The Second Coming of Gluttony - บทที่ 316 - พ่อเสือไม่มีลูกเป็นสุนัข (1)
บทที่ 316 – พ่อเสือไม่มีลูกเป็นสุนัข (1)
สมาชิกปฏิบัติภารกิจในคราวนี้มีทั้งหดสิบหกคน หากว่านับรวมโฟลนกับลูกเจี๊ยบไปด้วยอีกก็จะเป็นสิบแปดคน กลุ่มพวกเขาได้เช่ารถม้ามาทั้งหมดสามคันเพื่อให้ทุกคนได้นั่งสบายๆ
รถม้ากำลังจอดรอพวกเขาอยู่ที่ใกล้ๆกับประตูปราสาท
หลังจากซอลจีฮูสั่งให้แอ็กเนส คาซุกิ และโอชิโนะ อุราระแยกรถม้ากันแล้ว ตัวเขาก็มุ่งหน้าไปนั่งที่รถม้าคันแรก
“ตัวแขน”
ขณะที่เขากำลังจะเปิดประตูรถม้าขึ้นไป คาซุกิก็เรียกเขาไว้ก่อน
“ครับ?”
“คือว่า…”
คาซุกิได้ชี้ไปที่มุมหนึ่ง ซอลจีฮูได้มองตามที่เขาชี้ไปด้วยความสงสัย
ทางที่คาซุกิชี้ไปตรอกที่เต็มไปด้วยกลุ่มหมอกหนา แต่ซอลจีฮูก็ไม่ได้เห็นอะไรผิดปกติเลย
“มีอะไรงั้นหรอครับ?”
“หืม…”
คาซุกิหยุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนส่ายหัวออกมา
“ช่างเถอะ ไม่มีอะไรหรอก”
“เราควรจะตรวจสอบก่อนไหม?”
“ผมคิดว่าเราคงไม่จำเป็นต้องให้การเดินทางล่าช้าเพราะเรื่องนี้หรอกครับ ผมคงมองผิดไปเอง”
“แปลกนะครับที่คุณคาซุกิจะทำพลาด”
“ขอโทษที บางทีผมอาจจะกังวลไปหน่อย”
ซอลจีฮูพยักไหล่ก่อนจะขึ้นรถม้าไป
คาซุกิยังคงมองไปที่ตรอกอยู่สักพักก่อนจะขึ้นไปบนรถม้าเงียบๆ
หลังจากนั้นไม่นานรถม้าก็ได้เริ่มเคลื่อนไหวพร้อมกับมีเสียงแส้ดังขึ้น
รถม้าทั้งสามคันได้แล่นผ่านประตูเมือง และหายเข้าไปในกลุ่มเมฆอย่างรวดเร็ว
และจากนั้น
“…”
เมื่อรถม้าไปพ้นสายตาแล้วก็ได้มีคนโผล่ออกมาจากตรอก เป็นหญิงสาวตัวเล็กที่กำลังสวมใส่ชุดคลุมอยู่
เธอได้เดินออกมาจากตรอก โดยยืนอยู่ตรงจุดที่ซอลจีฮูกับคาซุกิคุยกันก่อนหน้านี้เงียบๆ เธอขยับปากไปมาเหมือนกับกำลังเสียใจ แต่ก็ไม่มีคำพูดใดออกมาจากปากเลย
เธอได้ทำเรื่องไร้ความหมายนี้อยู่หลายครั้งก่อนจะหันหน้ากลับไปโดยที่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร สถานที่ที่หญิงสาวไหล่ตกคนนี้มุ่งหน้าไปก็คือที่วัง
“ไปส่งพวกเขามาหรอครับ?”
ทันทีที่เธอแอบเข้ามาในทางลับผ่านสวนที่มีแค่เธอรู้ น้ำเสียงแก่ชราก็ดังขึ้น
หญิงสาวได้ผงะไปก่อนจะเห็นชายชรากำลังยืนนิ่งอยู่ข้างทางเท้า
“กะ กูนีร์”
“ไปคุยกับตัวแทนซอลมาสินะครับ?”
