The Second Coming of Gluttony - บทที่ 303 - มหาเศรษฐี (3)
บทที่ 303 – มหาเศรษฐี (3)
ทั้งห้องได้ตกอยู่ในความเงียบทันที
ความเงียบนี่มีความหมายในหลายรูปแบบ บางทีก็อาจจะเป็นการปากพล่อย หรือบางคนอาจจะพูดไม่ออกเพราะเจอกับสิ่งที่น่าตกใจก็ได้
สถานการณ์นี้เป็นเพราะอย่างหลัก ทุกๆคนต่างมองมาที่หญ้ากกอฟิโซ่ด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ
เหตุผลเดียวที่เขาต้องเชื่อคือหลักฐานมันอยู่ตรงหน้านี้ พวกเขากำลังมองมันอยู่
หลังจากเงียบอยู่นาน กาเบรียลก็ได้พูดออกมา
“จริงๆเลย… แค่ตอนได้ยินว่าความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ถูกกำจัด ฉันตกใจมากแล้ว…”
“ช่างเป็นมนุษย์ที่ลึกลับ”
ยูเรลก็ยังเสริมขึ้น
“เขามีวิธีการแก้ปัญหาที่สหพันธรัฐทำอะไรไม่ได้เลย เหมือนกันกับในตอนผู้บัญชาการกองทัพที่หนึ่ง”
เธอกระทั่งดูหดหู่เล็กน้อย
แฟรี่ท้องฟ้าร้องไห้ออกมา เธอลุกขึ้นจากพื้นและมองสลับไปมาระหว่างเมล็ดพันธุ์ต้นไม้โลกกับหัวรากพร้อมน้ำตานองหน้า
ซอลจีฮูได้ผงะกับแฟรี่ท้องฟ้าที่ร้องไห้ไร้เสียงนี้ แต่ว่ามันก็ช่วยให้เขาได้เข้าใจว่าสหพันธรัฐสิ้นหวังมากแค่ไหน
“ฉันเข้าใจนะว่าเธอรู้สึกยังไง…”
กาเบรียลได้เหลือบแฟรี่ท้องฟ้าที่กำลังสะอื้นด้วยสีหน้าไม่ยินดีนัก
“แต่เธอไม่ควรจะรีบยินดีไปนะ?”
“…ฉันไม่ได้ร้องไห้เพราะยินดีค่ะ”
แฟรี่ท้องฟ้าหยุดร้อง และตอบกลับเบาๆ
“ฉันร้องไห้เพราะเสียใจ มันเป็นอย่างที่ผู้บัญชาการแฟรี่พูดไป”
น้ำเสียงของเธอดูไม่เหมือนคนที่กำลังยินดีจริงๆ
ซอลจีฮูรู้ว่าทำไม กาเบรียลได้บอกเอาไว้ว่ามีอยู่สามปัญหาที่ขัดขวางการคืนชีพต้นไม้โลก สิ่งที่ซอลจีฮูเอาออกมาช่วยแก้ไขได้แค่สองปัญหาเท่านั้น
แน่นอนว่าแค่แก้สองปัญหานี้ก็เป็นความสำเร็จที่มากแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไป มันก็แค่ว่าพวกเขามีวิธีในการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์เท่านั้นเอง
“มันช่างน่าเสียใจ”
กาเบรียลได้ถอนหายใจยาว
“หากว่าคุณเอาของเหล่านี้มาให้เราเร็วกว่านี้แค่สักนิด หากว่าเรามีของเหล่านี้ในตอนที่การเชื่อมต่อของอาณาจักรภูติไม่เสถียร เราก็จะแก้ไขปัญหาได้แล้ว”
ในตอนนี้พวกเขามีเมล็ดพันธุ์ที่จะกลายเป็นรากฐานของต้นไม้โลกต้นใหม่ และสารอาหารที่จะช่วยให้เมล็ดพันธุ์โตขึ้นด้วย สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในตอนนี้
“ช่างน่าเสียดายมากจริงๆ แต่ว่าต้นไม้โลกก็ไม่อาจจะโตขึ้นในมิดเดิลเวิลด์ได้”
ต้นไม้โลกจำเป็นต้นมีผืนดินอุดมสมบูรณ์และสภาพแวดล้อมเฉพาะ
“ต้นไม้โลกเกิดขึ้นในอาณาจักรภูติ ต้นไม้โลกที่อยู่ในป้อมปราการไทกอลเป็นแค่ร่างอวตารของต้นไม้โลกเท่านั้น”
“คุณจะบอกว่าเราปลูกเมล็ดพันธุ์ในโลกนี้ไม่ได้หรอครับ?”
