน โรส”
‘อีวาเกลีน โรส?’
“ก็นะ ถึงเธอจะตายไปในงานจัดเลี้ยงครั้งล่าสุดก็ตาม”
‘อ่า’
จากนั้นซอลจีฮูก็ได้รู้ถึงความจริง ชาวโลกที่อาสาเข้าไปในลานกว้างแห่งการเสียสละเป็นคนแรก และถูกฆ่า ครั้งหนึ่งกู่ลาเคยเสียใจกับการต้องตายของ ‘ผู้พิทักษ์แห่งอีวา’ เพื่อแลกกับการที่ ‘นักฆ่าฮีโร่’ ตายไปด้วย
ซอลจีฮูได้พูดออกมาหลังจากคิดอยู่นาน
“ไม่ใช่ว่าเมื่อก่อนอีวาเกลีนกับองค์กรอื่นเคยเหมือนกับเป็นหนึ่งเดียวกันหรอ?”
“ก็ใช่ แต่ว่ามีบางอย่างที่น่าสนใจได้เกิดขึ้นหลังจากอีวาเกลีน โรสตายไป”
“บางอย่างที่น่าสนใจ?”
“องค์กรทั้งเจ็ดได้จับสมาชิกบางส่วนของพวกเขามาฆ่าทิ้งไป”
มุมปากของคิมฮันนาห์ได้ขยับเป็นรอยยิ้ม
“กับเรื่องนี้มันมีอยู่หลายทฤษฎี แต่ฉันคิดว่าที่เป็นไปได้ที่สุดคืออีวาเกลีน โรสได้แอบฝังสายลับเข้าไปในองค์กรทั้งเจ็ด อย่างพวกสายลับสองหน้า พวกเขาจะแกล้งทำเป็นคนของฝั่งองค์กรทั้งเจ็ด คอยทำให้องค์กรทั้งเจ็ดลดความระวังตัวลงพร้อมทั้งแอบเก็บหลักฐานเพื่อจะจัดการพวกเขาในคราวเดียว”
จากนั้นคิมฮันนาห์ก็ได้เสริมว่า “อย่างที่พวกเราทำ”
“…แล้วเธอรู้เรื่องทั้งหมดนี่ได้ยังไง?”
ซอลจีฮูตกใจมาก
“อย่าดูถูกฉันนะ เครือข่ายข้อมูลของซินยองมันกว้างไกลกว่าที่นายคิด”
คิมฮันนาห์ได้พูดต่อ
“ยังไงก็เถอะจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ เธอได้เข้าร่วมงานจัดเลี้ยง และตายไปในด่านที่ 2 ความตายของเธอได้ส่งผลกระทบให้แผนที่เธอเตรียมการไว้อย่างหนักล้มเหลวลง”
“…”
“ตอนนั้นเองจองซูก็ได้ก้าวขึ้นมาในฐานะตัวแทนหัวหน้า เธอได้กลืนกินเก้าอี้ที่ว่างอยู่ของอีวาเกลีน โรส และกระทั่งชนะใจราชินีได้ หากว่าเธอหยุดอยู่แค่ตรงนี้ ฉันก็คงจะชื่นชมเธอมาก แต่ว่า…”
คิมฮันนาห์ได้ส่ายหัวออกมา
“เธอได้ใช้แผนของอีวาเกลีน โรสเป็นข้อตกลงลับร่วมกันกับองค์กรทั้งหมด เพราะงั้นจริงๆแล้วเธอมันก็แค่นักฉวยโอกาสน่าสมเพชที่ไม่อาจจะรักษาตำแหน่งไว้ได้ด้วยตัวเองจนต้องให้อีกเจ็ดองค์กรเข้าช่วย”
คิมฮันนาห์ได้พูดเหมือนกับมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่นี่เป็นรายละเอียดที่ยิ่งทำให้ความสนใจของซอลจีฮูที่มีต่ออีวาเกลีน โรสเพิ่มมากขึ้น
‘คิมฮันนาห์บอกว่านี่เป็นเพียงแค่ทฤษฎี แต่ว่ามันก็มีโอกาสเป็นความจริงสูงอยู่’
ยังไงแล้วนี่ก็เหมาะสมกับฉายาของอีวาเกลีน โรสที่ว่า ‘ผู้พิทักษ์แห่งอีวา’
แต่ว่าซอลจีฮูไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเธอถึงได้ตัดสินใจเข้าร่วมงานจัดเลี้ยง ทำไมเธอถึงได้ทำอะไรที่เสี่ยงในเมื่อมีโอกาสในการทำให้พันธมิตรอีวาจนมุมจนถูกทำลายได้เลย
เธอมีความต้องการอะไรอยู่กันแน่?
