The Second Coming of Gluttony - ตอนที่ 271
บทที่ 271 – แจ็คพ็อต (2)
เธอจะออกจากวังทั้งแบบนี้ไม่ได้ เมื่อเธอได้เปลี่ยนไปใส่ชุดของคนใช้ สวมฮูดคลุมหัว และทำให้ชุดตัวเองสกปรกสักหน่อยแล้ว ระหว่างแอบออกจากวังทางประตูหลัง หัวใจของเธอก็ได้เต้นแรงด้วยความตื่นเต้น
แต่ว่าในทันทีที่เธอเดินผ่านถนนหลัก และเข้ามาในตรอกที่ไม่คุ้น อารมณ์ของเธอก็ได้ดิ่งลงก้นโลกอย่างรวดเร็ว
หลังจากการตายของแคมเบล อาเรีย ชาล็อต อาเรียก็แทบไม่เคยออกมาจากวังอีกเลย
แม้ว่าเธอจะไม่ได้อยู่ในวังตลอดทั้งปี แต่ว่าเธอก็แค่ไปดูรอบๆวัง หรือไม่ก็เดินไปหาจองซูที่สำนักงานของอีวาเกลีนผ่านทางถนนหลักเท่านั้น
จองซูบอกว่าทุกๆอย่างปกติดี มันไม่มีอะไรที่แย่
ถึงแม้ว่าผู้คนจะยากจนจากสงคราม จองซูก็บอกว่าสถานการณ์ของอีวาดีกว่าเมืองอื่นๆ นี่คือสิ่งที่เธอถูกบอกมา
ดังนั้นเมื่อเธอได้เผชิญหน้ากับความจริงของอีวา ชาล็อต อาเรียก็กลายเป็นหมดคำพูดไป เธอตกตะลึง และไม่กล้าจะมองจนลืมหายใจไปเลย
ถนนทั้งสกปรก และมีกลิ่นเหม็นเน่า มีชาวบ้านนั่งนิ่งๆอยู่ตามมุมต่างๆ มีเด็กผอมเหลือแต่กระดูกกำลังรื้อถังขยะ และมีซากศพที่ถูกทับถมด้วยสิ่งสกปรกอยู่ในซอยหนึ่ง
เมื่อเห็นถึงภาพนี้ด้วยตาตัวเอง ม่านตาของชาล็อต อาเรียได้สั่นไหวอย่างรุนแรง
แม้กระทั่งกษัตริย์ก็ไม่อาจจะดูแลคนจนทั้งหมดได้ วัลลาฮาได้ทุ่มเงินจำนวนมหาศาลทุกๆวันเพื่อสนับสนุนมวลชน แต่ว่ามันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะช่วยทั้งอีวา
นี่เป็นภาพที่เกิดขึ้นหลังจากการหายไปของพันธมิตรอีวา และถนนก็ได้ดีขึ้นหน่อยจากการช่วยเหลือของวัลฮาลาแล้วด้วย
“อึก!”
ชาล็อต อาเรียรู้สึกคลื่นไส้ออกมาโดยไม่รู้ตัว หากว่าเธอได้เห็นภาพยามค่ำคืนเดียวกันกับที่ซอลจีฮูได้เห็นในคืนแรกที่มาอีกวา เธอก็อาจจะเป็นลมไปแล้วด้วยซ้ำไป
ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่ากำลังถูกหลายสายตาจ้องมองจากทุกๆทาง
“!”
ชาล็อต อาเรียที่ฝืนเงยหน้าขึ้นมาได้ผงะไป มีสายตาแปลกๆกำลังมองมาทางเธอ
ดวงตาที่หมดความหวังที่จะมีชีวิต ชาล็อต อาเรียที่รู้สึกได้ถึงความแค้นของพวกเขาได้รีบส่ายหัวออกมา
‘ไม่’
ที่นี่ไม่ใช่อีวา มันไม่ใช่เมืองที่ชาล็อต อาเรียรู้จัก ไม่สิ มันไม่ใช่เมืองที่เธอเคยได้ยินมา
ความตื่นเต้นในใจของเธอได้หายไปราวกับไม่เคยมีอยู่มาก่อน และถูกแทนที่ด้วยความหวาดหวั่นแทน ชาล็อต อาเรียได้รีบหันหน้าไปตามสัญชาตญาณของเธอ
‘ไม่!’
