The Second Coming of Gluttony - ตอนที่ 290
ตื๊ดดด!
เสียงสั่นได้ดังออกมาจากจุดที่ทุกๆคนยืนอยู่
[ข้อความจากไกด์]
[ผู้ส่ง: ไกด์]
1.รวมตัวที่เกาะถัดไปในเวลาที่กำหนด
2.เวลาที่เหลืออยู่ 00: 40: 00
ซอลจีฮูได้กำโทรศัพท์แน่น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สัญชาตญาณกำลังบอกให้เขาออกไปจากเกาะนี้
‘ไกด์น่าจะรู้อะไรบ้าง’ เขาคิดแบบนี้
ซอลจีฮูได้รีบเดินทางในทันทีที่ได้รับข้อความจากไกด์ หลังจากที่หารถเจอ เขาก็ได้เจอกับผู้รอดชีวิตที่รู้วิธีขับรถ และช่วยรักษาบาดแผลให้เขา
ส่วนที่เหลือคือมุ่งหน้าไปที่สะพาน เกาะแห่งนี้มีสะพานเชื่อมอยู่ตามหนาผาสูงอยู่สี่จุด
มีประโยคแปกลๆถูกแขวนเอาไว้ตามสะพานว่าสะพานนี้สามารถจะข้ามไปได้ทีละคนเท่านั้น ซอลจีฮูได้รีบข้ามสะพานไปโดยไม่ได้สนใจอะไรกับเงื่อนไขนี้มากนัก
ฝั่งตรงข้ามมีกลุ่มคนประมาณสิบคนรวมตัวกันอยู่ก่อนแล้ว พวกเขาคงจะโชคดีหนีรอดมาได้ หรือไม่ก็เพิ่งจะมาถึงหลังได้รับข้อความจากไกด์
ซอลจีฮูได้ค่อยๆนั่งรอคอยให้ผู้รอดชีวิตมาถึงทีละคน เมื่อเวลาได้ลดน้อยลงไปกว่า 10 นาที ในที่สุดฟีโซราก็ปรากฏตัว
“แค่ 28 คน…”
ฟีโซราได้นับคน และเยาะเย้ยออกมา แต่ว่าซอลจีฮูสังเกตเห็นถึงความกังวลบนสีหน้าเธอเล็กน้อย
“เกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อเขาถามออกมา ฟีโซราก็ค่อยๆเม้มปาก
“…อย่างแรกสุดเลย”
เธอได้เริ่มแตะโทรศัพท์ทั้งๆที่ยังพูดไม่จบ
…
[ผู้ส่ง: ไกด์]
[1.กฎเกมล่าสมบัติ]
หลบหลีสายตาจากโฮมุนครุสที่อีกไม่นานจะมาถึงเกาะแห่งนี้ ค้นหาเหรียญที่ถูกซ่อนไว้ทั่วเกาะ และหาทางหลบหนี!
[2.เงื่อนไขการหลบหนี]
ค่าผ่านทาง 100 เหรียญ
ถวายเครื่องสังเวยที่หาได้จากเครื่องสุ่มกาชาในราคา 666 เหรียญให้กับแท่นบูชาใจกลางเกาะเพื่อเปิดใช้งานประตูมิติเดินทางไปสู่เขตพื้นที่เป็นกลาง
[3.ข้อควรระวัง]
โฮมุนครุสจะอยู่ในสถานะบ้าคลั่ง และพลังเพิ่มขึ้นจากเดิม 16 เท่า
ด้วยการชี้นำจาก ‘ขีดสุดความชั่วร้าย’ ที่ปรากฏขึ้นบนเกาะทำให้โฮมุนครุสจะเล็งเป้าหมายไปที่ผู้รอดชีวิตที่ฆ่าแม่ที่หกเป็นคนแรก
ความสามารถในการฟื้นตัวก็จะเพิ่มสูงขึ้นจนทำให้โฮมุนครุสสามารถจะฟื้นฟูตัวเองจากบาดแผลสาหัสได้
อย่างไรก็ตามก็มีขีดจำกัดอยู่ หลังจากรักษาบาดแผลสาหัสไปแล้ว 5 ครั้ง โฮมุนครุสจะไม่อาจรักษาตัวเองได้อีกต่อไป
…
[‘โฮมุนครุสคลั่ง’ ใกล้จะมาถึงเกาะที่สองแล้ว]
ซอลจีฮูได้เงยหน้าขึ้นมามองฟีโซรา เขากำลังขอคำอธิบายจากเธอ หน้าที่ของไกด์คือให้คำแนะนำที่จำเป็นเพียงเท่านั้น ยังไงก็ตามดูจากสีหน้าสับสนของซอลจีฮูแล้ว ฟีโซราก็ไม่อาจจะปิดปากเงียบต่อไปได้อีก
“นี่นายลืมอะไรไปหรือเปล่า?”