“ถูกแล้วล่ะ ต้นไม้โลกจะเติบโตได้แค่ในพื้นที่อาณาจักรภูติเท่านั้น การปลูกเมล็ดพันธุ์ในมิดเดิลเวิลด์ไม่ต่างไปจากปลูกต้นไม้ในถังขยะเลย”
นี่มันหมายความว่า…
“เราจะต้องหาวิธีที่ส่งเมล็ดพันธุ์กับสารอาหารไปที่อาณาจักรภูติ…”
สำหรับในมิดเดิลเวิลด์แล้วเมล็ดพันธุ์ต้นไม้โลกกับหญ้ากกอฟิโซ่ไม่ได้ต่างไปจากขยะเลย ของทั้งสองอย่างนี้จะแสดงคุณค่าอันแท้จริงได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาสามารถเชื่อมต่อกับอาณาจักรภูติได้ และส่งมันไปที่นั่น แต่เพราะต้นไม้โลกได้เหี่ยวเฉาไปแล้ว ทำให้การทำแบบนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลย
ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ทำให้ซอลจีฮูนิ่งไป เขาคิดในใจว่าจะส่งมอบของเหล่านี้ไป แต่มันกลับกลายเป็นว่าสายไปแล้ว
“ให้ตายสิ”
กาเบรียลได้ยกมือลูบหน้า
“ฉันไม่น่าถามเลย มันก็แค่ว่าฉันคิดไม่ถึงอะไรแบบนี้”
เธอบ่นออกมาโดยบอกว่าเธอไม่ควรจะให้ความหวัง จากนั้นก็ส่งสัญญาณทางสายตา ยูเรลได้ลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง และมอบชุดที่ถูกพับเอาไว้ให้กับซอลจีฮู พอเหลือบมองดูมันเหมือนกับเป็นชุดเครื่องแบบสีดำสนิท
“เป็นของขวัญ”
“?”
“มันถูกทอด้วยขนปีกของเทวดาตกสวรรค์ เส้นผมของแฟรี่ถ้ำ และปีกของแฟรี่ท้องฟ้า มันน่าจะให้ความรู้สึกสบาย คุณได้ทำคุณประโยชน์ยิ่งใหญ่ให้กับสหพันธรัฐ พวกเราคิดว่าอย่างน้อยเราควรจะตอบแทนคืนบ้าง”
“…ขอบคุณครับ”
ซอลจีฮูฝืนตอบกลับไป เขาควรที่จะยินดีที่ในที่สุดได้ชุดเกราะมา แต่ใบหน้าเขามีแต่ความมืดมน ภายในหัวเขามีความคิดอยู่มากมาย
“ถ้างั้นพวกเราขอตัวนะ”
“อะไรนะครับ?”
“พวกเราอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้ว ในเมื่อพวกเราเสร็จธุระ มันก็ถึงเวลากลับแล้ว”
กาเบรียลได้วางสองมือไว้บนโต๊ะ แต่ก่อนที่จะดันตัวเองลุกขึ้น เธอก็พึมพำเบาๆ
“ในเมื่อเราพึ่งอาณาจักรภูติไม่ได้อีกแล้ว พวกเราก็ต้องทำมันด้วยตัวเอง…”
ดูเสียงที่ขาดหายไปของเธอแล้ว มันดูเหมือนเธอก็ไม่ได้หวังอะไรมากนัก เธอคงจะรู้อยู่แล้วว่ามนุษยชาติเป็นยังไง
“ถึงมันจะไม่นาน แต่ก็จำเป็นต้องพูด ขอบคุณมากที่ทำให้ปรสิตอยู่นิ่งไปสักพัก แต่ว่าอีกไม่นานมันจะกลับมา”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ไม่นาน’ ซอลจีฮูก็เงยหน้าขึ้นมองกาเบรียล
“ฉันคิดว่าการเหี่ยวเฉาของต้นไม้โลกเป็นแค่การเริ่มต้น เหมือนกับการโหมโรงนั่นแหละ”
“โหมโรง…?”
“พวกปรสิตอยู่นิ่งกันนานเกินไปแล้ว”
กาเบรียลได้พูดต่ออย่างใจเย็น
“แน่นอนว่าความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ได้ถูกกำจัด และความอ่อนน้อมอันอัปลักษณ์ไม่อาจจะเข้าร่วมสงคราได้เพราะแสดงพลังเทพออกมา แต่ถึงแบบนั้นพวกมันก็ใช้เวลานานเกินไปในการตั้งตัว และในตอนนี้พวกมันก็เริ่มเคลื่อนไหวกันแล้ว”
“…”
“นี่มันต้องมีความหมายบางอย่างแน่นอน”
สีหน้าซอลจีฮูได้ห่อเหี่ยวลงไป เรารู้สึกได้เลยว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่
“พวกปรสิตได้เจอเข้ากับศัตรูที่ทำให้พวกมันพ่ายศึกในสงครามหุบเขาแล้ว มันไม่มีทางที่ราชินีปรสิตจะทำพลาดซ้ำสองแน่”
ซอลจีฮูได้กัดฟันเงียบๆ
“ฉันแค่อยากบอกให้คุณได้รู้”
กาเบรียลได้สะบัดผมยาว
“ถ้างั้นเราต้องขอตัว ยินดีที่ได้พบกัน”
หลังจากพูดคำนี้กาเบรียลก็ลุกขึ้นเดินจากไป
“เดี๋ยวก่อน”
ขณะที่เธอกำลังจะเปิดประตูจากไปนี่เอง…
“หากว่าเราข้ามผ่านไปอาณาจักรภูติได้…”
ซอลจีฮูได้หันหน้ากลับมาพูด
“หากว่าเราปลูกต้นไม้โลกขึ้นมาใหม่ได้…”
กาเบรียลได้หยุดนิ่ง
“หากว่าเราทำมันได้…”
“…ฟู่ว-”
กาเบรียลได้เอียงหน้ากลับมา และพูด
“แฟรี่ท้องฟ้ากับเบื้องบนได้สรุปมาแล้วว่าเราทำอะไรไม่ได้อีก ฉันอยากจะถามว่าแค่มนุษย์จะทำอะไรได้… การสร้างทฤษฎีที่เป็นไปไม่ได้มันไร้ความหมาย”
กาเบรียลยิ้มอย่างอ่อนโยนออกมา
“แต่ในเมื่อคุณได้ทำสิ่งที่ไม่มีใครทำได้สำเร็จ บางทีมันก็อาจจะเกิดขึ้นซ้ำอีกก็ได้ นี่คือคำตอบ หากว่าคุณทำมันได้ ถ้างั้นอนาคตของมนุษยชาติกับสหพันธรัฐจะไม่ล่มสลายในเร็ววันนี้แน่”
“…”
“สหพันธรัฐจะซาบซึ้งมมากเช่นกัน แม้กระทั่งพันธมิตรมนุษย์สัตว์ที่เคยเกลียดชังมนุษยชาติเทียบเท่าปรสิตก็อาจจะเปลี่ยนใจก็ได้นะ”
กาเบรียลได้พยักไหล่ก่อนพูดต่อให้จบ
“ถ้างั้นสหพันธรัฐกับมนุษยชาติก็สามารถจะเป็นมิตรกันได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้”
