The Second Coming of Gluttony - ตอนที่ 282
บทที่ 282 – การเตรียมการ (3)
เมื่อเขาเห็นหญิงสาวเดินโซเซใช้มือเท้ากำแพง ซอลจีฮูอดไม่ได้ที่จะสงสัยในสายตาตัวเอง
ที่เธอเดินโซเซมันไม่ใช่ว่าเธอป่วยหรือเป็นโรคอ้วน แต่นั่นแค่เพราะเธอสวมเสื้อผ้าหลายชั้นจนเกินไป ไม่สิ ขนาดนี้แล้วมันไม่ใช่แค่เพราะใส่เสื้อผ้าหลายชั้นเท่านั้น
ซอลจีฮูได้เห็นแผ่นรองด้านนอกที่แทบจะปริออกมา และนอกจากนั้น…
“อ๊ะ”
หญิงสาวได้สะดุด เธอได้รีบกางแขนพยายามรักษาสมดุล และซอลจีฮูก็รีบวิ่งเข้าไปช่วยเธอ
“คุณไม่เป็นอะไรนะ”
“คะ ค่ะ”
เมื่อหญิงสาวได้พูดออกมาพร้อมกับพยักหน้า…
“ฉันไม่-“
แปะ! หน้ากากกันกระแทกของเธอก็ล่วงลงพื้น
“…”
หญิงสาวที่ยังพูดไม่จบประโยคได้เงียบลงไป แน่นอนว่าซอลจีฮูก็พูดไม่ออกเช่นกัน
‘นี่มันอะไรกัน? ทำไมเธอถึงใส่มันไว้ล่ะ?’
เธอกระทั่งสวมหมวกด้วย
ในตอนนี้เองเสียงจากโทรศัพท์ก็ได้ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมเสียงเร่งจากฟีโซรา
“หืมม…”
ซอลจีฮูได้นวดขมับ เขามีเรื่องให้คิดมากอยู่แล้ว มีคำถามมากมายที่ยังไม่ได้รับคำตอบ แต่เขาก็ได้ตัดสินใจถามในสิ่งที่เขาสงสัยที่สุดก่อน
“ทำไม… ทำไมคุณถึงใส่ของพวกนี้ล่ะ?”
“เตรียมตัวสำหรับบทฝึกสอน”
น้ำเสียงของเธอเบา แต่ชัดเจน แทนที่จะฟังดูเขินอาย มันดูคล้ายกับเสียงเธอแห้งอ่อนแรงซะมากกว่า
“เตรียมตัวสำหรับบทฝึกสอน?”
เมื่อมองดูเครื่องแต่งการทั้งหมดของเธออีกครั้ง สีหน้าซอลจีฮูก็บิดเบี้ยวไป
ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งมันก็แปลกตามาก อย่างน้อยที่สุดช่วงล่างของเธอก็มีกางเกงไม่กี่ชั้นดูโปร่งสบาย แต่ตั้งแต่เอวขึ้นไปนั้นเต็มไปด้วยเสื้อหลายชั้น
“คุณตั้งใจแต่งตัวแบบนี้หรอครับ? เพื่อเพิ่มการป้องกัน?”
เมื่อสัมผัสได้ถึงความหมายเชิงลบในน้ำเสียง หญิงสาวก็ไม่ได้ตอบกลับ เธอเพียงแค่มองมาที่เขานิ่งๆ
ซอลจีฮูได้รีบเปลี่ยนคำพูดออกมา
“…อืม เอ่อ คุณมีการเตรียมตัวที่ยอดเยี่ยมมาก”
“ขอบคุณค่ะ”
เธอได้โค้งคำนับอย่างสุภาพ จากนั้นก็พูดออกมา
“ฉันมีความคิดเข้ามาว่าควรจะใส่แบบนี้ แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าถอดมันออกคงจะดีกว่า”
“จริงหรอครับ? คุณคิดแบบนั้นสินะครับ?”
