The Second Coming of Gluttony - บทที่ 302 - มหาเศรษฐี (2)
บทที่ 302 – มหาเศรษฐี (2)
สหพันธรัฐได้ถูกสร้างขึ้นมาจากการรวมกันของห้าเผ่าพันธุ์ นี่มันหมายความว่าจะไม่มีราชาที่ครอบครองอำนาจเบ็ดเสร็จทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่มีผู้นำ แต่ละเผ่าพันธุ์ต่างก็มีตัวแทนในรูปแบบของตัวเอง และมีอยู่หนึ่งเผ่าพันธุ์ที่มีสิทธิ์เสียงในสภาสูงส่งที่สุด
เมื่อซอลจีฮูคิดมาถึงจุดนี้แล้ว เขาก็พอจะคิดได้ว่ามีใครมาในกลุ่มคณะตัวแทนนี้ มันไม่ยากเลยที่จะคาดเดาเลยว่าเผ่าใดเป็นคนนำสหพันธรัฐ
“เทวดาตกสวรรค์”
-ใช่แล้ว และในหมู่เทวดาตกสวรรค์ก็มีผู้ที่พิเศษเหนือกว่าคนอื่นๆอยู่ พวกเขาถูกเรียกกันว่าสี่อัครเทวทูต”
ทันใดนั้นภาพของมิคาเอลก็เข้ามาในหัวเขา
-และในหมู่ทั้งสี่คน…
แต่ว่าก่อนที่ซอลจีฮูจะได้ถามอะไรออกมา ซอกกูนีร์ก็พูดต่อ
-อัครเทวทูตที่มีตำแหน่งสูงที่สุดกำลังอยู่ในอีวา
ดวงตาซอลจีฮูได้เบิกกว้างขึ้น สหพันธรัฐเป็นกองกำลังที่ทรงพลังเป็นอันดับสองในพาราไดซ์ ผู้บัญชาการสูดสุดคนนั้นมาที่อีวางั้นหรอ?
นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆแล้ว และพวกเขาก็ยังอยู่ระหว่างสงครามด้วยทำให้นี่คือเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน
มองย้อนกลับไปแล้วหนึ่งในอัครเทวทูตก็เคยมาที่ฮารามาร์ค แต่ในตอนนั้นพวกเขามีภารกิจใหญ่อย่างการช่วยซอลจีฮู ผู้เป็นกำลังรบสำคัญของมนุษยชาติ
แต่เหตุผล ‘ภายนอก’ ของการมาครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย มันชัดมากว่าพวกเขาจะมาขอบคุณราชวงศ์อีวาที่ให้การช่วยเหลือและส่งสมาชิกของสหพันธรัฐที่ถูกล่าเป็นทาสกลับไปอย่างปลอดภัย
ยังไงก็ตามนี่ไม่ใช่สิ่งที่สหพันธรัฐควรจะมาขอบคุณมนุษยชาติเลย มันไม่มีความจำเป็นที่ผู้บัญชาการสูงสุดต้องมาด้วยตัวเอง
‘คุณซอกกูนีร์บอกว่าพวกเขามาตั้งแต่สี่วันก่อนแล้ว?’
พวกเขามีเวลายิ่งกว่าพอให้กล่าวขอบคุณและจากไปแล้ว แต่คณะตัวแทนก็ยังคงอยู่ที่อีวา แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ประกาศต่อสาธารณะ แต่พวกเขาต้องมีธุระอยู่กับซอลจีฮูแน่
แต่อะไรกันถึงได้ทำให้ตัวตนระดับสูงแบบนั้นมาหาซอลจีฮูด้วยตัวเอง?