***
เมื่อการเจอกันได้จบลง คณะตัวแทนก็ไปจากอีวาทันที หากว่าปรสิตกำลังเตรียมสงครามอยู่จริงๆ ถ้างั้นมันก็ชัดเจนมากว่าพวกเขาจะไม่ใช้เวลาให้สูญเปล่า
ซอลจีฮูได้เลือกมุ่งหน้าไปวิหารลูซูเรียแทนทีที่จะกลับบ้าน แฟรี่ท้องฟ้าได้ให้คำแนะนำเขาเอาไว้ก่อนจะจากไป ซึ่งนั่นคือวิธีช่วยให้ภูติอาคัสโตขึ้น
ในตอนถือกำเนิด ภูติอาคัสจะเริ่มต้นจากวัยทารก และต้องผ่านสามช่วงวัยได้แก่ วัยเด็ก วัยรุ่น และวัยผู้ใหญ่
ตามที่แฟรี่ท้องฟ้าบอกว่า ภูติอาคัสจะสามารถสู้กับปรสิตได้เลยหากแค่เข้าถึงวัยรุ่ง แต่ว่าเนื่องจากมันไม่มีทีท่าจะโตขึ้นจากอาหารเลย ซอลจีฮููจึงต้องมาที่วิหารเพื่อให้พลังแห่งเทพเป็นอาหารกับมัน
[ก็สงสัยอยู่เลยว่าทำไมเจ้าไม่มา โอเค แล้วจะใช้พลังแห่งเทพมากแค่ไหนล่ะ?]
ซอลจีฮูได้ลังเลครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับว่า ‘เต็มอิ่ม’
[จะให้อาหารเขาก่อนออกเดินทางงั้นหรอ?]
‘ครับ’
[โอเค ถ้างั้นก็ชี้นิ้วโป้งไปที่ภูติอาคัส]
เมื่อซอลจีฮูทำตามที่เธอบอก เส้นด้ายแสงสีขาวก็พุ่งออกมาจากนิ้วโป้งของเขา คะแนนคุณูปการที่สูญหายไปมันน่าเสียดายอยู่หน่อย แต่ว่ามันก็ช่วยไม่ได้แล้วในเมื่อภูติอาคัสจะเป็นตัวช่วยสำคัญในสงคราม
“แกว๊ก แกว๊ก!”
ลูกเจี๊ยบได้อ้าปากส่งเสียงร้องเหมือนนกแรกเกิดที่ถูกแม่นกป้อนอาหาร ซอลจีฮูที่เห็นลูกเจี๊ยบกินพลังแห่งเทพพร้อมกระพือปีกอย่างมีความสุขได้ครุ่นคิดกับตัวเอง
ย้อนกลับไปแล้วในตอนพวกปรสิตพิชิตป้อมปราการไทกอลได้ทำให้พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย หากว่าราชินีปรสิตไม่ได้ส่งกองกำลังมาที่หุบเขาอาร์เดน ถ้างั้นนั่นมันก็จะเป็นจุดจบของสหพันธรัฐกับมนุษยชาติ
และในตอนนี้อันตรายที่ยากจะข้ามผ่านก็ได้หวนกลับมาแล้ว ราชินีปรสิตจะต้องเคลื่อนไหวพร้อมไพ่ตายใบใหม่แน่
กาเบรียลได้บอกเอาไว้ว่าการตายของต้นไม้โลกไม่ได้หมายความว่าอาณาจักรภูติจะสิ้นสุดในทันที มันก็แค่ทำให้เส้นทางการเชื่อมต่อกับมิดเดิลเวิลด์ถูกตัดไปเท่านั้น แต่ถึงแบบนั้นหากไม่มีการปกป้องจากต้องไม้โลก การล่มสลายของอาณาจักรภูติก็เป็นแค่เรื่องของเวลาเท่านั้นเอง
หากเป็นไปได้พวกเขาจะต้องฟื้นคืนชีพต้นไม้โลก แบบนั้นถึงจะทำให้ป้อมปราการไทกอลผงาดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
แต่ปัญหาคือจะข้ามไปที่อาณาจักรภูติยังไง มันไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่มีวิธีเลย ไม่สิ พูดว่าพวกเขาไม่ได้ไร้เบาะแสเลยสักถูกกว่า
[ยังไม่หมดนะ นับตั้งแต่ต้นไม้โลกเหี่ยวเฉาก็ผ่านมานานแล้ว การช่วยอาณาจักรภูติตอนนี้จะไปต่างอะไร? ยิ่งกว่านั้นเธอกระทั่งมีวิธีข้ามผ่านไปอาณาจักรภูติด้วยงั้นหรอ?]
