The Second Coming of Gluttony - บทที่ 314 - ช่วงเวลาสำคัญ (3)
บทที่ 314 – ช่วงเวลาสำคัญ (3)
ถึงจะเป็นคำชม แต่อึนยูริก็ขมวดคิ้วออกมา เรื่องที่ว่ามันน่าสนใจหรือเปล่านั่นไม่ใช่ปัญหาเลย
สิ่งสำคัญก็คือมันเป็นไปได้หรือเปล่า
“นี่มันเรื่องด่วยนะอาจารย์”
“หืม หากจะตอบว่าได้หรือไม่ล่ะก็…”
โรเซร่าได้ลูบคางเรียวของเธอ
อึนยูริกำลังนั่งลุ้นคำต่อมาด้วยใจที่เต้นแรง
โรเซร่า ลา กราเซีย เป็นอาจารย์ที่น่าทึ่ง และยังเป็นผู้ใช้มนตราที่ไม่ธรรมดา หากว่าพวกเขาสามารถจะยืมพลังของเธอได้ในสงครามที่กำลังมาถึงนี้ ก็เท่าว่าพวกเขาได้รับกองทหารนับพันมา
ไม่นานนักขณะที่อึนยูริกำลังลุ้นด้วยความกังวล โรเซร่าก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“…ได้สิ”
สีหน้าอึนยูริสดใสขึ้น
“คำตอบคือมันน่าจะเป็นไปได้ หากว่าเราจะมองกันแค่ผลลัพธ์น่ะ”
โรเซร่าได้พูดต่อด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
“แต่ว่าการที่เราจะได้รับผลลัพธ์นั่นมา เราจำเป็นต้องผ่านกระบวนการต่างๆที่เลี่ยงไม่ได้ มีความลำบากอยู่สี่ประการที่เราต้องผ่านไปให้ได้”
“สี่เลยหรอคะ? มากขนาดนั้นเลย?”
“ใช่แล้ว สองอย่างสามารถทำได้ด้วยพลังของเขา แต่อีกสองอย่างนั่นจะขึ้นอยู่กับเจตจำนงของสวรรค์”
หลังจากพูดแบบนี้โรเซร่าก็จ้องไปที่อึนยูริ
“แล้วคุณยังอยากจะลองอยู่ไหม?”
“ค่ะ ฉันอยากจะลองดู”
อึนยูริตอบกลับโดยไม่ลังเลสักนิด
โรเซร่าเงียบลงไป และเปลี่ยนแปลงสีหน้าใหม่
“โอ้ คุณมีดวงตาที่งดงามมาก เต็มไปด้วยพลัง นี่มันเหมือนกับฉันกำลังมองตัวเองในวัยเด็กเลย”
เธอหัวเราะคิกคักพร้อมพยักหน้า
“เอาล่ะ ศิษย์เอกฉันอยากจะช่วยสามีของเธอที่กำลังเข้าร่วมสงคราม อาจารย์คนนี้จะช่วยเธออย่างเต็มที่เอง”
“ไม่ค่ะ มันไม่ใช่แบบนั้น”
อึนยูริได้ปฏิเสธออกมาอย่างหนักแน่น
“มันก็แค่… เขาดูเหนื่อยเกินไป มันเหมือนว่าหากไม่มีใครพยุงเขาไว้ เขาก็คงล้มลงแน่…”
“โอเคๆ ฉันเข้าใจแล้ว ฉันชอบฟังเรื่องราวความรักของหนุ่มสาวนะ แต่ว่าเนื่องจากตอนนี้มีเวลาเหลือน้อยแล้ว ถ้างั้นมาเข้าเรื่องกันดีกว่า”
โรเซร่าได้ชูนิ้วขึ้นสี่นิ้ว
“ปัญหาแรกคือสิ่งที่เราแก้ไม่ได้ ชัดเจนเลยก็คือการคืนชีพต้นไม้โลก หากว่าทำเรื่องนี้ไม่สำเร็จ แม้กระทั่งฉันก็ทำอะไรไม่ได้”
แผนทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับการคืนชีพต้นไม้โลก เนื่องจากจุดนี้มันชัดเจนอยู่แล้วทำให้อึนยูริพยักหน้ายอมรับออกมา
“ปัญหาที่สองคือคำอนุญาติจากต้นไม้โลกที่คืนชีพกลับมา”
“อนุญาติ?”