ภายในใจซอลจีฮูได้กลายเป็นหนักอึ้งกว่าที่เขาคิดไว้ เขาไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องดี เขาอยากจะฟังให้แน่ใจ พวกเขาจะต้องมีเหตุผลที่ยังคงอยู่ในอีวาแน่ๆ
ซอลจีฮูได้พลิกตัวนอนหลับลงไปบนเตียง พอเขาตื่นขึ้นมา เขาก็รู้สึกได้ถึงอากาศเย็นยามเช้าแล้ว หลังจากลุกจากเตียงไปล้างหน้า เขาก็รีบกินอาหารเช้า และเก็บของ
เมื่อจับลูกเจี๊ยบที่ยังคงง่วงอยู่ใส่กระเป๋า เขาก็ออกไปจากสำนักงาน นั่นก็เพราะซอกกูนีร์ติดต่อมาว่าราชวงศ์กำลังรอเขาอยู่ ซอกกูนีร์ได้นำทางซอลจีฮูไปที่ห้องประชุมในวัง เมื่อประตูถูกเปิดขึ้นซอลจีฮูก็สูดหายใจสงบหัวใจที่เต้นแรง
ภายในห้องมีคนอยู่สามคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว คนทางซ้ายเป็นยูเรลที่เขารู้จักอยู่แล้ว พอเข้าไปในห้องเธอก็ยกมือทักทายเขาทันที
ซอลจีฮูไม่เคยเห็นหญิงสาวทางขวามาก่อน แต่ตัดสินจากผิวสีขาวและหูแหลมตั้งแล้ว เธอคงจะเป็นแฟรี่ท้องฟ้า
คนสุดท้ายที่นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งคู่เป็นหญิงสาวที่หลับตาอยู่ และมีปักสีดำหุบอยู่ เส้นผมสีเงินขาวของเธอพริวไสวลงมา และเธอก็ดูจะสูงส่ง เธอได้มอบความรู้สึกสูงส่งสง่างามที่ไม่มีวันมัวหมองออกมา
ซอลจีฮูได้ชะงักไป ไม่นานนะเทวดาก็ค่อยๆลืมตาขึ้น ดวงตางดงามสีเงินของเธอดูเหมือนจะเต็มไปด้วยแสงจันทร์ได้จับจ้องซอลจีฮูแทบจะทันที ก่อนที่เธอจะส่งยิ้มบางออกมา
“สวัสดีค่ะ”
ซอลจีฮูได้ผงะไปอยู่ครู่หนึ่ง เขาควรจะวางตัวยังไงดี… เธอทักทายเขาด้วยท่าทีที่เป็นมิตรมากกว่าที่คิดไว้ เขาคิดว่าเธอคงไม่ทักทายด้วยท่าทีสูงส่งอย่าง ‘มานี่สิ มนุษย์-‘ แต่เขาก็ไม่คิดว่าเธอจะเป็นมิตรกับเขาขนาดนี้ ภาพจินตนาการของเทวดาในหัวเขาได้แตกเป็นเสี่ยงๆ
เทวดาตกสวรรค์ที่กำลังมองสำรวจดูซอลจีฮูไม่ได้สนใจสิ่งที่เขาคิดเลย หลังจากจ้องมองเขาด้วยสายตาลุ่มลึกอยู่สักพัก เธอก็พูดขึ้นอีกครั้ง
“เข้าใจแล้ว คุณคือชะตากรรมที่ราชินีปรสิตหวาดกลัว…’
จากนั้นเธอก็เอียงหัวออกมา
“ช่างน่าสนใจ ชะตากรรมที่เคยปิดลงไปแล้วไม่อาจจะถูกเปิดขึ้นอีกครั้งได้ง่ายๆ มันไม่ใช่ว่าไม่เคยมีมาก่อน… แต่กระทั่งเทพยุทธก็ต้องใช้การแทรกแซงเข้ามาเพื่อทำให้มันฝืนเปิดออก แต่การทำมันด้วยพละกำลังของตัวคนเดียวนี่… หืม นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย”
“?”
“อ่อ อย่าสนใจเลย ฉันแค่กำลังพูดกับตัวเอง”
เทวดาตกสวรรค์ได้หัวเราะพร้อมโบกมือไม่ใส่ใจ จากนั้นเธอก็กอดอกพยักไหล่
“ฉันกาเบรียล”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมตัวแทนวัลฮาลา ซอลจีฮู”
“ฉันรู้จักคุณ ทุกๆคนจากสหพันธรัฐต่างก็รู้จักคุณดี”
กาเบรียลยิ้มออกมา
“เอาเถอะนะ ต้องขออภัยด้วยที่ฉันเผยได้แค่ชื่อเท่านั้น หลังจากที่ร่วงหล่นลงมาแล้ว สิ่งต่างๆอย่างลำดับและตำแหน่งอันยาวนานได้กลายเป็นสิ่งไร้ความหมายไปแล้ว”
ซอลจีฮูไม่ได้พูดอะไรออกมา ไม่ใช่แค่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเจอกันเท่านั้น แต่เขายังไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพูดเลยสักนิด
มันดูเหมือนกาเบรียลก็ไม่ได้สนใจเช่นกัน เธอได้ส่งท่าทีให้เขานั่งลง
“ต้องขออภัยที่พูดแบบนี้หลังจากเจอกัน แต่ว่าเราขอคุณให้ช่วยเราหน่อยจะได้ไหม?”