[นายก็น่าจะรู้อีกวิธีในการไปอาณาจักรภูตินอกเหนือจากผ่านต้นไม้โลกอยู่นี่]
[เธอจะบ้าหรอ? หากเธอพูดถึงน้ำพุนั่น ก็อย่าพูดเลย ที่เธอพลั้งปากออกมาก็เพราะว่าเธอไม่รู้ถึงกำลังทหารที่ต้องใช้เพื่อหยุดยั้งผู้บัญชาการสักคนหนึ่งงั้นสินะ?
[ฉันรู้ว่าวิธีการใช้น้ำพุมีขีดจำกัด แต่หากว่าเรารวมกำลังกันกับกองกำลังของอาณาจักรภูติ พวกเราก็สามารถจะ…]
ตัวเขาในอนาคตในนิมิตได้พูดมันออกมา ถึงแม้ว่าเขาจะตอกกลับอึนยูริในแง่ร้าย แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าวิธีนี้มันใช้งานไม่ได้
ในกรณีนี้…
“เอ๊อะ-”
ทันใดนั้นเสียงเรอก็ดังออกมา เส้นด้ายสีขาวได้หายไปก่อนเขาจะรู้ตัวอีก
เมื่อมองลงไปเขาก็เห็นลูกเจี๊ยบนอนพุงกางอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าพึงพอใจ ซึ่งดูจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย
ซอลจีฮูได้ระเบิดหัวเราะขึ้น แต่ไม่นานนักเขาก็หยุดและส่ายหัวออกมา
‘มันไม่ใช่เวลามาทำแบบนี้’
แม้แต่ในตอนนี้ราชินีปรสิตก็น่าจะกำลังวางแผนบุกอยู่ พอคิดได้แบบนี้ ซอลจีฮูก็จะอยู่นิ่งไปได้ เขาจะต้องเตรียมตัวกับสงครามที่กำลังเข้ามานี้ และค้นหาวิธีในการเข้าไปยังอาณาจักรภูติจากภายนอก
“…ไปกันเถอะ”
ซอลจีฮูได้อุ้มลูกเจี๊ยบขึ้นมาอย่างพอใจก่อนจะเก็บใส่กระเป๋า และเดินออกไป
เขาได้มุ่งหน้าไปที่ห้องสมุด กระทั่งเมื่อเขาได้อ่านหนังสือทุกๆเล่ม เขาก็เจอกับมัน สิ่งที่เรียกว่า ‘น้ำพุ’
***
อีกด้านหนึ่ง
[แล้ว]
ราชินีปรสิตกำลังต้อนรับการกลับมาของคนๆหนึ่งในท้องพระโองอันยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิ
[การเกิดใหม่เป็นอย่างไร้บ้าง?]
เธอได้ถามชายที่ชันเข่าอยู่ตรงหน้าบัลลังก์
“…ฉันกำลังรู้สึกเสียใจ”
[เสียใจ?]
“ใช่แล้ว เสียใจมาก ทำไมฉันถึงไม่เลือกรับอะไรแบบนี้ให้เร็วกว่านี้?”