หญิงชาว ชาล็อต อาเรียได้กุมหัวเอาไว้
ซอกกูนีร์ที่เดาคำตอบได้จากความลังเลของเธอก็ได้แต่เดาะลิ้นออกมา
“อย่างน้อยถ้าได้กล่าวลาก็คงจะดีนะครับ”
น้ำเสียงของเขาดูไม่ดีเหมือนคำพูดเลย เขาห้ามตัวเองไม่อยู่จริงๆ
แน่นอนว่าราชินีไม่ได้มีภาระหน้าที่ที่ต้องไปส่งพวกเขาออกไปจากเมืองในทุกๆครั้ง
ยังไงก็ตามคราวนี้มันไม่ใช่ภารกิจทั่วไป แต่มันคือสงครามจริงที่มีฉากหน้าเป็นภารกิจ พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปอาณาจักรภูติโดยเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อช่วยทั้งพาราไดซ์
ดังนั้นแล้วการที่ได้เห็นราชินีขังตัวเองอยู่ในห้องมันทำให้เขาไม่อาจจะมองเธอในแง่ดีได้เลย…
“แต่ว่า…”
หลังจากเงียบอยู่นาน ในที่สุดชาล็อต อาเรียที่ลังเลอยู่ก็พูดขึ้น
“หากว่าฉันบอกให้พวกเขากลับมาอย่างปลอดภัย… กลับมาพร้อมความสำเร็จ… แต่หากมันมีอะไรเกิดขึ้นอีกล่ะ…”
“ครับ?”
“หากว่าพวกเขาไม่ได้กลับมาเหมือนพี่แคมเบลกับอีวาเกลีน โรส…”
ใบหน้าซอกกูนีร์กลายเป็นสับสน ในเวลาเดียวกันเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมชาล็อต อาเรียถึงไม่ยอมให้พวกเขาเข้าพบจนถึงตอนนี้
ในวันที่แคมเบล อาเรียออกไปสนามรบ ชาล็อต อาเรียได้กล่าวลาพี่ชายของเธอทั้งน้ำตา
ยังไงก็ตามเขาไม่ได้กลับมาอีก
วันที่อีวาเกลีน โรสบอกเธอเรื่องการเข้าร่วมงานจัดเลี้ยง ชาล็อต อาเรียก็ขอร้องไม่ให้อีกฝ่ายไป
ยังไงก็ตามอีวาเกลีน โรสยืนกรานว่านี่มันจำเป็นสำหรับอนาคตของพาราไดซ์ และเธอก็ไม่ได้กลับมาอีกเช่นกัน
ซอกกูนีร์ได้นึกถึงวันสุดท้ายของคนจำนวนน้อยที่ราชินีเปิดใจด้วย และเขาก็อดจะยิ้มแห้งไม่ได้
ในที่สุดเขาก็เข้าใจความรู้สึกของราชินีแล้ว
เธอคงจะรู้สึกไม่สบายใจที่คิดว่า ‘หากว่าฉันไปกล่าวลาแล้วพวกเขาไม่กลับมาเหมือนสองคนก่อนหน้านี้ล่ะ?’
และดังนั้นแล้วเธอจึงใจแข็งไม่ยอมพบหน้าพวกเขาด้วยความหวังให้พวกเขากลับมาโดยไร้การสูญเสีย
คนอื่นๆอาจจะเยาะเย้ยกับการกระทำอันไร้สาระของเธอ แต่อย่างน้อยซอกกูนีร์ก็เข้าใจถึงความสิ้นหวังในใจเธอ
ชาล็อต อาเรียยังคงเด็ก
เธอยังคงเป็นราชินีที่ไม่สมบูรณ์พร้อมและไร้ประสบการณ์จนไม่อาจจะสามารถเดินออกจากใต้ร่มเงาของผู้พิทักษ์ได้ นี่คือเหตุผลที่เธอเชื่อในเรื่องโชครางเพื่อหวังให้พวกเขากลับมาอย่างปลอดภัย
“ตอนเช้าอากาศหนาวนะครับ รีบเข้าไปข้างในกันดีกว่า”
ซอกกูนีร์ได้โค้งตัวลง และขณะที่เขากำลังจะหันหน้าไป จู่ๆชาล็อต อาเรียก็เรียกชื่อเขา
“กูนีร์”
ยังคงเป็นนับเสียงที่นิ่งสงบเหมือนอย่างเคย แต่คราวนี้ฟังดูชัดเจนยิ่งขึ้น
“ซอลจีฮู… จะกลับมา… ใช่ไหม?”
