The Second Coming of Gluttony - บทที่ 318 - พ่อเสือไม่มีลูกเป็นสุนัข (3)
บทที่ 318 – พ่อเสือไม่มีลูกเป็นสุนัข (3)
ในวันที่ชาล็อต อาเรียมีความมุ่งมั่นขึ้นมา มนุษยชาติก็ได้ร่างหมายเกณฑ์ในห้าเมืองซึ่งนับรวมอีวากับฮารามาร์คไปด้วย
พอเช้าวันรุ่งขึ้น กลุ่มชาวโลกก็ได้รีบไปประท้วงกับหมายเกณฑ์อันกระทันหันนี้ทันที
แม้ว่าทหารจะพยายามหยุดพวกเขาเอาไว้ แต่มันก็ไม่ง่ายเลยที่จะหยุดชาวโลกที่ดื้นรั้นเอาไว้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขามีนับร้อยคน
ชาวโลกแต่ละคนต่างก็มุ่งมั่นแทรกตัวเข้าไปในท้องพระโรงด้วยสายตาที่พูดได้ว่าเดือดดาล ทันทีที่เห็นราชินี ชายที่นำกลุ่มคนมาตะโกนบางอย่างขึ้นทันที แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ต้องเงียบไป
นั่นก็เพราะสมาชิกหลังของวัลฮาลาอย่างคิมฮันนาห์ และสมาชิกขององค์กรในเครืออย่างธงไชย โอเดลเล็ต เดลฟีน ฮ่าวอวิ่น และคนอื่นๆต่างก็กำลังยืนอยู่ที่วังราวกับคาดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
หากว่าไม่มีคนเหล่านี้ ชาวโลกก็คงไม่ลังเลเลยที่จะชักดาบออกมา
แต่แล้วเมื่อเห็นสมาชิกเหล่านี้พวกเขาก็ต้องผงะถอยไป ถึงแบบนั้นก็ตามความมุ่งมั่นก็กลุ่มคนก็ยังไม่ได้ลดลงไป พวกเขาแต่ละคนต่างก็จ้องมองไปทางราชวงศ์อย่างเดือดดาลเพื่อข่มขู่ให้ถอนหมายเกณฑ์พล
ระหว่างที่ยืนจ้องกันอย่างน่าอึดอัดอยู่นาน ซอกกูนีร์ที่เป็นเป้าสายตาของชาวโลกก็พูดขึ้นอย่างดุดัน
“ทางราชวงศ์พึ่งออกหมายเกณฑ์ไม่ถึงวันเท่านั้นเองนะ พวกคุณรู้หรือเปล่าว่าความขัดแย้งเพียงเล็กน้อยกับสถานการณ์สำคัญเช่นนี้ทำกับการทำความผิดร้ายแรง?”
“ความขัดแย้งงั้นหรอ? ความผิดร้ายแรง? เหอะ!”
เสียงแค่นได้ดังออกมา
“ช่างแม่งสิ”
ชายหนุ่มที่เป็นหัวหอกของกลุ่มคนเยาะเย้ยออกมาจนทำให้สีหน้าซอกกูนีร์แข็งกระด้างขึ้นอย่างรวดเร็ว ซอกกูนีร์ได้อ้างถึงความผิดเพื่อกดดันพวกเขาแล้ว แต่ว่าพวกเขากลับไม่ได้สนใจเลยสักนิด
“เอาแต่สั่งอยู่ได้ ทำอะไรเองไม่เป็นหรือไง ห๊ะ?”
“คุณ?”
ซอกกูนีร์ได้ขมวดคิ้วขึ้นทันที
“คุณลืมตัวไปหรือเปล่าว่าเรากำลังอยู่ต่อหน้าราชินี?”
“ช่างแม่งสิ เธอไม่ใช่ราชินีของเราซะหน่อยนี้ แล้วก็นะ-”
ชายหนุ่มแค่นเสียง และคำรามขู่ออกมา
“ฉันไม่ได้มาพล่ามเสียเวลาที่นี่นะ ทำไมแกไม่ถอนหมายเกณฑ์ซะตั้งแต่ที่เรายังอารมณ์ดีอยู่ล่ะ?”
“คุณว่ายังไงนะ?”
ชายคนดังกล่าวได้ยื่นคำขาดออกมาโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
สีหน้าซอกกูนีร์แดงขึ้น เขารู้ว่ามันจะต้องมีแรงตีกลับอยู่ในระดับหนึ่ง และมีชาวโลกบางคนที่จะล้ำเส้น แต่ว่าจากการที่ชาวโลกพ่นคำสบถหยาบคายออกมาแล้ว มันดูเหมือนแรงตีกลับจะรุนแรงกว่าที่เขาคิด
“หยุดไร้สาระได้แล้ว ทำไมราชวงศ์ถึงต้องถอนหมายเกณฑ์พลโดยไร้เหตุผลทางกฎหมายด้วยล่ะ?”
