The Second Coming of Gluttony - ตอนที่ 275
บทที่ 275 – ผู้กอบกู้แห่งอีวา (5)
เขาได้เห็นฉากที่คุ้นเคย โลกความฝันของโรเซร่า
นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่เขาได้มาที่นี่ ทำให้เขาไม่ได้ตกใจเลย จะมีก็แค่เขาสงสัยว่าเธอเรียกตัวเขามาทำไม
โรเซร่ากำลังนั่งดื่มชาอยู่บนโต๊ะกลางสวย ฝั่งตรงข้ามของเธอมีเค้กที่ถูกกินไปครึ่งหนึ่งและแก้วชาอยู่ มันชัดเจนมากว่าก่อนหน้านี้มีคนอื่นอยู่ด้วย และซอลจีฮูก็รู้ว่าใคร
“ในที่สุดเธอก็กลับไปแล้ว”
โรเซร่าได้จิบชาก่อนจะพูดอย่างสงบ จากบางอย่างน้ำเสียงของเธอดูจะสั่นเทาเล็กน้อย
“เป็นยังไงบ้างครับ?”
“เป็นยังไงงั้นหรอ?”
กริ๊ง เธอได้วางแก้วชาลงบนแผ่นรองอย่างแรง
“ฉันต้องนั่งฟังเรื่องของเธอตั้งยี่สิบชั่วโมง เราไม่ได้พูดอะไรกันเลย ฉันได้แค่ฟัง”
โรเซร่าได้สูดหายใจลึกจนทำให้หน้าอกเธอพองขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเธอก็พูดขึ้นอย่างอ่อนแรง
“จะพูดยังไงดีล่ะ… ฉันคงจะประเมินเด็กคนนั้นต่ำเกินไปหน่อย”
เธอได้พูดต่อด้วยสีหน้าซีดเซียว
“ฉันก็คิดเอาไว้แล้วในตอนที่คุณบอกว่าเธอมีนิสัยที่น่าโมโห อ่า บ้าเอ้ย แค่คิดถึงมันก็ทำให้ฉันจะบ้าแล้ว”
“อะไรนะครับ?”
ซอลจีฮูรู้สึกเหมือนฟังผิดไป
“เมื่อกี้คุณสบถ?”
“ไม่ ฉันไม่ได้ทำ”
โรเซร่าได้ตอบกลับหน้าตาย
“ไม่ คุณทำแน่ๆ มันแย่ขนาดนั้นเลยหรอ?”
“อ่า ดูกลีบดอกไม้ที่ลอยไปกำลังพูดสิ มันต้องน่าอึดอัดขนาดไหนกันพวกเขาถึงได้โพล่งแบบนั้นออกมา”
“กลีบดอกไม้พูดได้ยังไงกันครับ?”
“ในโลกแห่งความฝันอะไรก็พูดได้ทั้งนั้นแหละ ใช่ไหมล่ะกลีบดอกไม้?”
[ค่ะ ท่านโรเซร่า]
หนึ่งในกลีบดอกไม้ที่ลอยไปมาได้พูดจริงๆ ซอลจีฮูถึงกลับตกใจตัวโยน
[แต่ว่าฉันก็ทำอะไรไม่ได้ค่ะ ฉันเป็นแค่กลีบดอกไม้เล็กๆ จะสบถสักหน่อยไม่ได้หรอ!?]
จู่ๆระหว่างพูดกลีบร้องไม้ก็กรีดร้องออกมา และลอยหายไป
[อ๊ากกกกก อ๊ากกกกกก แข็งแกร่งเกินไป!]
ซอลจีฮูได้มองดูกลีบดอกไม้ที่ถูกฉีกเป้นชิ้นๆท่ามกลางสายลม จากนั้นเขาก็หลุดจากความสับสนเมื่อได้ยินเสียงกระแอ่มของโรเซร่า
“อะแฮ่ม ยังไงก็ตามมันก็ไม่ได้แย่นักหรอก”
เขารู้สึกเหมือนกับโรเซร่าพยายามจะเปลี่ยนเรื่อง และเขาก็ยินดีที่จะทำตามนั้น
“หากว่าฉันมีชีวิตอยู่ในยุคเดียวกับเด็กนั่น ฉันก็คงไม่มีเวลาไปทำความรู้จักกับเธอ พรสวรรค์ของเธอเป็นอย่างที่ฉันคิดเอาไว้ และเมื่อตัดสินจากความพูดมากของเธอแล้ว เธอดูจะมีสมาธิดีเหมือนกัน”
‘นี่มันไม่ใช่การดูถูกหรอกหรอ…’ ซอลจีฮูได้ยิ้มแห้งๆออกมา
“แล้วคุยกันเป็นไปด้วยดีไหมครับ?”
