The Second Coming of Gluttony - ตอนที่ 265
บทที่ 265 – พิธีเปิดอันงดงาม (2)
“สิงโตทองคำงั้นหรอ?”
หลังจากเงียบอยู่สักพัก คิมฮันนาห์ก็ได้พูดออกมาเป็นครั้งแรก
“เป็นชื่อที่ดีนะ”
“ใช่ไหมล่ะๆ?”
มาเรียได้ดีใจขึ้นเมื่อคิมฮันนาห์ได้เข้าข้างเธอ จากนั้นเธอก็หันไปส่งรอยยิ้มพอใจให้ซอลจีฮู
“ขอถามอีกครั้งให้มั่นใจนะ…”
ตึก ตึก คิมฮันนาห์ได้เดินเข้าไปใกล้มาเรีย และวางมือลงบนหัวของเธอ
“ในตอนที่เธอพูดว่าสิงโตทองคำ เธอหมายถึงสิงโตที่เป็นสัตว์ใช่ไหม?”
“หืม?”
“เธอคงไม่ได้หมายถึงซื้อทองคำสินะ?”
มาเรียได้มองไปที่คิมฮันนาห์ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง มีอยู่เสี้ยววินาทีหนึ่งที่่ม่านตาของเธอสั่นไหว คิมฮันนาห์ก็ไม่ได้พลาดเช่นกัน
“ชิ”
“อ๊าาา!”
คิมฮันนาห์ได้ดันหัวมาเรียออกไปก่อนจะหันไปหาซอลจีฮู
“…แล้วนายคิดว่ายังไงล่ะ? ฉันควรจะบอกให้นายเลือกระหว่างวัลฮาลากับสิงโตทองคำ”
ซอลจีฮูได้ลังเล พูดตามตรงเขาก็ไม่มั่นใจว่าชื่อนี้มันดีไหม แต่ว่าเขาก็สนใจอยู่เช่นกัน
วัลฮาลา พระราชวังในตำนาน และแดนสวรรค์ที่มีแต่นักรบวีรบุรุษผู้ทรงเกียรติเท่านั้นที่จะเข้าไปได้ภายใต้การนำทางของวาลคีเรีย
สิงโตทองคำ ‘ทองคำ’ ก็สื่อได้ถึงบัญญัติทองคำ และ ‘สิงโต’ ก็ยังสื่อถึงความกล้าหาญและเจ้าแห่งสรรพสัตว์
“วัลฮาลาก็เป็นชื่อที่ดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป”
“สิงโตทองคำ ฉันก็ชอบในความเรียบง่ายของมัน สัญลักษณ์ประจำองค์กรก็น่าจะดูดีด้วยเหมือนกัน”
สมาชิกคนอื่นๆต่างก็มีท่าทีตอบรับในแง่บวกเช่นกัน
“อย่างน้อยที่สุดมันก็ดีกว่าผู้แข็งแกร่งหรือทรราช! ยิ่งกับฉันมา ฉันเห็น ฉันพิชิตแล้วล่ะก็…! อุฮุฮุฮุ!”
ซอลจีฮูได้หันไปจ้องฟีโซราที่กำลังหัวเราะ เขาอยากที่จะเลือกชื่อที่เขาชอบ แต่ในฐานะตัวแทนเขาจะต้องมีความยุติธรรม
“ถ้าพวกเราใช้ชื่อที่นายเลือกนะ ฉันก็คงอายจนไม่กล้าบอกว่าฉันมาจากองค์กรไหนเลยล่ะ!”