กาเบรียลได้พูดเข้าเรื่องทันทีที่ซอลจีฮูนั่งลง
“พวกเราคิดว่าพวกเราสามารถจะเจอคุณได้ตั้งแต่วันที่เราเดินทางมาแล้ว แต่มันกลับการเป็นล่าช้ากว่าที่เราคิดไว้ พวกเราต้องรีบกลับไป สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ดีเลย”
“ครับ ผมเข้าใจ พูดมาได้เลย”
“ขอบคุณค่ะ อย่างแรกเราอยากจะเห็นภูติอาคัส นี่เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับเรา”
กาเบรียลได้รีบพูดออกมา ซอลจีฮูก็พอได้ยินเหตุผลที่พวกเธอมาจากซอกกูนีร์แล้ว อย่างแรกกาเบรียลอยากเจอซอลจีฮู สองอยากจะเจอลูกเจี๊ยบ และสามคือบอกบางอย่างกับเขา
ซอลจีฮูได้หยิบเอาลูกเจี๊ยบออกมาจากกระเป๋า
“อ่า-!”
หลังจากได้เห็นภูติอาคัสแล้ว แฟรี่ท้องฟ้าก็อุทานเบาๆ
กาเบรียลถามขึ้น “เป็นของจริงสินะ?”
“ค่ะ! เขายังอยู่ในวัยเด็ก แต่นี่เป็นภูติอาคัสจริงๆ!”
แฟรี่ท้องฟ้าเคยได้จัดทำพิธีกรรมที่เจดีย์แห่งความฝันมาก่อน เป้าหมายของพิธีกรรมนั่นก็เพราะสัมผัสถึงพลังงานของภูติอาคัส และติดต่อกับมัน”
แต่ในวันหนึ่งจู่ๆพลังนี้ก็หายไป เหล่าระดับสูงของสหพันธรัฐได้ยืนยันถึงเรื่องทีมปฏิบัติการเข้าไปในเจดีย์แห่งความฝัน และคาดการณ์ว่าซอลจีฮูคงจะพาภูติอาคัสมาด้วย
พวกเขาได้เดินทางมาอีวาเพื่อบรรลุเป้าหมายของพิธีกรรมนั่น
“เยี่ยม ถ้างั้นรีบถามเร็วเข้า”
เมื่อได้ยินคำสั่งนี้ แฟรี่ท้องฟ้าก็มองมาที่ซอลจีฮู พอเธอขยับเข้ามาสะกิดลูกเจี๊ยบที่หลับอยู่ มันก็กระพริบตาตื่นขึ้นมา
“ฟี๊?”
ระหว่างที่มันกำลังจะแสดงอารมณ์โมโหตามปกติ สายลมก็ได้ดังออกมาจากปากแฟรี่ท้องฟ้า มันแทบจะเหมือนกับว่าเธอกำลังผิวปาก
ซอลจีฮูคิดขึ้นทันทีว่า ‘เธอกำลังทำอะไร?’ แต่ต่อจากนั้นลูกเจี๊ยบก็เงยหน้าขึ้นจ้องมองแฟรี่ท้องฟ้าที่ผิวปาก
“ฟี๊-”
“…แกว๊ก”
“ฟี๊ ฟิ๊-”
“แกว๊ก แกว๊ก?”
ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างเมื่อเห็นทั้งคู่ดูเหมือนจะคุยกันอยู่
“เป็นภาษาภูติ”
ยูเรลได้กระซิบออกมาหลังเห็นสีหน้าซอลจีฮู
“การสื่อสารกับภูติจะใช้ภาษาภูติสื่อสารกัน แฟรี่ท้องฟ้าไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ภาษานี้เพราะพวกเขาเกิดขึ้นมาพร้อมความสามารถในการใช้ความรู้สึกสื่อสารกับภูติ แต่แฟรี่บางคนก็เลือกเรียนรู้ภาษานี้ พวกเราพาแฟรี่ที่รู้วิธีพูดภาษาภูติมาเพื่อสื่อสารกับภูติอาคัส”
ซอลจีฮูอยากจะถามเรื่องภาษานี้ แต่หลังจากเห็นใบหน้าของแฟรี่ท้องฟ้าหม่นหมอง เขาก็ต้องเงียบลงไป เสียงผิวปากและเสียงร้องได้ดังอยู่ในห้องสักพัก
หลังจากผ่านไปสิบนาที
“แกว๊ก…”
ลูกเจี๊ยบได้ก้มหน้าลงพร้อมกอดปีกเล็กๆไว้ จากสายตาที่หลับของมัน ดูเหมือนมันกำลังคิดกับตัวเองอยู่
เมื่อเห็นแบบนี้สีหน้าแฟรี่ท้องฟ้ายิ่งมืดมนกว่าเดิม
“เป็นยังไงบ้าง?”