“ใช่แล้ว เมื่อต้นไม้โลกคืนชีพขึ้นมา มันก็จะสามารถควบคุมทางผ่านทั้งหมดที่เชื่อมต่อไปยังร่างอวคารที่อยู่ในมิดเดิลเวิลด์ได้ทั้งหมด ดังนั้นเราต้องอธิบายสถานการณ์ของเราออกไป และขออนุญาติในการยืมทางผ่านนั้น”
ยกตัวอย่างง่ายๆคือพวกเขาจำเป็นต้องได้รับคำอนุญาติจากต้นไม้โลกเพื่อที่จะใช้งานทางผ่าน
“ทั้งสองปัญหานี้อยู่เหนือการควบคุมของเรา ตอนนี้เราก็ควรจะพูดถึงปัญหาที่เราสามารถลองแก้ไขได้บ้างแล้วสินะ”
อึนยูริได้ปรับสีหน้าใหม่
“อย่างที่ฉันพูดไปก่อนหน้านี้ ความคิดของคุณอึนยูริไม่เลวเลย แต่ต่อให้เราจะทำสำเร็จ ก็ไม่มีใครรู้ว่าฉันจะใช้พลังได้เต็มที่ในมิดเดิลเวิลด์หรือเปล่า”
“ทำไมเป็นแบบนั้นล่ะคะ?”
“ก็เพราะว่าโลกแห่งดวงดาวเป็นพื้นที่ที่สองโลกทับซ้อนกัน ด้วยการคงอยู่ของโลกนี้ทำให้ตัวฉันจะถูกแบ่งครึ่งอยู่ในแต่ละโลก เพราะงั้นหากฉันใช้พลังเต็มกำลังได้ในโลกแห่งความฝัน ฉันก็คิดว่ามันจะแสดงผลเพียงแค่ครึ่งเดียวในมิดเดิลเวิลด์เท่านั้น”
“แต่ว่าอาจารย์”
“ฉันรู้ สิ่งที่คุณอึนยูริพูดไม่ได้แค่เกี่ยวกับเรื่องโลกแห่งดวงดาวแบบปกติ แต่สุดท้ายต่อให้เราใช้ทางผ่านของต้นไม้โลก ผลลัพธ์ก็ยังไม่ชัดเจนอยู่ดี นี่มันทำให้ไม่มีใครรู้ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นแบบไหน”
โรเซร่ากระแอ่มออกมาหลังจากอธิบายเหตุผลจบ
“ไม่มีใครรู้ผลลัพธ์ นั่นมันหมายความว่าเราจะมั่นใจไม่ได้เลย คุณเคยได้ยินคำว่าอย่าไปพนันกับความไม่แน่นอนไหม?”
“…”
“เพราะงั้นไม่ใช่ว่าเราต้องเปลี่ยนความไม่แน่นอนให้มันแน่นอนหรอกหรอ?”
“เราทำได้ด้วยหรอ?”
“โอ้ วันนี้คุณช่างมีคำถามเยอะจังเลย ไม่ใช่ว่าฉันได้บอกคุณไว้เสมอเหรอว่าให้คิดด้วยตัวเองก่อนที่จะถามออกมา?”
อึนยูริเม้มปากเล็กน้อยกับคำดุนี้
โรเซร่าที่เท้าคางอยู่พูดต่อ
“จำเอาไว้ให้ดี ในตอนที่คุณเจอกับปัญหาที่ยาก-”
“คุณบอกว่าให้คิดง่ายๆ”
“ถูกแล้ว ตอนที่พยายามแก้ปัญหาให้หาวิธีที่เรียบง่ายเสมอ ในตอนนี้ควรจะทำยังไงเพื่อให้ฉันแสดงพลังได้เต็มที่ในมิดเดิลเวิลด์ล่ะ?”
“พวกเราจะต้องพาอีกครึ่งหนึ่งของโลกแห่งดวงดาวที่ยังอยู่ในโลกแห่งความฝันไปรวมกันกับมิดเดิลเวิลด์”
“แต่ว่าด้วยธรรมชาติของโลกแห่งดวงดาวมันเป็นไปไม่ได้เลย เพราะงั้นคุณจะต้องคิดวิธีอื่นน้า~”
โรเซร่าได้แอบเหลือบมองอึนยูริ
“ตอนนี้ลองคิดดูว่ามีศาสตร์เวทมนต์อะไรบ้าง…?”