ฟีโซราคงจะเกลียดชื่อนั้นมา สำหรับคนที่ต้องลำบากอยู่หลายครั้งจากชื่อที่กู่ลาตั้ง เขาจึงไม่อาจจะทำแบบเดียวกันได้
“…โอเค”
ในท้ายที่สุดเขาก็ถอนหายใจ และพยักหน้าออกมา
“ก็ได้ วัลฮาลาหรือสิงโตทองคำดีล่ะ”
คิมฮันนาห์ได้เสนอให้ใส่ทั้งสองชื่อนี้มาทำการโหวตโดยไม่ระบุตัวตน แต่ว่าซอลจีฮูก็แนะนำให้เอาทุกๆชื่อไปใช้โหวตด้วยกัน
ดังนั้นการลงคะแนนลับจึงถูกจัดขึ้น ผลที่ได้คือวัลฮาลาได้รับห้าคะแนน และสิงโตทองคำได้ห้าคะแนน
และเวนิ เวดิ เวซิได้สองคะแนน
“…”
ทุกๆคนได้หันมามองซอลจีฮู
“ว้าว…”
ฟีโซราอดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้มตกตะลึงออกมา เมื่อซอลจีฮูแอบหลบตามองไปด้านข้าง คิมฮันนาห์ก็ถอนหายใจออกมา
“ฉันรู้นะว่าหนึ่งคะแนนมาจากใคร แต่อีกคะแนนหนึ่งล่ะ?”
เมื่อได้ยินแบบนี้ซอยูฮุยก็ค่อยๆยกมือขึ้นมา
“ฉะ ฉันเอง”
“คุณเป็นตัวปัญหานี่เองพี่สาว!”
ฟีโซราได้ชี้มาที่ซอยูฮุย
“คุณเข้าข้างเขามากไปแล้ว! อย่างน้อยก็ช่วยเลือกชื่อให้มันถูกสามัญสำนักหน่อยสิ! ไม่สิ นี่มันเป็นเรื่องของมโนธรรม!”
‘สามัญสำนึก? มโนธรรม?’
“ที่เขาเป็นแบบนี้เพราะคุณทำกับเขาเป็นเหมือนเด็กอยู่ทุกวัน!”
ฟีโซราได้บ่นออกมาไม่หยุด
“ไม่นะ… ฉันก็แค่…”
ซอยูฮุยได้ก้มหัวพึมพำออกมา ซอลจีฮูได้ตัดสินใจจดชื่อของฟีโซราเอาไว้ทันที
“เอาล่ะ ถ้างั้นก็ห้าต่อห้าคะแนน…”
คิมฮันนาห์ได้ส่ายหัวออกมา
“จีฮู นายใส่ชื่อทั้งหมดเข้ามาเพื่อให้นายได้โหวตชื่อที่นายชอบใช่ไหม?”
“…”
“เลือกใหม่ คุณซอยูฮุยก็ด้วย”
“ทำไมล่ะ?”
ซอลจีฮูได้บ่นออกมา
“ฉันโหวตไปแล้วนี่ ทำไมล่ะ ฉันโหวตชื่อที่ฉันชอบไม่ได้หรอ?”
เขาไม่ได้พูดผิด เพราะงั้นคิมฮันนาห์ก็ไม่อาจจะพูดอะไรได้ จากนั้นเอง
“แกว๊ก!”
เสียงร้องอันคุ้นเคยได้ดังออกมาทำให้ทุกๆคนหันไปมองลูกเจี๊ยบ คิมฮันนาห์ได้พึมพำออกมา
“อ่า นายก็อยู่ด้วยนี่นา”
“แกว๊ก!”
ลูกเจี๊ยบได้ออกวิ่งไปหยุดอยู่ตรงหน้ายี่ซังจิน เมื่อมันได้ใช้จงอยปากจิกสีข้างของยี่ซังจิน ยี่ซังจินก็บิดตัวร้องออกมา
คิมฮันนาห์ได้ถามขึ้นทันที
“ลูกเจี๊ยบ- ไม่สิ อาคัส นายชอบวัลฮาลางั้นหรอ?”
“แกว๊ก แกว๊ก!”
ลูกเจี๊ยบได้ตีปีก และพยักหน้าอย่างรุนแรง
“เขาบอกว่าเขาชอบชื่อวัลฮาลามากกว่า สิงโตทองคำก็ไม่ได้แย่ แต่มันให้ความรู้สึกที่ไม่ดี”
“ความรู้สึกที่ไม่ดี?”
“ใช่แล้ว เขาบอกว่าชื่อนี้ เป็นชื่อของกลุ่มที่อยู่ในจุดสูงสุด แต่ตกลงไปในนรกหลังจากที่เลือกพลาดเพียงครั้งเดียว….”
