The Second Coming of Gluttony - บทที่ 298 - เบาะแสที่คาดไม่ถึง (5)
บทที่ 298 – เบาะแสที่คาดไม่ถึง (5)
“…นายพูดถูก”
“ครับ?”
จางมัลดงยิ้มก่อนจะโบกไม้เท้าออกมา
“ค่อยๆเป็นค่อยๆไป กินให้ตรงเวลา และพักผ่อนให้มากๆ สิ่งที่นายต้องทำในตอนนี้มันไม่ใช่การเสริมสร้างพละกำลัง แต่เป็นการควบคุมจิตใจ และค้นลึกเข้าไปในจิตใต้สำนึก นี่คือเหตุผลที่คำว่า ‘จิตใจ’ ถูกยกขึ้นมาพูดก่อนเป็นลำดับแรก”
สุขภาพจิตที่ดีก็จะทำให้สุขภาพกายดี เมื่อนึกได้ถึงคำโบราณนี้ก็ทำให้ซอลจีฮูโค้งคำนับออกมา
“ขอบคุณครับ”
“ไม่ต้องหรอก อ่อ ถ้าเป็นไปได้ก็ช่วยไปฝึกที่อื่นด้วยนะ เขตพื้นที่เป็นกลางเป็นสถานที่ให้หน้าใหม่ได้ฝึก แต่เพราะนายทำให้คนอื่นๆไม่กล้ามาใช้ที่นี่เลย”
ถึงจางมัลดงจะพูดเล่น แต่นี่ก็เป็นการกระทำที่ผิดของซอลจีฮู ซอลจีฮูที่เพิ่งมารู้ตัวก็ร้องอ๊ะออกมา
“ขอโทษด้วยครับ คราวหน้าผมจะไปหาที่อื่นนะครับ”
ซอลจีฮูได้กล่าวลาด้วยความเคารพก่อนจะออกไปจากห้องฝึก ในเมื่อห้องหัวหน้าผู้จัดการกว้างมาก เขาจึงคิดที่จะฝึกที่นั่นไปเลย
ช่วงระหว่างนั้นอึนยูริด็ได้มาที่ห้องฝึกพร้อมชุดวอร์ม การทำภารกิจในช่วงเช้าของเธอเสร็จเร็วกว่าปกติ ดังนั้นเธอจึงจะมาขอให้จางมัลดงฝึกให้เป็นการส่วนตัว เพราะงั้นเธอจึงบังเอิญมาเจอเข้ากับซอลจีฮู
“พี่…?”
เธอได้เรียกเขา แต่ว่าเขากลับเดินหลบผ่านเธอไป อึนยูริได้แต่แสดงสีหน้าตกตะลึงตัวแข็งทื่อกับที่ ในวันนี้เขาดูจะมีบรรยากาศที่เข้าถึงได้ยากอยู่
“ไม่ต้องคิดมากหรอกนะ”
จางมัลดงแค่นหัวเราะออกมา
“เขาจะกลายเป็นคนตาบอดไปในตอนที่หมกหมุ่นอยู่กับการฝึก ถึงภายนอกจะดูปกติ แต่ภายในใจของเขากำลังลุกโชนอยู่แน่”
“ลุกโชน?”
อึนยูริดูจะสับสน แต่จางมัลดงเข้าใจดี พลังใจของมนุษย์มีขีดจำกัด ไม่ว่าจะทำอะไร พวกเขาก็จะรู้สึกเหนื่อยล้าหากความพยายามบากบั่นไม่มีผลลัพธ์ออกมาให้เห็น
นี่คืออาการที่ซอลจีฮูเป็นอยู่ในก่อนหน้านี้
มันไม่ใช่ว่าเขาไม่มีความต้องการอยากจะพัฒนาขึ้นอีก เขายังคงทำการฝึกพื้นฐานอยู่เป็นประจำ แต่เพราะพรสวรรค์ของเขามันธรรมดามากเกินกว่าจะฝ่ากำแพงหนาไปได้ เขาจึงรู้สึกเหนื่อยล้า
จนกระทั่งเมื่ออึนยูริได้ปรากฏตัว ภาพลักษณ์ของยอดอัจฉริยะได้ทำให้ซอลจีฮูตกตะลึง และเป็นผลให้เปลวเพลิงในใจเขาค่อยๆลุกโชนขึ้นมา
แค่มองจากแผ่นหลังของเขามันก็เห็นได้ชัดเจนเลย เหงื่อเปียกโชกจากการที่ร่างกายกำลังแผ่ความร้อนออกมา
‘คู่แข่งก็เป็นตัวกระตุ้นที่ดีเหมือนกัน’
จางมัลดงได้ลูบคางพร้อมมองอึนยูริด้วยสีหน้าพึงพอใจ อึนยูริที่มองดูซอลจีฮูด้วยสีหน้าหม่นมองได้แต่ถอนหายใจออกมา
“…โอ้ จริงสิ อาจารย์”
จากนั้นเธอก็พูดขึ้น
“ขอโทษด้วยนะคะ แต่ว่าอาจารย์ช่วยฝึกให้เสร็จก่อนเที่ยงจะได้ไหม?”