“หากว่ามันเป็นไปด้วยดีฉันจะพูดแบบนี้ไหมล่ะ?”
น้ำเสียงเธอฟังดูเป็นศัตรูแปลกๆ โรเซร่าได้กดหน้าผาก จากนั้นก็ส่ายหัวออกมา
“ขออภัยด้วย ฉันไม่ควรมาโกรธคุณซอลจีฮูแบบนี้เลย แต่ก็แค่การคิดเรื่องเธอมันทำให้ฉันจะบ้า…”
ในอีกด้านหนึ่งซอลจีฮูก็รู้สึกถึงชาล็อต อาเรีย ในเมื่อโรเซร่าได้ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมาเป็นร้อยปี เธอก็ควรที่จะกระหายอยากพูดคุยกับมนุษย์เช่นกัน เพราะงั้นแล้วการทำให้เธอเสียการควบคุม และมีท่าทีแบบนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะยกย่องในพลังของชาล็อต อาเรีย
‘ก็นะ คุณโรเซร่ามีพลังในการอ่านใจคนอื่น เพราะงั้นคงจะต้องทรมานเป็นหลายเท่าเลย’
“ยังไงก็ตามสิ่งที่ฉันบอกคุณได้ก็คือการจะให้เด็กคนนี้เติบโตขึ้นจะต้องมีการดูแลอย่างเข้มงวด”
“ดูแลหรอครับ?”
“ฉันไม่ได้บอกว่าเธอเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ไม่ดี มีผู้คนอยู่มากมายที่ไม่อาจจะกลายมาเป็นอะไรได้ทั้งๆที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะยังไงเด็กคนนี้ก็มีพรสวรรค์”
“ผมก็เห็นด้วยครับ”
ซอลจีฮูยอมรับออกมาง่ายๆ
“ขอบคุณที่เข้าใจฉัน”
จากนั้นโรเซร่าก็เผยรอยยิ้มบางออกมา
“และเพราะแบบนี้ฉันก็อยากจะขอความร่วมมือกันคุณสักหน่อย”
“ความร่วมมือ?”
จนกระทั่งวันรุ่งขึ้นซอลจีฮูถึงได้เข้าใจถึงสิ่งที่เธอจะบอก
***
“ซอลจีฮู!!!”
ที่ล็อบบี้ได้เต็มไปด้วยเสียงดังวุ่นวายแต่เช้า
ซอลจีฮูได้มองลงไปจากชั้นที่ 6 ด้วยความรู้สึกไม่ค่อยดี และที่ตรงนั้นเขาก็ได้เห็นเด็กสาวคนหนึ่งกำลังวิ่งอยู่ที่ล็อบบี้
เขาได้รับข้อความจากซอกกูนีร์แล้วว่า ‘ราชินีออกไปแล้ว ผมขออภัยด้วย’ ในตอนแรกเขาก็ไม่รู้ว่าซอกกูนีร์ขอโทษเรื่องอะไร แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว
เขาไม่คิดเลยว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้
“อะไรเนี้ย? เจ้าหนูนี่เป็นใคร?”
โชฮงที่เพิ่งกินมื้อเช้าและลงมาจากโรงอาหารได้ถามขึ้นหลังจากมองลงไป ซอลจีฮูได้ตอบกลับอย่างสงบ
“ราชินีอีวา”
“ฮ่าฮ่า ขำตายล่ะ เธอเป็นใคร?”
โชฮงดูจะไม่เชื่อเขาง่ายๆ ซอลจีฮูต้องใช้เวลาอยู่พักหนึ่งกว่าจะทำให้เธอยอมเชื่อได้
“ว้าว เธอเป็นราชินีจริงดิ?”
เมื่อมองดูชาล็อต อาเรียที่เอาแต่ถามว่า ‘เขาอยู่ไหน? ซอลจีฮูอยู่ไหน? และเขย่าคิมฮันนาห์ที่ลงไปหาเธอ โชฮงก็แทบไม่ซ่อนความตกใจเอาไว้ไม่ได้เลย
“นี่มันเหมือนฉันกลับไปที่ฮารามาร์คเลย ไม่สิ แม้กระทั่งเทเรซ่ากับกษัตริย์ชราก็ไม่ได้แย่ขนาดนี้”
เธอได้ส่ายหัวออกมา จากนั้นก็ลูบหลังซอลจีฮูก่อนจะจากไป
“โชคดีนะคุณนักสะสมเจ้าหญิง ไม่สิ ควรจะพูดว่านักสะสมราชินีแล้วสินะ? ไม่สิ ต้องทั้งสองอย่างเลย”
“อะไรวะเนี้ย… เธอจะไปไหน?”