ผู้ดูแลจัดการราชวงศ์ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาจ้องชาล็อต อาเรียที่กระวนกระวาย
“ฉัน… ฉันเป็น… ห่วง”
“…”
“ฉันไม่แน่ใจเลยว่าฉันจะรอเขากลับมาได้ไหม… บางทีอาจจะเพราะฉันไม่เคยได้ทำอะไรเลย บางทีอาจจะเพราะฉันไม่ได้ช่วยพวกเขาสักนิด เอาแต่รอให้พวกเขากลับมา… ทั้งพี่รองกับโรสก็ไม่กลับมา…”
ดวงตาซอกกูนีร์มีประกายขึ้นมาทันที
“ผมขอถามได้ไหมว่าทำไมจู่ๆท่านคิดแบบนี้?”
ชาล็อต อาเรียเงียบลงไป มันดูเหมือนว่าเธอจะมีเรื่องอยากพูด แต่เก็บมันไว้อยู่
ซอกกูนีร์ได้ค่อยๆเข้าไปคุกเข่าลงอยู่ตรงหน้าราชินี เขาได้สบสายตากับเธอ และจับมือที่อยู่ไม่นิ่งของเธอเอาไว้เบาๆ
“องค์ราชินี”
เขาได้พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับบอกว่าเขารู้ทุกอย่าง และเข้าใจ
“องค์ราชินีอยากจะช่วยตัวแทนซอลใช่ไหมครับ?”
ชาล็อต อาเรียค่อยๆพยักหน้าออกมา
รอยยิ้มได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเหี่ยวย่นของซอกกูนีร์
“นั่นก็พอแล้วครับ”
“พอแล้ว?”
“พวกเราได้คุยกับตัวแทนซอลล่วงหน้าไว้หลายเรื่อง และการเตรียมการก็เริ่มไปแล้วด้วยครับ”
“โอ้…”
“ความคิดของท่าน ความตั้งใจของท่าน และแค่คำพูดของท่านก็พอแล้ว ได้โปรดไว้ใจในข้ารับใช้คนนี้”
“…”
ตามปกติแล้วชาล็อต อาเรียคงจะพูดว่า ‘จะ จริงหรอ?’
เนื่องจากเธอไม่มีความสามารถจะเข้าไปช่วย เพราะเธอทำอะไรไม่ได้ เธอก็จะแค่ฝากฝังให้ผู้ดูแลจัดการราชวงศ์ที่มีความสามารถดูแลแทน
แต่ในคราวนี้ชาล็อต อาเรียกลับไม่ยอมถอยง่ายๆ
[ตั้งใจฟังที่ฉันพูดให้ดีนะชาล็อต]
คำแนะนำของโรเซร่าที่เธอได้ยินในโลกแห่งความฝันได้ย้อนกลับเข้ามาในหัวของเธอ
ชาล็อต อาเรียกำมือและกัดฟันแน่น
“…ไม่”
เธอดูไม่พอใจและโมโหมาก
“ฉันก็… ฉันก็…!
“องค์ราชินี?”