เธอได้ออกวิ่งไปตามถนนอย่างไร้จุดหมาย เธอรู้สึกเหมือนกับว่าหากเธอยังยืนอยู่ที่นี่ต่อ เธอก็คงจะได้เป็นลมไปแน่
และเพราะงั้นเธอต้องวิ่งหนีไป
แต่ว่าก่อนที่เธอจะได้หนีไปไกล ลมหายใจที่ขาดห้วงก็ได้หยุดเอาไว้ก่อน เมื่อเธอเห็นถนนสายหลักอีกครั้ง ขาของเธอก็หยุดลงเองโดยอัตโนมัติ
เธอที่ยืนพิงกำลังเพื่อพักหายไปได้ยินเสียงพึมพำดังออกมาจากไกลๆ เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น เธอก็ต้องเบิกตากว้าง
ตรงหน้าอาคารหรูหราได้มีผู้คนนับร้อยรวมตัวกันอยู่เหมือนฝูงมด ถนนได้เต็มไปด้วยชีวิตชีวาพร้อมเสียงดัง
ทุกๆคนต่างก็ยืนเรียงแถวกันเป็นระเบียน และเดินออกมาพร้อมกับกล่องในมือด้วยรอยยิ้มสดใส ดวงตาของพวกเขาไม่ได้ไร้ชีวิตเหมือนปลาตาย หากแต่เป็นพลังในการเดินหน้าต่อไป
การที่มันต่างกันถึงขนาดนี้
ภาพที่เธอเห็นก่อนหน้านี้กับภาพนี้มันต่างกันเกินไป จริงๆแล้วมันแทบจะทำให้เธอรู้สึกเหมือนอยู่กันคนละโลกเลยด้วยซ้ำ
ชาล็อค อาเรียได้มองดูภาพตรงหน้าด้วยความสับสน
“แบบนี้เราก็จะอยู่ไปได้อีกสัปดาห์หนึ่ง”
“หากว่ากินประหยัดหน่อยนายก็อยู่ได้ถึงสิบวัน”
ในตอนนั้นเองชายหนุ่มกับหญิงสาวที่ดูเหมือนชาวบ้านก็เดินมาทางชาล็อต อาเรีย
ชาล็อต อาเรียได้รีบก้มหน้าลง
“แต่ว่าการที่ของยังชีพถูกส่งมาจากราชินีนี่มัน ฉันไม่รู้สิ”
“ฉันก็ตกใจเหมือนกัน”
ชาล็อต อาเรียก็ยังตกตะลึงเหมือนกัน
“ฉันคิดว่าราชินีไม่ได้สนใจเราแล้วซะอีก มันดูเหมือนว่าท่านจะยังไม่ได้ลืมเรานะ”
“ฉันคิดว่ามันไม่ใช่แบบนั้นหรอก”
“นายหมายความว่ายังไง?”
“ฟังฉันนะ ในตอนที่อีวาเกลีนกับพันธมิตรอีวาปกครองอยู่ ราชินีไม่อาจจะทำอะไรได้ แต่ในตอนนี้วัลฮาลาอยู่ที่นี่แล้ว เธอจึงเริ่มกลับมาทำงานได้อีกครั้ง”
“งั้นนายจะบอกว่าไม่ใช่ว่าเธอลืม แต่เธอทำอะไรไม่ได้งั้นหรอ?”
“ใช่แล้ว อีวาเกลีนกับพันธมิตรอีวาคงจะกดดันให้ท่านอยู่เฉยๆ แต่ว่าในตอนนี้เรามีวัลฮาลาอยู่แล้ว”
ชาล็อต อาเรียได้ขมวดคิ้วขึ้นเมื่อเธอแอบฟังบทสนทนานี้ มันฟังดูเหมือนกับว่าวัลฮาลากำลังใส่ร้ายจองซู บางทีมันอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาแจกจ่างของยังชีพก็ได้
“ถูกแล้ว ยัยจองซูนั่นเอาแต่ปิดตาราชินีอยู่ตลอด”
“ชู่ววว ระวังคำพูดนายไว้ด้วย”
แต่ว่าเมื่อเธอได้ยินถึงคำต่อมา เธอก็ต้องสงสัยในสิ่งที่ได้ยิน
อยู่ตลอด? วัลฮาลาไม่ได้กระจายข่าวลือนี้ แต่ว่าพวกเขารู้เรื่องนี้มาตลอด?
“ทำไมล่ะ? มันก็เป็นความลับที่รู้กันดีอยุ่แล้วนี่”
“แต่ก็นะ…”
“ยังไงฉันก็มีสิทธิ์พูดนะ ฉันคิดว่าฉันไม่ควรจะว่าร้ายราชินีได้มากนักในเมื่อเธอไม่ได้รับรู้ถึงสถานการณ์”
“จองซูคนนี้ชั่วร้ายมาก เธอคิดว่าเราจะไม่รู้งั้นหรอหากว่าเธอใช้ราชินีเป็นแพะรับบาปน่ะ? ฉันสงสัยจริงๆว่าการได้ทำงานเบื้องหลังราชินีมันทำให้เธอร่ำรวยแค่ไหน?”
“เฮ้อ ฉันรู้สึกแย่แทนราชินีจริงๆเลย”
“ใช่ไหมล่ะ? โชคดีนะที่ในตอนนี้เรามีวัลฮาลาแล้ว…”
เสียงได้ค่อยๆเบาลงเมื่อทั้งคู่ได้เดินไปไกล
ชาล็อต อาเรียยังคงไม่อาจจะเงยหน้าขึ้นมาไม่ได้ ไม่สิ แค่คิดเธอยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ
เธอคิดว่าผู้ดูแลราชวงศ์ได้แต่งเรื่องขึ้น แต่นี่กระทั่วชาวบ้านธรรมดาของอีวาก็ยังพูดสิ่งเดียวกัน
ชาล็อต อาเรียไม่รู้เลย
‘จองซูบอกว่า…’
เมื่อสีหน้าของชาล็อต อาเรียได้กลายเป็นซับซ้อน
“พูดตามตลกแล้วองค์กรวัลฮาลานี่ก็น่าตลกเหมือนกันนะ”
น้ำเสียงจิกกัดได้ดังเข้าหูของเธอ คนทั้งสองคนกำลังสวมใส่ชุดคลุมนักบวชสีขาวอยู่ ตัดสินจากเครื่องแบบแล้ว พวกเขาดูเหมือนจะเป็นนักบวชที่มาจากวิหารลูซูเรียเพื่อเป็นอาสาสมัคร
“ตั้งแต่ที่พวกเขาทำแบบนี้มันก็หลายสัปดาห์แล้วนะ พวกเขามีเงินมากขนาดไหนกัน?”