‘นี่มัน… แปลกๆ…’
“ยังไงก็ตาม ฉันมั่นใจว่าเราจะได้ยินเรื่องนี้จากจองซูในอีกไม่ช้า”
คิมฮันนาห์ได้พูดต่อ
“ก่อนที่จะถึงตอนนั้นเรามีสิ่งที่ต้องทำอยู่ อย่างที่นายรู้การลงทะเบียนเป็นองค์กรเหมือนอย่างที่เราได้คุยกันไว้เมื่อวาน พวกเรายังต้องจัดพิธีเปิดตัวอีกด้วย เราจะปล่อยให้มันช้ากว่านี้ไม่ได้”
ซอลจีฮูได้หยุดพยักหน้า และถามออกมา
“พิธีเปิดตัว?”
“ก็ไม่ได้มีอะไรมาก แค่เป็นการประกาศออกไปให้โลกรู้ว่าอีวาเป็นพื้นที่ของเรา และจะได้ไม่มีใครเข้ามายุ่งกับที่นี่โดยไม่ไตร่ตรองก่อน”
“แล้วเรื่องการลงทะเบียนองค์กรจะเป็นไปด้วยดีไหม?”
“นั่นก็แน่นอนอยู่แล้ว”
คิมฮันนาห์ได้ยืดแขนออกมาพร้อมบิดตัว
“เอกสารที่จำเป็นได้ถูกเตรียมเอาไว้หมดแล้ว ซอกกูนีร์ก็ยังบอกว่าเขาจะอนุมัติในทันทีที่เราส่งเอกสารให้เขา แต่ว่าขาดอยู่แค่อย่างเดียว~”
คิมฮันนาห์ได้หัวเราะออกมาเหมือนกับเธอกำลังพูดเรื่องที่เล่นๆ ซอลจีฮูขมวดคิ้วขึ้น
“ขาดอะไรหรอ?”
“ชื่อองค์กรใหม่ไงล่ะ”
คิมฮันนาห์ได้พูดอย่างฉะฉาน
“นายบอกว่านายกำลังคิดชื่อใหม่ ลืมไปแล้วหรอ?”
ซอลจีฮูได้ร้องอ่อออกมา
***
หลังจากทานอาหารเย็นแล้ว สมาชิกทีมคาเพเดี่ยมก็ได้มาร่วมตัวกันเพื่อตัดสินใจชื่อใหม่ขององค์กร
ชื่อขององค์กรควรจะต้องเรียบง่ายและรัดกุมเพื่อให้ผู้คนสามารถเข้าใจความหมายของมันได้ในทันที หากว่ามันฟังดูดีแล้วก็จะยิ่งดีไปใหญ่
การเลือกชื่อยาวและมีความซับซ้อนเพื่อทำเป็นเท่นั้นไม่ควรจะทำเพราะเมื่อลงทะเบียนไปแล้ว ชื่อขององค์กรก็จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีกง่ายๆ
ดังนั้นแล้วนี่ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ทุกๆคนจะต้องมาร่วมกันเสนอความคิด
โชฮงได้เป็นคนแรกที่พูดออกมา
“ผู้แข็งแกร่ง”
เธอได้กอดอกเชิดคางขึ้น มันดูเหมือนเธอจะพอใจกับชื่อนี้มากๆ
“ผู้แข็งแกร่ง ใช้ผู้แข็งแกร่งกันเถอะ มันไม่มีชื่อไหนดีไปกว่านี้อีกแล้ว”
ซอลจีฮูได้ถามออกมาด้วยสีหน้าไม่เต็มใจ
“…ชื่อบ้านั่นมันหมายถึงอะไร”
“ยังไม่ชัดอีกหรอ? มันก็หมายความว่าเราจะยอมรับเฉพาะคนที่แข็งแกร่งเท่านั้นไงล่ะ? ผู้แข็งแกร่งน่ะ”
“หึหึหึ!”
ฟีโซราได้เอียงหัว และระเบิดหัวเราะออกมา
“ผู้แข็งแกร่งไม่ค่อยน่าสนใจนะ”
ฮิวโก้ก็ยังแสดงความเห็นออกมา
“อะไรนะ?”