“ฉันไม่มีปัญหาหรอกนะ แต่เธอกำลังบอกว่าจะฝึกจนถึงเที่ยงงั้นหรอ?”
“ฉันคิดไว้แบบนั้นค่ะ แต่ว่าจู่ๆก็มีประชุมด่วนเข้ามา หัวหน้าทีมบอกว่าเราควรจะกินอาหารเที่ยงด้วยกัน แล้วก็คุยเรื่องการเปลี่ยนภารกิจที่เรากำลังทำกันอยู่”
“หัวหน้าทีม?”
จางมัลดงเอียงหัวออกมา
“ฉันคิดว่าเธอจะเป็นหัวหน้าซะอีกนะ คุณอึนยูริ”
“อ่า… ไม่ใช่หรอกค่ะ นักบวชในทีมเธอเป็นหัวหน้าน่ะค่ะ”
อึนยูริได้ส่ายหัวพร้อมพูดออกมา
“หากฉันยอมรับ ฉันก็จะรับหน้าที่เป็นหัวหน้าได้เหมือนกัน แต่ว่าจนถึงวันนี้ฉันก็ปฏิเสธมาตลอด”
“หืมม… มีเหตุผลหรอ? การได้ทำหน้าที่หัวหน้าเป็นประสบการณ์ที่ดีนะ”
“มันก็จริงค่ะ แต่ฉันไม่ชอบ”
‘ไม่ชอบงั้นหรอ?’
จางมัลดงรู้สึกแปลกใจกับคำพูดนี้อยู่เล็กน้อย เขาที่รู้สึกเหมือนเธอกำลัง ‘เลี่ยง’ มันอยู่จึงถามออกมา
“หากเธอไม่ว่าอะไรช่วยบอกเหตุผลหน่อยได้ไหม”
“คือว่า… มันก็แค่นิสัยของฉันค่ะ ฉันอยากจะมีความสุขไปกับสิ่งที่ทำ หากว่ามีคนมาพึ่งพาฉันมันทำให้ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ”
อึนยูริได้ก้มหัวและพึมพำออกมาเบาๆ
“แล้วการถูกพึ่งพามากเข้า… มันน่ากลัวอยู่หน่อย”
‘หืม…’ จางมัลดงมองอึนยูริด้วยสายตาที่เฉียบคม
มันคือความต่างของบุคลิกแต่ละคน บางคนก็ชอบยืนอยู่ข้างหน้าคอยนำผู้อื่น บางคนก็ชอบยืนอยู่ด้านหลังคอยติดตามผู้อื่น
ยกตัวอย่างซอลจีฮูที่เป็นผู้บัญชาการ ถึงแม้ว่าตำแหน่งของเขาจะเทียบเท่ากับผู้บัญชาการสูงสุด แต่เขาก็เป็นแนวหน้าที่นำพรรคพวกบุกออกไป แทนที่จะคอยยืนมอบคำสั่งอยู่ที่แนวหลัง
ยังไงก็ตามสงครามไม่ได้เป็นการต่อสู้แค่ของผู้บัญชาการเท่านั้น แม้ว่าองค์กรก็ยังมีผู้จัดการไร้ที่ติอย่างคิมฮันนาห์ แต่เธอก็ไม่อาจจะสู้ได้ หากเป็นในสงครามเธอจะไม่อาจช่วยอะไรได้มากเลย
นี่คือเหตุผลที่พวกเขาต้องการคนที่จะคอยตามหลังเขาไปในสนามรบ นักกลยุทธ์ที่สามารถจะวางแผนและมอบภาพรวมที่ซอลจีฮูไม่อาจจะหยุดมองได้ในระหว่างที่บุกฝ่าไปข้างหน้า
‘ดูเหมือนฉันจะสบายใจได้หน่อยแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะขึ้นอยู่กับพัฒนาการของเธอก็ตาม’
จางมัลดงยิ้มขึ้น เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าอึนยูริจะเข้ามาเติมเต็มในตำแหน่งนี้
***
หลังจากวันนั้นซอลจีฮูก็ได้ละทิ้งงานทั้งหมดไป เมื่ออึนยูริทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเองแล้ว เขาจึงหยุดให้ความสนใจเธอ
นับตั้งแต่เขตพื้นที่เป็นกลางเริ่มต้นขึ้นมันก็ผ่านมาสองเดือนแล้ว ซอลจีฮูได้เริ่มซุ่มซ้อมอยู่ภายในห้องฝึกอยู่เพียงลำพัง