“?”
‘ลืมงั้นหรอ…’
ซอลจีฮูได้เริ่มคิด จากนั้นจู่ๆก็นึกขึ้นได้ถึง ‘สมุดบันทึกของผู้รอดชีวิตนิรนาม’
“วิธีการกำจัดฆาตกร”
“ถูกแล้ว”
“เดี๋ยวก่อนนะ แต่ฉันก็ไม่ได้ลืมนี่ ฉันแค่ตัดสินว่ามันไม่ได้สำคัญ พวกเธอก็ดูอยู่ เพราะงั้นเธอก็น่าจะรู้ว่าแม่ที่หก…”
“ฉันรู้ แต่ว่าฟังที่ฉันพูดก่อน”
ฟีโซราได้ขัดซอลจีฮู
“ฉันไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดจากตรงไหนดี”
เธอได้เริ่มถอนหายใจ
“นายก็รู้ใช่ไหมว่าแม่ที่หกเป็นนักเวทย์มืด รู้ด้วยใช่ไหมว่ากการทดลองที่ล้มเหลวทำให้พลังงานที่ขัดแย้งกันได้ทำลายร่างกายเธอ และกังขังให้วิญญาณของเธอต้องอยู่ในร่างของผู้ใช้พลังต่อต้านปีศาจ”
“ใช่ ฉันรู้ แต่ว่า-“
“นักเวทย์มืดได้ทำการทดลองล้มเหลว แต่ว่าเธอก็ยังไม่ได้ยอมแพ้ ก่อนที่เธอจะตายไป เธอได้แยกพลังเวทย์มืดให้กับผู้ศรัทธาของเธอทั้งห้าคน โดยสัญญาไว้ว่าจะมาเจอกันอีก เธอได้วางแผนที่จะปรับปรุงการทดลองใหม่โดยเรียนรู้จากความล้มเหลวครั้งที่แล้ว”
ฟีโซราได้รีบพูดออกมา บางทีอาจจะเพราะว่าเธอมีเวลาไม่มากก็ได้
“เป้าหมายในระยะสั้นของแม่ที่หกคือการชุบชีวิตตัวเองขึ้นมา ความทะเยอทะยานของเธอมันเกินกว่าการปลดปล่อยวิญญาณตัวเองให้เป็นอิสระ เธอคิดที่จะสร้างร่างกายที่รองรับพลังงานทั้งสองอย่างเอาไว้ได้ และจากนั้นก็ย้ายวิญญาณเข้าไปในร่างนั้น”
ซอลจีฮูเริ่มรู้สึกสับสน ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าบทบาทของโฮมุนครุสที่จู่ๆโผล่ขึ้นมาคืออะไร
“ถ้างั้นโฮมุนครุสก็คือ…”
“ร่างกายใหม่ของนักเวทย์มืดที่เตรียมเอาไว้สำหรับการชุบชีวิตตัวเอง”
ซอลจีฮูได้ขมวดคิ้วขึ้น
นั่นหมายความว่าที่ถ้ำก่อนหน้านี้มันเป็นแค่ตัวล่อเท่านั้นเอง เขาคิดว่าความปรารถนาของนักเวทย์มืดคือการปลดปล่อยวิญญาณให้เป็นอิสระ แต่มันกลับกลายเป็นว่าเป้าหมายจริงๆของเธอคืออย่างอื่น
“แน่นอนว่าเงื่อนไขการชุบชีวิตขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างแรกต้องมีแก่นแท้แห่งพลังกับขีดสุดความชั่วร้าย แต่ละอย่างต่างก็เป็นขีดสุดของพลังที่ขัดแย้งซึ่งกันและกัน จากนั้นวิญญาณของนักเวทย์มืดก็จะเป็นคนกลางคอยควบคุมพลังงานทั้งสองอย่างนี้ภายในร่าง”
“ขีดสุดความชั่วร้าย?”