ซอกกูนีร์เบิกตากว้างขึ้น
***
ตลอดทางรถม้าได้แล่นไปด้วยความเงียบสงบ การพูดว่า ‘มาลุยกัน’ มันต่างจากการที่จริงอย่างสิ้นเชิง
เมื่อพวกเขาได้ออกมาจากอีวา ทุกๆคนต่างก็เงียบโดยไม่สบตากันด้วยซ้ำ แต่ละคนต่างก็มีเรื่องต้องให้คิดกันอยู่มากมาย
ซอลจีฮูได้มองไปรอบๆรถม้าด้วยความรู้สึกผิดที่ลากทุกๆคนเข้ามาในภารกิจที่ยากลำบากอีกแล้ว ก่อนที่จะหันไปมองคนๆหนึ่ง
นั่นก็คือแบคแฮจูที่นั่งอยู่บนรถม้าคันเดียวกันกับเขา
เธอได้หลับตาสนิทเหมือนกับกำลังคิดกับตัวเองเงียบๆ มันน่าทึ่งมากที่เธอนั่งนิ่งๆได้ในรถม้าที่แล่นไปตามถนนอันขรุขระ และคดเคี้ยวแบบนี้ได้
“…”
หลังัจากถูกมองมันก็เป็นธรรมดาที่เธอจะลืมตาขึ้น แต่แบคแฮจูกลับไม่ได้เคลื่อนไหวเลยแม้แต่นิด
‘นพเนตรก็ใช้งานกับเธอไม่ได้ผลอีกด้วย…’
บางทีอาจจะเพราะเธอได้รับเสี้ยวพลังเทพ ทำให้เขาไม่อาจจะมองหน้าต่างสถานะหรือสีของเธอได้เหมือนกับผู้บริหารคนอื่นๆเลย
ซอลจีฮูมีเรื่องมากมายที่สงสัยเกี่ยวกับเธอ แต่เขาก็เลือกไม่ถามออกไป ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะว่ามันหยาบคาย แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือเธอมีบรรยากาศที่ห่างเหินกับคนอื่นๆ
“ขอบคุณนะคู่หู”
ตอนนั้นเองลูกเจี๊ยบก็ได้พูดขึ้นกับซอลจีฮู
“เรื่องอะไรงั้นหรอ?”
“นายพยายามเต็มที่เพื่ออาณาจักรภูติ ในฐานะภูติแล้ว ฉันควรจะขอบคุณนาย”
“นายไม่เห็นเคยพูดแบบนี้มาก่อนเลยนะ”
“นั่นก็เพราะว่าฉันต้องให้ความสำคัญกับภารกิจของฉันก่อน อาณาจักรภูติคือที่ที่ฉันเกิดและเติบโต จะไม่ให้ฉันห่วงได้ยังไงกันล่ะ?”
“โอ้”
“ถูกแล้วล่ะ แบบนี้แล้วฉันจะช่วยนายเท่าที่ทำได้ในตอนนี้ ไอ้เจ้าพวกนั้น พวกมันกล้าดียังไง…”
ซอลจีฮูที่เห็นลูกเจี๊ยบตัวน้อยน่ารักกระพือปีกคำรามได้แต่หัวเราะออกมา
“ด้วยสภาพที่เพิ่งเข้าสู่วัยทารก นายคิดว่านายทำอะไรได้งั้นหรอ?”
“ฮ่าฮ่า นายไม่รู้อะไรเลย”
ปกติแล้วมันจะระเบิดความโกรออกมา แต่คราวนี้ลูกเจี๊ยบกลับเชิดหน้าภูมิใจ
“หากเป็นในมิดเดิลเวิลด์นายก็พูดถูก แต่หากอยู่ในอาณาจักรภูติจะต่างออกไป”
“โอ้ จริงหรอ?”
“แน่นอนสิ! แต่ก็มีเงื่อนไขที่ว่าราชาภูติทั้งหมดต้องปลอดภัยด้วย…”
ซอลจีฮูที่กำลังมองดูลูกเจี๊ยบพึมพำอยู่ จู่ๆเขาก็เงยหน้าขึ้น
แบคแฮจูที่เงียบมาตลอดกำลังลืมตาจ้องลูกเจี๊ยบอยู่
‘เธอชอบสัตว์งั้นหรอ?’