“เอาเถอะ พวกเขาบอกว่ามันใกล้จะจบแล้วล่ะ มันชัดเจนมากว่าพวกเขาไม่เหลือเงินแล้ว”
“ฉันคิดว่าพวกเขากำลังพยายามเอาชนะใจสาธารณะชนนะ แต่พวกเขากลับโกหก และบอกว่าเป็นของยังชีพจากราชินี ฉันล่ะอยากรู้เหตุผลจริงๆ?”
“อ่า ฉันก็ได้ยินมาเหมือนกัน”
‘โกหก?’
พอมาคิดดูแล้ว ชาล็อต อาเรียก็ไม่เคยจำได้เลยว่ามีคำสั่งเรื่องการแจกจ่ายของยังชีพออกไป แม้ว่าซอกกูนีร์จะเคยขอร้องเข้ามาอยู่หลายครั้ง แต่ว่าจองซูก็จะปฏิเสธเนื่องจากปัญหาด้านงบประมาณ
ชาล็อต อาเรียได้สงสัยในสิ่งที่ได้ยินพร้อมทั้งแอบหันไปมอง นักบวชทั้งคู่ที่กำลังคุยกันอยู่ไม่ได้สนใจเธอเลยสักนิด
“ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมพวกเขาถึงได้ใช้เงินของตัวเองเพื่อราชินีกัน?”
“ไม่ใช่แค่นั้นนะ การพยายามกำจัดพันธมิตรอีวาออกไปมันได้อะไรกัน? มีใครรับรู้ถึงผลงานที่พวกเขาทำบ้างไหมล่ะ?”
“แน่สิ หากว่าราชินีฉลาดนะ เธอก็ควรที่จะเรียกตัวแทนวัลฮาลาไปชื่นชม แต่นี่เธอกลับแกล้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น!”
“ฉันไม่เข้าใจตั้งแต่แรกแล้วว่าพวกเขาจะมาที่อีวาทำไม ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนพวกเขาก็จะถูกดูแลเหมือนกับเป็นแขกคนพิเศษ ถ้างั้นแล้วทำไมต้องเป็นที่อีวา?”
ก่อนที่ความตกตะลึงเก่าจะได้หายไป ก็มีความตกตะลึงในเรื่องใหม่เข้ามาอีก เธอคิดว่าเทเรซ่าพูดเกินจริงไป แต่ชาวโลกพวกนี้ก็ยังพูดคำพูดในทำนองเดียวกันด้วย
“จองซูนี่ดีจังเลยนะที่ดึงตัวราชินีแบบนั้นมาเป็นพวกได้เร็ว ฉันล่ะอิจฉาจริง~”
“ใช่ ฉันก็อิจฉาเหมือนกัน~”
ยิ่งนักบวชทั้งสองคุยกันไปเท่าไหร่ สีหน้าของชาล็อต อาเรียก็ยิ่งมืดมนลงไป
***
การแจกจ่ายของยังชีพในวันนี้ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว ผู้คนทั้งหมดที่มารับของยังชีพได้จากไปหมดแล้ว และนักบวชที่มาเป็นอาสาสมัครก็ได้เริ่มกลับไปทีละคน ในตอนนี้บนถนนที่สะอาดเหลือคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นเอง
“ฮึมฮืมมม~ ฮึมฮึมมม~”
คิมฮันนาห์ได้ฮัมเพลงอย่างมีความสุขพร้อมกับทำความสะอาดพื้นที่ แน่นอนว่าเธอก็ไม่รีบแอบจับตามองที่ตรอกหนึ่งเป็นระยะ
หลังจากเดินเข้าไปใกล้ เมื่อเธอกำลังจะหันหลังกลับเธอก็ยืดหลังตรง เบิกตากว้างขึ้นราวกับมันเป็นเรื่องบังเอิญ
ดวงตาของทั้งคู่ได้สบกัน ชาล็อต อาเรียได้ผงะไปเหมือนกับถูกจับตัวได้
คิมฮันนาห์ได้มองเธออยู่สักพัก ไม่นานนักเธอก็ยิ้มหวานออกมาจากภายนอก
“หนูน้อย!”
ชาล็อต อาเรียได้ขมวดคิ้วขึ้น
‘หนูน้อย?’
เธอกำลังจะโมโห แต่แล้วเธอก็ต้องห้ามตัวเองเอาไว้หลังจากที่นึกขึ้นได้ถึงตำแหน่งในปัจจุบันของเธอ ชาล็อต อาเรียที่อยู่ตรงนี้ไม่ใช่ราชินี เธอกำลังปลอมตัวเป็นชาวบ้านธรรมดาอยู่
“ทำไมถึงมายืนตรงนี้ล่ะ? มานี่สิ!”
คิมฮันนาห์ได้ทำท่าทางให้เธอเดินมาข้างหน้า ชาล็อต อาเรียที่ไม่คิดว่าจะถูกพูดด้วยได้ทำอะไรไม่ถูกขึ้นมา เธอพยายามจะหนีไป แต่ว่าคิมฮันนาห์ก็ไม่ปล่อยให้เธอได้ทำแบบนั้นง่ายๆ เธอได้จับแขนชาล็อต อาเรียเอาไว้ และดึงเธอเข้ามาหา
“มานี่สิ ทำไมต้องหนีด้วยล่ะ?”