ราชินีปรสิตยิ้มบางออกมา
[ฉันก็ตกใจเหมือนกัน ฉันยอมรับว่าฉันหวังไว้สูงแล้ว แต่ฉันก็ไม่คิดว่าเจ้าจะดูดซับพลังเทพนั่นได้หมดจริงๆ]
“ฉันก็ดูถูกมันเหมือนกัน ฉันคิดว่ามันจะง่าย แต่ใครจะไปคิดว่ามันจะใช้เวลานานแบบนี้?”
[น่าตลกนะที่เจ้าพูดแบบนั้น แม้กระทั่งตัวต้นระดับสูงสุดของเผ่าพันธุ์ต่างๆอันหลากหลายก็ยังดูดซับมันได้ไม่หมดเลย ในหมู่ผู้บัญชาการกองทัพแล้ว ในตอนนี้เจ้าเป็นคนที่สองที่ดูซับพลังเทพได้อย่างสมบูรณ์]
“อ่อ ความเมตตาอันบิดเบี้ยวสินะ? ไม่รู้สิ ฉันรู้สึกไม่มีความสุขเลยที่ถูกเทียบกับยัยสมองนกนั่น”
หากว่ามีผู้บัญชาการกองทัพคนอื่นอยู่ที่นี่ พวกเขาจะต้องโกรธในน้ำเสียงและท่าทีโอหังของชายคนนี้แน่ แต่ว่าราชินีปรสิตก็ไม่ได้จับผิดเขา จริงๆแล้วเธอกลับยิ้มพึงพอใจกับความมั่นใจนี้
“ยังไงก็ตามขอบคุณมากนะท่านราชินีผู้ยิ่งใหญ่ พลังนี้ที่ท่านให้แฉันมา ฉันจะใช้เติมเต็มความปรารถนาของฉันเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง”
[คิคิ ความปรารถและประโยชน์ต่อตนงั้นหรอ? ฉันก็เคยคิดมานานตั้งแต่ที่เรายังเป็นศัตรูกันนะ เจ้านี่ช่างเป็นมนุษย์ที่น่าสนใจ]
“พูดตามตรงนี่คือข้อดีของฉัน”
[ฟุฟุ โลภก็ดี แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องมีวินัยบ้างแล้ว ระหว่างการดูดซับพลังเทพกับการใช้งานมันเป็นความต่างระหว่างสวรรค์กับดิน เจ้าจะต้องระวังมากยิ่งขึ้นในเมื่อเจ้าดูดซับพลังเทพทั้งหมดมา]
“ช่างประทับใจกับห่วงใยนี้จริงๆ”
[อ่อ จริงด้วย ยินดีกับการถือกำเนิดใหม่นะ ฉันคิดว่าก็ควรจะมอบนามใหม่ให้กับเจ้าด้วย.. เป็นอะไรดีล่ะ…]
ราชินีปรสิตได้เคาะที่วางแขนบนบัลลังก์ และครุ่นคิดกับตัวเอง
“ไม่”
ยังไงก็ตามชายที่เพิ่งถือกำเนิดใหม่ได้ปฏิเสธอย่างไม่ใยดี
“ฉันซาบซึ้งนะ แต่ว่าฉันได้คิดเอาไว้แล้ว”
[หืม?]
“ต้องขออภัยด้วย ในเรื่องชื่อคลาสฉันมีความทรงจำไม่ค่อยดีน่ะ”
[หืม.. แน่นอนสิ พอคิดถึงผู้ใช้ดาบมานาระดับสูงสุดแล้วนั่นก็โหดร้ายนะ]
“ใช่ไหมล่ะ?”
เสียงหัวเราะเยาะได้ดังออกมา
“เพราะงั้น-”
ขณะที่ชายคนนี้ค่อยๆเงยหน้าขึ้นก็เผยให้เห็นโครงหน้าอันหล่อเหล่า ดวงตาเป็นประกายของชายหนึ่งกำลังมองขึ้นไปที่ราชินี
จากนั้น
“ซึงชิฮยอน”
เขาได้พูดอย่างภาคภูมิใจ
“แค่ชื่อนี้ก็พอแล้ว”