โชคดีที่เธอดูจะไม่ได้โง่เง่า
เมื่อซอลจีฮูถอนหายใจอย่างโล่งอก หญิงสาวก็พูดต่อ
“จนกระทั่งก่อนหน้านี้ ฉันคิดว่าฉันเตรียมพร้อมมากแล้ว แต่พอฉันตาสว่าง ฉันก็รู้แล้วว่าฉันโง่มากแค่ไหน”
ซอลจีฮูไม่ได้พลาดความหมายแฝงที่เธอจะพูด ความทรงจำของเธอคงจะย้อนกลับมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นเธอคงจะต้องเป็น…
เสียงของการขยับตัวอย่างรุนแรงได้ดังออกมา เธอพยายามที่จะถอดเสื้อ แต่ว่าเธอก็ไม่อาจจะรวบแขนเข้าหากันได้เลย หลังจากพยายามอยู่หลายครั้ง เธอก็ต้องยอมแพ้ และหันมามองซอลจีฮู
ซอลจีฮูถอนหายใจออกมา
“…ผมช่วยเอง”
เริ่มจากการถอดชั้นนอกสุด เขาได้ถอดเสื้อชั้นบนออกไปหกชั้น ก่อนที่จะถอดที่กันกระแทกเข่าและศอกออกมา ไปจนถึงรองเท้าหนัง จากนั้นแล้วเสื้อผ้าชั้นสุดท้ายของเธอก็ได้เผยออกมา เสื้อวอร์มสีเรียบๆ
บังเอิญซอลจีฮูก็ยังสวมใส่เสื้อกันหนาว และกางเกงขายาวที่คิมฮันนาห์ซื้อมาให้เช่นกัน จนทำให้พวกเขาทั้งคู่ดูคล้ายกัน
“ฟู่ววว”
หญิงสาวได้ฟุบลงไปกับพื้นอย่างเหนื่อยล้า และถอนหายใจออกมา จากเสื้อหลายชั้นก่อนหน้านี้คงจะทำให้เธอร้อนมากจนเกิดเป็นเหงื่อเม็ดเล็กๆอยู่เต็มเสื้อวอร์มสีเทาของเธอ
ขณะที่เธอกำลังถอดหมวกออกมาพัดตัวเองด้วยสีหน้าที่เหมือนกับพูดว่า ‘ฉันรอดแล้ว’ ซอลจีฮูก็มองสำรวจดูเธอ
ดวงตาใสกระจ่างที่ดูเหมือนกับจะถูกวาดมาด้วยพู่กันเป็นอย่างดี และรูปหน้าที่สง่างามไม่แพ้กันได้ทำให้เธอดูเหมือนกับดอกไม้ที่พานสะพรั่ง
บรรยากาศอันงดงามที่ออกมาจากตัวเธอไม่ใช่เล่นๆเลย ถึงเธอจะนั่งอยู่นิ่งๆ เธอก็ยังให้ความรู้สึกที่สูงส่งงดงาม
ถึงพวกเขาจะอยู่ในห้องเดียวกัน แต่เธอเหมือนกับจะอยู่ในโลกของตัวเองไปแล้ว นอกไปจากนั้นใฝ่ที่อยู่ใต้ตาของเธอก็ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้เธอขึ้นไปอีก
ในจุดนนี้ซอลจีฮูก็เข้าใจถึงคำอธิบายก่อนหน้านี้ของคิมฮันนาห์แล้ว เธองดงามมากจริงๆ แต่ถึงแม้เธอจะดูแปลกๆอยู่หน่อย แต่เขาก็ไม่เข้าใจเลยว่าส่วนไหนของเธอที่หน้าด้าน
เธอสังเกตถึงสายตาเขาหรือเปล่านะ? หญิงสาวได้กลับไปสวมหมวกอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นยืน
“ขอบคุณที่ช่วยฉันนะ”
เธอได้ประสานมือก้มคำนับอีกครั้งหนึ่ง ซอลจีฮูก็ได้พูดสิ่งที่เขาควรจะพูดนานแล้วออกมา
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ผมซอลจีฮู”
“อืมม คุณคงเป็นคนที่เชิญฉันใช่ไหม?”
“ใช่ครับ คุณคงจะเป็น…”
“อึนยูริ”
อึนยูริได้พูดออกมานิ่มๆ จากนั้น…
‘อีกแล้ว’
สีหน้าของเธอได้กลายเป็นสับสน เธอได้เหม่อมองออกไปในที่ที่ไม่มีอะไรเลย และสีหน้าที่ว่างเปล่าของเธอก็ได้หายไปอย่างสิ้นเชิง
“คุณอึนยูริ?”