ชีวิตประจำวันของเขาได้เปลี่ยนแปลงไป เขาจะตื่นขึ้นมาตอนหกโมงเช้าเช่นเดียวกันกับอึนยูริ และฝึกจนถึงเที่ยงคืนโดยไม่หยุดพัก เขากำลังฝึกกับเงาภายในหัวโดยไม่กระทั่งจะอาบน้ำด้วยซ้ำ และแม้กระทั่งตอนกินอาหารเขาก็ยังใช้มานาอยู่อย่างต่อเนื่อง
เมื่อถึงเที่ยงคืนพอดี เขาก็จะออกจากห้อง และมุ่งหน้าไปห้องฝึก เนื่องจากในช่วงเวลานี้มีคนใช้ห้องฝึกไม่มากนัก เขาจึงสามารถจะใช้อุปกรณ์เครื่องมือต่างๆได้อย่างเต็มที่
ซอลจีฮูได้ฝึกเหมือนกับคนบ้าไปแล้ว หากว่าจะมีอะไรที่ต่างจากแต่ก่อน นั่นก็คือเขาไม่ได้สนเรื่องผลลัพธ์อีกต่อไป
กลับกันเขามีความเชื่อ
ต่อให้ความพยายามของเขามันไม่ได้ปรากฏขึ้้นมาในทันที เขาก็ตัดสินใจทำมันต่อไป เขาเชื่อมั่นว่าหากเขาทำการฝึกต่อไปเรื่อยๆแบบนี้ ในที่สุดมันก็ต้องเกิดผลลัพธ์ออกมาบ้าง
ด้วยการทุ่มเทเวลาและความพยายามทั้งหมดไปกับการฝึกนี้ทำให้ความอิจฉาที่เขามีต่ออึนยูริได้ค่อยๆจางลงไป
… ไม่สิ จริงๆแล้วเมื่อไหร่ก็ตามที่อึนยูริเข้ามาพูดคุยเรื่องสิ่งที่เธอได้เรียนรู้ เขาก็ยังยิ้มแห้งๆอยู่ เมื่อไหร่ที่เขาได้เห็นหน้าต่างสถานะของเธอ เขาก็จะตระหนักถึงความต่างของพรสวรรค์และรู้สึกสิ้นหวัง ยังไงก็ตามซอลจีฮูก็ไม่ได้อิจฉาอึนยูริมากเกินไป จริงๆแล้วเขาก็ยอมรับมันด้วย
มีคำกล่าวไว้ว่าคนที่ไปอิจฉาอัจฉริยะแต่กำเนิดมีแต่คนโง่เท่านั้น กลับกันคนๆนั้นควรที่จะพยายามในทุกๆวันให้เป็นสิบยี่สิบปีมากกว่า จากนั้นสักวันหนึ่งพวกเขาจะกลายเป็นคนที่พวกเขาอยากจะเป็นมาตลอด
เมื่อไหร่ที่เกิดความคิดแง่ลบ เขาก็จะครุ่นคิดไปถึงคำพูดเหล่านี้ และพยายามฝึกฝนมากยิ่งขึ้นอีก เมื่อเขาทำแบบนี้ภาพของคู่แข่งคนใหม่ก็ปรากฏขึ้น
มันไม่ใช่อึนยูริ แต่เป็นเขาเอง
ซอลจีฮูได้เริ่มสู้กับตัวเองก่อนที่จะได้รู้ตัวซะอีก เมื่อไหร่ที่เขาเห็นหน้าต่างสถานะที่หยุดนิ่งเขาก็จะรู้สึกโศกเศร้า แต่ว่านั่นก็เพียงแค่ทำให้เขากัดฟัน และกวัดแกว่งหอกต่อไปมากยิ่งขึ้น
ทันทีที่เขายอมแพ้นั่นก็หมายความว่าเขาแพ้ แพ้ให้กับตัวเขาเอง
เมื่อคิดได้แบบนี้ เขาจึงไม่ยอมแพ้ และยิ่งเขาอดทนไปกับมันได้ เขาก็รู้สึกว่าเขาพัฒนาขึ้น
มันเป็นเรื่องลึกลับ ถึงแม้ว่าผลลัพธ์มันจะไม่ได้ปรากฏให้เห็น แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างภายในใจ
เฉกเช่นอัจฉริยะมีเส้นทางของพวกเขา คนธรรมดาก็มีเส้นทางของตัวเองเช่นเดียวกัน
พรสวรรค์ของซอลจีฮูธรรมดา นี่คือความเป็นจริง แต่ถึงแบบนั้นก็มีแค่สิ่งเดียวที่เขาทำได้
‘พยายามให้มาก’
อดทนชดเชยพรสวรรค์ที่ขาดหายไป
‘มากกว่านี้ มากขึ้นอีก…!’