“ฆาตกร จริงๆแล้วพวกมันก็เป็นแค่ทาสรับใช้ของนักเวทย์มืดเท่านั้นแหละ”
ฟีโซราได้พูดต่อ
“การสังเวยผู้รอดชีวิตตามคำสั่งของแม่ที่หก มันไม่มีอะไรจะชัดเจนไปกว่านี้แล้ว”
“…”
“สาวกของแม่ที่หกทั้งหมดมีห้าคน แต่นายจะมองพวกมันว่าเป็นหนึ่งเดียวกันก็ได้ เมื่อได้รับพลังจากนักเวทย์มืด พวกมันต่างก็เชื่อมต่อกันและกัน นี่มันหมายความว่าพวกมันไม่มีค่าอะไรมากไปกว่าเครื่องสังเวยที่จะถูกใช้เพื่อการคืนชีพแม่ที่หกในตอนท้าย”
งั้นเหตุผลที่ฆาตกรแกร่งขึ้นในทุกๆครั้งที่มีคนใดคนหนึ่งตายไปก็เพราะพลังงานที่ถูกแบ่งเป็นห้าได้กลับมารวมกันนั่นเอง
หลังจากได้ยินคำอธิบาย ในที่สุดซอลจีฮูก็เข้าใจว่าทำไมแม่ที่หกถึงขอบคุณเขา
“เธอกำลังบอกว่าการฆ่าฆาตกรเป็นขั้นตอนที่ทำให้การสังเวยเสร็จสิ้น”
“ใช่แล้ว เมื่อไหร่ที่ชิ้นส่วนทั้งห้ารวมกัน ขีดสุดความชั่วร้ายก็จะถือกำเนิด”
ซอลจีฮูได้แต่หัวเราะกับความไร้สาระของมัน
“เพราะงั้นแล้วไม่ว่าฉันจะเลือกทางไหนก็ไม่สำคัญเลย”
“ไม่หรอก นั่นมันไม่ถูก”
ฟีโซราส่ายหัว
“มันไม่ใช่ว่าทุกๆอย่างเป็นไปตามที่แม่ที่หกต้องการ”
“?”
“อย่างที่เธอพูดไป การที่ผู้รอดชีวิตฆ่าฆาตกรมันไร้ความหมาย แต่ว่าหากนายเอาฆาตกรไปให้โฮมุนครุสที่ถูกขังเอาไว้ในคุกใต้ดินกินก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
โฮมุนครุสคือภาชนะที่สร้างขึ้นมาเพื่อรองรับแก่นแท้แห่งพลังกับขีดสุดความชั่วร้าย
พูดก็คือหากว่าเขาปล่อยให้โฮมุนครุสได้กลืนกินฆาตกร นั่นมันก็จะถูกมองว่าเป็นการสังเวย และพลังงานของนักเวทย์มืดก็จะอยู่ภายในภาชนะโดยที่ไม่ถูกส่งไปให้ฆาตกรคนที่เหลือ
“หากว่านายลองค้นหาโฮมุนครุสสักหน่อย และค่อยๆให้มันกินฆาตกรไปสักสามคน มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเลย”
“เธอหมายความว่ายังไง?”
“นายยังไม่ได้อ่านข้อความที่สามหรอ? เรื่องเกี่ยวกับที่ว่าโฮมุนครุสมีสติปัญญาขึ้นมา”
ซอลจีฮูได้กระพริบตา
“โฮมุนครุสมีวิญญาณอยู่ แต่ว่าหากการสังเวยเป็นไปอย่างช้าๆ มันก็จะค่อยๆซึมซับพลังของแม่ที่หกด้วยตัวเอง และได้รับความสามารถในการคิดขึ้นมา จากนั้นต่อให้วิญญาณแม่ที่หกกลายเป็นอิสระ และพิธีกรรมชุบชีวิตเสร็จสมบูรณ์ แต่ผลลัพธ์มันก็จะไม่เหมือนกับที่นายกำลังเผชิญอยู่แน่”
“…”
“ในตอนนี้โฮมุนครุสที่เต็มไปด้วยสติปัญญาจะต่อสู้เพื่อปกป้องร่างกายตัวเองตามสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด มันจะต่อสู้เพื่อแย่งชิงความเป็นเจ้าของร่างกายกับนักเวทย์มืดที่เข้าไปในภาชนะเพื่อควบคุมพลัง แม้กระทั่งนักเวทย์มืดก็ยังคาดไม่ถึงในเรื่องนี้ นี่มันเป็นส่วนที่เธอคำนวณพลาดไป”
“แต่ว่าสมุดบันทึกของผู้รอดชีวิตนิรนามใบ้ว่าเราไม่ควรจะเอาฆาตกรให้โฮมุนครุสกิน”
“นั่นก็ถูก หากว่าโฮมุนครุสได้รับชิ้นส่วนพลังมากกว่าสามส่วน มันก็จะทำลายคุกใต้ดินออกมา จากนั้นมันก็จะพยายามกลืนกินทุกอย่างที่ขวางทางไม่ว่าจะเป็นฆาตกร ผู้รอดชีวิต หรือแม่ที่หกก็ตาม”
เมื่ออธิบายจบฟีโซราก็ก้มลงไปมองโทรศัพท์อย่างกังวล มีเวลาเหลือไม่มากแล้ว จากนั้นซอลจีฮูก็รู้ถึงสิ่งที่เขาได้ทำพลาดไป
‘งั้นความหมายของระวังก็คือ…’
บทฝึกสอนพิเศษได้เต็มไปด้วยความลับมากมายที่เกินกว่าที่เขาจะคิดได้
ซอลจีฮูคิดว่าเขาเป็นคนมีเหตุผล แต่มันกลับกลายเป็นที่เขาทำการตัดสินโดยใช้ข้อมูลเพียงเล็กน้อยจากบทฝึกสอน
“ฉันมีหนึ่งคำถาม”
ซอลจีฮูพูดออกมา
“ทำไมโฮมุนครุสถึงอยู่ในสภาพบ้าคลั่ง?”
