The Second Coming of Gluttony - บทที่ 315 - ช่วงเวลาสำคัญ (4)
บทที่ 315 – ช่วงเวลาสำคัญ (4)
เมื่อได้สบสายตาเธอก็ทำให้ซอลจีฮูนึกไปถึงผู้เชี่ยวชาญจากนิยายกำลังภายใน
ผมของเธอปล่อยยาวลงมา และจากท่าทีของเธอไร้ซึ่งจุดบอดใๆ ภายใต้ขนตายาวก็มีดวงตาเลื่อนลอยที่ให้ความรู้สึกเย็นขาน่าหวาดหวั่น
เธอดูเย็นชา มีออร่ารอบตัวที่เหมือนกับว่าหากเขาละสายตาไปจากเธอแม้แค่วินาทีเดียว ตัวเธอก็จะหายไป
สิ่งที่ซอลจีฮูมั่นใจได้อย่างหนึ่งเลยก็คือเธอเป็นผู้เชี่ยวชาญ
ยังไงก็ตามซอลจีฮูก็รู้สึกว่าเธอกำลังจ้องเขาอยู่ จากนั้นเขาได้หลุดจากความสับสน และก้าวถอยออกมาจากอ้อมกอดของซอยูฮุย
“พี่สาว เธอคนนี้…”
“ใช่แล้วล่ะ เธอคือคนที่นายกำลังเฝ้ารอมานาไงล่ะ”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘เฝ้ารอมานา’ หญิงสาวคนนั้นก็มองมาที่ซอยูฮุยก่อนจะหันกลับมามองซอลจีฮู
“เอ่อ ยินดีต้อนรับครับ อืม…”
ซอลจีฮูทำอะไรไม่ถูกขึ้นมา จากนั้นพอรู้ตัวว่าประหม่า เขาก็สับสนไป
‘นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเขา?’
ตอนคุยกับฟิลิปส์ มูเลอร์ที่เป็นระดับผู้บริหาร เขาไม่ได้มีปัญหานี้เลย แต่พอมาได้เผชิญหน้ากับผู้หญิงคนนี้ทั้งร่างของเขากลับตอบสนองไปเอง
ซอลจีฮูพยายามสงบใจที่เต้นแรงก่อนพูดขึ้น
“สวัสดีครับ ผมตัวแทนวัลฮาลา ซอลจีฮู”
หญิงสาว ไม่สิ จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์แบคแฮจูไม่ได้ตอบกลับมา เธอเพียงแค่จ้องเขาอยู่เท่านั้น
ซอลจีฮูก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เขาเพียงแค่คิดว่า ‘เธอคงเป็นคนเงียบๆ’
“ขอบคุณที่ช่วยผมเอาไว้นสงครามหุบเขานะครับ คุณได้ช่วยชีวิตผมไว้”
“…”
“เอ่อ… แล้วก็ขอบคุณที่มาในคราวนี้นะครับ เพื่อทำให้ภารกิจครั้งนี้สำเร็จแค่พลังของผมก็คงจะไม่พอ เพราะงั้นผมถึงต้องขอให้คุณช่วย”
ซอลจีฮูได้เลือกใช้คำพูดที่สุภาพยิ่งขึ้นกว่าเดิมซะอีก มันถึงขนาดที่มีบางคนพึมพำขึ้นว่า ‘นี่เขากำลังเดทอยู่หรือไงกัน?’
หน้าซอลจีฮูแดงขึ้นทันที
‘ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับฉัน!’