แต่หูของเธอคงยังรับเสียงได้อยู่ทำให้เธอกลับมาตั้งสติได้ในทันที
“คุณโอเคนะ?”
“..ค่ะ”
เสียงอันนิ่งสงบได้ตอบกลับมา
“ฉันแค่… กำลังคิดอะไรอยู่นิดหน่อย”
อึนยูริได้พึมพำพร้อมกับเช็ดเหงื่อที่่เปียกโชกอยู่บนหน้าผาก
ซอลจีฮูไม่โทษเธอที่เธอสับสน ยังไงแล้วเธอคงจะเพิ่งได้รับความทรงจำที่สูญเสียไปกลับมา
‘การคืนชีพมันให้ความรู้สึกยังไงกันนะ?’
ซอลจีฮูรู้สึกสงสัยในความคิดของอึนยูริ
“ต้องการให้ผมช่วยอะไรไหม? หรือว่ามีคำถามอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่ค่ะ ไม่เป็นไร ฉันสบายดีแล้ว ต้องขอบคุณคุณคิมฮันนาห์ที่อธิบายทุกๆอย่างกระจ่าง… อ่า แต่ว่า…”
ระหว่างพูดอยู่อึนยูริได้ส่ายหัวออกมา
“มีเรื่องที่ฉันอยากจะยืนยันอยู่”
ซอลจีฮูได้พยักหน้าให้เธอพูดต่อ
“ฉันกลับมาที่พาราไดซ์จริงๆหรอ?”
นี่มันเป็นคำถามที่คาดไม่ถึงเลย แต่ยังไงก็ตาม น้ำเสียงต่ำของเธอได้เต็มไปด้วยความสิ้นหวังที่เคยไม่มีมาก่อน
สำหรับอึนยูริแล้ว นี่ดูจะเป็นคำถามที่สำคัญมากๆ
“แน่นอน อีกไม่นานคุณก็จะเข้าใจครับ”
สีหน้าของอึนยูริได้สดใสขึ้นเล็กน้อย เธอดูโล่งใจแปลกๆเหมือนกับว่ารู้แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
จากนั้น ตื๊ดดดด! โทรศัพท์ของซอลจีฮูได้สั่นขึ้นอีกครั้ง
-นายช่วยรีบหน่อยได้ไหม? ข้อความที่ส่งไปเป็นยังไงบ้าง? นายกำลังฟังฉันอยู่ใช่ไหม? อ๊า เร็วเข้า!
เสียงตะโกนของฟีโวราได้ดังออกมา
ในที่สุดซอลจีฮูก็ละสายตาไปจากอึนยูริ และหันไปมองห้องที่เธอเดินออกมา
“มีเรื่องที่เราต้องคุยกัน แต่ว่า… อย่างแรกเราไปที่จุดรวมตัวกันก่อนดีไหม?”
“ดูเหมือนเราควรจะทำแบบนั้นนะ”
อึนยูริเห็นด้วยกับเขาในทันที บางทีอาจจะเพราะเธอเคยมีประสบการณ์มาก่อนแล้ว เธอจึงเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว
“เยี่ยมมาก เดี๋ยวก่อนนะ”
ซอลจีฮูได้ขยับตัวทันที
“อ๊ะ”
อึนยูริดูจะตกใจเล็กน้อย แต่ว่าซอลจีฮูก็ไม่ได้สนใจ และเดินเข้าไปหยิบโทรศัพท์ในห้องของเธอ
“อยู่นี่ไง”
เมื่อเดินกลับมาเขาก็เห็นอึนยูริกำลังตื่นตระหนก
“อืมม นั่นมันห้องของฉัน…”
“โอ้ ต้องขออภัย ผมรีบไปหน่อย”
“มะ ไม่ มันไม่ใช่แบบนั้น…”
อึนยูริได้เม้มปาก และหลบสายตาของเขา ไม่นานนักซอลจีฮูก็รู้ว่าทำไม
‘ห้องนั่น…’
พูดตามตรงแล้วมันรก มีถุงเปล่าอยู่อย่างน้อยหกถุง และแท่งไอศกรีมกระจายอยู่ทั่วไปหมด
เธอคงจะชอบกินขนมมากจนทำให้ทั้งห้องเต็มไปด้วยเศษอาหาร ยังไงก็ตามสิ่งที่ทำให้ซอลจีฮูสนใจที่สุดเลยก็คือสมุดจดบนโต๊ะของเธอ
‘จะต้องทำอะไรก่อนและหลังเข้าไปแล้ว’
อึนยูริคงจะวางแผนด้วยตัวเองหลังจากที่ได้ยินคำอธิบายจากคิมฮันนาห์ ซอลจีฮูได้จินตนาการถึงวางเธอจดความคิดลงไปพร้อมทั้งกินขนมไปด้วยในหัวขึ้นมา
‘เธอตื่นเต้นขนาดนั้นเลยงั้นหรอ?’