“ปล่อยนะ”
“ไม่เป็นไรๆ เธอมาเอาของยังชีพใช่ไหมล่ะ?”
“ไม่นะ ไม่ใช่!”
ชาล็อต อาเรียได้บิดแขนพยายามหลบหนี แต่ว่ามันก็เปล่าประโยชน์ คิมฮันนาห์ได้ตะโกนขึ้นด้วยรอยยิ้มสดใส
“หัวหน้า! เรามีของยังชีพเหลืออยู่ไหม?”
“ของยังชีพงั้รหรอ? รอเดี๋ยวนะ!”
ซอลจีฮูที่กำลังพับกล่องได้ขยับตัวราวกับกำลังรออยู่แล้ว ต่อมาเขาก็ได้เดินมาพร้อมกล่องใบใหญ่
“เรามีเหลืออยู่กล่องหนึ่ง”
“เยี่ยมไปเลย ให้เด็กคนนี้หน่อยสิ”
“เข้าใจแล้ว รับไปสิ”
เมื่อซอลจีฮูยื่นกล่องมาให้กับชาล็อต อาเรีย เธอก็ได้รับกล่องมาโดยไม่รู้ตัว ไม่สิ เธอพยายามจะรับมา
“อึก!”
ตึง กล่องได้ตกลงไป นั่นก็เพราะแขนที่อ่อนแรงปวกเปียกของเธอได้ทำให้กล่องตกลง
“อ่า เธอไม่เป็นอะไรนะ? เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
เมื่อซอลจีฮูได้ถามอย่างตกใจ ชาล็อต อาเรียก็ส่ายหัวอย่างแรก
“มะ ไม่เป็นไร”
“โอ้ อ่า นี่เธออยู่ที่ไหนหรอ? เดี๋ยวฉันจะช่วยยกกล่องไปที่บ้านให้เอง”
“มะ ไม่! ฉันไม่ต้องการ”
ชาล็อต อาเรียได้สะดุ้งขึ้นมา เธอได้ซ่อนตัวตนเอาไว้เป็นอย่างดีแล้ว แต่ว่าตอนนี้เธอกำลังเสี่ยงจะถูกจับได้ เมื่อเห็นว่าคิมฮันนาห์กับซอลจีฮูกำลังจ้องมาที่เธอ เธอก็ผงะไปและรีบพูดต่อ
“ครอบครัวของฉันรับไปแล้ว… ฉันรับไปอีกไม่ได้”
“อ่อ แบบนี้นี่เอง…”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเข้าใจสถานการณ์แล้ว ชาล็อต อาเรียก็แอบถอนหายใจโล่งอกออกมา จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่กำลังพยักหน้า
‘นี่คือเขาสินะ…’
ซอลจีฮูก็ยังมองลงมาที่ดวงตากลมโตของเด็กสาวผมบลอนด์ที่มัดเป็นทวินเทล
‘นี่ก็คือเธอ…’
ราชินีคนปัจจุบันของอีวา ชาล็อต อาเรีย
เธอตัวเตี้ยจนน่าตกใจ ดูแล้วน่าจะสูงไม่ถึง 155 ซม. ด้วยซ้ำไป เธอมีใบหน้าที่บอบบาง ผิวสีขาวซีดที่สะท้อนกับแสงอาทิตย์ และริมฝีปากสีชมพูอ่อน แม้ว่าลักษณะโดยรวมนี้จะทำให้เธอดูเหมือนเด็ก แต่ว่าร่างกายของเธอเป็นของผู้ใหญ่อย่างแน่นอน
นอกจากนี้เมื่อได้เห็นดวงตาสีน้ำเงินที่สงบนิ่งราวกับมหาสมุทร ซอลจีฮูก็รู้สึกเคารพเธอเองโดยไม่รู้ตัว
จริงๆแล้วเขาก็รู้สึกได้นับตั้งแต่ที่คิมฮันนาห์ลากเธอออกมาแล้ว แม้ว่าราชินีจะพยายามปลอมตัว แต่ว่าภาพลักษณ์และบรรยากาศรอบตัวเธอไม่อาจจะซ่อนไว้ได้
บางทีอาจจะเพราะเธอเป็นราชวงศ์ทำให้ทั้งท่วงท่าต่างๆ และการก้าวเท้าของเธอเต็มไปด้วยความสง่างาม
“คุณคือตัวแทนของวัลฮาลางั้นหรอ?”
จู่ๆชาล็อต อาเรียก็ถามออกมา
“ใช่แล้วล่ะ ฉันเอง”
ซอลจีฮูได้ยิ้มสดใสออกมา
“รู้จักฉันด้วยหรอ?”
“จะไม่รู้จักได้ยังไงล่ะ?”
น้ำเสียงของเธอดูจะค่อนข้างห้วนๆ
“ฉันได้ยินชื่อของคุณมาจากหลายที่เลย”
“โอ้?”
“แล้วคุณตั้งใจมาทำอะไรที่นี่กันล่ะ?”
ซอลจีฮูได้กระพริบตาออกมาอย่างสับสน การที่จู่ๆตั้งคำถามแบบนี้ออกมา…
“คุณหวังอะไร?”