“ก็เพราะว่ามันไม่เป็นไปตามเงื่อนไข”
ฟีโซราได้ตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“ร่างกายของมันสร้างขึ้นมาเพื่อเก็บพลังขั้วตรงข้าม แต่ในกรณีนี้มีพลังงานแค่ครึ่งเดียวถูกส่งเข้าไป และถูกส่งเข้าไปในคราวเดียวด้วย เพราะงั้นแล้วโฮมุนครุสจึงไม่อาจจะย่อยพลังที่ถูกส่งเข้ามาอย่างกระทันหันได้ และเพราะไม่มีวิญญาณของแม่ที่หกคอยควบคุมพลัง มันจึงเป็นธรรมดาที่โฮมุนครุสจะบ้าคลั่ง”
จากนั้นฟีโซราก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“…ในกรณีแบบนี้มันก็เลยตั้งใจเอามันคืนมาจากนาย”
ซอลจีฮูได้หลับตาลงไป
เละเทะ ทุกๆอย่างเละเทะไปหมดแล้ว แน่นอนเขารู้สึกผิด บทฝึกสอนนี่มันซับซ้อนจนเกินไปแล้ว
ซอลจีฮูไม่ใช่ยอดนักสืบ จากข้อมูลที่มีอยู่อย่างจำกัดมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะรู้เรื่องราวทั้งหมด แต่ว่าเขาก็รู้ว่านี่เป็นแค่ข้อแก้ตัว หากมองย้อนกลับไปแล้วมันก็มีคำใบ้อยู่อย่างชัดเจน
[เป้าหมายของแม่ที่หกคืออะไร?]
ในสมุดบันทึกของผู้รอดชีวิตนิรนามมีคำใบ้อยู่อย่างน้อยหนึ่งอย่าง เขาคิดว่ามันแปลกมากที่ในสมุดบันทึกมีอยู่หลายหน้า หากเขาใช้เวลาสักหน่อยในการรวบรวมหน้าทั้งหมด และค่อยๆดำเนินการไป เขาก็อาจจะเจอกับแผ่นของแม่ที่หกก็ได้
แต่กลับกันเขาดันรีบจนทำให้เกิดความล้มเหลวออกมา เสียงภายในหัวของเขายิ่งดังขึ้น แต่ซอลจีฮูก็สะบัดหัวเอาชนะมันมา
ไม่ว่ายังไงมันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดควรจะหาวิธีแก้ปัญหาในมือก่อน
“พอคิดดูแล้ว… จากตัวเลือกทั้งหมด นายเลือกตัวเลือกที่แย่ที่สุดเลย…”
ฟีโซราถอนหายใจออกมา บทสนทนาของพวกเขาได้ชะงักงันไป ขณะความเงียบดำเนินไป ใบหน้าของผู้รอดชีวิตได้เริ่มซีดลง พวกเขาต่างก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าไกด์กับผู้ถูกเชิญกำลังอารมณ์เสีย
“ดะ เดี๋ยวก่อน”
หนึ่งในผู้รอดชีวิตที่ได้รับความกดดันได้รีบยกมือถามออกมา
“งั้นแล้วเราต้องหาเหรียญหรือไปเปิดประตูมิติอะไรนั่นใช่ไหม? ที่นี่ ในตอนนี้น่ะหรอ?”