แฟรี่ท้องฟ้าได้ส่ายหัวเงียบๆกับคำถามนี้
“เขาบอกว่าเขาไม่รู้ นับตั้งแต่ที่เขาออกจากอาณาจักรภูติก็ผ่านมานานมากแล้ว…”
กาเบรียลเดาะลิ้นออกมา
“บางทีเราอาจจะหวังมากเกินไป”
“เกิดอะไรขึ้นหรอครับ?”
เมื่อเห็นแบบนี้ในที่สุดซอลจีฮูก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย กาเบรียลได้เหลือบตามองเขา จากนั้นก็ถอนหายใจ
“หากเป็นคุณ… บอกไปก็คงไม่มีปัญหา พูดตามตรงเลยนะ พลังของอาณาจักรภูติได้หายไป”
“…”
“แน่นอนว่าการสื่อสารระหว่างเราได้ถูกตัดไปก่อนหน้านั้นแล้ว แต่ถึงแม้ว่าจะไม่อาจเชื่อต่อเพื่อเรียกภูติมาได้ แต่เหล่าแฟรี่ก็ยังรู้สึกได้ว่าอาณาจักรภูติยังคงอยู่”
“การที่ไม่รู้สึกพลังของอาณาจักรภูตินั่นมันหมายความว่า…?”
“มันง่ายมาก”
กาเบรียลพูดนิ่มๆ
“มันหมายความว่ารากฐานของอาณาจักรภูติ ต้นไม้โลก ได้เหี่ยวเฉาไปแล้ว”
จิตใจซอลจีฮูจมดิ่งลงไป
[ทันทีที่อาณาจักรภูติล่มสลาย ป้อมปราการไทกอลก็จบสิ้น และหากป้อมปราการไทกอลล่มสลายลง มันก็คือจุดจบของสหพันธรัฐ และหากสหพันธรัฐล่มสลาย…]
สิ่งที่อึนยูริในนิมิตพยายามจะหยุดยั้งได้เกิดขึ้นแล้ว
“มันไม่มีวิธีชุบชีวิตต้นไม้โลกเลยหรอครับ?”
“หากว่ามันง่าย เราก็คงไม่มาอยู่ในจุดนี้”
เมื่อซอลจีฮูรีบถามออกมา กาเบรียลก็เม้มปากและชูนิ้วขึ้นสามนิ้ว
“การชุบชีวิตต้นไม้โลกมันยากมาก การจะทำแบบนั้นคุณจะต้องแก้ไขปัญหาสามอย่าง น่าเสียดายทั้งสามอย่างนั้นก็ทำได้ยากมากๆ”
“คืออะไรหรอครับ?”
“อย่างที่ฉันเคยบอกไป พลังของอาณาจักรภูติได้หายไปมันหมายความว่าต้นไม้โลกได้ตายไปแล้ว เพราะงั้นเราจะต้องให้กำเนิดต้นไม้โลกต้นใหม่ขึ้น และเพื่อการนี้เราก็ต้องการเมล็ดพันธุ์ต้นไม้โลก”
กาเบรียลได้พูดต่อ
“แต่เมล็ดพันธุ์นี้มีอยู่เฉพาะในต้นไม้โลกที่อยู่ในอาณาจักรภูติ ฉันคิดว่าผู้บัญชาการกองทัพที่ทำลายต้นไม้โลกคงจะทิ้งเมล็ดพันธุ์นี้เอาไว้โดยไม่สนใจ”
“เมล็ดพันธุ์ต้นไม้โลก…”
ซอลจีฮูได้เปิดกระเป๋าในทันที เขาอยากจะถามเรื่องนี้กับสหพันธรัฐอยู่แล้ว และนี่ก็เป็นโอกาสดี
“คุณกำลังพูดถึงเจ้านี่หรือเปล่า?”
เมื่อซอลจีฮูดึงมือออกมาก็เผยให้เห็นเมล็ดพันธุ์ขนาดเท่าเล็บนิ้วบนฝ่ามือเขา มันดูเหมือนกับเมล็ดลูกพลับ แต่เรืองแสงสีเขียวที่เป็นพลังงานลึกลับออกมา
เหล่าแขกทั้งสามคนได้หันมาสนใจเมล็ดพันธุ์นี้ทันที และไม่นานนักแฟรี่ท้องฟ้าก็กรีดร้องออกมา
“อ๊าาาา-!”
เธอถึงขนาดทุบโต๊ะเด้งตัวขึ้นมา
“นะ..! นี่เมล็ดพันธุ์ต้นไม้โลก!?”