“กลับห้องสิ”
“มากับฉัน ราชินีอยู่นี่ มันเป็นโอกาสดีที่จะแนะนำตัวเองนะ”
“สมาชิกธรรมดาอย่างฉันเนี้ยนะ? อ๊าาา ให้พวกระดับบนจัดการเอาเองสิ”
โชฮงได้รีบถอยไปราวกับว่าเธอจะรำคาญมากๆ
“นอกไปจากนี้ความรู้สึกของฉันกำลังบอกว่าอย่าเข้าไปยุ่ง”
“นี่เธอมีจมูกสุนัขหรือไงกัน?”
“ใช่แล้ว อะไรแบบนั้นแหละ”
โชฮงได้รีบหายไป ซอลจีฮูถอนหายใจขึ้น จากนั้นก็เดินไปรอราชินีที่ห้องรับรอง
ขณะที่เขากำลังนับเลขในหัว ประตูก็ถูกเปิดขึ้น และชาล็อต อาเรียก็วิ่งเข้ามา
“ซอลจีฮู!!”
“อ่า ท่านมาทำไมหรอครับ?”
ชาล็อต อาเรียได้กางแขนพุ่งเข้ามาก่อนที่ซอลจีฮูจะได้ลุกจากที่นั่งซะอีก
“คุณพูดถูก! คุณพูดความจริง!”
เธอได้คว้าชายเสื้อของเขา และกระโดดอย่างตื่นเต้น
“ท่านคงได้เจอกับคุณโรเซร่าแล้วสินะ”
“อื้อๆ! ฉันไม่เคยมีประสบการณ์น่าทึ่งแบบนั้นมาก่อนเลย! พระเจ้า โลกแห่งความฝันที่ทำให้จินตนาการทุกๆอย่างเป็นไปได้!”
ซอลจีฮูได้พยายามทำให้ชาล็อต อาเรียใจเย็นลง และให้เธอนั่ง แต่ว่าเธอก็เอาแต่พูดออกมาโดยไม่สนใจจะขยับเลยสักนิด ในท้ายที่สุดแล้วซอลจีฮูก็ได้แต่ยอมแพ้ และถามออกมาอย่างอ่อนแรง
“ละ แล้วท่านได้เป็นเพื่อนกับเธอแล้วใช่ไหม?”
“อื้อ! คุณพูดถูก เธอเข้ามใจฉันเป็นอย่างดี”
‘ก็แน่สิ คุณโรเซร่าเธออ่านใจได้ เพราะงั้นเธอคงจะพูดแต่สิ่งที่ราชินีอยากจะได้ยิน’
“เธอเป็นคนดีจริงๆ!”
สีหน้าสิ้นหวังของเมื่อวันก่อนได้หายไปราวกับไม่เคยมีอยู่เลย จากแก้มที่แดงเปล่งปลั่งจากความตื่นเต้นและดวงตาเป็นประกายเหมือนแสงดาวแล้ว มันเหมือนกับว่าเธอจะพูดจนตาย
“อ่า จริงด้วย มันเป็นความจริงหรอ?”
“อะไรหรอครับ?”
“โลกแห่งความฝันไม่อาจจะคงอยู่ตลอดไปได้”
ชาล็อต อาเรียได้เล่าเรื่องว่า โรเซร่าได้ใช้แสงนิรันร์แห่งปัญญาก่อนตายเพื่อสร้างโลกแห่งความฝัน แต่ว่ามานาเป็นทรัพยกรที่มีจำกัด เมื่อไหร่ที่มานาในโลกแห่งความฝันหมดลง ทั้งโรเซร่ากับโลกแห่งความฝันก็จะหายไปตลอดกาล
ถึงแม้ว่าเธอจะพบกับซอลจีฮูโดยบังเอิญ และยังคงสภาพโลกแห่งความฝันไว้ได้อยู่ แต่นี่ก็เป็นการแก้ปัญหาชั่วคราวที่ยังไม่ได้กำจัดต้นตอของปัญหาออกไป เพราะวงั้นเพื่อที่จะแก้ปัญหานี้ เธอต้องการคนมาช่วยเธอค้นคว้า
โรเซร่าดูเหมือนจะใช้เรื่องแบบนี้หลอกชาล็อต อาเรีย
‘เป็นไอเดียที่บรรเจิดมาก!’
เทเรซ่าได้อธิบายว่าชาล็อต อาเรียเป็นมิตรที่ไร้เงื่อนไข
แม้ว่าเธอจะไม่ได้สิ้นคิดจนทำอะไรโดยไร้หลักการ แต่ว่าหากใช้บุคลิกนี้ของเธอมาเป็นตัวชี้นำการเรียนรู้เวทย์ล่ะ?