ด้วยคำถามเหล่านี้ชาล็อต อาเรียก็กำลังประกาศเผยตัวตนของตัวเองออกมาแล้ว จะมีก็แต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ไม่รู้ทั้งๆที่เธอกำลังร้องออกมาว่า ‘ฉันคือคนพิเศษ!’ อย่างชัดเจน
ซอลจีฮูบอกไม่ได้ว่าเธอกำลังเผยตัวตนแบบอ้อมๆเพื่อใบ้ให้เขารู้ถึงตัวตนของเธอ หรือว่าเธอไม่ได้สนอะไรเลยกันแน่
แม้กระทั่งคิมฮันนาห์ก็ยังลำบากใจกับเรื่องนี้
ยังไงก็ตามซอลจีฮูเคยเป็นนักพนันมาก่อน เขาเคยมีประสบการณ์กับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงมานับไม่ถ้วน
“มีคำกล่าวเอาไว้ว่าเข้าเมืองตาหลิวต้องหลิวตาตาม”
“หืมม?”
ชาล็อต อาเรียได้เอียงหัวออกมา
“นี่คือเมืองอีวาใช่ไหมล่ะ?”
“อืมม”
ชาล็อต อาเรียได้พยักหน้าออกมาเหมือนลูกสุนัขเชื่องๆ ซอลจีฮูได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ฉันไม่อาจจะทำอะไรที่ผิดกฎหมายได้ และฉันก็ยังทนไม่ได้ที่เห็นคนอื่นทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย การที่ผู้ชมไม่ยอมทำอะไรมันไม่ใช่อาชญากรรม แต่มันเป็นความอยุติธรรม”
“งะ งั้นหรอ?”
“มันก็เรียบง่าย ฉันอยู่ในอีวา เพราะงั้นตราบใดที่ฉันอยู่ในอีวาฉันก็จะทำตามกฎของอีวา และคนที่ตัดสินกฏของอีวาก็คือราชินี ฉันเพียงแค่ทำตามเจตจำนงของราชินีก็เท่านั้น”
หมายความว่าเขาไม่ได้มีแรงจูงใจซ่อนเร้นใดๆ
“หืมมม…”
แม้ว่าเธอจะไม่ได้เข้าใจทั้งหมด ชาล็อต อาเรียก็พยักหน้าออกมา มันดูเหมือนว่าเธอจะพอเข้าใจอะไรอยู่บ้าง
“ใช่แล้ว นี่คือเมืองอีวา เมื่ออยู่ในอีวาก็ต้องทำตามกฎของอีวา คุณพูดถูกแล้ว”
“ใช่ไหมล่ะ?”
ซอลจีฮูได้ถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
“นี่พอจะตอบคำถามของเธอได้ไหม?”
“…ฉันยังมีอีกคำถาม”
“?”
“ฉันเข้าใจที่ว่าคุณตั้งใจจะทำตามกฎของอีวา… แต่ว่า…”
ชาล็อต อาเรียได้ลังเลอยู่นานก่อนจะพูดต่อ
“ราชินีของอีวา… จริงๆแล้วเธอไม่ได้สนใจกฎหรือเมืองเลยใช่ไหมล่ะ?”
ซอลจีฮูได้เงียบลงไป เขารู้ได้เลยว่าเขาไม่ควรจะรีบตอบคำถามนี้ออกไป
จากนั้นเองคิมฮันนาห์ก็งอนิ้วดีดลงบนหน้าผากของชาล็อต อาเรีย
“โอ๊ย!”
“เธอพูดว่ายังไงนะเจ้าหนู?”
“คุณกล้า?”
“ราชินีไม่ได้สนใจเมือง? ใครเป็นคนสอนให้เด็กอย่างเธอพูดแบบนี้?”
เมื่อคิมฮันนาห์แสดงสีหน้าไม่พอใจ ชาล็อต อาเรียก็ผงะไป
“ฉะ ฉันไม่ใช่เด็กน้อยนะ…”
เธอได้ลูบหน้าผากและหน้ามุ๋ยขึ้นมา คิมฮันนาห์ได้เท้าเอวและใช้มืออีกข้างชี้ไปที่กล่อง
“ราชินีไม่สนใจงั้นหรอ? เธอพูดแบบนั้นได้ยังไง? เธอรู้ไหมว่าราชินีเป็นคนส่งของยังชีพน่ะ?”
“กะ โกหก นั่นมันเป็นเรื่องโกหก”
“โอ้? แล้วใครกันที่บอกว่านี่เป็นเรื่องโกหกน่ะ?”
“มีคนบอกเอาไว้ว่าราชินีอีวาเป็นยัยโง่”
ชาล็อต อาเรียได้เบะปากออกมาแล้ว
“พวกเขาบอกว่าเธอเป็นหุ่นเชิดที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย!”
ซอลจีฮูแทบจะห้ามตัวเองไม่ให้พูดไปว่า ‘ใช่แล้ว เธอพูดถูก’ ไม่ไหว
เขาไม่คิดเลยว่าเธอจะดูถูกตัวเอง จากสีหน้าแล้วเธอดูจะค่อนข้างสิ้นหวัง
‘พวกเธอได้พูดอะไรไปกันนะ?’