เธอได้ให้คำใบ้ออกมา หลังจากไตร่ตรองกับตัวเองอยู่สักพัก อึนยูริก็อุทานเบาๆ
“ศาสตร์แห่งพลังวิญญาณ!” (ก่อนหน้านี้ทางผู้แปล Eng แปลว่าเนโครแมนเซอร์ แต่เปลี่ยนเป็นศาสตร์แห่งวิญญาณนะครับ)
“ถูกต้อง”
โรเซร่ายิ้มออกมา
“แม้ว่าตัวฉันจะเป็นเพียงแค่ความปรารถนา แต่โรเซร่า ลา กราเซียก็มีตัวตนอยู่บนโลกนี้อย่างแน่นอน และเป็นเหมือนกับเทพที่สร้างโลกแห่งความฝันขึ้นมา หากว่าคุณอึนยูริสามารถจะเรียนรู้ศาสตร์เวทมนต์แห่งพลังวิญญาณได้ในระดับสูงพอ การอัญเชิญฉันออกมาจริงๆก็จะไม่ใช่แค่ความฝัน”
เธอได้ยกมือขึ้นก่อนจะพูดต่อ
“แน่นอนว่ามันอาจจะเสียเวลาเปล่า แต่อาจารย์คนนี้คิดว่าค่านิยมของนักเวทย์ก็คือการเตรียมในสิ่งที่ทำได้ แทนที่จะไปหวังโชคชะตา คุณก็คิดแบบนั้นหรือเปล่า?”
ดวงตาอึนยูริเป็นประกายขึ้น
“ค่ะ!”
เมื่อได้ยินคำตอบสดใสของอึนยูริ โรเซร่าก็ยิ้มพอใจออกมา
“ดี ถ้างั้นเราจะหยุดพักเรื่องการศึกษาเส้นทางแห่งมานาไว้ก่อน นับจากวันนี้ไป ฉันจะสอนคุณเรื่องพลังวิญญาณ แต่ขอเตือนไว้ก่อนเลยนะ มันไม่ใช่ศาตร์ที่เรียนรู้กันได้ง่ายๆ เพราะงั้นจงตั้งใจให้ดี!”
โรเซร่าได้หันหน้าไปหลังจากที่มอบคำเตือนนี้ เมื่อเห็นเด็กสาวผมสีบลอนด์ที่มองดูพวกเธออยู่นิ่งๆ โรเซร่าก็พูดออกมา
“ชาล็อต?”
“หะ หืม?”
“ในเมื่อกลายมาเป็นแบบนี้ เธอคงจะต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองไปสักพักนะ นี่เป็นเรื่องเร่งด่วน ฉันหวังว่าเธอจะเข้าใจ”
“อะ โอเค ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องห่วงเลย”
ชาล็อต อาเรียได้ตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ แต่ว่าเธอก็ไม่อาจซ่อนความผิดหวังบนใบหน้าไว้ได้ แม้ว่าเป็นคนไม่ทันคน แต่เธอก็ยังเข้าใจว่าโรเซร่าอยากจะบอกว่า ‘การสอนตัวต่อตัวกับอึนยูริจะมีประสิทธิภาพกว่า เพราะงั้นอย่ารบกววนเรา’
“ขอบคุณนะ ถ้างั้นปัญหาข้อที่สุด และก็เป็นข้อสุดท้าย…”
ขณะที่กำลังหันกลับมามองอึนยูริ โรเซร่าก็ชะงักไป เธอหันกลับมามองชาล็อต อาเรียที่กำลังหน้าบึ้งอยู่
“…เดี๋ยวก่อนนะ”
หลังจากขอเวลากับอึนยูริเล็กน้อยแล้ว โรเซร่าก็ได้เดินมาช้าๆ จากนั้นเธอก็ลูบหัวเด็กสาวที่ดูหดหู่เบาๆ
“ทำไมถึงเศร้าล่ะ?”
“หืม? ไม่ ฉัน…”
เสียงพึมพำของชาล็อต อาเรียได้หยุดชะงักไป
“เธอ…?”
“ก็แค่ว่า… ทั้งอาจารย์กับยูริน่าทึ่ง…”
“เพราะเราน่าทึ่งหรอ? แน่ใจนะ?”