โรเซร่าอาจจะโกหกออกมาด้วยความคิดแบบนี้ ยังไงแล้วชาล็อต อาเรียก็จะต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้เพื่อนของเธอหายไป
‘สมกับเป็นคุณโรเซร่า’
ซอลจีฮูได้พยักหน้าเห็นด้วย จากการเจอกันแค่ครั้งเดียว โรเซร่าก็ได้สังเกตเห็นถึงบุคลิกอันแปลกประหลาดของชาล็อต อาเรีย และคิดวิธีการแบบนี้ออกมาได้ นี่คืออัจฉริยภาพสมกับที่เป็นแม่มดที่อยู่มาหลายร้อยปีจริงๆ
“ถูกแล้วครับ”
ซอลจีฮูได้ตัดสินใจเล่นตามน้ำไป
“อ่า! ฉันรู้แล้ว”
ชาล็อต อาเรียดูจะเสียใจ
“ปัญหาก็คือมนตรา ศาสตร์ที่ได้ใช้สร้างโลกแห่งความฝันขึ้นมามันเป็นสิ่งที่มีเอกลักษณ์ และพิเศษมากๆ”
“อื้อๆ ฉันก็ได้ยินมาแบบนี้เหมือนกัน”
“ในตอนนี้ นักเวทย์ก็หาได้ยากอยู่แล้ว และแม้กระทั่งพวกเขาก็ยังไม่อาจจะเข้าใจในศาสตร์ของคุณโรเซร่าได้ อย่างที่ท่านรู้ เมื่อก่อนเคยมีการปลูกฝังความคิดที่ว่าศาสตร์มนตราเป็นสิ่งนอกรีตอยู่”
“จักรวรรดิก็เป็นแบบนั้น พวกเขาปฏิเสธการใช้มานารูปแบบอื่นที่นอกเหนือจากเวทมนต์ พวกเขาจะเข้มงวดเป็นพิศษกับคาถาเวทย์ ฉันคิดว่านี่มันช่างน่าเสียใจ”
แม้ว่าเนื่องจากจักรวรรดิล่มสลายไปแล้ว เรื่องนี้จึงไม่มีความสำคัญอีก แต่ชาล็อต อาเรียก็ได้ตอบกลับในแง่ดีถึงทุกๆเรื่อง เธอรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ได้ค่อนข้างง่าย
“เพราะงั้นแล้วคุณโรเซร่าจึงต้องการนักเวทย์ที่จะเข้าใจในศาสตร์ของเธอได้ ในตอนนี้ท่านชาล็อต อาเรียคือผ้าขาวที่ซึ่งยังไม่ได้รับอิทธิพลจากศาสตร์ใดๆทั้งสิ้น ยิ่งเนื่องจากท่านเป็นคนที่มีพรสวรรค์ คุณโรเซร่าจึงบอกว่าท่านจะสามารถดูดซับเทคนิคของเธอได้เป็นอย่างดี”
เมื่อซอลจีฮูเริ่มชมเธอ ชาล็อต อาเรียก็เริ่มหัวเราะอย่างไร้เดียงสา จากนั้นซอลจีฮูก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ผมขอร้องล่ะครับ เพราะผมไม่ใช่นักเวทย์ ผมจึงไม่อาจจะช่วยเธอได้มากนัก แต่ท่านต่างออกไป ได้โปรดช่วยให้โลกแห่งความฝันไม่หายไปเถอะนะครับ”
“ฉันจะช่วยคุณเอง!”
ชาล็อต อาเรียได้ปล่อยมือออกมาจากชายเสื้อของซอลจีฮู
“คุณได้พยายามแล้ว ฉันจะอยู่เฉยๆทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ยังไงกันล่ะ? ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ฉันจะเรียนมนตรานี้ และไม่ให้โรเซร่าถูกกำจัดไปอย่างแน่นอน!”
เธอได้กำหมัดสาบานอย่างหนักแน่น ตัดสินจากท่าทีที่เต็มไปด้วยพลังของเธอแล้ว เธอดูจะตั้งใจกับมันจริงๆ
ภายในใจซอลจีฮูได้ยิ้มออกมอย่างพอใจ
“ขอบคุณครับ ทั้งผมและคุณโรเซร่าต่างก็คาดหวังในตัวท่าน”
“ได้เลย โอ้ จริงสิ พอมาคิดดูแล้ว…”
ชาล็อต อาเรียได้มองไปรอบๆห้องก่อนที่ท้ายที่สุดจะนั่งลง
ซอลจีฮูได้กระพริบตาอย่างสับสน มีเรื่องอะไรให้พูดอีกล่ะ? คงไม่ใช่พูดเรื่อยเปื่อยหรอกนะ?