ขณะที่ซอลจีฮูหลบการโจมตีของโฮมุนครุสในโลกแห่งจินตนาการ หยดเหงื่อที่ไหลลงมาจากผมของเขาก็เปล่งประกายเหมือนกับดวงดาว
***
ซอลจีฮูฝึกอยู่จนกระทั่งตี 2 วันนี้ก็เป็นอย่างเคย จากนั้นเขาก็มุ่งหน้าไปที่โรงอาหาร เมื่อเขาได้เข้าไปในครัวก็เป็นอย่างที่คิด-
“มาแล้วหรอ?”
ซอยูฮุยกำลังรออยู่พร้อมวัตถุดิบอาหารที่เตรียมเอาไว้
“ครับพี่สาว…”
ซอลจีฮูได้ยิ้มแห้งๆด้วยความรู้สึกผิด มีแค่เหตุผลเดียวที่ซอยูฮุยรออยู่ในเวลานี้ นั่นก็คือการทำอาหารให้ซอลจีฮู
ไม่ว่าใครก็ต้องหิวหนักหลังจากผ่านการฝึกอันเข้มข้น ซอลจีฮูจะแอบเข้ามาในครัวเพื่อขโมยอาหารในทุกๆคืน แต่แล้วเขาก็ถูกซอยูฮุยจับได้ในตอนเช้า และวันรุ่งขึ้นเธอก็มาเตรียมอาหารไว้ให้กับเขา
ซอยูฮุยรู้สึกเสียใจกับการที่หัวหน้าผู้จัดการและตัวแทนต้องแอบมาขโมยอาหารเหมือนโจร ดังนั้นเธอจึงมาทำอาหารมื้อดึกให้กับเขา
“กินนี่รอก่อนนะ อีกเดี๋ยวฉันจะไปเตรียมอาหารให้”
หลังจากตะกร้าที่เต็มไปด้วยแซนด์วิชแล้ว ซอยูฮุยก็ยิ้มสดใส และลุกขึ้นยืน ซอลจีฮูรู้สึกประทับใจมากที่ได้เห็นโต๊ะทำอาหารเต็มไปด้วยวัตถุดิบมากมาย แต่อีกด้านหนึ่งเขาก็อดรู้สึกผิดไม่ได้
มันเหมือนกับว่าเขาทำให้ซอยูฮุยต้องลำบากโดยไม่จำเป็นเลย
“พี่สาว ผมเตรียมอาหารเองได้นะ…”
“ไม่หรอก นายจะคว้าทุกๆอย่างที่นายเห็น เพื่อการฝึกแล้วนายนอนแค่สี่ชั่วโมงเองไม่ใช่หรอ? เพราะงั้นแล้วนายต้องกินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการนะ”
ระหว่างกวนทัพพี ซอยูฮุยก็พูดออกมา ซอลจีฮูที่กำลังกัดผักลงไปอยู่ก็ได้แต่ยิ้มเขินออกมา
“ยอดไปเลยครับ ผมมีความสุขมาก”
สีหน้าของเขาดูจะมีความสุขจริงๆ ซอยูฮุยก็ยิ้มเช่นกัน
“ฟุฟุ นายมีความสุขหรอ?”
“จะไม่ให้ผมมีความสุขได้ยังไงกัน? พี่สาวทำเหมือนผมเป็นราชาอยู่ทุกวันเลย”
“อ่า คืนนี้นายตั้งตารอเมนูพิเศษได้เลย ฉันเตรียมของดีเอาไว้”
“ของดี?”