จากดวงตาที่เบิกกว้างเล็กน้อยของเธอ ทำให้ดูเหมือนเธอจะสนใจ
ซอลจีฮูคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆยกลูกเจี๊ยบที่กำลังโม้เรื่องตัวเองอยู่
“อะ อะไรเนี้ย? นี่นายกำลังทำอะไรกัน?”
ซอลจีฮูได้ยื่นลูกเจี๊ยบที่กำลังดิ้นไปมาให้กับแบคแฮจู
“หมอนี่อาจจะดูเหมือนลูกเจี๊ยบ แต่จริงๆเขาคือสัตว์ในตำนานครับ”
“ฉันคือภูติอาคัส”
“อยากจะลองแตะดูไหมครับ? ไม่เป็นไรหรอกครับ”
แบคแฮจูดูจะยอมรับข้อเสนอนี้ เธอคอยๆยื่นมือออกมาด้วยสายตาเป็นประกาย
“แกว๊กก”
แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ต้องรีบดึงมือกลับไปเมื่อลูกเจี๊ยบได้จิกมือที่กำลังยื่นเข้ามาใกล้
“แกว๊กกกกกก”
มันถึงขนาดอ้าปากคำรามใส่เธอ
“นะ นายเป็นอะไรไป?”
“ใครเป็นคนให้นายตัดสินใจว่าใครจะแตะตัวฉันได้?”
ซอลจีฮูได้ถามออกมาด้วยความตกใจ แต่ลูกเจี๊ยบกลับตอบกลับด้วยความโกรธ
“กล้าดียังไง! แม้กระทั่งราชาภูติก็ยังไม่กล้าแตะต้องร่างกายของฉัน…!”
ซอลจีฮูได้แต่จ้องมองลูกเจี๊ยบที่ถูกทำให้อายด้วยความตกตะลึง
“อะไรกัน แตะนิดหน่อยไม่ได้เสียหายนี่”
“ใครพูด”
“ในตอนอยู่กับพี่สาวยูฮุยก็แตะได้นี่นา”
“คนนั้นต่างออกไป!”
ลูกเจี๊ยบจ้องมองแบคแฮจูเขม็งหลังจากที่ระบายความโกรธออกมา
“ฉันไม่ชอบคนๆนี้”
“เฮ้ นี่ไม่ดีเลยนะ! เธอเดินทางมาที่นี่ก็เพื่อช่วยเรา!”
ซอลจีฮูได้ดุขึ้นพร้อมกำลังจะขอโทษเธอ แต่แล้วลูกเจี๊ยบก็แค่นเสียงออกมา
“ฮึ่ม! ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอวางแผนอะไรไว้ แต่ฉันจะไม่ยอมคุยกับพวกสมาชิกลัทธิ”
สีหน้าแบคแฮจูแข็งทื่อไป
“นี่นายพูดเรื่องอะไรกัน? ลัทธิอะไรงั้นหรอ?”
“เป็นลัทธิที่มีพื้นฐานความเชื่อต่างออกไป ไว้ถอดหน้ากากออกแล้วฉันถึงจะยอมให้แตะตัว”
ลูกเจี๊ยบได้สะบัดหน้าเหมือนกับหมดเรื่องจะพูดก่อนที่จะมุดเข้าไปในกระเป้าเสื้อซอลจีฮู
‘ลัทธิ? นี่มันเรื่องอะไรกัน?’