ในตอนนี้เองแบคแฮจูก็พูดขึ้น
“ฉันได้ยินสถานการณ์มาจากคุณซอยูฮุยแล้ว”
ซอลจีฮูเบิกตากว้างขึ้น
“การกอบกู้อาณาจักรภูติคือสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จในตอนนี้ ด้วยมุมมองที่เห็นแก่พาราได์ซ์แล้ว นี่คือเหตุผลที่ฉันมาที่นี่”
เธอได้พูดเรียบๆโดยที่ไม่าสุภาพหรือเป็นกันเองโดยเกินไป แต่ว่านอกเหนือจากนี้แล้ว เธอก็ได้เน้นย้ำคำว่า ‘ฉันมาที่นี่ก็เพื่ออนาคตของพาราไดซ์ ไม่ใช่เพราะคำขอของนาย’
“แต่ว่าฉันก็ไม่ได้ตัดสินใจจะตามคุณ สุดท้ายแล้วการเข้าร่วมภารกิจด้วยมันต่างไปจากการยอมทำตาม”
แบคแฮจูได้จับด้ามหอกแน่น
“เพราะงั้นแล้วมีเรื่องที่ฉันอยากจะถาม”
ทันใดนั้นเองเธอก็ยกหอกขึ้นชี้มาที่ซอลจีฮู
คิ้วซอลจีฮูกระตุกขึ้นทันที
แปลก ยิ่งเขามอง เขาก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ ในอีกด้านหนึ่งเขาก็ยังรู้สึกเหมือนเดจาวูกับเธออย่างไม่น่าเชื่อ
แม้กระทั่งในตอนที่เธอชี้หอกมาที่เขา เขาก็ไม่ได้รู้สึกแม้กระทั่งความเป็นศัตรูหรือเจตนาร้านจากเธอเลยสักนิด
และเขาก็ยังไม่รู้สึกด้วยว่าเธอกำลังทดสอบความมุ่งมั่นของเขา
“หากว่าฉันบอกให้คุณยอมแพ้กับการกอบกู้อาณาจักรภูติ คุณจะทำยังไง?”
ทันใดนั้นเธอก็ถามขึ้นอย่างกระทันหัน
“หืม? ไม่ครับ ผมไม่คิดจะล้มเลิกภารกิจนี้”
“ถ้างั้น-”
แบคแฮจูได้พูดต่อทันทีราวกับคิดไว้แล้ว
“แล้วถ้าหากคุณหยุดไว้ก่อน แล้วให้ฉันดำเนินตามแผนกอบกู้อาณาจักรภูติเองล่ะ?”
นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?
ขณะที่ซอลจีฮูกำลังจะถามออกไป
“คุณแบคแฮจู?”
น้ำเสียงแหลมสูงดังขึ้น
ซอยูฮุยกำลังทำหน้าบึ้งตึงใส่แบคแฮจู
“ช่วยหยุดด้วย”
“ฉันไม่ได้กำลังคุยกับคุณนะ”
“ฉันรู้ แต่ว่าฉันไม่ได้พาคุณให้มาพูดอะไรแบบนี้”
ทั้งคู่ได้เริ่มเถียงกันแล้ว จากการตอบโต้ไปมาโดยไม่ยอมถอยแม้แต่นิดเดียว มันเหมือนกับว่ากำลังทำสงครามประสาทกัน
“เดี๋ยวก่อนนะครับ”
ซอลจีฮูรีบแทรกขึ้น
“ทำไมจู่ๆคุณถามแบบนั้นล่ะ?”
สีหน้าของแบคแฮจูได้กลายเป็นซับซ้อนขึ้น แม้ว่าเธอจะปิดปากสนิท แต่ซอลจีฮูก็ได้ยินเสียงถอนหายใจยาวผ่านจมูกของเธอ
ไม่นานนักเธอก็พูดขึ้นมา
“…เพราะว่าการช่วยอาณาจักรภูติเป็นเรื่องดี แต่มันอันตรายมาก”
ดูเหมือนเธอจะยังมีอีกหลายอย่างที่อยากพูด แต่ก็ห้ามตัวเองไว้
ซอลจีฮูได้ส่ายหัวด้วยความสับสน
“ไม่ว่ายังไงผมก็ทำแบบนั้นไม่ได้ ผมซาบซึ้งกับความคิดของคุณนะครับ แต่ผมเป็นคนที่ขอให้คุณมาช่วย ไม่ได้ขอให้คุณทำมันแทนผม”
แบคแฮจูถอนหายใจเบาๆ เธอได้กัดริมฝีปาก และขมวดคิ้วขึ้น
“ฉันมีหนึ่งเงื่อนไข”
“พูดมาเลยครับ”
“ในเมื่อภารกิจนี้ถูกตัวแทนซอลคิดขึ้นมา ฉันยอมรับที่คุณจะเป็นหัวหน้า แต่ฉันอยากจะขออภนาจในการตัดสินใจถอนตัว”
“อำนาจในการตัดสินใจถอนตัว?”