ดูเหมือนว่าอึนยูริจะอยากเข้าพาราไดซ์มากจริงๆ แม้ว่าเธอจะไม่มีความทรงจำอยู่เลยก็ตาม
ยิ่งคิดเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้เขาสงสัยมากขึ้น ยังไงก็ตามเขาตัดสินใจเอาไว้ถามคราวหลัง และออกไปจากห้องเพื่อนำโทรศัพท์ให้เธอ
อึนยูริได้รีบรับโทรศัพท์มา จากนั้นเธอก็มองลงไปบนอากาศที่ว่างเปล่า
[ยืนยันตัวตนแล้ว คุณได้ลงทะเบียนเป็นผู้ใช้]
[ผู้ส่ง: ไกด์]
เธอได้รีบตรวจสอบโทรศัพท์ในทันที
[1.รวมตัวที่เกาะตามเวลาที่กำหนด]
[2.เวลาที่เหลืออยู่ 00:03:17]
‘เกาะ? ไม่ใช่ที่หอประชุมโรงเรียนหรอกหรอ?’
การเริ่มต้นของบทฝึกสอนแตกต่างไปจากที่ซอลจีฮูจำได้อย่างชัดเจน
อึนยูริที่จ้องโทรศัพท์อยู่ก็ยังหันกลับมามองซอลจีฮู เธอดูเหมือนกำลังขอคำอธิบายว่าทำไมบทฝึกสอนไม่เหมือนกับที่เธอจำได้
“คุณได้ยินข้อความแรกไหม?”
“ค่ะ โบนัสสิทธิพิเศษสำหรับตราประทับทองคำ…”
“ผมก็ไม่มั่นใจหรอกว่าเกิดอะไรขึ้น สำหรับเรื่องนี้ก็เป็นครั้งแรกของผมหรือทุกๆคนในพาราไดซ์เหมือนกัน”
ดวงตาอึนยูริเบิกกว้างเล็กน้อย
“เรามีเวลาไม่มากแล้ว คู่มือน่าจะรู้อะไรอยู่บ้าง ไปกันเถอะ”
อึนยูริได้พยักหน้าเงียบๆ จากนั้นก็เปิดประตู
ด้านนอกมืดสนิท มีเมฆดำปกคลุมทั่วท้องฟ้าจนมองไม่เห็นดวงดาว ซอลจีฮูได้ยืนยันความเปลี่ยนแปลงอีกครั้งหนึ่งก่อนจะก้าวออกไปในทันที ความกลัวได้เข้ามาเยือนเมื่อเขาได้อยู่ภายในป่า ไม่ใช่เมืองตามที่ควรจะเป็น
ป่าทึบได้บดบังวิสัยทัศน์ของเขา ที่ที่เขากับอึนยูริออกมาไม่ใช่ห้องภายในอพาร์ทเมนต์ แต่เป็นกระท่อมกลางป่า
‘ชัดเจนแล้ว’
ตราประทับทองคำไม่ได้เป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงบทฝึกสอน มันเป็นเพราะผู้ช่วยได้เข้ามากับผู้ถูกเชิญตราประทับทองคำ ปัญหาคือจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้อะไรเลย
‘ซึงชิฮยอนก็น่าจะเข้ามาในบทฝึกสอนเพียงลำพัง’
หากไม่เช่นนั้นแล้วก็จะต้องมีคนรู้เรื่องนี้ และมันไม่มีทางที่คิมฮันนาห์จะไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่พบได้ยากนี้
หรือก็คืออึนยูริจะต้องเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์พาราไดซ์ที่เข้ามาพร้อมกับผู้ช่วยเหลือทำให้ความลับนี้ถูกเผยออกมา
แน่นอนว่าการคืนชีพของอึนยูริก็อาจจะมีส่วนด้วยเช่นกัน
‘หวังว่าคุณฟีโซราจะรู้อะไรบ้างนะ….’