“ใช่แล้ว บอกไปก่อนเลยนะว่ามีเหรียญถูกซ่อนไว้ 6000 เหรียญ ถึงแม้ว่านั่นจะนับรวมทั้งเกาะก็ตาม”
“ไม่ครับ ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น ที่ผมหมายถึง… คือ จากที่ผมได้ยินมา มันดูเหมือนจะมีมอนสเตอร์น่ากลัวอยู่ระหว่างทาง…”
เขาได้พึมพำ และมองไปทางซอลจีฮู ฟีโซราเลิกคิ้วเล็กน้อย
“นายกำลังโทษหมอนี่งั้นหรอ?”
ใบหน้าของฟีโซราได้กลายเป็นเหยียดหยามอย่างรวดเร็ว เธอรู้ว่าเขาคือหนึ่งในผู้รอดชีวิตที่ซอลจีฮูช่วยไว้ เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขายังจะมาโทษคนอื่นอีก เธอสงสัยมากจริงๆจนถามออกมา
“นี่มันมากไปแล้วนะ!”
ปาร์ควูรีได้ขึ้นเสียงออกมา
“นายต้องการบ้าอะไรกัน?”
“อะไรนะ?”
“ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ชายเขา นายก็คงตายไปแล้วนะ สิ่งที่นายควรจะพูดคือ ‘มาร่วมมือกันเถอะ มีอะไรให้ผมช่วยไหม?’ สามัญสำนึกของนายมันหายไปไหนกัน!?”
“ฉะ ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ! ฉันแค่-“
“ไม่ใช่ฉันนี่”
ขณะที่ชายคนนี้หยักไหล่อย่างกังวล เสียงจิกกัดก็ได้ดังแทรกเข้ามา มันมาจากหญิงสาวคนเดียวกันกับที่ทะเลาะกับชายหนุ่มที่ลานกว้าง เธอได้มองมาที่ซอลจีฮูกับปาร์ควูรีด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“ฉันไม่เห็นจะได้รับความช่วยเหลืออะไรจากผู้ถูกเชิญเลย ฉันมาที่นี่ด้วยตัวเอง”
เธอไม่ได้พูดอะไรมาก แต่มันก็ชัดเจนว่าเธอกำลังตำหนิซอลจีฮู และเรียกร้องให้เขาแก้ไขในปัญหาที่เขาสร้างขึ้น
“พวกนายทุกคนเงียบซะ”
จากนั้นฟีโซราก็ส่งเสียงออกมา
“ฉันเตือนไปแล้วนะว่าอย่าชี้นิ้วไปที่คนอื่น”
น้ำเสียงของเธอดูค่อนข้างจะเอาจริง มันชัดว่าเธอกำลังโกรธ เมื่อเธอได้สบกับฟีโซราแล้ว หญิงสาวก็ถึงกลับผงะไป
“ฉันก็ไม่คิดว่าต้องพูดอะไรแบบนี้นะ แต่ว่า เธอคิดจริงๆหรอว่าที่รอดมาได้มันเพราะเธอเองน่ะ? หากว่าหมอนี่ไม่ได้ล่อฆาตกร เธอก็คงจะตายไปก่อนที่จะมาถึงปลายสะพานซะอีก เธอเคยรู้เรื่องนี้ไหม?”
ในตอนนี้เองสีหน้าของหญิงสาวก็แข็งกระด้างไป ริมฝีปากเธอปิดแน่น แต่สีหน้าเธอยังคงไม่พอใจ และใครก็บอกได้ว่าเธอไม่เชื่อเลยสักนิด ฟีโซราได้สูดหายใจและพยายามใจเย็นลง จากนั้นเธอก็หันไปมองซอลจีฮูด้วยสายตาเป็นกังวล
“อย่าตายนะ”
“…”
“ฉันรู้ว่าความยากมันไปถึงระดับเป็นไปไม่ได้ แต่ว่ามันก็ไม่ได้แย่เท่ากับในตอนที่เจ็ดกองทัพปรากฏตัวนี่”
“…”
“อ๊าา พูดอะไรหน่อยสิ! นายคงจะไม่อาจสู้แบบปีศาจอย่างในตอนนั้นหรอกนะ? แค่ว่า-“
ฟีโซราได้หายไปก่อนที่จะได้พูดจบ มันดูเหมือนเธอจะใช้เวลาเกินกว่าที่จะบอกคำอธิบาย และถูกเรียกตัวกลับไป นี่มันได้พิสูจน์แล้วว่า…
คลื่นนนน
…แผ่นดินได้สั่น นี่มีแค่ความหมายเดียว
ด่านที่ 2 ของบทฝึกสอนได้เริ่มต้นแล้ว
เสียงบ่นพึมพำได้ดังอยู่ไม่นานนัก
“วะ เวรเอ้ย!”