โชฮงที่กำลังจ้องฟีโซราได้ขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่พอใจ
“ฉันชอบความหมายของมันนะ แต่มันฟังดูไม่ดีเท่านั้น เอาเป็นว่า-“
ฮิวโก้ได้กระแอ่มออกมา
“ผู้ยิ่งใหญ่ มันฟังดูดีกว่าใช่ไหมล่ะ? อ่า เราจะใช้ทรราชก็ได้นะ โอ้ จริงสิ ทรราชฟังดูดีไปเลย!”
“หึหึหึหึ!”
ในจุดๆนี้ฟีโซณาแทบจะกลั้นขำไว้ไม่อยู่ และเธอก็ไม่ใช่แค่คนเดียวเท่านั้น
“กึก!”
แม้กระทั่งจางมัลดงก็ถึงกับต้องก้มหน้าลง
“…”
และซอยูฮุยก็ดูจะตกใจอย่างมากเช่นกัน
“ฮิฮิ- ฮิฮิฮิ!”
แม้กระทั่งลูกเจี๊ยบก็ยังหลุดหัวเราะออกมา มันได้ใช้ปีกกุมท้องกลิ้งไปมาเหมือนกับกำลังจะหัวเราะจนตาย
ฮิวโก้ได้ขมวดคิ้วขึ้น
“แกหัวเราะทำไม!? มันน่าขำตรงไหนกัน?”
เขาไม่ได้โกรธจางมัลดงกับซอยูฮุย และการไปยั่วโมโหฟีโซราก็อาจจะทำให้เขาต้องจบลงด้วยการถูกซ้อม ดังนั้นเขาจึงตะโกนใส่ลูกเจี๊ยบแทน
แต่ว่าราวกับมันไม่ได้สำคัญ…
“แกว๊กกกกกแกว๊กแกว๊กแกว๊ก!”
ลูกเจี๊ยบได้หัวเราะหนักยิ่งกว่าเดิมอีก
ฮิวโก้ได้เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมไป
“ไอ้เจ้านี่!”
เขาได้จับขาของลูกเจี๊ยบขึ้นมา…
“แกว๊ก?”
จากนั้นก็ยกขึ้นเหนือปากที่อ้ากว้าง
“อยากจะให้ฉันกินแกใช่ไหม! ถ้าแกหัวเราะอีกสักครั้ง ฉันจะกินแกไปจริงๆด้วย!”
ลูกเจี๊ยบได้บิดขา และหลบออกมาจากระหว่างนิ้วของฮิวโก้ จากนั้นมันก็กระโดดขึ้นลอดเข้าไปจิกหวางขาของฮิวโก้เหมือนกับสายน้ำ
“อ๊ากกกก!”
ฮิวโก้ได้กุมพื้นที่สำคัญ และลงไปกลิ้งอยู่กับพื้น
ซอลจีฮูได้แต่ส่ายหัวออกมา
ปล่อยทั้งสองคนไว้ก่อน คงไม่มีใครจะมาทำเป็นเล่นกับการตั้งชื่ออันศักดิ์สิทธิ์นี้
“หืมม ชื่อใหม่สินะ”
มาแชล จิโอเนียได้คิดกับตัวเองอย่าวงเคร่งขรึมจนทำให้ซอลจีฮูต้องตาเป็นประหาย
ใช่แล้ว ถ้าเป็นมาแชล จิโอเนีย หากว่าเป็นนักธนูเหล็กกล้าคนนี้…!
“คาเพเดี่ยม 2 เป็นยังไงครับ?”
อาจจะแตกต่าง…
“ผมคิดว่าคาเพเดี่ยมใหม่ก็ดีเหมือนกัน”
“…”
ซอลจีฮูได้หันหน้าหนีไป เขาถึงขนาดไม่อยากจะตอบกลับเลย
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า-!”
ขณะที่เขาหันไปมองฟีโซราที่กำลังหัวเราะทุบพื้นอยู่…
“วัลฮาลา”
ยี่ซังจินได้พูดออกมาอย่างสงบ อย่างน้อยคำแนะนำของเขาก็ปกติสุดแล้ว
“วัลฮาลา?”