เนื่องจากว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน คิมฮันนาห์จึงเรียกตัวมาเรียกับฟีโซรามา พวกเธอได้พูดอะไรโหดร้ายไปกันแน่ถึงได้ทำให้ชาล็อต อาเรียหดหู่ใจแบบนี้? เธอเหมือนกับลูกสุนัขที่ยืนเปียกโชกท่ามกลางสายฝน
พูดตามตรงสีหน้าของเธอได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเธออยากได้รับคำตอบแบบไหน จนมาถึงตอนนี้การกระทำของคิมฮันนาห์คงต้องเป็นแนวทางให้กับคำตอบของเขา
ซอลจีฮูได้ตอบกลับมาอย่างอ่อนโยน
“ไม่หรอก ราชินีเป็นคนที่ยอดเยี่ยม”
“คุณเคยเจอราชินีหรอ?”
ซอลจีฮูได้ผงะไปกับคำถามนี้ เขาคิดว่าเธอจะหัวเราะเยาะเมื่อเขาชมเธอ แต่ว่าความเจ็บปวดของเธอมันน่าจะไม่ใช่น้อยๆเลย
‘แทนที่จะเข้าข้างเธอ…’
นี่เป็นโอกาสสำคัญอย่างที่คิมฮันนาห์พูด แทนที่จะใช้การคุยเรื่อยเปื่อยทำให้เสียโอกาสนี้ไป เขาจะต้องสร้างคุณค่าให้กับวัลฮาลา
“…ไม่หรอก น่าเสียดายที่ฉันยังไม่มีโอกาสได้เจอเธอเลย”
ชาล็อต อาเรียได้มองขึ้นมาที่ซอลจีฮูด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“แต่ฉันก็คิดว่าเธอน่าจะเป็นคนที่ยอดเยี่ยม”
“ทำไมล่ะ? คุณยังไม่เคยเจอ-“
ซอลจีฮูได้ตัดสินใจที่จะลองเสี่ยงดูตรงนี้
“นั่นก็เพราะว่าราชินีเป็นคนของตระกูลอาเรียที่ปกครองอีวา”
ชาล็อต อาเรียได้เบิกตากว้างขึ้นเพราะคิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องของตระกูลมาเกี่ยวข้อง
“คุณรู้จักตระกูลอาเรียด้วยหรอ?”
“แน่นอนสิว่าผมต้องรู้จัก”
ซอลจีฮูได้พูดต่อราวกับรอเวลานี้อยู่
“เริ่มจากจักรพรรดิสายฟ้าที่มีความชำนาญในเวทมนต์สายฟ้าไปจนถึงบุตรคนแรกโซล อาเรีย…”
ซอลจีฮูได้พูดทุกๆอย่างที่รู้เกี่ยวกับตระกูลราชวงศ์ออกมา คุณค่าของของขวัญที่ยุนซอฮุยได้ให้เขาไว้กำลังแสดงคุณค่าของมันออกมา
“แล้วก็ยังมีองค์ชายแคมเบล อาเรียที่ไม่ยอมแพ้ และปกป้องเมืองจนวาระสุดท้าย! พวกเขาเหล่านั้นต่างก็เป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำเพื่อพาราไดซ์กันทั้งนั้น”
“ใช่แล้ว คุณพูดถูก”
ชาล็อต อาเรียได้พยักหน้าอย่างกระตือรือร้นราวกับว่าเธอไม่เคยหดหู่มาก่อนเลย เทเรซ่าบอกว่าเธอมีปมด้อยอยู่หน่อย แต่ว่าตัดสินจากการมีความสุขกับแค่คำชมแบบนี้ มันก็ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้เกลียดในครอบครัวของเธอ
“เพราะงั้นราชินีชาล็อต อาเรียก็ต้องเป็นเจ้าเมืองที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน หลักฐานก็คือการที่เธอยังกลับลุกกขึ้นยืนได้ท่ามกลางสงครามทั้งๆที่ไม่มีใครคอยช่วยเหลือเธอ! ต่อให้ฉันจะไม่เคยเจอเธอมาก่อน แต่นี่ก็คือสิ่งที่ฉันคิด”
หากว่าซอกกูนีร์มาได้ยินเรื่องนี้ เขาก็คงจะร้องลั่นแน่ว่า ‘นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกัน!?’ ยังไงก็ตามร่างกายของชาล็อต อาเรียได้บิดไปมาแล้ว
“คุณคิดแบบนั้นจริงๆหรอ?”
“แน่นอนสิ นี่ก็คือเหตุผลที่ผมมาที่อีวา”
ดวงตาของชาล็อต อาเรียได้เป็นประกาย
“คุณมาที่อีวาก็เพราะคุณเชื่อในราชวงศ์อาเรีย?”
“ใช่แล้ว”
“จริงๆหรอ? มันเป็นเรื่องจริงใช่ไหม?”
“แน่นอนสิว่ามันเป็นเรื่องจริง”
สีหน้าของชาล็อต อาเรียได้สดใสขึ้นมา
“อ่อ นี่คือเหตุผลสินะ… อืมมม ฉันเข้าใจแล้ว ขอบคุณที่ตอบคำถามนะ”
เธอได้ประสานมือเข้าด้วยกัน และมองขึ้นมาที่ซอลจีฮู
“คุณชื่ออะไร?”
เธอได้พูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง และแก้มที่แดงเล็กน้อย
“ฉันชื่อซอลจีฮู
“ซอลจีฮู ซอลจีฮู”
ชาล็อต อาเรียได้ยิ้มอย่างไร้เดียงสา
“เข้าใจแล้ว ซอลจีฮู ฉันจะจำชื่อของนายเอาไว้!”