“วิ่ง!”
ไม่นานนักกลุ่มผู้รอดชีวิตก็ได้วิ่งหนีกระจายกันออกไป
ระหว่างวิ่งก็มีบางคงยังคงจ้องซอลจีฮู เหตุผลก็ง่ายมาก พวกเขารู้ว่าผู้ถูกเชิญจะเป็นเป้าหมายแรกของมอนสเตอร์ และวางแผนที่จะออกห่างจากเขาให้มากที่สุด
ไม่นานหลังจากนั้นที่แห่งนี้ก็เหลือเพียงคนสี่คนเท่านั้น ซอลจีฮูยังคงเงียบ จากดวงตาที่ปิดสนิท เขาดูจะคิดอะไรไม่ออกแล้ว
คลื่นนน คลื่นนน
ในเวลาเดียวกันเสียงสะเทือนก็ยิ่งดังขึ้น
“พะ พี่ชาย…”
ปาร์ควูรีได้มองไปที่สะพาน จากนั้นก็หันมาพูดกับซอลจีฮู ในที่สุดแล้วซอลจีฮูก็ลืมตาขึ้น
“อืมม… คุณสองคนช่วยดูต้นทางให้หน่อยได้ไหม?”
“อะไรนะครับ?”
“แค่เดี๋ยวเดียว ไม่นานหรอก”
“อ่า ครับ ได้เลย!”
ปาร์ควูรีเข้าใจได้ในทันที เขาได้คว้าแขนของยูยอลมู และวิ่งออกไป
“…”
สีหน้าของอึนยูริได้อึมครึมนับตั้งแต่ที่เหตุการณ์ทั้งหมดนี่เริ่มต้นขึ้น หากว่าเธอไม่ได้แนะนำให้พวกเขาตามรอยของวิญญาณฆาตกร สถานการณ์ก็คงไม่ได้แย่อย่างในตอนนี้ เธอได้ค่อยๆพูดออกมาด้วยความรู้สึกผิด
“ฉันขอโทษ”
“หืม…?”
น่าแปลกที่ซอลจีฮูสงบมา
“สิ่งที่เกิดขึ้นนี่คือความผิดของฉัน…”
“มันจะเป็นความผิดของคุณได้ยังไงกัน?”
ซอลจีฮูหัวเราะออกมาเบาๆ
“ผมเป็นคนพาคุณไป และใช้แผ่นยันต์”
ไม่มีคำตอบมาจากอึนยูริ เธอที่หันไปมองซอลจีฮูได้ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า
“คุณบอกว่าจะเก็บไว้ใช้ตอนอื่นไม่ใช่หรอครับ?”
มือของเธอที่กำลังจะหยิบแผ่นยันต์ได้ชะงักลง
“แต่ว่า…”
“คุณอึนยูริ”
ซอลจีฮูได้พูดชื่อเธอเบาๆ
“คุณบอกว่าคุณเรียนสาขาการเต้นสมัยใหม่ใช่ไหมครับ?”
“หือ? อ่อ ค่ะ”
อึนยูริได้แสดงสีหน้าสงสัยขึ้น
‘ทำไมจู่ๆเขาพูดเรื่องนี้?’
“ผมเป็นนักพนัน”
“นักพนัน?”