ขณะที่่เขากำลังคิดกับตัวเอง ซอลจีฮูก็แทบจะหยุดนิ่งไป
‘…เสียงฮัมเพลง’
นั่นเพราะเขาได้ยินเสียงฮัมเพลงเบาๆ แม้ว่ามันจะเบามาก แต่เขาก็ได้ยินอย่างแน่นอน
เมื่อค่อยๆหันกลับไปมอง เขาก็เห็นอึนยูริกำลังตามมาอยู่ เธอได้ส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้มสดใส
ทันใดนั้นเสียงฮัมเพลงก็หยุดลง
“อ๊ะ”
พวกเขาได้สบตากัน เมื่อรู้ตัวว่าซอลจีฮูกำลังจ้องอยู่ รอยยิ้มบนใบหน้าก็ได้หายไป เธอได้กดหมวกก้มหน้าลงต่ำ
‘คนๆนี้…’
ยิ่งมองเธอเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งดูแปลก เขาพอจะบอกได้ว่าเธอเป็นคนใจเย็นที่รักษาความสงบเอาไว้ได้ในตอนที่ความทรงจำกลับมา แต่ว่าไม่ใช่ว่าเธอควรจะกังวลเรื่องบทฝึกสอนที่เปลี่ยนแปลงไปหรอกหรอ?
เธอดูเป็นเหมือนกับเด็กเล็กๆที่แอบดีใจหลังจากได้รับของขวัญ
ซอลจีฮูอยากจะถามว่าเธอกำลังมีความสุขเรื่องอะไร แต่แล้วเขาก็ต้องกลืนคำพูดลงไปเมื่อเขาเริ่มได้ยินเสียงพึมพำของผู้คน
เมื่อหันกลับไปมองด้านหน้า เขาก็เห็นแคมป์ไฟที่อยู่ไกลออกไป
มันเป็นเกาะร้าง
***
มาแชล จิโอเนียกำลังสวมใส่ชุดสูทสีดำมองดูภาพตรงหน้าอยู่
เขาดูเหมือนจะมีคำถามที่อยากจะถาม แต่ว่าเมื่อซอลจีฮูส่งสายตามาให้เขา เขาก็ต้องหยุดเอาไว้ ต่อมาเขาก็ค่อยๆพูดอย่างสุภาพ
“ทำได้ดีมากครับที่มาถึงจุดนี้ คุณไปทางซ้ายครับ”
“ขอบคุณนะ นายดูดีมากเลย”
ซอลจีฮูกระซิบออกมาเบาๆเมื่อเดินผ่านมาแชล จิโอเนีย
“หุหุ ขอบคุณครับตัวแทน”
มาแชล จิโอเนียก็ยังตอบกลับมาเบาๆ แต่ว่าเมื่อเห็นอึนยูริมองสลับไปมาระหว่างชายทั้งคู่ เธอก็คงจะได้ยินที่พวกเขาคุยกันแแน่ๆ
กองไฟกำลังลุกไหม้อยู่ตรงพื้นที่ลานกว้าง ภายในนั้นมีอยู่มากมายซึ่งแยกเป็นสองกลุ่มจากเส้นที่แบ่งตรงกลาง ครั้งแรกที่เห็นทำให้ซอลจีฮูอดไม่ได้ที่จะตกใจออกมา
‘ว้าว’
ทางซ้ายไม่มีคนอยู่เลยแม้แต่คนเดีย นั่นมันหมายความว่าไม่มีผู้ถูกเชิญคนอื่นอีก
‘คนแรกสินะ’
“ขอบคุณที่รีบมานะ”
ในตอนนั้นเองหญิงสาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างกองไฟได้ลุกขึ้นยืน
“โอ้~”
ดวงตาซอลจีฮูเบิกกว้างขึ้น ฟีโซราในตอนนี้กำลังอยู่ในชุดสูทสีเงิน กระโปรง และถุงน่องยาว การได้เห็นเธอแบบนี้ทำให้เธอดูต่างออกไปจากปกติ
“โอ้ ที่หน้านายสิ”
ฟีโซรากัดฟันแน่น นอกจากนี้ยังมีประตูมิติสีน้ำเงินตั้งอยู่ข้างๆเธอ นี่มันมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของบทฝึกสอนหรือเปล่านะ?