จากนั้นเธอก็หันหลังวิ่งหายไปในเส้นทางมุ่งสู่วัง
“อ่า!”
ซอลจีฮูพยายามจะหยุดชาล็อต อาเรียเอาไว้ แต่ว่าเขาก็ยื่นมือออกไปไม่ได้ นั่นก็เพราะคิมฮันนาห์ได้หยุดเขาไว้ก่อน จากท่าทีที่ขยิบตาให้เขา มันดูเหมือนว่าเขาจะทำงานสำเร็จอย่างดีเยี่ยม
จนกระทั่งเมื่อชาล็อต อาเรียได้หายลับสายตาไป คิมฮันนาห์ก็ยิ้ม และลูบก้นของซอลจีฮู
“ว้าว~ เด็กดี ทำได้เยี่ยมมาก ฉันประทับใจมากเลยที่นายพูดถึงเรื่องกฎกับราชวงศ์”
“ฉันไม่มั่นใจเลยว่าจะโอเคไหม?”
ซอลจีฮูได้เม้มปากออกมาด้วยความรู้สึกที่เหมือนกับเขาไปล้อเล่นกับความไร้เดียวสาของเด็กสาว คิมฮันนาห์ได้หยักไหล่ออกมา
“ก็แน่นอนสิ เราก็ไม่ได้คิดร้ายอะไรกับราชินีนี่นา เราก็แค่จะจัดการวายร้ายที่ชื่อจองซูเท่านั้นเอง”
“เอาเถอะนะ แล้วแผนต่อไปคืออะไรล่ะ?”
“โอ้ แผนต่อไปงั้นหรอ? ฟุฟุฟุ”
คิมฮันนาห์ได้หัวเราะก่อนจะแลบลิ้นออกมา เมื่อเห็นแบบนี้แล้วซอลจีฮูก็รู้ได้ว่าการเจอกันเล็กๆนี่เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น
ช่วงสำคัญมันยังคงมาไม่ถึง
***
ในทันทีที่กลับถึงวัง ชาล็อต อาเรียก็ได้เรียกตัวซอกกูนีร์เข้ามาพบ ซอกกูนีร์ที่จำแทบไม่ได้แล้วว่าราชินีได้เรียกเขาพบครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ จนทำให้เขารีบกดความกังวล และเข้าไปที่ท้องพระโรงทันที
“ผู้ดูแลราชวงศ์กูนีย์ ในช่วงนี้ได้มีของยังชีพถูกส่งออกไปในนามของราชวงศ์บ้างไหม?”
“?”
“ทำไมถึงมองฉันแบบนั้น? ฉันพึ่งจะถามคุณนะ?”
“…มะ ไม่ครับ ราชวงศ์ไม่ได้ส่งของยังชีพออกไปเลย”
“เข้าใจแล้ว”
ชาล็อต อาเรียได้พยักหน้าออกมา
“จากการหายไปของพันธมิตรอีวา การดูแลพื้นที่ต่างๆของเมืองคงจะหละหลวมอยู่ มันเป็นแบบนี้หรือไม่?”
“ว่ายังไงนะครับ?”
เนื่องจากว่าเธอเพิ่งจะกลับมาจากการตรวจสอบเมือง ชาล็อต อาเรียจึงใช้โอกาสนี้เพื่อรับมีกับทัศนคติ
“นี่คุณไม่รู้งั้นหรอ? ฮึ่ม คนที่ไม่ได้สนใจเรื่องของเมืองมาถูกเรียกว่าผู้ดูแลราชวงศ์ได้ยังไงกัน?”
“ว่ายังไงนะครับ?”
“ลองคิดดูสิ องค์กรที่ชื่อว่าวัลฮาลานั่นน่ะ”
“ว่ายังไงนะครับ?”
“ฉันได้ไปตัดสินด้วยตาและหูของตัวเองมาแล้ว และนั่นเป็นคนองค์กรที่ค่อนข้างยอดเยี่ยม”
“ว่ายังไงนะครับ?”
“ความเข้าใจผิดก็คือเรื่องความเข้าใจผิด แต่ว่าผลงานก็คือผลงาน นอกไปจากนี้ชาวโลกที่ชื่อว่าซอลจีฮูก็เป็นคนที่น่าไว้วางใจมากๆ เขามีบุคลิกที่ดูมีศักยภาพและยอดเยี่ยมมาก คุณพูดถูก”
“ว่ายังไงนะครับ?”
ซอกกูนีร์ได้กระพริบตาอย่างสับสนราวกับว่าเขาสมองตายไปแล้ว ชาล็อต อาเรียได้หน้าบึ้งออกมา
“คุณจะถามซ้ำอะไรขนาดนั้น? นี่คุณหูหนวกงั้นหรอ?”
ซอกกูนีร์ได้แตะหู และลูบตาของเขา เขาถึงขนาดส่ายหัวออกมาอย่างรุนแรงราวกับมันยังคงไม่พอ
“ฉันจะไม่พูดซ้ำแล้วนะ เชิญตัวแทนของวัลฮาลามา ฉันจะเชิญตัวเขามาภายใต้ชื่อของฉัน และมอบรางวัลให้กับผลงานของเขา”
ซอกกูนีร์ได้อ้าปากค้างราวกับโลกได้แตกเป็นเสี่ยงๆไป
นี่เขากำลังฝันอยู่งั้นหรอ? หรือว่าจู่ๆเขาก็ถูกฟ้าผ่ากลางแจ้ง?