“ใช่ครับ มันเป็นชื่อพระราชวังจากตำนานเทพเจ้านอร์ส จะคิดว่ามันเป็นแดนสวรรค์ก็ได้ครับ”
“หืมม- อืมม- เอาล่ะ ฉันเห็นด้วยกับวัลฮาลา”
ฟีโซราได้พูดขึ้นพร้อมเช็ดน้ำตาออกมาดวงตา ซอลจีฮูได้ลูบคางของเขา
“แดนสวรรค์สินะ”
“อ๊า วัลฮาลา?”
ซอลจีฮูที่ก็ชอบชื่อนี้ได้เริ่มคิดอย่างจริงจัง แต่ว่ายี่ซอลอาตอบสนองกลับมาในทางลบ
“ทำไมล่ะ? ดูเหมือนพี่ชายจะชอบมันนะ”
“ชิ ชิ น้องไม่เห็นหรอว่าคุณพี่ยอมรับมันอย่างไม่เต็มใจ?”
ยี่ซอลอาได้เดาะลิ้นออกมาก่อนจะหันไปมองซอลจีฮู
“คุณพี่ ถ้าคุณพี่ไม่ว่าอะไรใช้คำลงท้ายเป็นตัว ‘โฮะ’ (會) ได้ไหม?”
“ก็ได้น ตัว ‘โฮะ’ (會) ที่หมายความว่ากลุ่มหรือชุมชนสินะ?”
“ใช่แล้วค่ะ ชื่อองค์กรจะต้องมีความหมายที่ชัดเจน และมันก็จะต้องเข้ากันกับเป้าหมายขององค์กรได้เป็นอย่างดี”
“ใช่แล้ว ถูกต้อง”
“เพราะงั้นฉันได้ค่อยๆคิดมันออกมา และคิดชื่อดีๆออกมาได้! ฉันมั่นใจว่าคุณพี่ต้องชอบแน่”
“โอเค แล้วอะไรล่ะ? หยุดหลอกล่อได้แล้วน่า”
เมื่อถูกซอลจีฮูเร่ง ยี่ซอลอาก็ได้กระแอ่มออกมา
“สำหรับว่าหนึ่งตามปกติแล้วจะสื่อถึงหมายเลข 1 แต่ว่ามันก็ยังหมายถึงความสามัคคี เป้าหมาย และความปรารถนาได้อีกด้วย”
“โฮ่ แล้ว?”
“งั้นถ้าจะพูดว่า ‘พวกเราเป็นหนึ่งเดียวกัน’ ฮานาโฮะเป็นยังไงล่ะ?”
“อะไรนะ!? อะไรโฮะนะ?”
จางมัลดงได้หันหน้ามาร้องขึ้นทันที ยี่ซอลอาได้ผงะไปอย่างตกใจ
“ซอลอา ไม่ นั่นมันแค่… ไม่”
ซอลจีฮูรู้ถึงอีกความหมายหนึ่งและส่ายหัวออกมา ในอีกด้านหนึ่งฟีโวราก็แทบจะลืมตัวเอาหน้าผากกระแทกพื้นไปแล้ว
“แต่ฉันคิดว่ามันดีแล้วนะ…”
ยี่ซอลอาได้หน้าบึ้งออกมาเมื่อถูกปฏิเสธอย่างหนัก ซอลจีฮูถอนหายใจออกมา
“พวกเรามีคนกันตั้งเยอะ… ทำไมถึงไม่มีชื่อดีๆสักชื่อเลยล่ะ… โอ้ ของซังจินก็ไม่ได้แย่นะ”
“เฮ้ ถ้างั้นทำไมนายไม่คิดมาสักชื่อล่ะ? นายคิดไม่ออกงั้นหรอ?”
โชฮงได้ท้วงออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
ซอลจีฮูได้แต่เม้มปาก เขาอยากจะตัดสินใจชื่อดีๆจากความเห็นของคนอื่น แต่ว่าชื่อส่วนใหญ่ที่เขาได้ยินต่างก็ไร้ประโยชน์
มันดูเหมือนเขาจะต้องสั่งสอนคนพวกนี้ซะแล้ว
“ฟังนะ นี่คือชื่อที่ฉันคิดขึ้นมาเอง
“เอาล่ะ พูดมาสิ”
“เวนิ เวดิ เวซิ เยี่ยมไปเลยใช่ไหม?”
“พรืดดด!”
ซอยูฮุยได้หลุดหัวเราะออกมาก่อนจะรีบปิดปากเอาไว้
“…พี่สาว?”