ยี่ซอลอาได้แปลคำพูดของลูกเจี๊ยบให้คนในทีมฟัง คิมฮันนาห์ไม่เข้าใจเลยว่านั่นมันหมายความว่าอะไร แต่เธอก็พอใจกับคะแนนโหวตพิเศษนี้
“ยอดเยี่ยม งั้นวัลฮาลาก็ชนะไปด้วยหกคะแนน คงไม่มีใครบ่นอะไรใช่ไหม?”
ซอลจีฮูได้บ่นพึมพำกับตัวเอง แต่ว่าก็ไม่ได้คัดค้านอะไรออกมา ดังนั้นชื่อองค์กรใหม่ก็คือวัลฮาลา
มาเรียได้บ่นกับตัวเองอย่างเสียใจ “ฉันอุส่าห์คิดว่าจะได้ขอค่าธรรมเนียมการตั้งชื่อ-“
นี่ยังเป็นอีกเหตุผลที่ไม่ควรเลือกสิงโตทองคำสินะ
คิมฮันนาห์ได้เขียนชื่อวัลฮาลาด้วยลายมืออย่างงดงาม จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน
“ถ้างั้นฉันจะไปที่วังนะ คงไม่น่าจะนานหรอก”
จากนั้นธอก็กลับมาในเวลาแค่สองชั่วโมงเท่านั้นเอง ซอกกูนีร์ได้อนุมัติการลงทะเบียนอย่างรวดเร็วเหมือนกับที่สัญญาไว้
“นี่”
คิมฮันนาห์ได้ยื่นกระดาษที่ถูกประทับตราประจำราชวงศ์ออกมา
นี่คือเอกสารรับรองการลงทะเบียนองค์กร
ซอลจีฮูได้มองดูเอกสารรับรองอย่างมึนงง จากนั้นก็เช็คหน้าต่างสถานะของตัวเอง สังกัด…
[หน้าต่างสถานะของคุณ]
[1.ข้อมูลทั่วไป]
สังกัด: วัลฮาลา
…มันถูกเปลี่ยนไปก่อนเขาจะทันรู้ตัวซะอีก
“ยินดีด้วย!”
คิมฮันนาห์ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ตอนนี้นายกลายเป็นตัวแทนขององค์กรแล้วจริงๆ ตัวแทนของวัลฮาลา”
คำพูดที่ว่าตัวแทนของวัลฮาลามันฟังดูแปลกๆ แต่เขาก็ได้สะบัดหัวสลัดความอึดอัดออกไป ในตอนนี้มันถึงเวลาละทิ้งฉายาหัวหน้าคาเพเดี่ยมทิ้งไปแล้ว
ซอลจีฮูได้กำหมัดแน่น
ในที่สุด ในที่สุดเขาก็ก่อตั้งองค์กรขึ้นมาแล้ว
และดังนี้…
“…ใช่แล้ว”
วันนี้…
“ขอบคุณนะ”
พาราไดซ์ได้มีองค์กรที่ 83 ปรากฏขึ้นอย่างเป้นทางการ
***
ชาล็อต อาเรีย เธอเป็นราชินีของอีวา และเป็นราชวงศ์ของชาวพาราไดซ์ที่ใช้ชีวิตอยู่ในที่หลบภัย
แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าราชินี และเมื่อคำนึงถึงสถานการณ์ของพาราไดซ์ การจะบอกว่าเธออยู่ในที่หลบภัยมันก็แปลกอยู่หน่อยๆเช่นกัน
นับตั้งแต่ที่สงครามปะทุขึ้นก็ผ่านมานับสิบปีแล้ว สภาพแวดล้อมของพาราไดซ์มันไม่มีที่ไหนจะเรียกได้ว่า ‘ที่หลบภัย’ แต่ก็มีเหตุผลที่ราชินีของอีวาถูกเรียกว่า ‘หลบภัย’ อยู่เช่นกัน
พูดให้ชัดก็คือในพาราไดซ์ หน้าที่ของหญิงสาวชนชั้นสูงเดิมทีแล้วคือการส่งต่อสายเลือดของเธอ ดังนั้นจึงมีการแต่งงานทางการเมืองเกิดขึ้นอยู่ในหลายครั้งในหมู่ขุนนางหญิง
นั่นมันหมายความว่าชาล็อต อาเรียไม่ใช่คนที่ควรจะกลายมาเป็นเจ้าเมืองเลย ในราชวงศ์เธอก็ยังีผู้ชายอยู่ด้วยเช่นกัน