ไม่ว่าจะแบบไหนซอลจีฮูก็ได้ตีลงไปบนกระเป๋าเบาๆเนื่องจากลูกเจี๊ยบได้ทำให้สถานการณ์แย่ขึ้น แต่มันก็ยังไม่ยอมออกมา
“ผะ ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ หมอนี่มีนิสัยไม่ค่อยดี…”
เมื่อเขาได้มองไปที่แบคแฮจูด้วยความรู้สึกผิด เขาก็เห็นว่าเธอไม่ได้มองเขาอยู่ เธอได้กลับไปหลับตาลงเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
***
หลังจากผ่านไปเจ็ดวันนับตั้งแต่ที่พวกเขาออกจากอีวา รถม้าก็ได้มาถึงจุดหมาย
มันเป็นพื้นที่ที่อยู่ใกล้กับฮารามาร์คมากกว่าสหพันธรัฐซะอีก จะเรียกเป็นเขตพรมแดนก็ได้
เมื่อพวกเขาเดินเท้าโดยมีโฮชิโนะ อุราระนำทางได้ครึ่งวัน พวกเขาก็ได้มาถึงสถานที่ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางพาดผ่านระหว่างที่ราบกับพื้นที่ภูเขา
หลังจากเดินข้ามที่ราบที่มีเนินเล็กๆ และผ่านหุบเขาคดเคี้ยว พวกเขาก็ได้เห็นพื้นที่แอ่งต่ำที่ทอดลงมาจากยอดเขาที่อยู่ไกลลิบ
แม้ว่าโฮชิโนะ อุราระจะเป็นตัวป่วน แต่เธอก็เป็นชาวโลกที่รักษาสัญญา
“อ๊าาา~ สดชื่นนน~”
เมื่อวิ่งไปบนยอดเขาแล้ว เธอก็ชี้ลงไปด้านล่างพร้อมตะโกนออกมา
“ตรงนั้นแหละ!”
ซอลจีฮูได้รีบวิ่งตามเธอขึ้นก็อดทึ่งกับภาพเบื้องล่างที่เห็นไม่ได้
เขาก็เห็นพื้นที่แอ่งที่เต็มไปด้วยต้นไผ่หนาขนาดเท่านิ้วโป่งถูกเมฆหมอกหนาปกคลุมเอาไว้
แต่สิ่งสำคัญมันไม่ใช่ทัศนียภาพ ในแวบแรกที่ทุกๆคนมองมันดูปกติ แต่โฮชิโนะที่เดินไปมาคอยสังเกตดูภาพตรงหน้าจู่ๆก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังขึ้นอย่างเห็นได้ยาก
“ดูนั่นสิ ฉันบอกแล้วว่าฉันพูดถูก”
ซอลจีฮูอุทานขึ้นเบาๆ
ยังไม่หมดเท่านั้น
ทุกๆคนในทีมต่างก็มองภาพตรงหน้าด้วยสายตาสงสัย ไม่ว่าพวกเขาจะมองมันจากมุมไหน จะเป็นมองตรงๆ ด้านซ้ายหรือด้านขวา ภาพที่เห็นมันก็เป็นแบบเดิมอยู่เสมอ
ทุกๆอย่างอยู่นิ่ง
มันเหมือนกับว่าทุกอย่างได้ถูกหยุดเอาไว้ แต่แอ่งต่ำตรงหน้าพวกเขามันแสดงให้เห็นแค่ภาพด้านหน้าเท่านั้นราวกับมันมีชีวิต
“แปลกมาก”
[อืม]
โฟลนที่กำลังแอบมองภาพตรงหน้ายื่นหัวออกมาส่งเสียงแปลกๆ
[ถ้ามันเป็นทะเลสาบหรือน้ำพุก็ช่างเถอะนะ แต่การที่ตรงนั้นมีมหาสมุทรที่ใหญ่แล้วก็สูงแบบนี้… มันเป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันเห็นอะไรแบบนี้]
ซอลจีฮูขมวดคิ้วขึ้น
“เดี๋ยวก่อนนะ”
[หืม?]
“โฟลน เมื่อกี้เธอพูดว่ายังไงนะ? มหาสมุทรงั้นหรอ?”