“…”
“แน่ใจหรอ?”
เมื่อโรเซร่าถามย้ำอีกครั้ง-
“…ฉัน-”
เธอได้ตอบกลับเบาๆ
“ฉันก็อยากช่วยเหมือนกัน… แต่ว่าฉันไม่เข้าเรื่องที่อาจารย์กับยูริกำลังพูดกันอยู่เลย… แล้วฉันก็ไม่ได้มีความคิดดีๆเหมือนยูริด้วย…”
“อ๋อ”
โรเซร่ายิ้มขึ้น
“หืม เขาคงจะดีใจแน่เลยที่มีสาวสวยน่ารักถึงสองคนรัก และเป็นห่วงเขาแบบนี้”
“มะ ไม่นะ! ไม่ใช่แบบนั้น!”
ชาล็อต อาเรียได้รีบโบกมือออกมา
โรเซร่าได้หัวเราะออกมากับปฏิกิริยาที่แทบไม่ได้ต่างจากอึนยูริเลย
“ชาล็อต ไม่ใช่ว่าเธอก็อยู่ในจุดที่ช่วยเขาได้หรอกเหรอ? เธอเป็นถึงราชินีของอาณาจักรเลยนะ”
“ชะ ใช่ แต่ว่า… จะพูดยังไงดีล่ะ…”
เสียงของชาล็อต อาเรียยิ่งเบาลงกว่าเดิมอีก
“ฉันมันไร้ประโยชน์ ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย… ถึงขนาดที่ฝากการบริหารดูแลอาณาจักรให้กับผู้ดูแลจัดการราชวงศ์ทำทั้งหมด…”
เธอคงจะอายมากจนไม่กล้าสบตาโรเซร่าเลย
“หืม”
หลังส่งเสียงกับตัวเองแล้ว สายตาที่โรเซร่าใช้มองสำรวจราชินีก็เปลี่ยนไป
‘โอ้ๆ’
หลังอ่านความคิดเธอแล้ว โรเซร่าก็อุทานกับตัวเองในใจ
พูดตามตรงมันก็ยากที่จะบอกว่าชาล็อต อาเรียยอดเยี่ยมยิ่งกว่าอึนยูริ มันไม่ใช่แค่เรื่องพรสวรรค์ธรรมดา สิ่งที่โรเซร่าเน้นย้ำบ่อยที่ในสุดในการสอนของเธอก็คือทัศนคติในการศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเองของศิษย์
ในด้านนี้ชาล็อต อาเรียด้อยกว่าอึนยูริอย่างมาก แม้ว่าเธอจะเลียนแบบสิ่งที่โรเซร่าทำได้เป็นอย่างดี แต่เธอก็ยังขาดความมุ่นมั่นที่จะทำสิ่งต่างๆด้วยตัวเอง
มันไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากจะพัฒนาตัวเอง แต่ว่าในทุกๆครั้งที่เธอลองสิ่งใหม่ๆ เธอก็จะกลัวและหยุดลง
แม้กระทั่งว่าอึนยูริจะเริ่มเรียนรู้ทีหลัง แต่ด้วยธรรมชาตินิสัยของทั้งสองคนที่ต่างกัน มันจึงเป็นธรรมดาที่อึนยูริจะนำหน้าชาล็อต อาเรียไป
แต่ว่านั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นเรื่องแย่ หลังจากที่ถูกศิษย์น้องตัวเองแซงหน้าไปมันก็ไม่แปลกเลยหากศิษย์พี่จะรู้สึกอิจฉาขึ้นมา แต่ว่าแทนที่จะอิจฉา ชาล็อต อาเรียกลับชื่นชมในตัวอึนยูริเพียงเท่านั้น
โรเซร่าไม่คิดจะพูดอะไรในเรื่องนี้ มันไม่ใช่เรื่องแย่ที่ศิษย์ทั้งสองคนมองกันในแง่ดี และชาล็อต อาเรียก็ไม่ใช่คนชอบการแข่งขัน
ใช่แล้ว ตามปกติเธอมักจะเป็นแบบนี้
เพราะงั้นคราวนี้เธอก็น่าจะเป็นแบบนั้น แต่จากความคิดที่โรเซร่าอ่านออกมาได้มันกลับทำให้โรเซร่ารู้สึกถึงอารมณ์อันเร่าร้อนที่ไม่เคยรู้สึกได้มาก่อน
เธอมั่นใจ ราชินีแห่งอีวาคนนี้กำลังเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการแข่งขันที่จะเอาชนะอึนยูริให้ได้
‘เกิดอะไรขึ้น…?’