“มานั่งข้างๆฉันสิ ฉันมีอะไรจะเล่าให้ฟัง”
ชาล็อต อาเรียได้พูดพร้อมแตะเก้าอี่ข้างๆเธอ เธอพูดเหมือนมันเพิ่งจะเริ่มเท่านั้น
และเพราะแบบนี้สี่ชั่วโมงก็ได้ผ่านพ้นไป หลังจากดึงดันส่งตัวชาล็อต อาเรียออกไปได้แล้ว ซอลจีฮูก็เดินโซเซออกมาจากห้องก่อนจะพิงกำแพง
‘ให้ตายสิ…’
เขาได้เผลอสบถออกมา
ปีศาจนั่นเอาแต่พูดไม่หยุดเลย เขาได้แอบถามออกมาว่า “ท่านจะไม่กลับไปเตรียมตัวเรียนมนตรากับคุณโรเซร่าหรอ?”
แต่เขาก็ได้รับคำตอบมาว่า “ไม่ ฉันจะตั้งใจศึกษาเฉพาะในโลกความฝัน เพราะงั้นแล้วในโลกความจริง ฉันจะพูดคุยให้เต็มที่”
เมื่อเธอปฏิเสธที่จะกลับไปแบบนี้ ซอลจีฮูก็แทบจะกระโดดขึ้นจากที่นั่งด้วยความตกตะลึง
‘บ้าเอ้ย เธอหมายความแบบนี้สินะ?’
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าโรเซร่าหมายความว่ายังไงในตอนที่เธอบอกว่าขอความร่วมมือจากเขา
‘เหมือนจะทรุดเลยแหะ’
ซอลจีฮูได้เดินโซเซกลับไปที่ห้อง หลังจากทิ้งตัวลงไปกับเตียงแล้ว เขาก็บังคับให้ตัวเองนอนหลับไป เขาวางแผนไว้ว่าจะไปเจอกับโรเซร่าในความฝัน และคุยกับเธอสักหน่อย
แต่แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วซอลจีฮูก็ไม่ได้เข้าไปในโลกความฝัน ในตอนนี้เมื่อบรรลุเป้าหมายแล้ว โรเซร่าก็ไม่ได้เชิญตัวเขาไป
‘คุณคิดว่าผมจะยอมจบแค่นี้งั้นหรอ?’
หลังจากตื่นขึ้นจากการงีบหลับ ซอลจีฮูก็ได้สาบานว่าจะต้องแก้แค้นให้ได้
***
เมื่อเรื่องราวการหลบหนีของจองซูกระจายออกไป ซอกกูนีร์ก็ต้องทำงานอยากหนัก
เขาได้บอกว่าจองซูหลบหนีไปโดยที่ยังไม่ได้มีการสอบสวนทำให้เกิดเป็นการสารภาพในตัวเองว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ส่วนหนึ่ง
และพร้อมด้วยข้อหาที่ดูหมิ่นเชื้อพระวงศ์ ทำให้เขาได้ประกาศว่าอีว่าจะไม่มีองค์กรที่ชื่อว่าอีวาเกลีนอีกต่อไป หรือก็คือเขาได้ทำการขับไล่อีวาเกลีนออกไปจากเมือง และห้ามเข้าเมืองมาอีก
อีวาเกลีนก็ไม่ได้เป็นองค์กรพันธมิตรกับราชวงศ์อีวาอีกแล้วด้วย แม้ว่าจะมีสมาชิกของอีวาเกลีนพยายามจะท้วงออกมาโดยบอกว่าการกระทำของตัวแทนไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเขา แต่ซอกกูนีร์ก็มุ่งความผิดทั้งหมดไปที่จองซู
การที่เธอเป็นตัวแทนมีส่วนสำคัญในเรื่องนี้ หากว่าเธอเป็นแค่สมาชิกธรรมดามันก็คงจะต่างออกไป แต่ว่าเพราะตัวแทนขององค์กรได้สร้างความผิดร้ายแรงทำให้มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมองผ่านมัน
เหมือนกันกับที่บคจองซิกได้หนีไป และทำให้กุหลาบขาวต้องสลายไป
ดังนั้นแล้วองค์กรอีวาเกลีนก็ได้สลายตัวลง มีสิ่งหนึ่งที่หน้าแปลกใจที่สมาชิกไม่ได้ร่วมกลุ่มกัน และสลายตัวกันไปเอง
แต่พอคิดให้ดูแล้วมันก็ควรจะเป็นแบบนี้ หากว่าอยากจะคงสภาพองค์กรเอาไว้พวกเขาก็ต้องออกจากองค์กร แต่การจะไปเมืองอื่นมันก็ไม่ง่ายเลย
ไม่เพียงแค่ว่าจะไม่มีการรับประกันว่าเมืองอื่นจะต้อนรับพวกเขาหรือไม่เท่านั้น แต่พวกเขาก็ยังไม่มีหัวหน้าที่รับผิดชอบดูแลในระหว่างกระบวนการทั้งหมดอีกด้วย
จริงๆแล้วนับตั้งแต่อีวาเกลีน โรสตายลงไปในงานจัดเลี้ยง องค์กรก็ระส่ำระส่ายมานานแล้ว
และดังนั้นตำแหน่งพันธมิตรกับราชวงศ์ก็ได้ว่างลง ยังไงก็ตามทุกๆคนรู้ดีว่าองค์กรไหนที่จะเข้ามาแทนในตำแหน่งนี้
การกระทำของราชินีชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดใดๆ
“ซอลจีฮู!”