“หา!? ไม่ใช่ว่าแกบอกว่าสงครามเกิดขึ้นในสหพันธรัฐหรอกหรอ!?”
ชายหนุ่มได้คำรามออกมาด้วยความโมโหสุดขีด
“ปรสิตกำลังโจมตีสหพันธรัฐ! ทำไมพวกเราต้องไปป้อมปราการไทกอลด้วยล่ะว่ะ!?”
“ที่คุณถามเพราะคุณไม่รู้จริงๆงั้นหรอ? สหพันธรัฐ โดยเฉพาะป้อมปราการไทกอลอยู่ใกล้เคียงกับอีวา-”
“ช่างหัวเลือกจุดยุทธศาสตร์แม่งสิว่ะ!”
“อะ อะไรนะ?”
“ฉันไม่ได้มาฟังเรื่องนั้นเว้ย! ถ้าเป็นอีวาก็อีกเรื่อง แต่นี่เรายังไม่ได้ถูกโจมตีเลยนี้! แล้วทำไมเราถึงต้องถูกลากเข้าไปในสงครามด้วยว่ะ?”
“ผมก็กำลังบอกคุณว่า-”
ซอกกูนีร์ดูจะตกตะลึงไปจริงๆแล้ว
ชายตรงหน้าคนนี้ไม่ได้คิดจะฟังที่เขาพูดเลยสักนิด! เขามีแต่ขึ้นเสียงยืนกรานว่าตัวเองถูกเท่านั้น
ที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือเขาตะโกนออกมาอย่างมั่นใจว่า ‘สหพันธรัฐเกิดอันตรายขึ้นแล้วมันเกี่ยวกับเรายังไง?’ อีกด้วย
ยังไงก็ตามนี่ก็เป็นแค่ความคิดตื้นๆของชาวโลก สำหรับพวกเขาแล้วพาราไดซ์ไม่ได้ต่างไปจากโลกจำลองในเกมที่พวกเขาสามารถจะเข้ามาเล่นในตอนที่เบื่อหรือว่างเท่าเลย
พวกเขาคือชาวโลก พวกเขายังมีสถานที่ที่เติบโต สถานที่ที่เรียกว่าบ้านให้กลับไปอยู่ มันไม่มีเหตุผลอะไรให้พวกเขามาเสี่ยงชีวิตในพาราไดซ์ ซอลจีฮูก็แค่เป็นกรณีพิเศษที่หาได้ยากเท่านั้นเอง
เสียงตะโกนได้เริ่มดังยิ่งขึ้นอีกโดยไม่มีใครรู้ตัว นอกไปจากนี้กลุ่มคนก็ยังส่งเสียงสนับสนุนในทุกๆครั้งที่ชายหน้าสุดพูดออกมาทำให้ทั้งท้องพระโรงวุ่นวาย
ระหว่างที่การโต้เถียงอันไร้ความหมายได้ดำเนินไปเรื่อยๆไม่รู้จบ…
“…”
ชาล็อต อาเรียได้มองดูฉากนี้เงียบๆด้วยสีหน้าเป็นกังวล
ถึงแม้ว่าเธอจะพยายามทำตัวสงบนิ่งที่สุดแล้ว แต่ปากของเธอก็สั่นเบาๆ ไม่ว่าเธอจะพยายามห้ามตัวเองเท่าไหร่ ฟันของเธอก็กระทบกันไม่หยุด
พูดตามตรงคือเธอกลัว
เธอกลัวจะถูกชายที่ตะโกนไม่หยุดคุกคาม ในทุกๆครั้งที่เขาตะโกนออกมาด้วยสายตาแดงก่ำ หัวใจของเธอก็จะสั่นไหว เธออยากที่จะหนีไปให้ไกลจากที่นี่ซะเดี๋ยวนี้เลย เธอทนมันเอาไว้ ทนมองดูซอกกูนีร์ที่กำลังเผชิญหน้ากับกลุ่มคนเหล่านี้เพียงลำพัง แต่ว่า…
“!”
เมื่อเธอได้สบสายตากับชาวโลกที่ดูดุร้าย ร่างกายเธอก็ผงะถอยไปเอง
เธอได้เผลอตัวเริ่มเดินเลี่ยงจากเสี่ยงตะโกนนี้ การที่ใช้ทั้งชีวิตในที่กำบังมาตลอดทำให้การเผชิญกับสถานการณ์นี้มันยากเกินกว่าที่เธอจะทนได้
ในท้ายที่สุดแล้วเธอก็ต้องก้มหน้าค่อยๆมองไปรอบๆท้องพระโรง เธออยากจะให้ใครสักคน ใครก็ได้มาช่วยปกป้องเธอไว้
ในอีกด้านหนึ่งเธอก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเมื่อมองกลับไปที่คิมฮันนาห์ที่กำลังยืนนิ่งอยู่ด้านหลัง คิมฮันนาห์ควรจะมาเคียงข้างเธอสิ แล้วทำไมเธอคนนั้นถึงเอาแต่ยืนดูอยู่นิ่งๆ?