ไม่นานนักโรเซร่าก็รู้ว่าทำไม
‘ซอลจีฮู’
นั่นเพราะว่าความคิดทั้งหมดของชาล็อต อาเรียมุ่งเป้าไปในทิศทางเดียวกัน
‘บางที…’
ดวงตาโรเซร่าเป็นประกายขึ้น
“ชาล็อต”
“…หืม?”
เธอได้ขยับเข้าไปใกล้จนแนบชิดกับแก้มนุ่มนิ่มของชาล็อต อาเรีย และเงยหน้าขึ้น
โรเซร่าพูดเบาๆด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังที่ไม่เคยมีมาก่อน
“ตั้งใจฟังสิ่งที่ฉันกำลังจะพูดให้ดีนะ”
ชาล็อต อาเรียเบิกตากว้างขึ้น และพยักหน้าอย่างสับสน
***
รถม้าที่ถูกลากด้วยฮอรัสแปดตัวได้มาถึงอีวาแล้ว
หลังจากเห็นสำนักงานโอ่อ่าอยู่กลางเมือง แอ็กเนสถึงกับเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา
“ดูเหมือนจะใช้เงินไปมากเลยนะ”
“พอคุณรู้ว่าต้องใช้ไปกี่เหรียญทองกับการสร้างที่นี่ คุณจะยิ่งตกใจอีกนะ”
ระหว่างเดินตัดผ่านสวนที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมดอกไม้ ซอลจีฮูก็พึมพำออกมา
“คิมฮันนาห์เป็นคนทำการออกแบบ ถึงขนาดเธอเชิญนักแปรธาตุมาด้วย”
“จิ้งจอกน่ะหรอ…? ทำไมถึงมีนักแปรธาตุด้วยล่ะ?”
“ผมก็ไม่มั่นใจนะ แต่ชัดเจนว่าเขาต้องมาช่วยในการสร้างบ่อน้ำพุร้อน จริงๆแล้วผมรู้สึกเหมือนสามีที่เห็นภรรยารูดบัตรเครดิตเกินวงเงินเลยนะครับ”
“น้ำพุร้อนงั้นหรอ? อ่อ อีวาเป็นพื้นที่ภูเขาไฟนี่นา…”
ดวงตาแอ็กเนสเป็นประกายขึ้นพร้อมกับพยักหน้าออกมา
“นายทำให้ฉันสนใจซะแล้วสิ น้ำพุร้อนที่ต้องให้นักเวทย์มาช่วยสร้างขึ้น…”
“น้ำพุร้อนทั้งสองแห่งอยู่ที่ชั้นล่างครับ มีแยกระหว่างชายกับหญิง คุณจะไปเมื่อไหร่ก็ตามสบายเลย ผมมั่นใจมากว่าคุณชอบมันแน่”
ซอลจีฮูได้พูดขึ้น้ง่ายๆพร้อมเปิดประตูหน้า
“ว่าไปแล้วคุณแอ็กเนสก็คงจะเหนื่อยกับการนั่งรถม้า ผมจะพาคุณแอ็กเนสไปที่นั่นเอง เพราะงั้นทำไมเราไม่ไปเล่นน้ำพุร้อนด้วยกันล่ะ?”
“หยุดไร้สาระได้แล้ว”
ซอลจีฮูเม้มริมฝีปากขึ้นทันทีที่ถูกปฏิเสธอย่างไม่ใยดี
“ฮ่าฮ่า โอเคครับ มีห้องรับแขกอยู่หลายห้องเลย เพราะงั้นคุณแอ็กเนสเชิญเลือกได้ตามใจเลย แล้วก็…?”
เมื่อเขาเดินภายล็อบบี้ชั้นหนึ่งก็ต้องชะงักไป
นั่นก็เพราะว่ามีหญิงสาวผมบ็อบนอนกางแขนกางขาอยู่บนพื้น
ซอลจีฮูไม่รู้จักสมาชิกวัลฮาลาคนไหนที่ทำตัวไร้สามัญสำนึกแบบนี้เลย แม้กระทั่งโชฮงกับฮิวโก้ก็ไม่ทำอะไรแบบนี้
“…คุณโฮชิโนะ อุราระ?”