ราชาองค์ก่อนมีลูกชายอยู่สองคน และลูกสาวอีกหนึ่งคน ลูกชายคนโตจะต้องเป็นคนสืบทอดราชบัลลังก์ทำให้ได้รับการศึกษาเพื่อเป็นราชาในอนาคต และลูกชายคนที่สองก็มีชีวิตอยู่ปกติดี
นี่มันเป็นเรื่องในอดีต และเป็นการใช้ชีวิตในวัยเด็กของเธอ
จนกระทั่งสงครามได้ปะทุขึ้นมา
ระหว่างที่เธอถูกเลี้ยงดูด้วยการตามใจจากพ่อแม่ และพี่ชายทั้งสองคน จู่ๆก็มีเผ่าพันธุ์ต่างดาวบุกรุกเข้ามาในพาราไดซ์ ราชา ราชินี และองค์ชายสืบราชบัลลังก์ได้ตายไปจากสงครามความวุ่นวายครั้งนี้ และเผ่าพันธุ์ต่างดาวก็ทรงพลังมากจนทำให้ชาล็อต อาเรียต้องทิ้งเมืองหลวงหลบหนีไปที่แนวป้องกันสุดท้ายของมนุษยชาติ
แม้กระทั่งจักรวรรดิที่เต็มไปด้วยวีรบุรุษจำนวนนับไม่ถ้วนก็ยังต้องพ่ายแพ้เผ่าพันธุ์ต่างดาวในเวลาไม่ถึง 4 ปี เพราะงั้นสำหรับเด็กสาวที่ไม่ได้รู้เรื่องทางการทหารอะไรแล้วก็ได้แต่หลบอยู่ภายในวังด้วยความหวาดกลัวเท่านั้น
โชคดีที่ลูกคนรอง แคมเบล อาเรียรอดชีวิตมาได้ และดูแลน้องสาวของเขาอย่างสุดกำลัง ยังไงก็ตามระหว่างสงครามกับสหพันธรัฐเขาก็ได้ถูกฆ่าไป
เมื่อสมาชิกครอบครัวคนสุดท้ายจากไปชาล็อต อาเรียก็ได้ตกสู่ภาวะซึมเศร้า และเมื่อเธอถูกบังคับให้ขึ้นรับบัลลังก์โดยไร้ซึ่งการเตรียมการก็อย่าได้หวังเลยที่เธอจะจัดการดูแลงานราชการได้อย่างถูกต้อง
ข้ารับใช้ของราชวงศ์ส่วนใหญ่ก็ตายไป และต่อให้จะยังมีบางคนที่รอดชีวิตมาได้ก็เหนื่อยหน่ายกับสงครามอันยาวนานจนต้องหายออกไปเลี้ยงชีพด้วยตัวเองทีละคน
จริงๆแล้วอีวาได้สูญสิ้นความหวังไปนับตั้งแต่ที่แคมเบลตาไปแล้ว หากว่าไม่ได้มีความทุ่มเทพยายามของซอกกูนีร์ อีวาก็คงล่มสลายไปแล้วแน่
น่าเสียดายที่ความสัมพันธ์ระหว่างอาเรีย กับซอกกูนีร์ได้ค่อยๆแย่ลงไปในระหว่างเรื่องราวอันยาวนานนี้
ซอกกูนีร์เป็นข้ารับใช้ของราชวงศ์ก่อนที่ชาล็อต อาเรียจะได้เกิดซะอีก และเขาก็ต้องลากสังขารออกมาช่วยราชวงศ์หลังจากที่สงครามปะทุขึ้น
นอกไปจากนี้เขาเป็นข้ารับใช้ของราชวงศ์เพียงคนเดียวที่อยู่กับราชวงศ์มาตลอดจนถึงบัดนี้
ชาล็อต อาเรียก็รู้เรื่องนี้ดี
แต่ว่าเธอได้ถูกให้รับตำแหน่งราชินีอย่างไม่เต็ม สงครามได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ที่เธอมีอายุเพียงแค่สี่ขวบเท่านั้น และเธอก็ได้ละทิ้งเมืองหลวงหนีเอาตัวรอดไปในตอนอายุแค่สิบขวบ นับตั้งแต่นั้นมาเธอก็ได้ใช้ชีวิตภายใต้การคุ้มครองจากแคมเบล อาเรียมาตลอด
เด็กสาวที่ถูกบังคับให้ต้องเผชิญหน้ากับความจริงอันโหดร้ายจะทำยังไงได้ล่ะ?