“…เอาล่ะ ตอนนี้ทั้งหมด 75 คน หรือ 76 คนก็มาอยู่ที่นี่แล้ว”
ฟีโซราได้ถอนหายใจออกมาก่อนจะเกาหัวของเธอ เธอดูจะตกใจกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหัน
พอเขามาคิดดูแล้วผู้ทำสัญญาทั้ง 74 คนต่างก็เงียบกริบ การที่พวกเขาจะคุยกันหลังจากถูกส่งมาในที่แปลกๆแบบนี้มันจะไม่แปลกเลย แต่ว่าพวกเขาส่วนใหญ่กลับมองมาที่ฟีโซราด้วยความหวาดกลัว
‘ต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ’
ไม่ต้องมอง เขาก็รู้ได้เลยว่าฟีโซราคงบดขยี้จิตใจของพวกเขาไปแล้วแน่ ยิ่งดูจากรอยแตกบนพื้น เธอคงจะทำมันอย่างรุนแรงเลยด้วย
“อ๊าา… ฉันจะต้องอธิบายยังไงดีล่ะ… จริงๆแล้วฉันก็มีงานตั้งเยอะที่ต้องทำ…”
เธอดูจะสับสนมาก จะไม่ให้เธอสับสนได้ยังไงกันล่ะ ในเมื่อคนที่ควรจะรออยู่ในเขนพื้นที่เป็นกลางจู่ๆก็มาโผล่ในบทฝึกสอนซึ่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก?
หลังจากมองซอลจีฮูอย่างไม่พอใจแล้ว เธอก็เดาะลิ้นออกมา
“อย่างแรกเลย… ดูเหมือนฉันจะต้องอธิบายสถานการณ์ในปัจจุบันก่อน พวกนายอาจจะสงสยว่าทำไมถึงได้มาอยู่ในเกาะสวะนี่แทนที่จะเป็นโรงเรียน”
ผู้ทำสัญญาบางคนได้พยักหน้าออกมา พวกเขาคงจะได้ฟังคำอธิบายบนโลกมาแล้ว
“อย่างแรก ฉันจะอ่านข้อความที่ได้รับมาทีละคำนะ”
ฟีโซราได้มองดูที่อากาศ ดูเหมือนจะมีข้อความแยกที่ไกด์ทางจะได้รับอย่างที่ซอลจีฮูคิดไว้
“หากว่าเขตพื้นที่เป็นกลางคือสถานที่สำหรับเรียนรู้และพัฒนาแล้วล่ะก็ ถ้างั้นบทฝึกสอนก็เป็นสถานที่คัดกรองคนที่มีคุณสมบัติจะเรียนรู้”
เธอได้พูดออกมานิ่งๆเหมือนกำลังอ่านหนังสือ
“แต่ว่าเมื่อผู้ถูกเชิญ ‘พิเศษ’ ได้ถูกพาเข้ามาด้วยวิธี ‘พิเศษ’ บทฝึกสอนก็จะสูญเสียเป้าหมายดั้งเดิมไป เหตุผลแรกก็คือผู้ถูกเชิญได้พิสูจน์ถึงคุณค่าของตัวเองไปแล้ว อย่างที่สองก็คือตัวตนของผู้ช่วยเหลือ”
ฟีโซราได้กระแอ่มออกมา
“แล้วดังนั้นหลังจากผ่านการไตร่ตรองจำนวนมากมาย เทพทั้งเจ็ดได้ตกลงที่จะจัดเตรียมเวทีพิเศษไว้ให้กับสถานการณ์พิเศษนี้ ยังไงก็ตามข้อตกลงนี้จะไม่บังคับผู้ถูกเชิญ พวกเขาจะมีสิทธิ์เลือก”
หลังจากพูดจบ ฟีโซราก็มองมา
“พวกนายทุกคนจะต้องเรียก จะอยู่ที่นี่และเริ่มบทฝึกสอนพิเศษ หรือว่า-“
เธอได้ชี้ไปที่ประตูมิติสีน้ำเงินก่อนจะพูดต่อ
“จะกลับไปที่ที่ควรจะเป็น และเริ่มบทฝึกสอนพื้นฐาน บอกไว้ก่อนเลยนะว่านี่มันใช้ได้กับทั้งผู้ทำสัญญา และผู้ถูกเชิญ พวกนายสามารถจะเลือกกันได้เลย”
“คุณไกด์! ผมมีคำถาม”
ซอลจีฮูยกมือตะโกนออกมา ฟีโซราได้ตอบกลับห้วนๆ
“อะไร?”