[ใช่สิ ก็มหาสมุทรตรงหน้าเราไง น้ำวนสีดำนั่นดูขนลุกแปลกๆนะ]
เธอดูจริงจังเกินกว่าจะล้อเล่น แต่ไม่ว่าซอลจีฮูจะลูบตายังไง เขาก็มองไม่เห็นมหาสมุทรสักนิด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทะเลสาบเลย
“มหาสมุทรอะไรกัน? ฉันเห็นแค่ป่าไผ่กับหมอกเองนะ”
[นี่นายกำลังพูดอะไรอยู่? หมอก… ใช่ ฉันเห็นหมอกเหมือนกัน แต่ป่าไผ่อยู่ไหนน่ะ?]
โฟลนได้มองไปรอบๆ
“อย่าตกใจ”
คาซุกิพูดขึ้น
“ทั้งสองคนพูดถูก มันเพียงแต่ว่าสิ่งที่ทั้งสองคนเห็นมันต่างกัน ลองคิดถึงความแตกต่างของทั้งสองคนสิ”
หรือก็คือภาพตรงหน้าที่พวกเขาเห็นมันต่างกันออกไปสำหรับคนเป็นและคนตาย
“ถ้างั้น… ผมควรจะคิดว่าที่นี่เป็นการผสานกันระหว่างมหาสมุทรกับป่างั้นหรอ?”
“…ก็นะ”
คาซุกิก้มหน้าลง
“ผมก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน แต่ผมเคยได้ยินจากอาจารย์เอียนมาครั้งหนึ่ง”
“เขาพูดว่ายังไงบ้างครับ”
“แม้ว่าวัตถุสองอย่างจากต่างโลกจะหลอมรวมเข้าด้วยกัน แต่คนปกติจะเป็นแค่ภายนอกของมัน และเป็นเพียงส่วนภายนอกที่เล็กที่สุดเท่านั้น บางทีอาจจะเป็นแบบเดียวกันกับที่เราเห็นตอนนี้ก็ได้”
คาซุกิได้อธิบายต่อไป
“แต่อาจารย์เอียนก็ยังบอกว่าหากคุณสามารถจะเห็นวัตถุสองอย่างได้ในเวลาเดียวกัน คุณก็จะสามารถเห็นได้ว่าโลกทั้งสองเกี่ยวพันกันอย่างไร”
ซอลจีฮูมองคาซุกิอย่างเหม่อลอยพร้อมทั้งที่อีกฝ่ายยกเรื่องเข้าใจยากขึ้นมาอีก
“ลองคิดง่ายๆนะ ภายในเราจะเป็นยังไงหากว่าคุณกับผมหลอมรวมกัน?”
“…ผมไม่อยากจะจินตนาการเลยครับ”
“ใช่ไหมล่ะ? มันก็คงเป็นภาพไม่น่ามองแน่ๆ”
หลังจากพูดแบบนั้นร่องรอยความกังวลก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าคาซุกิ
“ถ้าความรู้สึกไม่ลงรอยกันที่เรารู้สึกมันรุนแรงแบบนี้ ผมก็สงสัยว่านักบวชจะกำลังรู้สึกยังไง…”
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงร้องดังมาจากอีกฝั่ง สีหน้าซอลจีฮูได้หมองลงทันทีที่หันไปมอง
เป็นไปตามที่คาดไว้
อาน่า ฮาเลฟกำลังนอนอยู่กับพื้น
“อาน่า! อาน่า! แข็งใจไว้ก่อน!”
“เฮือก! เฮือก!”
วลาด ฮาเลฟกำลังเขย่าร่างเธอพร้อมตะโกนเรียก แต่ว่าดวงตาของเธอกรอกขึ้นไปแล้ว เธอเบิกตากว้างลมหายใจกระชั้นชิดเหมือนกับคนกำลังชัก
ซอยูฮุยที่เห็นสภาพของอาน่าแล้วได้รีบตะโกนขึ้นทันที
“คุณมาเรีย! ร่ายเวทย์ชะล้าง!”
“หืม? นั่นมันเวทย์ระดับสูง… ฉันยังอยู่ระดับ 4…”
“…ถ้างั้นเวทย์ระบายเลือดลมล่ะ? คุณใช้ได้ใช่ไหม?”