เธอต้องทุกข์ทรมานจากอาการซึมเศร้าที่ต้องเสียครอบครัวไปอยู่แล้ว ทุกๆครั้งที่ซอกกูนีร์บอกให้เธอคิดถึงตำแหน่งในฐานะราชินีหรือลองทำอะไรอย่างที่ราชาองค์ก่อน และองค์ชายคนรองทำ ความโศกเศร้าที่ไม่อาจจะอธิบายเป็นคำพูดก็จะพวยพุ่งขึ้นมา
เธอรู้ว่าข้ารับใช้ชราคนนี้ที่ขาดความยืดหยุ่นนั้นหวังดี และเธอก็รู้ว่าเขากำลังให้คำแนะนำที่มีค่ากับเธอ แต่ถึงแบบนั้นมันก็ซับซ้อนมากเกินไปและเป็นภาระกับเด็กสาวที่มีแต่คนตามใจมาทั้งชีวิตไม่อาจยอมรับได้
มีอยู่หลายต่อหลายครั้งที่เธออยากจะละทิ้งทุกๆอย่างและหนีออกไปให้ใกล้
และคนที่เข้ามาช่วยเธอเอาไว้ก็คือชาวโลก อีวาเกลีน โรส
ล็อตเต้ อาเรียเป็นคนแรกๆที่ไม่ไว้วางใจชาวโลก แต่ว่าเธอก็ค่อยๆเริ่มเปิดใจหลังจากได้เจอกับอีวาเกลีน โรส
แม้ว่าเธอจะไม่ใช่ชาวพาราไดซ์ แต่อีวาเกลีน โรสก็พยายามเต็มกำลังเพื่อทำประโยชน์ให้กับพาราไดซ์ และป้องป้องชาล็อต อาเรียจากอันตรายรอบตัว
ชาล็อต อาเรียได้คอยติดตามอีวาเกลีน โรสเหมือนกับเป็นน้องสาว มันถึงขนาดที่ทำให้เธอหลงลืมตำแหน่งราชินีไปบ่อยครั้ง และเมื่อเธอได้ยินข่าวการตายของอีวาเกลีน โรส เธอก็ยิ่งซึมเศร้าหนักกว่าเดิม
เธอไม่ยอมกินอาหารอยู่หลายวัน และเอาแต่ร้องไห้เหมือนตอนที่แคมเบล อาเรียได้จากไป
และจองซูก็เป็นคนต่อมาที่ปรากฏตัวขึ้น
ในระหว่างที่ติดตามอีวาเกลีน โรส เธอเคยเห็นชาล็อต อาเรียแค่ไม่กี่ครั้ง แต่ว่าทั้งคู่ก็ได้สนิทกันอย่างรวดเร็วด้วยการที่แต่ละคนต่างก็มีความเจ็บปวดของการสูญเสียคล้ายๆกัน
จองซูได้ให้การช่วยเหลือชาล็อต อาเรียอย่างเต็มกำลัง และชาล็อต อาเรียก็ไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีนี้เช่นกัน จริงๆแล้วเธอได้ยอมรับจองซูเข้ามาในชีวิตของเธอ
ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการเติมเต็มช่องว่างที่ว่างเปล่าและการสูญเสียที่เกิดจากการตายของอีวาเกลีน โรสแล้ว
เพราะแบบนี้จองซูก็ได้ทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ของเธอเหมือนอย่างที่พ่อ แม่ พี่ชายคนรอง และอีวาเกลีนเคยทำ