“ครับ แล้วผมก็ไม่ได้ภูมิใจกับมันเลย อ่อ แต่ตอนนี้ผมเลิกแล้วนะ”
ซอลจีฮูยิ้มแห้งๆให้เธอ
“มันก็แค่ว่า… ผมกำลังคิดอยู่ ทำไมบทฝึกสอนที่ควรจะง่ายกลายมาเป็นแบบนี้ มันผิดพลาดไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“…”
“แล้วผมก็คิดออก ผมไม่เคยเข้าบทฝึกสอนตามจุดประสงค์ที่มันออกแบบมาเลย”
ทุกๆอย่างต่างก็มีแนวทางของมัน แน่นอนว่าก็ไม่ได้ต้องเล่นตามกฎอยู่เสมอ มีอยู่บ่อยครั้งที่การแหกกฎจะทำให้ได้รับผลประโยชน์ที่มากยิ่งขึ้น
แต่ว่าการทำแบบนั้นก็จะทำให้เกิดความเสี่ยงขึ้นอยู่เสมอ และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกด้วยที่ซอลจีฮูข้ามผ่านอุปสรรคด้วยวิธีที่ผิดแผลก
เขาเคยทำมันในป่าแห่งการปฏิเสธ ระหว่างปฏิบัติการณ์หุบเขาอาร์เดน และจากนั้นก็อีกครั้งในภารกิจช่วยเหลือที่ศูนย์วิจัยเดลฟิเนี่ยน
ไม่มีครั้งไหนเลยที่ง่าย ผลลัพธ์ออกมาดีในทุกๆครั้ง แต่ว่าหากมีความผิดพลาดสักนิดมันก็หมายถึงความตายได้เช่นกัน
แต่โชคดีที่ซอลจีฮูไม่เคยล้มเหลวมาก่อน เพราะแบบนี้ทำให้ซอลจีฮูเกิด ‘นิสัยเสีย’ ขึ้นมา มันเป็นนิสัยติดตัวที่ทำให้เขามองหาทางลัดในทุกๆครั้งที่เจอกับปัญหา แทนที่จะทำตามขั้นตอนตามปกติของัน
บางคนก็เรียกเขาว่าฉลาด บางคนก็คิดว่าเขาใจร้อน
นิสัยนี้มันจะมีประโยชน์ในเวลาฉุกเฉิน แต่ว่ามันก็จะกลายเป็นจุดอ่อนในตอนที่เขาอยู่ในสถานการณ์ที่ควรจะอดทนทำตามขั้นตอนตามปกติไป
จริงๆแล้วมันก็เรียบง่าย
ซอลจีฮูได้เข้ามาในบทฝึกสอนในแบบเดียวกันกับที่เขาใช้กับปัญหาอื่นๆ
เพียงแต่ว่าคราวนี้มันไม่ได้ออกมาดีเหมือนครั้งก่อนๆ จากที่เขาเห็นในที่สุดระเบิดเวลาก็ได้ทำงานแล้ว
แต่ว่ามันก็มีวิธีแก้อยู่ ซอลจีฮูพูดขึ้น
“ไปซะ”
“อะไรนะคะ?”
“ผมจะคอยล่อโฮมุนครุสเอาไว้ ดูเหมือนผมจะเป็นเป้าหมายอยู่แล้ว ผมจะอยู่ที่นี่ให้นายที่สุด แล้วก็ในเวลาเดียวกัน ผมอยากจะให้คุณหาทางแก้”
อึนยูริดูจะงงในคำพูดของซอลจีฮู
“ไปด้วยกันไม่ได้หรอคะ?”
“ผมไม่คิดว่าผมจะต่อสู้ไปพร้อมกับปกป้องคุณได้”
ซอลจีฮูส่ายหัวออกมา
“สถานการณ์มันแย่แล้ว แต่ว่าก็อย่าได้ลืมว่านี่ยังคงเป็นบทฝึกสอน”
เขาได้พูดต่ออย่างหนักแน่น
“มันจะต้องมีทางออกอยู่ ผมคิดนะ ไม่สิ ผมมั่นใจเลยว่าเทพทั้งเจ็ดจะต้องเตรียมทางออกไว้ และผมก็เชื่อว่าคุณจะต้องหามันเจอ”
อึนยูริยังคงจะแผ่นยันต์เอาไว้แน่นโดยไม่ยอมปล่อย ซอลจีฮูได้ยิ้มอย่างขมขื่น
“ผมไม่คิดว่าคุณควรจะใช้แผ่นยันต์หรอกนะ”
“…”
“แน่นอนว่าหากมันเป็นไปด้วยดี เราก็จะจัดการมอนสเตอร์นั่นได้ง่ายๆ แต่ว่ามันก็มีโอกาสที่ผลลัพธ์จะออกมาแย่เช่นกัน”
“…”
“แผ่นยันต์เป็นของที่ทรงพลังอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ว่ามันก็ไม่ใช่ว่าจะแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง”
เขาพูดถูก แผ่นยันต์สามารถจะจัดการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ แต่มันไม่ได้แก้ไขไปถึงต้นตอของปัญหา
อึนยูริได้เม้มริมฝีปากแน่น ซอลจีฮูเข้าใจเธอ พวกเขาไม่มั่นใจเลยว่าแผ่นยันต์จะสามารถฆ่าโฮมุนครุสได้แค่ครั้งเดียวหรือทั้งหมดห้าครั้งเลย นอกจากนี้มันอาจจะยังมีความลับที่ยังไม่เผยออกมาอีกด้วย
“และน่าแปลก ผมคิดว่าการใช้มันตอนนี้จะเป็นการสูญเปล่า การเก็บมันไว้ใช้ตามแผ่นคุณอึนยูริก็คงจะดีกว่า”
“แต่ว่า…”
อึนยูริได้พูดต่อด้วยน้ำเสียงลังเล
“หากว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับคุณ ฉัน…”
“ไว้ใจผมเถอะ ผมไม่ได้อ่อนแแบบนั้น”
ซอลจีฮูได้ใช้มือลูบหน้าอกเบาๆ
“ผมคิดว่าคุณอาจจะรู้แล้วนะ แต่ขอบอกอีกทีเลยว่าผมเป็นคนที่ฆ่าผู้บัญชาการกองทัพที่หนึ่งของปรสิต ผมรู้ว่าโฮมุนครุสอยู่ในสถานะอารวาดอยู่ แต่มันก็คงไม่ได้แกร่งไปกว่าผู้บัญชาการกองทัพหรอกครับ”
“…จริงหรอคะ?”