วันนี้เธอก็ได้มาที่อีวาเกลีนเช่นเดียวกัน ในช่วงนี้ชาล็อต อาเรียจะมาที่วัลฮาลาในทุกๆสองวัน
เรียนรู้มนตรากับโรเซร่าในระห่างที่หลับ ตื่นสายขึ้นมาและทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้จนกระทั่ถึงช่วงเย็น จากนั้นก็มุ่งตรงมาที่วัลฮาลา เธอจะมาหาซอลจีฮู และเริ่มพูดคุยทุกๆอย่างออกมา
เธอเป็นเหมือนกับลูกสาวตัวน้อยที่เกาะแกะพ่อที่เพิ่งกลับมาจากทำงาน และพูดถึงสิ่งที่ได้เผชิญในวันนี้อย่างตื่นเต้น
หากว่าซอกกูนีร์ไม่ได้ห้ามเธอไว้แล้ว มันก็เป็นไปได้ว่าเธออาจจะมาที่วัลฮาลาในทุกๆวัน
“อ๊ากกกกกก!”
หลังจากถูกชาล็อต อาเรียเซ้าซี้อย่างหนัก ซอลจีฮูก็ได้คลานอยู่กับพื้นอย่างเคย เขาเพิ่งจะส่งราชินีที่ถูกความง่วงนอนรุมเร้ากลับไปได้เมื่อตะกี้เอง
ซอกกูนีร์ได้พูดออกมาเรียบๆ
“ขอบคุณมากนะครับ ผมไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้วจริงๆ”
“คุณช่วยดูแลเธอหน่อยไม่ได้หรอ?”
ซอกกูนีร์หัวเราะเหมือนกับไม่ได้ยินคำถามนี้ของเขา
“ผมได้รับคำอธิบายคร่าวๆมาบ้างแล้ว มันดูเหมือนราชินีจะมองว่าการมาพบกับคุณเป็นรางวัล”
“รางวัล?”
“ตัวแทนซอล มีแค่คุณเท่านั้นที่รู้เรื่องแม่มดคนนั้นเหมือนกับเธอ ยกตัวอย่างง่ายๆคือเธอกำลังพูดว่า ‘ฉันพยายามแล้ว เชิญชมฉันสิ’”
ซอลจีฮูได้ก้มหน้าพูดไม่ออก
“…เธอตั้งใจเรียนรู้มากเลยหรอครับ?”
“ใช่ครับ เธอได้พยายามอย่างเต็มที่ ในตอนเธอมีสมาธิมันมากจนถึงขนาดทำให้ผมกลัวเลย มันเหมือนกับว่าเธอจะสนใจในสิ่งที่เธอเรียนรู้ แต่ว่าแรงผลักดันจริงๆแล้วมันดูเหมือนจะเป็นการได้ช่วยเพื่อนของเธอ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ซอลจีฮูก็เงยหน้าขึ้นมา
“อย่างน้อยก็ดีใจที่ได้ยินแบบนี้นะครับ”
“ผมไม่มั่นใจว่าคุณรู้สึกยังไง แต่ว่าผมมีความสุขกับมันนะครับ”
ซอกกูนีร์ได้หัวเราะ และหันกลับไปมองที่ประตู
“ผมรู้นะครับว่าคุณเหนื่อย แต่ว่าคืนนี้อยากไปทานมื้อเย็นกับผมหน่อยไหมครับ?”