ไม่ว่าจะแบบไหนคำตอบก็คือ
“ครับองค์ราชินี!”
ซอกกูนีร์ได้รีบโค้งคำนับออกมา
“ข้ารับใช้ผู้ต่ำต้อยคนนี้จะขอปฏิบัติตามคำสั่งของท่าน!”
***
ในคืนนั้นราชวงศ์ก็ได้ติดต่อหาวัลฮาลาเพื่อขอให้พวกเขาไปเข้าวังตอนเช้าวันรุ่งขึ้น
“กรอด เธอคงจะรู้ตัวแล้ว”
“ก็มีแค่คนไร้สมองเท่านั้นแหละที่ยังจะไม่รู้ตัวหากเราพูดไปถึงขนาดนั้น”
ฟีโซรากับมาเรียได้หัวเราะออกมาขณะที่ชมในทักษะการแสดงของพวกเธอเอง
ซอลจีฮูได้นั่งคุยเรื่องช่วงสำคัญกับคิมฮันนาห์ก่อนที่จะลากร่างกายอันเหนื่อยล้ากลับไปนอน และเมื่อเขาลืมตาขึ้นมา…
“…”
เขาได้เห็นกับภาพที่ไม่คุ้น
ซอลจีฮูกำลังนอนอยู่ท่ามกลางสวนอันงดงามที่เต็มไปด้วยกรีบดอกไม้ลอยอยู่ เขารู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในความฝัน
‘นี่คือ…’
เมื่อเขายกตัวขึ้นมาด้วยสีหน้าสับสน
“คุณซอลจีฮู!!!”
ไกลออกไปเขาได้ยินเสียงคนเรียกเขา เมื่อหันไปมอง เขาก็เห็นคนๆหนึ่งที่สวมใส่ชุดโกธิคโลลิสีดำกำลังวิ่งเข้ามา
เธอได้หยุดชะงักก่อนที่จะโดดพุ่งกอดซอลจีฮู เพราะแบบนี้ทำให้ซอลจีฮูต้องล้มลงไปนอนอีกครั้ง
เมื่อมองขึ้นมาอย่างสับสนเขาก็มองเห็นเด็กสาวผมสีน้ำเงินที่ถูกปัดไปข้างหลังอย่างเรียบร้อยนั่งทับเขาเอาไว้อยู่
“อ่า”
ซอลจีฮูได้อ้าปากกว้างออกมา เขาก็คิดว่าเธอดูคุ้นๆ และในตอนนี้เขาก็นึกออกแล้ว
โรเซร่า ลา กราเซีย แม่มดแห่งความฝันจากเจดีย์แห่งความฝัน
‘เดี๋ยวนะ’
ได้ยังไง? ทำไมล่ะ?
ซอลจีฮูได้นอนหลับลงไปในห้องที่อยู่ในสำนักงานวัลฮาลาโดยที่คิดว่าในที่สุดเขาก็จะได้กลายเป็นราชาแห่งอีวาแล้วในวันรุ่งขึ้น
แล้วทำไมจู่ๆเขามาตื่นที่นี่ล่ะ?
ซอลจีฮูได้มองไปรอบตัวอย่างลนลาน ยังไงก็ตามโรเซร่ากลับพูดสิ่งที่คิดออกมาด้วยความตื่นเต้นยิ่งกว่า
“คุณบอกว่ามันจะต้องใช้เวลานาน! ใจร้าย~!”
อย่างคำกล่างที่ว่าชีวิตมักจะเต็มไปด้วยเรื่องน่าตกใจอยู่เสมอ
“ใครจะไปคิดว่าคุณจะรักษาสัญญาเร็วแบบนี้ หญิงสาวอับจนคนนี้จะตอบแทนบุญคุณนี้อย่างไร้ดีนะ?”
แต่วลีที่ว่า ‘เต็มไปด้วยเรื่องน่าตกใจ’…
“แค่พรสวรรค์เหนือกว่าค่าเฉลี่ยหน่อยฉันก็พอใจแล้ว แต่ดูที่คุณทำสิ การที่ยังมีคนแบบนี้รอดอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยไฟสงคราม… ฉันประทับใจมากจริงๆ”
…ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเรื่องแย่เสมอไป
“ได้โปรดอย่าปฏิเสธเลย ในวันนี้ฉันรู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจน”
ท่ามกลางเรื่องน่าตกใจก็มีหลายครั้งที่จะนำไปสู่เรื่องดีด้วยความบังเอิญ หรือผิดคาดอยู่เสมอ
“ฉันมีความสุขมากจริงๆ สมาชิกของตระกูลอาเรียมีชื่อเสียงในเรื่องเวทมนต์สายเลือดที่เฉพาะทางในด้านสายฟ้า และฟ้าผ่า ในตัวของเธอคงนั้นก็มีสายเลือดอันทรงพลังจนน่ากลัวนี้อยู่ด้วยเช่นกัน…”
และในบรรดาสิ่งเหล่านี้…
“ฉันมั่นใจว่าเธอจะต้องสามารถรับมือกับแสงนิรันดร์แห่งปัญญาได้แน่นอน!”
สิ่งที่เรียกว่าแจ็ตพ็อตมันจะโผล่ออกมาเป็นครั้งคราว