เธอตะโกนพร้อมทรุดไปกับพื้น แม้กระทั่งยูเรลก็ยังอ้าปากค้าง
“นี่มัน… น่าทึ่ง”
มีก็แต่กาเบรียลเท่านั้นที่รักษาความสงบไว้ได้
“คุณมีสิ่งนี้ได้อย่างไร?”
“ผมซื้อมันมาจากเขตพื้นที่เป็นกลาง”
“เขตพื้นที่เป็นกลาง?”
“มันเป็นพื้นที่ที่เทพทั้งเจ็ดสร้างขึ้น ที่นั่นมีของพิเศษถูกขาย และแต้มคุณูปการของชาวโลกก็จะถูกใช้เพื่อเรียกมันขึ้นมา…”
เมื่อซอลจีฮูอธิบายจบ กาเบรียลก็ขมวดคิ้วพร้อมกับยูเรลที่จับหัวตัวเองพร้อมๆกัน
“อ้าาา! ให้ตายสิ! หากว่าเราซื้อมันก่อนหน้านี้!”
“หือ?”
“แค่นิดเดียว! หากว่าเรามีมันก่อนหน้านี้สักนิด! อ๊ากกก!”
จากนั้นเธอก็กระแทกหัวเข้ากับโต๊ะด้วยความเสียใจรุนแรง กาเบรียลที่เห็นซอลจีฮูมองอย่างสับสนได้แต่ยิ้มแห้งๆออกมมา
“ฉันบอกคุณไปแล้วว่าต้นไม้โลกน่าจะตายไปแล้ว”
“ถ้างั้นเราก็แค่ปลูกเมล็ดพันธุ์ของมัน และให้มันโตขึ้นมาก็ได้นี่ครับ”
“คุณพูดถูก เราทำได้ แต่คุณคิดว่าต้นไม้โลกจะโตเต็มที่ในแค่วันเดียวหรอ?”
ซอลจีฮูผงะไป แม้กระทั่งต้นไม้ธรรมดาก็ยังใช้เวลาอันยาวนานกว่าจะโต เขาไม่อาจจะจินตนาการได้เลยว่าต้องใช้เวลาอันยาวนานแค่ไหนถึงจะทำให้ต้นไม้โลกโตขึ้นมาได้
“นี่คือเหตุผลที่ฉันบอกว่ามีอยู่สามปัญหา แต่หากว่าราชินีปรสิตรอจนกว่าต้นไม้โลกจะโตก็คงดี”
“มันไม่มีวิธีเร่งให้ต้นไม้โลกโตขึ้นเลยหรอครับ?”
“มันก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ต้นไม้โลกไม่ได้โง่ มันมีหลายวิธีเตรียมไว้แล้วเผื่อมันจะตายลง”
“ครับ”
“จะพูดว่ามันได้เก็บสารอาหารพิเศษเอาไว้สำหรับให้ต้นไม้โลกต้นถัดไปจะถูกกว่า”
กาเบรียลได้เคาะโต๊ะด้วยความกังวล
“มันเป็นสารอาหารที่มีชื่อว่าหญ้ากกอฟิโร่ ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันเราต้องการมันห้าชิ้น นี่เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ต้นไม้โลกโตได้ตามที่เราต้องการ”
“หญ้ากกอฟิโร่?”
“ใช่แล้ว พูดตามตรงห้าชิ้นก็โลกไปหน่อย หากว่ามีแค่สาม… ไม่สิ แค่หนึ่งหรือสองก็ได้ แค่นั้นก็ทำให้เรามีความหวังได้แล้ว…”
“เรื่องนั้น…”
“ยังไงก็ตามมันมีความเป็นไปได้ที่ผู้บัญชาการกองทัพได้เด็ดมันออกมาจากต้นไม้โลกที่ตาย…”
ต่อจากนั้นกาเบรียลก็ไม่อาจจะพูดได้จนจบ และต้องอ้าปากค้าง นั่นก็เพราะในมือซอลจีฮูมีถุงอะไรบางอย่างอยู่
ไม่ใช่แค่กาเบรียลเท่านั้นที่ตกใจ ยูเรลก็ยังยกมือขึ้นอย่างอดไม่ได้ และตัวแข็งทื่อไป แฟรี่ท้องฟ้าที่กำลังลุกขึ้นยืนในสภาพแปลกๆก็ยังสะดุดเท้าตัวเองล้มลงไปอีก
“นี่คือหญ้ากกอฟิโร่ใช่ไหมครับ?”
ในมือซอลจีฮูมีหัวรากที่เหมือนกับถั่วอยู่ ซึ่งมีทั้งหมดห้าอันพอดีเป๊ะ
ความเงียบสงบได้เข้าปกคลุมทั้งห้อง