“ฉันทำได้ แต่ว่า…”
มาเรียยังคงสงสัย แต่ก็ร่ายเวทย์ออกมา
เมื่อสายลเย็นที่มีแสงสีเข้าผ่านรูจมูกอาน่า ฮาเลฟเข้าไป อาการชักของเธอก็สงบลง
“ไม่เป็นไรแล้วนะคุณอาน่า ทุกๆอย่างปกติแล้ว ตั้งสมาธิเอาไว้”
ปลายนิ้วที่ส่องแสงอ่อนๆของซอยูฮุยได้กดลงไปที่หว่างคิ้วของอาน่า เด็กสาวที่ดวงตากลอกขึ้นค่อยๆได้สติกลับมา
“คุณได้ยินเสียงฉันไหม?”
“ฮ่า.. ฮ่า…”
“ค่อยๆ หายใจเข้า หายใจออกนะ”
“ฟู่ว ฟู่ ฟู่ว”
อาน่าได้กลืนน้ำลายลงไป
หลังจากนั้นไม่นาน
เด็กสาวก็กำลังจ้องมองไปที่กลุ่มคนที่กำลังมองมาที่เธออย่างเหม่อลอย
“ฮือออออ”
…เธอได้ร้องไห้ออกมา
“มันน่ากลัว… น่ากลัวมาก…”
“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร”
“ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ… ฉันไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย… มันแปลกประหลาดและพิลึกเกินไป… มันน่ากลัวเกินกว่าที่จะมองไป…”
ซอลจีฮูที่เห็นอาน่าสะอื้นไม่หยุดได้แต่กัดฟันแน่น
อาน่า ฮาเลฟเป็นคนที่ใช้ทั้งชีวิตเห็นในสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาไม่เห็น แต่ถึงแบบนั้นภาพตรงหน้ากลับทำให้เธอถึงกับทนมองไม่ได้ และล้มลงไปชัก
ถึงเขาจะไม่มั่นใจ แต่เขาก็เดาได้ว่าภาพที่เธอเห็นคงเป็นส่งที่เกินกว่าจินตนาการของมนุษย์ เป็นอะไรที่เกินกว่ามนุษย์จะรับไหว
ซอยูฮุยได้ค่อยๆปลอบให้อาน่าใจเย็นลง ก่อนจะกระซิบเธอ
“คุณบอกได้ไหมว่าคุณเห็นอะไร? หรือถ้าอธิบายไม่ได้ จะวาดเป็นภาพออกมาก็ได้นะ แต่อย่าไปมองมันอีกล่ะ”
อาน่าพยายามพยักหน้าออกมา
เมื่อมาแชล จิโอเนียมอบกระดาษกับปากกาให้เธอ เธอก็พยายามลุกขึ้นนั่ง และเริ่มวาด
หลังผ่านไปประมาณสิบนาที ในที่สุดปากกาในมือเธอก็ตกลงไป
เมื่อซอลจีฮูก้มลงไปหยิบกระดาษขึ้นมา สมาชิกคนที่เหลือก็เข้ามามุงดูรูปภาพ
เพราะเธอมีพรสวรรค์ในการวาดภาพทำให้ภาพของอาน่ามีรายละเอียดมากกว่าที่พวกเขาคิด
ยังไงก็ตามหากเธอวาดได้ไม่ดีมันคงจะดีกว่านี้ นั่นก็เพราะในวินาทีต่อมาทุกๆคนต่างขมวดคิ้วขึ้น
ซอลจีฮูหรี่ตาจ้องมองดูรูปภาพที่แทบจะเหมือนกับเป็นเรื่องไร้สาระที่สุดในโลก
“…นี่มันอะไรกัน?”
โชฮงที่เกยคางอยู่บนไหล่ซอลจีฮูมองภาพอยู่เช่นกันได้บ่นออกมา
“นะ นี่มันอะไรกันเนี้ย? เธอวาดอะไรกันเนี้ย?”