เมื่อซอลจีฮูหันไปมองเธอ เธอก็รีบโบกมือออกมา
“มะ ไม่ใช่นะจีฮู ฉันไม่ได้ขำ! มันแค่น่ารักเกินไป!”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
ฟีโซราไม่อาจจะกลั้นเอาไว้ได้ต่อ และระเบิดหัวเราะออกมา
“นายจะบอกว่าฉันมา ฉันเห็น ฉันพิชิตสินะ…!”
ที่มันน่าขำก็เพราะว่า…
“ดูสีหน้าจริงจังของเขาสิ! ฮ่าฮ่า! ฉันจะทำยังไงดีเนี้ย!? ฉันกำลังจะหัวเราะจนตายไปแล้ว! อ๊าาาา-!”
เสียงหัวเราะของเธอได้ดังข้ามขั้นไปจนเกือบจะเป็นเสียงร้องแล้ว
ใบหน้าของซอลจีฮูได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เขาได้คิดชื่อนี้อย่างตั้งใจและค่อนข้างที่จะภูมิใจกับมันเลย
“ยิ่งความที่เขาจริงจังมันยิ่งทำให้ตลก-!”
แต่ว่าปฏิกิริยาที่ได้รับกลับไม่ได้ต่างไปจากชื่นอื่นๆเลย นี่มันน่าตกใจเกินไปแล้ว
จางมัลดงได้หลับหน้าหลบออกไปก่อนที่เขาจะรู้ตัวแล้ว เพราะงั้นซอลจีฮูจึงหันไปมองคิมฮันนาห์ราวกับเป็นฟางเส้นสุดท้าย
“มะ มันแปลกหรอ?”
คิมฮันนาห์ยังคงกอดอกและแค่นเสียงออกมาด้วยสีหน้าที่อธิบายไม่ได้ แค่ลำพังสีหน้าของเธอมันก็เหมือนกับว่า ‘เจ้าพวกโง่’
“อ่า นั่นมันชื่อหรอ? ชิ ผู้แข็งแกร่งยังฟังดูดีกว่าชื่อของนายเป็นร้อยเท่าเลย ฉันมา ฉันเห็น ฉันพิชิตที่หน้านายสิ”
มาเรียก็ยังเยาะเย้ยเขาออกมาเช่นเดียวกัน เธอกระทั่งให้คะแนนต่ำกว่าชื่อของโชฮงซะอีก
ในฐานะที่ซอลจีฮูเคยบ่นเรื่องการตั้งชื่อของกู่ลาหลายครั้งแล้ว เขาไม่อาจจะทนฟังอะไรแบบนี้ได้
“ถ้างั้นทำไมคุณไม่เสนอชื่อมาล่ะคุณมาเรีย?”
ซอลจีฮูได้พึมพำด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ฉันหรอ? หืมมม-“
มาเรียได้เอียงหัวครุ่นคิดออกมา หลังจากนั้นสักพักเธอก็พูดขึ้น
“ทองคำ…”
มุมปากของซอลจีฮูได้โค้งออกมาแทบจะทันที แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด
“ฟู่ว”
“ฉันพนันได้เลยว่าคงเป็นทองคำสุดยอดหรืออะไรแบบนั้นแน่ ก็สมกับเป็นมาเรียล่ะนะ”
สมาชิกคนอื่นๆก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาในแง่ดีนัก มันเหมือนกับพวกเขากำลังบอกว่า ‘จะมาหวังอะไรกับมาเรียกันล่ะ?’
หากเป็นแบบนี้เธอก็จะถูกทำเหมือนกับคนโง่คนอื่นๆที่เอาแต่ตั้งชื่อบ้าๆ! โดยเฉพาะซอลจีฮูที่เหมือนจะคอยสรรหาคำมาดูถูกเธอด้วย
‘ฉันไม่ยอม!’
ในเวลาครู่เดียวมาเรียก็ได้เค้นสมองออกมา เธอได้ค้นหาคำภายในหัว และค่อยๆพูดออกมา
“สิงโต… ทองคำ?”
“?”
ซอลจีฮูได้ผงะไป เขาได้ชะงักหลังจากได้ยินคำว่า ‘ทองคำ’ มาเรียไม่ยอมพลาดโอกาสนี้ และพูดต่อไป
“สิงโตคือสัญลักษณ์ของความกล้าหาญ ใช่แล้วล่ะ สิงโตทองคำไง! เป็นยังไงล่ะ?”