“มีอีกหลายเรื่องที่ต้องคำนึงถึง แม้กระทั่งด้วยระดับของทีมภารกิจนี้จะสูงมาก แต่กองกำลังของราชินีปรสิตก็เกินกว่าที่คุณคิดเอาไว้ มันอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีเจ็ดกองทัพกว่าครึ่งรอเราอยู่ในอาณาจักรภูติ หากเป็นแบบนั้นฉันมั่นใจว่าคุณคงไม่บังคับทำภารกิจต่อแน่”
แม้ว่าการชุบชึวิตต้นไม้โลกจะสำคัญ แต่ซอลจีฮูจะต้องคิดใหม่อีกครั้งหากเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น การถอนตัวกลับมาเข้าร่วมการต่อสู้ที่ป้อมปราการไทกอลก็อาจจะดีกว่าก็ได้ มันไม่มีเหตุผลที่จะต้องลากกองกำลังอันมีค่าของพวกเขาเข้าสู่ในสถานการณ์ที่ผลลัพธ์มีแต่ความตายเลย
มันก็แค่ว่าเขาไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงตั้งเงื่อนไขแบบนี้ขึ้น
“ทั้งนี้มันก็ขึ้นอยู่กับสถานการร์ การถอยกลับก็อาจจะเป็นการตัดสินใจที่ดีกว่า”
เมื่อรู้สึกได้ว่าแบคแฮจูกำลังพยายามโน้มน้าวเขาอย่างมาก ตอนนี้ซอลจีฮูจึงยอมรับไปก่อน
“นี่คือเหตุผลที่คุณขออำนาจในการตัดสินใจถอนตัวหรอครับ?”
“ในที่แห่งนี้ฉันมีประสบการณ์ในการต่อสู้กับปรสิตมากยิ่งกว่าใคร รวมไปถึงตัวดาวแห่งราคะด้วย”
“อืม…”
“ฉันก็ไม่ได้หวังอำนาจเบ็ดเสร็จคนเดียวหรอกนะ แต่หากมีสมาชิกทีมอีกครึ่งหนึ่งที่เห็นด้วยกับมุมมองของฉัน ฉันก็อยากจะให้ตัวแทนซอลยอมรับมัน”
ยกตัวอย่างก็คือเธอกำลังขอในอำนาจของคนนำทาง
เขาเถียงเธอไม่ได้จริงๆ ชาวโลกผ่านศึกที่มีประสบการณ์อย่างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์น่าจะรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันได้โดยไม่ตื่นตระหนกที่สุดแล้ว
ยังไงก็ตามซอลจีฮูก็ยังสงสัย
เธอน่าจะพูดแบบนี้ตั้งแต่แรก แต่เพราะเธอได้เริ่มด้วยการขอให้เขาล้มเลิกภารกิจอาณาจักรภูติ มันจึงยากที่จะเข้าใจความตั้งใจของเธอ
‘บางทีเธออาจจะไม่อยากตายเพราะเธออยู่ที่นี่มานาน…’
ไม่สิ แบบนี้ก็ไม่น่าจะใช่
หากว่าเธอให้ความสำคัญกับชีวิตของเธอที่สุด เธอก็จะต้องขออำนาภในการถอนตัวจากภารกิจเพียงลำพัง ยังไงก็ตามสิ่งที่จักรพรรดินีขอคือในการตัดสินใจถอยของทั้งทีม
ไม่ว่าจะคิดยังไง มันก็ยากที่จะยอมรับ
และดังนั้นเขาจึงถามออกมา
“สมมติว่าผมยอมรับเงื่อนไขนี้ ถ้าเกิดว่าในตอนคุณตัดสินใจจะถอย แต่ผมปฏิเสธ คุณจะทำยังไงล่ะ?”
“มันไม่สำคัญหรอก”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ได้ตอบกลับนิ่งๆ
“ตราบใดที่คุณยอมรับเงื่อนไข ฉันก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องลังเลอีก ต่อให้ต้องทำให้คุณสลบ ฉันก็จะพาคุณกลับไปให้ได้”
‘ต่อให้ต้องทำให้ฉันสลบ’ ซอลจีฮูสามารถจะรู้สึกได้ถึงความหนักแน่นของคำพูดนี้ได้เลย
“หืม”
ทันใดนั้นเองน้ำเสียงเนือยๆก็ดังแทรกเข้ามา
โอราฮีที่กำลังม้วนผมเล่นอยู่ได้มองหน้าแบคแฮจูด้วยสีหน้าขบขัน
“ฉันตกใจเลยที่เธอโผล่มา แต่ตอนนี้ฉันยิ่งตกใจกว่าเดิมซะอีก”
ซอลจีฮูหันไปมองโอราฮี ดูเหมือนว่าเธอจะรู้จักกับแบคแฮจู
พามาคิดดูแล้ว โอราฮีก็เคยเรียกแบคแฮจูว่า ‘ยัยแบค’ สินะ
“ฉันจะไปทำภารกิจอันตรายให้คุณเอง ถ้าไม่ใช่แบบนั้นฉันก็จะต้องทำให้คุณรอดกลับมาให้ได้… นี่ฉันกำลังคิดอยู่เลยว่าฉันฟังผิดไปหรือเปล่า?”