ทันทีที่เขาเรียกชื่อเธอ โฮชิโนะ อุราระก็เด้งตัวขึ้น เธอมองมาที่ซอลจีฮู และอ้าปากกว้างมากจนเห็นลิ้นไก่เธอได้อย่างชัดเจน
“โอ้วววววววว!”
จากนั้นเขาก็เปลี่ยนจากท่านั่งเป็นหมอบคลาย และพุ่งเข้ามาหาเขาเหมือนกับม้า ยังไงก็ตามท่าพุ่งนี้ของเธอก็อยู่ได้ไม่นาน
“มาแล้วววว- อึก!?”
เมื่อเธอได้เห็นแม่บ้านสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังซอลจีฮู เธอก็กรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว เธอได้รีบเหวี่ยงแขนขากลิ้งถอยกลับทันที
หลังจากกลิ้งอยู่นาน เธอก็รีบปรับท่าทาง และแสดงสีหน้าสับสนออกมา
“…”
“…”
ระหว่างหญิงสาวทั้งสองคนได้เกิดความเงียบอันน่าอึดอัดใจขึ้น
คนแรกที่เคลื่อนไหวคือโฮชิโนะ อุราระ ริมฝีปากของเธอสั่นเทา ก่อนจะคุกเข่าลงด้วยความเคารพ เธอกระทั่งยกมือขึ้นจับไว้เหนือหัวเข่า
สีหน้าเธอกลายเป็นสงบเรียบร้อย จากหญิงสาวบ้าคลั่งก่อนหน้านี้ได้กลายเป็นสุภาพสตรีของครอบครัวชั้นสูง
“กลับมาแล้วหรอคะ?”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงสงบนิ่งรื่นหู ซอลจีฮูกระทั่งสงสัยในสิ่งที่เห็นและได้ยิน
โฮชิโนะ อุราระกลายเป็น… สงบเสงี่ยม?
“ไม่เป็นกันนานเลยนะคะ ขอบคุณที่มานะคะ ถึงที่นี่จะเป็นสถานที่อันต่ำต้อน แต่ได้โปรดคิดว่าเป็นบ้านของคุณ และทำตัวตามสบายเลยค่ะ”
เธอได้โค้งคำนับอย่างเคารพจนหน้าผากแทบจะแตะกับพื้นเลย
ซอลจีฮูได้ลูบหน้าด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะค่อยๆหันกลับไป จากนั้นเขาก็ต้องตกใจอีกครั้งหนึ่ง
นั่นก็เพราะแอ็กเนสกำลังเดินตรงไปด้วยสีหน้าที่พูดออกมาอย่างชัดเจนว่า ‘พระเจ้า ฉันเกลียดแบบนี้’
“คะ คุณแอ็กเนส?”
“นายบอกว่ามีบ่อน้ำพุร้อนที่ชั้นล่างใช่ไหม?”
“อืม แต่คุณแอ็กเนสน่าจะไปเลือกห้องก่อนนะ”
“ไม่ต้องนำทางฉันหรอก ฉันจัดการเองได้ ถ้างั้นก็ขอตัวก่อน”
เธอได้รีบเดินหายไปทันที
ซอลจีฮูถึงกับอ้าปากค้าง
แอ็กเนสกำลังหลบหน้าคนอื่น
โฮชิโนะ อุราระรอจนกระทั่งแอ็กเนสหายไปจากสายตาก่อนจะพุ่งตัขึ้นมา
“พี่ชายยยย!”
หลังกรีดร้องเหมือนเป็ด เธอได้จับมือซอลจีฮูที่สะดุ้งไว้แน่น และส่งเสียงดังวุ่นวายออกมา
“พี่บ้าหรือเปล่า!? ทำไมถึงได้พาคนๆนั้นมาที่นี่? ทำไมถึงพาเธอมาที่นี่!!?”
“กะ ก็เพื่อภารกิจ การเชิญคุณแอ็กเนสมาไม่ง่ายเลย”
“พระเจ้า! ฉันอยากจะบ้าตาย! พี่รู้ไหมว่าเธอคือใครกัน!? พี่อยากจะตายงั้นหรอ!? พี่คงอยากตายแน่ๆเลย!!!”