แต่ว่าในตอนนี้…
“ฉันต้องขออภัยด้วยองค์ราชินี”
แม้กระทั่งจองซูก็กำลังจากไป
“ดูเหมือนว่าฉันจะต้องจากไปแล้ว”
จองซูได้บอกกับราชินีหลังจากที่จัดการประชุมส่วนตัวขึ้น ชาล็อต อาเรียได้ค่อยๆหลับตาลง
“คุณพูดแบบนี้อีกแล้ว”
“ไม่ เรื่องคราวนี้มันจะไม่จบเว้นแต่ฉันจะจากไป”
“คุณบอกว่าคุณไม่ได้ทำ นั่นมันหมายความว่าคุณถูกใส่ความ”
“แต่ว่ามีเพียงท่านคนเดียวที่เชื่อในตัวฉัน ทุกๆคนต่างก็บอกว่าฉัน…”
จองซูได้ชะงักไป เธอได้เริ่มสะอื้นออกมา
“ฉันเหนื่อยแล้ว ฉันเหนื่อยกับทุกๆอย่าง”
“…”
“ฉันขอโทษองค์ราชินี ฉันอยากจะรับใช้ท่านจนถึงที่สุด แต่ว่า…”
จองซูได้พูดออกมาอย่างยากลำบาก
“ดูเหมือนว่าฉันจะกลายเป็นพี่สาวอีวาเกลีน โรสไม่ได้ ฉันรู้ตัวสายเกินไป”
จากนั้นเธอก็ยิ้มอย่างโศกเศร้า
“นี่มันน่าสนใจมาก”
น้ำเสียงเล็กๆได้ดังออกมาจากราชินี
“คุณพูดถูก คุณไม่ใช่อีวาเกลีน โรส”
จากนั้นเธอก็พูดด้วยรอยยิ้มคลุมเครือ
“เธอเป็น… เหมือนกับพี่สาวของฉัน นิสัยอันดีงาม และความจริงจังและนิ่งสงบเสมอ… สิ่งเหล่านี้ได้ทำให้ฉันนึกถึงพี่ชายคนโตของฉัน เธอเป็นคนที่ฉันเคารพจากก้นบึ้งของจิตใจ”
ดวงตาของราชินีได้หรี่ลงเมื่อเธอคิดถึงเรื่องในอดีต
“คุณก็เหมือนกัน”
“ฉัน?”
“ซู คุณกับฉันต่างก็เจ็บปวดคล้ายๆกัน”
ชาล็อต อาเรียได้ยิ้มอย่างไร้เดียงสา
“ฉันสูญเสียครอบครัวไปจากสงคราม คุณบอกว่าคุณก็สูญเสียครอบครัวไปตั้งแต่ยังเด็กใช่ไหมล่ะ?”
“…ค่ะ”
“เมื่อไหร่ที่ฉันได้ยินเรื่องของคุณ มันก็จะทำให้ฉันนึกถึงตอนฉันยังเด็ก”
“มะ ไม่ คนอย่างฉันไม่อาจจะเทียบกับสิ่งที่ท่านต้องเจอได้….”
จองซูได้ก้มหัวเราะอย่างทำอะไรไม่ถูกเหมือนเธอจะเสียใจอย่างมาก
รอยยิ้มบางๆได้ปรากฏอยู่บนใบหน้าของชาล็อต อาเรีย
“ก็จริงว่าสถานการณ์ของเรามันไม่ได้เหมือนกับเป๊ะๆ แต่ว่าฉันก็ไม่ได้อยากจะพูดว่าใครลำบากกว่ากันอยู่แล้ว สิ่งสำคัญคือไม่มีใครเข้าใจฉันแบบที่คุณเข้าใจ”