เมื่อแบคแฮจูยังคงเงียบอยู่ โอราฮีที่ดูจะคิดว่าเธอถูกเมินก็ขยับริมฝีปากขึ้น
“มันเกิดอะไรขึ้นกับยัยคนอย่างเธอกันล่ะ?”
“…”
“ว้าว เธอคงจะเรียนรู้แล้วสินะ”
แบคแฮจูไม่ได้มองโอราฮีเลย เธอเอาแต่จ้องมาที่ซอลจีฮูพร้อมทั้งจับด้ามหอกแน่นขึ้นเล็กน้อย
“นี่คือเงื่อนไขของฉัน”
“…”
“เมื่อคำนึงถึงพลังของทีม และอนาคตของพาราไดซ์แล้ว คุณจะต้องยอมรับเงื่อนไขนี้ หากว่าคุณไม่ยอมรับ ฉันจะไม่เข้าร่วมภารกิจนี้”
ในตอนนี้เธอก็ยื่นคำขาดออกมา ดูเหมือนเธอจะไม่ยอมลดหอกเลยจนกว่าจะได้ยินคำตอบว่า ‘ใช่’
แม้ว่าเม่อกี้นี้โอราฮีจะแทรกเข้ามา แต่รอบตัวพวกเขาต่างก็เงียบสนิท หากดูจากนิสัยของใครบางคนแล้ว หากมีคนพูดมาว่า ‘เธอเป็นใครกันถึงมาพูดแบบนี้?’ ก็คงไม่แปลกเลย แต่ยังไงก็ตามไม่มีใครกล้าพูดมันออกมา
เหตุผลก็ง่ายมาก
เพราะคนๆนี้คือจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์
หากว่ามีคนพูดว่า ‘เธอเป็นใครกัน?’ ถ้างั้นตำนานคนนี้ก็มีวิธีตอบกลับไปมากมาย
ในท้ายที่สุดแล้วการตัดสินใจก็อยู่ที่ตัวแทน
หลังจากคิดอยู่สักพัก ซอลจีฮูก็เม้มปาก และพูดออกมา
“คุณคงจะไม่พูดถึงการถอนตัวในระหว่างที่เรายังมีโอกาสอยู่ใช่ไหม?”
“นั่นจะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของสมาชิกในทีมที่ร่วมภารกิจนี้”
แบคแฮจูได้ตอบกลับอย่างหนักแน่น
ซอลจีฮูก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว ยังไงสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ใช่คนที่ถือศักดิ์ศรีว่าตัวเองสูงส่ง การปล่อยวางความภาคภูมิใจไป และร่วมมือกับจักรพรรดินีดูจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
“ก็ได้ครับ”
ซอลจีฮูได้ให้คำตอบกลับไป
“ผมจะให้อำนาจของคนนำทางกับคุณ”
“…คุณสัญญาแล้วนะ”
ในที่สุดหอกก็ถูกลดลงไป
ตอนนี้พอเรื่องต่างๆถูกตัดสินแล้ว ซอลจีฮูก็อยากจะสรุปการเจอกันครั้งแรกให้เป็นไปด้วยดี
“ฝากตัวด้วยนะครับ แล้วก็ขอขอบคุณอีกครั้ง”
แบคแฮจูเหมือนกำลังจะพูดอะไรออกมา แต่สุดท้ายก็เงียบลงไป เธอได้หลับตาลงก่อนถอนหายใจยาว
“เพื่ออนาคตของพาราไดซ์งั้นหรอ? เธอสนใจเรื่องของพาราไดซ์มากขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
เสียงเยาะเย้ยของโอราฮีได้ดังออกมา
“…”
แต่แบคแฮจูก็ยังคงเงียบไม่พูดอะไรเหมือนอย่างเคย
***
การประชุมได้ถูกจัดขึ้น
บรรยาการในห้องประชุมใหญ่เต็มไปด้วยความหนักหน่วง เนื่องจากซอลจีฮูได้บอกถึงความคืบหน้ากับคิมฮันนาห์ก่อนไว้แล้ว ทุกๆคนจึงน่าจะพอเดาได้ว่าเนื้อหาประชุมคืออะไร ดังนั้นแล้วการประชุมนี้จึงเป็นการบรรยายสรุปง่ายๆเท่านั้น