“ทำไมล่ะ? คุณแอ็กเนสยอดเยี่ยมจะตาย”
“ยอดเยี่ยมกับผีสิ!”
โฮชิโนะ อุราระเด้งตัวไปมาเหมือนเธอกำลังบ้าไปแล้ว
“ตายแน่ จบสิ้นแล้ว ฉันจบสิ้นแล้ว! นี่พี่ชายตาบอดอะไรขนาดนี้?”
โฮชิโนะ อุราระได้ชี้ไปในทางที่แอ็กเนสหายไปด้วยมือที่สั่นเทา และพึมพำด้วยสีหน้าไม่ต่างกัน
“พี่รู้อะไรไหม ฉันจะบอกให้ฟังนะ พี่เคยได้ยินเรื่องสงครามกลางเมืองฮารามาร์คไหม?”
“อืม เคยได้ยินมาบ้าง”
“ใช่แล้ว ฉันอยู่ที่นั่น”
“ครับ แล้ว?”
“แล้วอะไรอีกล่ะ? พี่ชาย ฉันอยู่ที่นั่นในตอนนั้น! เธอคนนั้นจับสมาชิกขององค์กรฝ่ายตรงข้าม ผ่าท้อง เอาเครื่องในมาเล่นเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยว! จากนั้นเธอก็-”
ทันใดนั้นโฮชิโนะ อุราระก็กระแอ่มออกมา ก่อนยกนิ้วกลางดันอยู่ตรงระหว่างดวงตาทั้งสองข้าง เธอเหมือนกับกำลังเลียนแบบท่าดันแว่นของแอ็กเนสอยู่
เธอได้พูดต่อด้วยรอยยิ้ม
“กินซะ! ตรงนี้เลย! เคี้ยวให้ละเอียดแล้วก็กลืนให้หมด! เครื่องในของลูกนายแกน่ะ มันน่าอร่อยใช่ไหมล่ะ? มันต้องน่าอร่อยแน่ๆ คิคิคิคิ!”
โฮชิโนะได้ยิงฟันหัวเราะออกมา และส่ายหน้าอย่างบ้าคลั่ง
“เธอทำแบบนี้ล่ะ!”
จากนั้นเธอก็กลายเป็นจริงจังขึ้นมา
“ฉันขอบอกพี่เลยนะ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง ฉันขอสาบานต่อแม่ของฉันเลย!”
“…”
“ยังไม่หมดนะ เธอได้เอาศพไปจานเงินไปเสิร์ฟเป็นมื้อเย็นเพื่อทำการเจรจาอีกด้วย ศพเหล่านั้นแค่เพื่อแสดงให้องค์กรศัตรูได้เห็น… นี่มันคนบ้าชัดๆเลย ไม่มีใครจะบ้าไปกว่าเธออีกแล้ว!”
ซอลจีฮูดูจะผงะไป เขาอยากจะพูดอะไรออกมา แต่จากสีหน้าหวาดกลัวของเธอ มันก็ดูไม่เหมือนว่าเธอกำลังโกหกเลย
แต่สำหรับเขาที่คิดว่าแอ็กเนสเป็นคนเคร่งขรึมจริงจังแล้ว มันยากที่จินตนาการถึงแอ็กเนสหัวเราะอะไรอย่าง ‘คิคิคิคิ’
‘สำหรับฉันเธอเป็นคนที่ดีเลย’
ซอลจีฮูส่ายหัวอออกมา
เขาได้มองไปที่โฮชิโนะอุราระที่กำลังกัดฟันด้วยความกังวล และถามออกมา
“แล้วทำไมคุณถึงนอนอยู่ที่ล็อบบี้ล่ะ?”
“อ่อ ร่างกายฉันหายดีแล้ว แต่ฉันหาพี่ชายไม่เจอ ระหว่างสงสัยว่าเมื่อไหร่พี่ชายจะกลับมา ฉันก็เริ่มเบื่อ”
“แต่คุณก็ไม่รู้ว่าผมจะกลับมาวันนี้นี่…”
“…ฉันคิดว่าอีกไม่กี่วันพี่ชายก็จะกลับมา ฉันคงนอนอยู่แบบนี้มาสามสี่วันได้แล้วล่ะ อ่อ ยกเว้นเฉพาะตอนฉันไปกินข้าวนะ”
ซอลจีฮูไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าโฮชิโนะ อุราระจะทำอะไรแบบนี้จริงๆ
“ชิ”
ซอลจีฮูที่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ จู่ๆก็ร้องอ๊ะออกมา
“คุณเห็นพี่สาวยูฮุยไหม?”