ซอลจีฮูเบิกตากว้างขึ้นมา เขาไม่คิดเลยว่าตาแก่ที่เคร่งขัดคนนี้จะชวนเขาไปทานมื้อเย็น
“ได้สิครับ”
“งั้นไปกันเถอะ ผมรู้จักที่ดีๆอยู่”
ซอลจีฮูได้ตอบรับ และลุกขึ้นยืน จากนั้นซอกกูนีร์ก็ได้พาเขาไปที่ร้านอาหารเก่าๆในตรอกที่ห่างไกล
“ต้องขออภัยด้วย ที่นี่ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับสิ่งที่คุณทำให้กับราชวงศ์แล้วด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอก ผมชอบร้านอาหารแบบนี้เหมือนกัน มันรู้สึกเหมือนกับจะได้เจอกับสุดยอดเชฟ”
“ฟุฟุ เขาอาจจะไม่ใช่ยอดเชฟ แต่ว่าเขาก็รู้วิธีกลั่นไวน์ที่ดี ในตอนลำบากผมมักจะมาที่นี่อยู่บ่อยๆ”
ซอกกูนีร์ได้เดินเข้าไปในร้านอาหารโดยบอกว่าเขาจะเลี้ยงเอง จากนั้นก็สั่งอาหารและเครื่องดื่มโดยไม่ลังเลเลย
ไวน์ที่นี่ยอดเยี่ยมจริงๆ แม้ว่าซอลจีฮูจะเป็นคนกินจุ แต่ซอกกูนีร์ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเลย ชายชราได้กิน และดื่มจนทำให้ซอลจีฮูเริ่มกังวลว่าร่างกายของอีกฝ่ายจะรับได้ไหวไหม
“รู้สึกเหมือนกับฝันเลยนะครับ”
หลังจากกินไวน์หมดไปแล้วหกแก้ว ซอกกูนีร์ก็เริ่มพูด
“คุณเชื่อมันหรอครับ? ผมทำไม่ได้เลย ในทุกๆครั้งที่ตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่ผมทำคือหยิกแก้มตัวเองอยู่ซ้ำๆ”
เขาคงจะเริ่มเมาหนักจนทำให้พูดมากขึ้น
“คุณรู้ไหมว่าวันนี้ราชินีพูดอะไรกับผม? เธอบอกว่าเธอกำลังยุ่งอยู่กับการค้นคว้า เพราะงั้นผมควรที่จะจัดการงานบริหารด้วยตัวเอง เธอบอกว่าผมเป็นคนเดียวที่เธอไว้ใจได้”
“นั่นมันโหดร้ายนะครับ”
“ใช่ครับ มันโหดร้ายจริงๆ!”
ซอกกูนีร์ได้พยักหน้าออกมาอย่างหนัก
“แต่ว่านี่เป็นความโหดร้ายที่ผมรับไหว จริงๆแล้วผมยินดีอ้าแขนรับไว้ด้วยซ้ำไป!”
เขาได้หัวเราะออกมาก่อนจะพูดต่อ
“ผมไม่เคยคิดฝันเลยว่าราชินีจะบอกว่าเธอเรียนรู้เวทมนต์ โฮะๆ มันเยี่ยมไปเลยนะครับ การเรียนรู้เวทมนต์ในโลกที่อันตรายแบบนี้ เมื่อไหร่ที่ผมเห็นเธอนั่งใช้สมาธิอยู่ มันทำให้ผมนึกย้อนไปถึงกษัตริย์คนก่อน…”
ซอลจีฮูได้นั่งฟังอยู่เงียบๆ
“สิ่งที่ผมมั่นใจได้เลยคือวันนี้อีวาดีขึ้นกว่าเมื่อวาน และพรุ่งนี้อีวาก็จะดียิ่งขึ้นกว่าวันนี้อีก!”
ซอกกูนีร์ได้ดื่มลงไปอีกแก้ว และจ้องเขม็งมาที่ซอลจีฮู
“ทั้งหมดนี้ก็เพราะคุณ”
ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมา
“ต่อให้ไม่มีผม ก็จะมีใครสักคนที่ทำมันอยู่แล้ว ถึงจะน่าเสียดายที่เธอตายไปก่อนก็ตาม”
“ผมมั่นใจว่าผมรู้ว่าคุณกำลังพูดถึงใครอยู่”
ซอกกูนีร์ได้พยักหน้าออกมาอย่างเคร่งขรึม
“อีวาเกลีน โรส เธอเป็นคนที่โดดเด่นจริงๆ แต่พูดตามตรง ผมไม่ได้ชอบเธอขนาดนั้น”
“อะไรนะครับ?”