“จริงสิครับ ในตอนนี้เรามาทำตามวิธีปกติกัน”
ซอลจีฮูได้พยักไหล่ออกมา
“คุณเห็นทักษะการเคลื่อนไหวของผมแล้วใช่ไหม? หากว่าผมรู้ว่าผมสู้กับมันไม่ไหว ผมก็แค่วิ่งหนี จากนั้นก็หาคุณให้เจอ แล้วเราก็จะได้ใช้แผ่นยันต์กันก็ได้”
ในที่สุดอึนยูริก็เงยหน้าขึ้นมา
คลื่นนนนนนนนน!
ในเวลาเดียวกันเสียงดังสนั่นก็ใกล้เข้ามามากขึ้น ซอลจีฮูยังได้ยินเสียงเท้าของปาร์ควูรีเข้ามาใกล้อีกด้วย
“ผมคิดว่าเราคงหมดเวลาคุยกันแล้ว”
เขาได้ดันอึนยูริ และกระซิบออกมา
“แค่คิดซะว่านี่เป็นเกม หากคุณหาทางแก้ก่อนที่ผมจะฆ่าโฮมุนครุส คุณก็จะได้แก่นแท้นำแข็งที่ผมได้มาจากในถ้ำไป”
อึนยูริได้ถูกซอลจีฮูดันให้เดินไปข้างหน้า ก่อนที่ในที่สุดจะดูมุ่งมั่นขึ้นมา
“…ค่ะ”
และเธอได้ประกาศขึ้น
“ฉันจะต้องชนะ”
ซอลจีฮูยิ้ม
“ผมจะคอยดูนะ ตอนนี้เกมมันเริ่มต้นแล้ว วิ่งไปเลยครับ!”
อึนยูริได้เริ่มออกวิ่ง เธอได้นำปาร์ควูรีกับยูยอลมูวิ่งไปที่เกาะ ซอลจีฮูมองดูเธอวิ่งไป จากนั้นก็หันไปมองอีกฟากของสะพาน
‘ภารกิจเป็นไปไม่ได้สินะ?’
คิมฮันนาห์เคยพูดไว้ก่อนแล้วว่าในการเคลียร์มันจะต้องใช้ทีมขนาดกลางถึงใหญ่ของระดับ 4 หรือไม่ก็เหนือกว่านั้นถึงจะมีโอกาส และจางมัลดงก็ได้บอกว่าระดับ 5 ที่แท้จริง อย่างฟีโซราสามารถจะมีพลังเหนือกว่าชาวโลกระดับ 4 ได้เป็นร้อยคน
แน่นอนว่าอะไรแบบนี้มันไม่อาจจะเอามาเปรียบเทียบกันได้อย่างเที่ยงตรง และเขาก็รู้ดี
ซอลจีฮูด้อยกว่าฟีโซราในแง่เทคนิค และเขาก็ไม่ได้มีอุปกรณ์ตามปกติของเขาเลยด้วย แต่ว่าด้วยเงื่อนไขที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองแบบนี้ได้ทำให้เขาสงสัยว่าเขาจะยืนหยัดได้แค่ไหน
‘ถ้างั้นก็มาลองดูกัน’
ซอลจีฮูได้จีบมีดยาวไว้แน่น และดึงพลังมานาออกมา ไม่นานนัก…
คลื่นนนนนนนน!
มอนสเตอร์ขนาดยักษ์ได้แหวกป่าหนาปรากฏตัวขึ้น