“ผมเข้าใจที่คุณกำลังพูดนะ แต่ว่า… ระหว่างทั้งสองอย่างมันต่างกันตรงไหนล่ะ?”
“ความยาก”
ฟีโซราได้ตอบสั้นๆ
“บทฝึกสอนพิเศษจะมีความยากยิ่งกว่าบทฝึกสอนปกติจนเอามาเทียบกันไม่ได้ หากให้ยกตัวอย่างบทฝึกสอนพิเศษนี้ก็อยู่ในระดับเดียวกันกับภารกิจยากมากของเขตพื้นที่เป็นกลาง”
ซอลจีฮูได้หมดความตื่นเต้นไปในทันที
‘ยากมาก… งั้นสินะ?’
ด้วยพลังของเขาในปัจจุบัน ภารกิจยากมากไม่พอจะทำให้เขาต้องสนใจเลยสักนิด
“แต่ว่า-“
ยังไงก็ตามฟีโซราได้เสริมขึ้นอีก
“ความยากจะเพิ่มขึ้นไปตามสถานการณ์ และแม้ว่ามันจะมีโอกาสที่ต่ำ แต่ด้วยเงื่อนไขบางประการก็สามารถจะทำให้ความยากพุ่งไปถึงเป็นไปไม่ได้อยู่”
ซอลจีฮูได้ชะงักไปเมื่อได้ยินคำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ ในตอนนี้มันต่างไปแล้ว
“…มีแค่ความยากเท่านั้นหรอที่เพิ่มขึ้น?”
“แน่นอนว่าไม่”
ฟีโซราส่ายหัวออกมา
“รางวัลก็จะเพิ่มไปตามความยากเช่นกัน บอกไว้ก่อนเลยนะ ความแตกต่างของรางวัลจะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่เผชิญ มีคำกล่าวไว้ว่าของขวัญจากเทพไม่เพียงแต่จะใช้ได้ในบทฝึกสอนเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเขตพื้นที่เป็นกลาง หรือกระทั่งพาราไดซ์อีกด้วย”
‘พื้นที่ลับสินะ’
ซอลจีฮูได้คิดกับตัวเอง จริงๆแล้วใจเขาก็เอียงไปทางด้านหนึ่ง ทำตามแผนต่อ หรือว่าเตรียมการไว้สำหรับเหตุการณ์ข้างหน้า ในกรณีนี้…
‘แทนที่จะทำให้พวกเราซวย…’
มันมีวิธีที่พวกเขาจะได้ทุกๆอย่างมา มันง่ายมากที่จะเลือก
‘มันต้องแบบนี้’
ไม่ว่าบทฝึกสอนจะยากแค่ไหน แต่มันจะยากไปกว่าการสู้กับเจ็ดกองทัพปรสิตได้งั้นหรอ?
เมื่อตัดสินใจได้แล้วซอลจีฮูก็หันหน้าไป อึนยูริก็ยังพยักหน้าโดยไม่พูดอะไรออกมา มันไม่มีเหตุผลให้เธอปฏิเสธ นั่นเพราะหลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายจากคิมฮันนาห์ และได้ฟื้นความทรงจำกลับมา เธอก็เข้าใจถึงความน่าสะพรึงกลัวของชายตรงหน้าเป็นอย่างดี
“แล้ว? พวกนายจะอยู่ที่บทฝึกสอนพิเศษงั้นหรอ?”