“อย่าเข้าใจผิดไปนะครับ อีวาเกลีน โรสเป็นชาวโลกที่มีหลักการ และความสามารถ ผมรู้ว่าเธอยอดเยี่ยมยิ่งกว่าคนแบบจองซูเป็นพันเท่า เพราะงั้นผมจึงไม่อยากจะเอาทั้งคู่มาเทียบกัน”
“…”
“แต่ว่าเธอ… จะพูดยังไงดีล่ะ…”
“แต่ว่าเธอไม่ได้มีความคาดหวังอะไรเลย แทนที่จะส่งต่อให้พวกคุณได้จัดการ ผมต้องดูแลจัดการเองซะมากกว่า เธอเป็นแบบนี้อยู่เสมอ”
ซอกกูนีร์ได้ยิ้มแห้ง
“ก็นะ จริงๆแล้วด้วยสภาพตอนนั้นของรัฐผมก็ไม่อาจจะโทษเธอได้ แต่ผมก็คิดว่าเธอก็มีส่วนผิดที่แยกทางกับนักเวทย์คนหนึ่งเพียงแค่เพราะเธอไม่ได้เห็นด้วยกับเขา”
จากนั้นเขาก็ดื่มหมดไปอีกแก้ว
“แต่ว่าคุณต่างออกไป”
เขาได้เช็ดปาก และยิ้มออกมา
“อีวาเกลีน โรสจะสามารถมาเป็นผู้พิทักษ์แห่งอีวาได้ แต่ว่านะ เธอไม่อาจจะสามารถทำให้เมืองที่กำลังกลับมาหายใจได้ และไม่อาจจะมอบมุมมองใหม่ๆให้กับผมกับราชินีได้”
ซอกกูนีร์ที่พูดแบบนี้ได้สูดหายใจลึก และพูดออกมา
“คุณคือผู้กอบกู้ที่แท้จริงของอีวา”
ซอลจีฮูยิ้มเขินขึน้
“ขอบคุณนะครับที่ชมผมแบบนี้ แต่ว่ามันก็น่าอายอยู่หน่อย”
“ทำไมล่ะ? มันดีไม่เท่ากับวีรบุรุษแห่งฮารามาร์คงั้นหรอ?”
ซอลจีฮูกับซอกกูนีร์ได้ระเบิดหัวเราะออกมาพร้อมๆกัน
“โอ้ จริงด้วย พรุ่งนี้คุณช่วยมาที่วังจะได้ไหม?”
“อีกแล้วหรอครับ?”
“แค่นี้คุณก็จะร้องแล้วหรอครับ? นับจากนี้คุณยังต้องมาอีกบ่อยๆเลยนะครับ”
ซอกกูนีร์ได้หัวเราะอย่างร่าเริงก่อนจะหยิบแก้วที่ซอลจีฮูส่งมาให้
“อย่าเล่นตัวไปเลยครับ ผมเพิ่งจะได้รับอำนาจในการบริหารอย่างเต็มที่ ผมคิดว่าจะคุยกับคุณเรื่องเขตต่างๆของเมือง”
‘เขตต่างๆของเมือง?’ ซอลจีฮูขมวดคิ้วขึ้น
“กลุ่มพ่อค้าดงชุนกับเรดฮวารูต่างก็มีอยู่คนละเขต พวกเราก็จะส่งให้ซันเหอหนึ่งเขตเช่นกัน แต่ว่าจากทั้งหมดแปดเขตแล้ว ก็จะเหลืออยู่อีกห้าเขต”
ซอกกูนีร์ได้ยิ้มออกมา
“คุณไม่ต้องการได้รับใบรับรองการเช่าเขตเหล่านี้หรอครับ?”
ซอลจีฮูได้อ้าปากค้าง ซอกกูนีร์กำลังจะบอกว่าเขาจะให้วัลฮาลารับผิดชอบทั้งห้าเขต
“คุณจะใช้มันยังไงก็ไม่ได้เกี่ยวกับผม วัลฮาลาจะจัดการดูแลเขตเหล่านั้นโดยตรง หรือจะจ้างให้ภายนอกเข้ามาช่วยก็ได้”
สิ่งนี้ได้บ่งบอกออกมาอย่างชัดเจน
“แต่หากว่าคุณคิดที่จะจ้างการช่วยเหลือจากภายนอก ผมก็หวังว่าคนที่คุณเลือกเข้ามาจะไม่ก่อปัญหาใดๆขึ้น”
ซอกกูนีร์ได้ส่งแก้วของซอลจีฮูกลับไป และขยิบตา
“ผมหวังว่าจะได้ร่วมงานกับคุณในฐานะพันธมิตรนะครับ”
“เหมือนกันครับ”
ซอลจีฮูได้รับแก้วมาโดยไม่ลังเล
“ผมก็หวังว่าจะได้ร่วมงานกับคุณเช่นกัน”
“ยอดเยี่ยม”
ซอกกูนีร์ได้ยกแก้วขึ้น และซอลจีฮูก็ยกแก้วชนกับเขาด้วยรอยยิ้มสดใส
“ขอให้คุณทั้งคู่มีอนาคตที่มีความสุขนะครับ”
“แด่พาราไดซ์… หืม?”
เมื่อได้ยินคำพูดแปลกๆของซอกกูนีร์ ซอลจีฮูก็ตกใจจนต้องวางแก้วลง
ยังไงก็ตามซอกกูนีร์ได้ดื่มไวน์ลงไปอย่างไม่ใสใจ แถมเขายังดูจะสนุกอีกด้วย