“ใช่แล้ว นายเห็นของที่คล้ายหอยบนโต๊ะไหมล่ะ?”
ซอลจีฮูได้มองตามไป ที่ตรงนั้นเขาเห็นเปลือกหอยที่มีเนื้อหอยดูนิ่มน่าทาน
“มันมีชื่อว่าอัญมณีแห่งท้องทะเล เป็นหอยที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในพาราไดซ์? เพราะเนื้อมันเป็นสีขาวเหมือนกับนมทำให้มีอีกชื่อหนึ่ง่วาไข่มุกแห่งท้องทะเล”
ผิวภายนอกของหอยมีสีขาวนมและดูนิ่มเหมือนกับที่เธอบอกจริงๆ ซอลจีฮูได้ค่อยๆขยับไปใกล้ และสูดกลิ่นหอมเข้ามาในจมูก
‘ต่อให้กินสดๆก็สมบูรณ์แบบ’
ซอลจีฮูกลืนน้ำลายลงไป
“ผมขอลองกินได้ไหม”
“แน่นอนสิ ฉันเตรียมเอาไว้ให้นายกินนั่นแหละ”
ซอยูฮุยได้ตอบกลับพร้อมลวกผักลงในหม้อน้ำ
“โอ้ ดูน่าทึ่งมากเลย”
“อ๊ะ ระวังด้วยนะ ถึงภายนอกจะดูไม่มีปัญหาอะไร แต่เมล็ดข้างในหอยมันมีพิษอยู่ ให้ดีก็อย่ากินสด แล้วก็ควรจะเตรียมสมุนไพรถอน-”
ซอยูฮุยได้ผงะไป และหยุดพูด เมื่อหันกลับมาเธอก็เห็นซอลจีฮูดึงเนื้อในเปลือกหอยออกมาแล้ว
“จะ จีฮู?”
ดวงตาซอยูฮุยได้เบิกกว้างขึ้น ยิ่งเมื่อซอลจีฮูอ้าปากหย่อนเนื้อเข้าไปข้างใน เธอก็ตะโกนขึ้นอย่างตกตะลึง
“เดี๋ยวก่อน!”
จะหนูที่น่าสสารนี่กำลังจะตาย สัญชาตญาณความเป็นแม่ของซอยูฮุยได้ทำงาน และโดยไม่ต้องคิดเลย-
“…!?”
เธอได้กระโจนเข้าหาซอลจีฮูพร้อมตะโกนออกมา
…ย้อนกลับไปเมื่อ 10 นาทีก่อนหน้านี้ อึนยูริได้รออยู่จนกระทั่งตี 2 โดยไม่นอน และแอบออกมาจากห้อง ในมือของเธอมีถุงพลาสติกอยู่
‘หวังว่าเขาจะชอบนะ’
เธอได้ยินมาจากจางมัลดงแล้วว่าช่วงนี้ซอลจีฮูกำลังทำการฝึกฝนอย่างหนักอยู่ มันกระทั่งเป็นเรื่องยากที่จะไปพบหน้าเขาในตอนที่เขาเริ่มการฝึก
ทันทีที่เธอรู้ อึนยูริก็อยากที่จะช่วยซอลจีฮู เธอมีความตั้งใจที่อยากจะตอบแทนบุญคุณที่เธอได้รับมาจากเขา เพราะงั้นแล้วหลังจากคิดอยู่นายเธอก็ได้รับแนะนำจากจางมัลดง และเตรียมของขวัญที่เหมาะสมให้เขา
[หากว่าอยากจะช่วยเขา ก็ซื้ออำนาจการฝึกให้เขาบ้างสิ]
[ต้องไม่ใช่อำนาจการฝึกพิเศษนะ เขาไม่ใช่คนที่จะขโมยของที่เขามอบให้ไปแล้ว แค่เอาอำนาจการฝึกที่ที่สุดในร้านค้าทั่วไปให้กับเขา เขาก็จะดีใจมากแล้ว]
เพราะเธอกำลังไล่ทำภารกิจให้หมดอยู่ ดังนั้นแล้วเธอจึงมีคะแนนเอาชีวิตรอดอยู่เหลือเฟือทำให้เธอไปซื้ออำนาจการฝึกจำนวนมากที่เธอซื้อได้จากร้านค้าทั่วไป จากนั้นก็แอบออกมาจากห้องในตอนที่การฝึกของซอลจีฮูเสร็จสิ้น
เพราะเธอไม่ได้เจอเขามาสักพักแล้ว ส่วนหนึ่งในใจของเธอก็อยากจะเจอเขา และบอกเขาถึงความคืบหน้าของเธอ
‘เขาไม่ได้อยู่ในห้องฝึก… ไปโรงอาหารแล้วงั้นหรอ?”