“แน่นอนสิ”
“อย่างที่คิดล่ะนะ เอาเถอะ ก่อนอื่นก็รับนี่ไป”
ฟีโซราได้โยนแผ่นกระดาษออกมา กระดาษได้ลอยมาก่อนที่จะกลายเป็นถุงและกระเป๋าสีทองตกลงมาตรงหน้าอึนยูริ
“นี่เป็นของสำหรับผู้ถูกเชิญ ชัดเจนว่ามีการเตรียมการไว้แล้วสำหรับในกรณีที่ผู้ทำสัญญาอยากจะท้าทายบทฝึกสอนพิเศษ แน่นอนว่ารวมไปถึงผู้ถูกเชิญด้วย”
เสียงของฟีโซราได้ดังออกมา
“ฉันคิดว่าปกติแล้วมันก็ไม่ควรจะมีให้หรอก”
“แต่นั่นก็แค่สำหรับในบทฝึกสอนปกติ หากเป็นที่นี่จะต่างออกไป บางทีหากไม่มีมัน ตอนบทฝึกสอนเริ่มต้นพวกนายได้ตายกันในทันทีแน่
อึนยูริได้เปิดกระเป๋าสีทองขึ้น
-กล่องของจำเป็น x4
-ตราแห่งการเอาชีวิตรอด x1
-สมุดบันทึกของผู้รอดชีวิตไร้นาม x1
ดวงตาที่เหม่อลอยได้สว่างขึ้นเป็นครั้งแรก
“ว้าว…”
เธอกอดกระเป๋าสีทองไว้แน่น
“…ฉันคิดว่าฉันเพิ่งได้ของที่น่าทึ่งมา”
เมื่อได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ ซอลจีฮูก็ยิ้มขึ้น
“ยังไงของพวกนี้ก็เป็นของโบนัสสำหรับตราประทับทองคำอยู่แล้ว”
ขณะมองทั้งคู่ ฟีโซราก็เม้มปากออกมา
“ยังไงก็ตามนี่มันสำหรับผู้ถูกเชิญเท่านั้น ฉันจะส่งข้อความรายละเอียดที่เหลือไปให้เพราะงั้นอ่านมันด้วย แค่เพียงได้รับรางวัลระดับดีที่นี่แค่อย่างเดียวก็จะทำให้พวกนายเป็นเหมือนกับราชวงศ์ในเขตพื้นที่เป็นกลางเลยล่ะ”
จากนั้นฟีโซราก็หันไปมองกลุ่มทางขวามือ
“เอาล่ะ ต่อเลยแล้วกันนะ พวกนายที่เหลือตามฉันมาเลย ไว้ฉันจะอธิบายทุกอย่างอีกครั้งในตอนที่เราไปถึงหอประชุมโรงเรียนแล้ว พวกนายเห็นประตูมิตินี่ใช่ไหม?”
“…”
“ฉันรับประกันได้เลยว่าจะไม่มีพวกนายสักคนที่ผ่านด่านนี้ได้ นั่นก็เพราะว่าด่านนี้ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อให้พวกนายได้ท้าทาย”
“…”
“ก็นะ หากว่าพวกนายอยากจะตาย ฉันก็ไม่ห้ามหรอก แต่ว่าหากไม่อยากตาย ตามฉันมาจะดีที่สุด”
ฟีโซราได้หันหน้าไป แม้ว่าตอนแรกเธอจะพยายามเข้าไปในประตูมิติ แต่เธอก็ต้องชะงักลงไป
“พวกนายกำลังทำอะไรกันอยู่? เร็วเข้า”
ลานกว้างได้เงียบสนิท
“เฮ้? นี่ได้ยินกันไหม?”
ไม่มีผู้ทำสัญญาสักคนที่ขยับ บางคนได้ผงะไป แต่ก็เท่านั้น พวกเขายืนนิ่งเหมือนกับเท้าติดหนึบอยู่กับพื้น
“…โอ้?”
ฟีโซราเลิกคิ้วขึ้น