“พี่สาวยูฮุย? อ๋อ พี่สาวนมหย่ายยยยนั่นเหรอ?”
โฮชิโนะ อุราระพูดขึ้นพร้อมวาดมือบนหน้าอกเป็นวงกลม จากนั้นก็ส่ายหัวออกมา
“ไม่เลย ฉันไม่เห็นเธอ”
“เข้าใจแล้ว”
ซอลจีฮูกลายเป็นกังวลขึ้น นั่นก็เพราะการเดินทางไปกลับครั้งนี้ของเขาใช้เวลาเกือบสิบวัน แต่ซอยูฮุยก็ยังไม่กลับเลย มันคงยากจะเชื่อว่าเธอหนีไป
‘เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นหรือเปล่า…?’
เมื่อคิดว่าคำขอของเขาสร้างความลำบากให้เธอทำให้เขากลายเป็นไม่สบายใจขึ้น
‘อีกไม่นานพี่สาวคงกลับมา’
แต่ว่าซอลจีฮูตัดสินใจที่จะเชื่อใจและรอต่อไป
***
เมฆแห่งสงครามได้เริ่มลอยอยู่บนท้องฟ้า
แม้ว่าจะไม่รู้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวลือออกมา แต่ก็มีข่าวลือว่าปรสิตกำลังใกล้จะยกกองทัพใหญ่มา
ความเคลื่อนไหวของมนุษยชาติกลายเป็นวุ่นวาย ยิ่งเมื่อราชวงศ์อีวาได้ประกาศรวมกองทัพอีกครั้งก็ยิ่งทำให้ข่าวลือนี้น่าเชื่อถือขึ้นไปอีก
ยิ่งสำหรับวัลฮาลาที่เป็นองค์กรที่อยู่ใกล้กับสงครามยิ่งกว่าใครทำให้บรรยากาศภายในองค์กรกลายเป็นหนักอึ้ง
ด้วยการหายไปของซอยูฮุยเป็นเวลานาน และจู่ๆซอลจีฮูก็พาแอ็กเนสมา ทำให้สมาชิกแต่ละคนต่างก็ดูเหมือนจะรู้กันในใจเป็นอย่างดี
ยิ่งเมื่อฟิลิปส์ มูเลอร์ได้กลับมาที่วัลฮาลาหลังจัดการเรื่องของเขาแล้วก็ยิ่งทำให้คนอื่นๆต่างมั่นใจ
และดังนั้นแล้วพวกเขาจึงเตรียมทุกๆอย่างที่ทำได้ก่อนจะเริ่มภารกิจนี้ ตอนนี้เหลือเพียงแค่อยากเดียวเท่านั้น เฝ้ารอคนๆหนึ่ง ไม่สิสองคน
หลังจากรอมานานในที่สุดแล้วซอยูฮุยก็กลับมา
ซอลจีฮูที่เป็นกังวลได้รีบวิ่งลงไปชั้นหนึ่งทันทีที่ได้ยินว่าซอยูฮุยกลับมา
“พี่สาว?”
“จีฮู!”
“ทำไมไปนานจังครับ?”
เมื่อเห็นซอยูฮุยยืนอยู่ตรงทางเข้า ซอลจีฮูก็กระโจนออกไปเหมือนผึ้งเห็นรัง เขาได้ซบลงบนไหล่ทรงเสนาห์ของเธอ พร้อมทั้งดมกลิ่นเธอเหมือนสุนัขหาเจ้าของ
“ผมเป็นห่วงนะครับ!”
“อะไรกัน! ขอโทษนะ ขอโทษ! มันนานกว่าที่ฉันคิดไว้- อะฮ่าฮ่า มันจั๊กจี้นะ!”
หลังจากเล่นอยู่นาน-
“มันจั๊กจี้นะ!”
ซอลจีฮูก็ต้องผงะไปเมื่อเห็นอีกคนยืนอยู่ด้านหลังซอยูฮุย
“…”
เธอคือหญิงสาวสวมใส่ชุดคลุมสีขาวแบบดั้งเดิมกำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาสงบนิ่งเหมือนแม่น้ำ