อึนยูริได้ค่อยๆเดินต่อไป
ไฟในโรงอาหารถูกปิดอยู่สนิท แต่ว่าที่มุมห้องครัวมีไฟสว่างอยู่อย่างที่เธอคิด
ใบหน้าเธอเป็นประกายขึ้น ขณะที่เธอกำลังเข้าไปในห้องครัวนี้เอง…
“ยอดไปเลยครับ ผมมีความสุขมาก”
“ฟุฟุ นายมีความสุขงั้นหรอ?”
“จะไม่ให้ผมมีความสุขได้ยังไงกัน? พี่สาวทำเหมือนผมเป็นราชาอยู่ทุกวันเลย”
ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงคนคุยกัน
‘เสียงนี้…’
เมื่อรู้ได้ว่าเป็นเสียงของซอลจีฮูกับซอยูฮุย อึนยูริก็กระพริบตานิ่งๆ
ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่กันล่ะ? แถมกลางดึกแบบนี้ด้วย
‘พวกเขามากินของอร่อยโดยไม่พอใครงั้นหรอ?’
อึนยูริได้เอียงหัวสงสัยอยู่สักพัก จากนั้น
“จะ จีฮู?”
ระดับเสียงของซอยูฮุยได้ดังขึ้นอย่างกระทันหัน
“เดี๋ยวก่อน!”
เสียงกระแดกดังวุ่นวายจู่ๆก็ดังออกมาจากห้องครัวพร้อมชั้นวางของก็เริ่มสั่น จากนั้น
“สะ สดไม่ได้นะ!!”
เสียงตะโกนของซอยูฮุยได้ดังเร่งรัดออกมา
“เฮือก-!”
พร้อมด้วยเสียงหอบหนักของซอลจีฮู
อึนยูริได้ชะงักเท้าไป หลังจากนั้นไม่นาน…
“ฮ่าห์… ฮ่าาห์-”
ซอยูฮุยได้ปล่อยเสียงยาวออกมาราวกับว่าเธอปล่อยลมหายใจที่กลั้นเอาไว้ออกมา
สมองของอึนยูริได้หยุดนิ่งไป และเธอได้แอบมองเข้าไปข้างใน สีหน้าเธอได้แข็งทื่อไปทันที
ห้องครัวเละเทะ พวกเขาคงจะต้องทำอะไรบางอย่างที่รุนแรงแน่ เพราะวัตถุดิบที่ถูกเตรียมเอาไว้ได้กระจายอยู่ทั่วพื้น นอกไปจากนี้ถึงจะมีโต๊ะครัวบังไว้อยู่ แต่อึนยูริก็เห็นขาของซอลจีฮูยื่นออกมาจากขอบโต๊ะ
“ฟู่วว…”
และตรงจุดที่ซอลจีฮูน่าจะกำลังนอนอยู่… อึนยูริก็เห็นไหล่ของซอยูฮุยโผล่พ้นออกมาจากโต๊ะ ร่างกายของเธอกำลังเด้งขึ้นลงอยู่อย่างแผ่นเบา
“ชิ นี่มันอะไรกัน ไม่ใช่ว่าฉันบอกให้นายรอก่อนหรอ?”
“ขะ ขอโทษครับ ผมเผลอตัวไปหน่อย…”
“นายต้องระวังมากกว่านี้ ถ้ามันเกิดอุบัติเหตุขึ้น…?”
ซอยูฮุยได้ปล่อยลมหายใจพร้อมกับไหล่ที่ห่อลง
“ฟู่ว ก็ได้ ไปทำความสะอาดก่อนเถอะ มันเละเทะไปหมดแล้ว”
“ผมทำเอง นี่มันความคิดผม พี่สาวแค่อยู่เฉยๆก็พอแล้ว”
คำพูดที่ชวนให้เข้าใจผิดได้ดังออกมา
อึนยูริรีบกลืนน้ำลายลงไป ขณะที่หญิงสาวกับชายหนุ่มลุกขึ้นยืน อึนยูริก็หันหลังจากไปเงียบๆ
เธอได้แอบออกไปจากโรงอาหารด้วยแก้มและคอที่แดงระเรื่อ