อย่างที่แอ็กเนสเคยบอก ชายหนุ่มจะถูกหล่อหลอมด้วยตำแหน่งหน้าที่
ซอลจีฮูที่กำลังยืนใช้หอกพิสุจน์ชี้แผนที่ใหญ่บนโต๊ะ พร้อมธิบายแผนดูต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
“พวกเราจะเดินทางกันในวันพรุ่งนี้”
ซอลจีฮูพูดอย่างหนักแน่นในขณะที่จับหอกพิสุจน์เอาไว้
“ถึงจะมีคนคิดว่ามันเร็วไปหน่อย แต่ว่าเราใช้เวลาเตรียมความพร้อมกันมานานแล้ว เราจะช้าไปกว่านี้ไม่ได้อีก อาณาจักรภูติตอนนี้อาจจะอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายอยู่ก็ได้”
เนื่องจากว่าทุกๆคนน่าจะเตรียมพร้อมกันแล้ว การออกเดินทางในวันพรุ่งนี้จึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
‘มีแค่คนเดียวที่ฉันไม่มั่นใจ’
ซอลจีฮูหันสายตาไป
แบคแฮจูกำลังนั่งตัวตรงมองมาที่เขาด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ข้างๆเธอซอยูฮุยก็กำลังมองเขาด้วยสายตาอบอุ่น จากสายตาที่เธอจะหันกลับไปมองดูจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เป็นบางครั้งแล้ว มันเหมือนกับว่าเธอกำลังอวดอยู่
ซอลจีฮูได้แต่สงสัย และถามออกมา
“คุณพร้อมไหมคุณจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์? หากว่าคุณต้องการเวลาเตรียมตัว-”
แบคแฮจูได้ส่ายหัวออกมาอย่างรวดเร็ว เธอกำลังบอกว่ามันไม่จำเป็น
ซอลจีฮูก็พยักหน้ายอมรับ
“ถ้างั้นทุกๆคนช่วยเตรียมตัวกันให้พร้อมในคืนนี้ด้วยนะ”
ตึง หลังจากหมุนหอกพิสุจน์ขึ้นมาตั้งแล้ว เขาก็หันไปมองทุกๆคน และพูดขึ้น
“หมดแล้วล่ะ พรุ่งนี้เช้าไว้เจอกันนะทุกคน”
***
ในคืนนั้นซอลจีฮูได้เดินทางไปที่วัง
นั่นก็เพื่อมอบรายงานความคืบหน้าของภารกิจ และไปเจอชาล็อต อาเรีย
“ไม่ต้องห่วงเรื่องอีวานะครับ”
ซอกกูนีร์กำลังมีสีหน้ากระตือรือร้น
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างเลยนะครับ กองทัพของเรากำลังกลับมารวมกันด้วยดี และสมาคมนักเวทย์ก็ตั้งรกรากกันเรียบร้อยดีแล้วด้วย หากว่าสหพันธรัฐขอกำลังเสริม อีวาก็ขอสาบานว่าจะเป็นสะพานช่วยเชื่อมต่อของทั้งสองกองกำลังเอง”
ผู้ดูแลจัดการราชวงศ์บอกให้ซอลจีฮูไม่ต้องห่วง และตั้งใจกับภารกิจได้เลย ดังนั้นแล้วซอลจีฮูจึงถอนหายใจออกมาได้อย่างโล่งอก
“แล้วราชินีอยู่ไหนหรอครับ?”
“คือ เรื่องนั้น…”
สีหน้าซอกกูนีร์มืดมนลงไป มันชัดเจนมากว่าในช่วงสองสามวันมานี้ชาล็อต อาเรียอยู่แต่ในห้องของเธอโดยไม่ยอมพบหน้าใครเลย
“เธอกำลังกังวลเพราะสงครามหรอครับ?”
“ผมก็ไม่มั่นใจ แต่ว่าดูเหมือนเธอจะมีเรื่องต้องให้คิด…”
ซอกกูนีร์ถอนหายใจออกมา
“แต่เธอก็ฝากฝังงานราชการให้ผมดูแลแล้ว เพราะงั้นไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่กระทั่งผมเธอก็ยังไม่ยอมพบหน้าเลย… นี่ก็เป็นครั้งแรกอีกด้วยเช่นกัน”
ขนาดซอกกูนีร์ที่เคยผลักดันเธออย่างหนักเมื่อก่อนยังเป็นกังวล จึงทำให้ซอลจีฮูกังวลขึ้นมาเช่นกัน
‘อยากจะเจอหน้าเธอก่อนออกไปด้วยสิ…’
แต่ว่าก็ไม่น่าจะมีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นในเมื่อเธอยังมีโรเซร่ากับอึนยูริอยู่ด้วย
‘ตอนนี้ ตั้งสมาธิกับงานตรงหน้าก่อน’
ซอลจีฮูได้ฝากฝังภาระเบื้องหลังไว้กับผู้จัดการดูลราชวงศ์ จากนั้นก็กลับไปที่สำนักงาน
***
ค่ำคืนได้ผ่านไป และรุ่งเช้าก็มาเยือน
ท้องฟ้าสดใส และเงียบสงบ แต่ที่วัลฮาลานั้นวุ่นวายกันตั้งแต่เช้า
หลังจากตื่นขึ้นมาซอลจีฮูก็เตรียมพร้อมเงียบๆแล้ว หลังอาบน้ำจนสดชื่น เขาก็ใส่ชุด และคลุมด้วยโค้ทที่ทางสหพันธรัฐให้มาเป็นของขวัญ
“…”
ภาพสะท้อนจากกระทกดูไม่คุ้นเคยจนทำให้เขายืนนิ่งอยู่นาน ทันใดนั้นเขาก็รีบกระตุ้นใช้งานนพเนตรเพื่อตรวจสอบสีในกระจก แต่ต่อมาเขาก็สะบัดความคิดนี้ออกไป
‘…ต้องชนะ’
หลังจากตบแก้มแล้ว เขาก็หันหน้าไป
‘เราจะชนะ’
หลังย้ำความมุ่งมั่น เขาก็จับหอกพิสุจน์เดินออกไป
เมื่ออกมาจากสำนักงานลมแรงก็พัดมากระทบตัวเขาจนซอลจีฮูต้องหยุดลง
ไกลออกไปเขาเห็นสมาชิกที่เข้าร่วมในภารกิจครั้งนี้ยืนกันอยู่
แบคแฮจูได้หลับตามัดผมสีดำไปข้างหลัง และชุดคลุมแบบดั้งเดิมของเธอกำลังพัดไปตามสายลม
ซอยูฮุยกำลังยืนลูบลูกเจี๊ยบบนฝ่ามืออย่างอ่อนโยน
ฟิลิปส์ มูเลอร์กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่สวนใกล้กับสระน้ำ
แอ็กเนสกำลังยืนตัวตรงประสานมืออยู่ด้านหน้า
โฮชิโนะ อุราระกำลังบิดตัววอร์มร่างกายอยู่
และสุดท้ายพี่น้องฮาเลฟ และสมาชิกคนที่เหนือของวัลฮาลากำลังยืนอยู่เงียบๆด้านหลังอายาเสะ คาซุกิ
ทันทีที่ซอลจีฮูเดินออกจากสำนักงาน สายตาของทุกๆคนก็หันมามองที่เขาเหมือนตกลงกันไว้ก่อน ขณะที่พวกเขากำลังเดินเข้ามาหาซอลจีฮู ซอลจีฮูก็รู้สึกใจชื้นขึ้น
ในกลุ่มของพวกเขามีระดับ 8 สองคน ระดับ 7 หนึ่งคน และระดับ 6 อีกสองคน
ด้วยทีมแบบนี้ทำให้ทีมตามปกติที่ประกอบด้วยแรงค์เกอร์ระดับสูงดูด้อยลงไปเลย
‘ฉันจะมีโอกาสได้นำทีมระดับนี้ทำภารกิจแบบนี้อีกไหมนะ?’
จู่ๆความคิดนี้ก็เข้ามาในหัวเขา แต่เขาก็เก็บมันเอาไว้ในใจ จากนั้นก็หันไปมองแต่ละคนที่มารวมตัวกันรอบเขา
ก่อนที่เขาจะพูดขึ้น
“ไปกันเถอะ”
ดังนี้แล้วม่านสำหรับสงครามที่ตัดสินชะตาของอาณาจักรภูติกับสหพันธรัฐจึงเริ่มต้นขึ้น
ช่วงเวลาสำคัญสำหรับการเตรียมตัวได้ผ่านไปแล้ว และถึงเวลาโหมโรงสำหรับการตัดสินประวัติศาสตร์ของพาราไดซ์แล้ว