‘ถ้าซอลจีฮูอยู่ที่นี่-‘
พอคิดได้แบบนี้ชาล็อต อาเรียก็สะดุ้งขึ้น สีหน้าเธอได้กลายเป็นบิดเบี้ยวไป
เธอได้สาบานกับตัวเองแล้วว่าจะไม่คิดแบบนี้อีก ต่อให้จะเป็นแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว แต่เธอก็อยากที่จะยืนหยัดด้วยตัวเองให้ได้
เธออยากจะทำมันจริงๆ…
“…”
น่าขำ จากที่เธอเคยพูดโอ้อวดไปว่าจะตอบแทนบุญคุณของซอลจีฮู
ทั้งๆที่เธอรวบรวมความกล้าไว้แล้ว แต่ผลลัพธ์มันก็ยังเหมือนเดิม สุดท้ายแล้วมันก็คือความจริง เธอยังคงเป็นสาวน้อยขี้กลัวที่ไม่กล้าพูดะไรสักคำเดียว
นี่คือธรรมชาติของตัวชาล็อต อาเรีย
ที่ยิ่งน่าสมเพชไปกว่านั้นคือทั้งๆที่คิดแบบนี้ได้แล้ว แต่เธอก็ยังคงหวังให้คนอื่นมาช่วยอีก
‘ฉัน…’
ในท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เธอไม่เคยเปลี่ยนแปลงได้เลย
ชาล็อต อาเรียที่รู้สึกเกลียดชังตัวเองได้เริ่มดวงตาวาววับบไปด้วยน้ำตา ไม่นานนักเธอก็หลับตาลง และถามกับตัวเอง
‘ฉัน…’
ฉันควรจะทำยังไง? ฉันต้องทำยังไงในสถานการณ์แบบนี้?
[ชาล็อต]
ในตอนนี้เอง
[ตั้งใจฟังที่ฉันพูดให้ดีนะ]
คำพูดเมื่อไม่นานมานี้ของโรเซร่าได้ย้อนกลับเข้ามาในหัวของเธอ
***
“อย่า”
จากน้ำเสียงอันหนักแน่นของโรเซร่าได้ทำให้ชาล็อต อาเรียเบิกตากว้าง
“อย่าทำอะไร แค่อยู่เงียบๆ นิ่งๆก็พอแล้ว”
โรเซร่าได้เหลือบมองไปด้านข้างที่มีหญิงสาวอีกคนกำลังมองมาด้วยความสับสน และเธอก็พูดต่อ
“เพราะหากเธอทำอะไรอาจจะทำให้ทุกๆคนยุ่งได้”
ทันใดนั้นคำพูดดูถูกก็ดังออกมา
“ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ฉันอยากที่จะใช้เวลาให้มีค่ามากที่สุด หนึ่งในสิ่งที่ฉันไม่ยอมก็คือการต้องมาเสียเวลาเปล่าไปในตอนที่ยุ่งอยู่แล้ว”
สีหน้าชาล็อต อาเรียได้กลายเป็นมืดมนด้วยความตกใจ
เธอเคยได้ยินคำวิจารณ์จากโรเซร่ามาหลายครั้งแล้วในระหว่างการศึกษาเวทมนต์ แต่ว่าคำวิจารณ์เหล่านี้ต่างก็มีเหตุผลและคำแนะนำด้วยอยู่เสมอ มันคือคำวิจารณ์ที่เป็นเหมือนคำชี้แนะจากอาจารย์ที่มอบให้กับศิษย์ที่ยังด้อยอยู่ของเธอ
แต่ในคราวนี้มันต่างออกไป แทนที่จะเรียกว่าคำวิจารณ์ มันควรจะพูดว่าดูถูกมากกว่า
ชาล็อต อาเรียที่ได้ยินคำแบบนี้มาจากอาจารย์ที่เธอเชื่อใจ และเคารพ เธอก็ตกใจมากจนอธิบายออกมาไม่ถูกเลย
“ฉันอาจจะพูดแรงเกินไปหน่อย แต่มันไม่มีทางเลือกแล้ว เธอเข้าใจใช่ไหม?”
“ขะ เข้าใจ…”
ชาล็อต อาเรียฝืนพยักหน้าออกมาทั้งน้ำตา
“ฉันมันไร้ประโยชน์… เป็นราชินีที่ล้มเหลว… เพราะงั้นมันช่วยไม่ได้…”
แต่เมื่อได้ยินแบบนี้โรเซร่าเอียงหัวออกมา
“เอ๋? ไม่นะ ฉันคิดว่าเธอกำลังเข้าใจอะไรผิดอยู่แน่เลย”
เธอได้กอดอกส่ายหัวออกมา
“ฉันไม่ได้บอกว่าเธอควรจะอยู่นิ่งเพราะเธอไร้ประโยชน์”
“หืม?”
“หากว่าฉันให้คนไร้ประโยชน์ทำอะไรสักอย่าง ถ้างั้นฉันก็ผิดเองที่สั่งคนไร้ประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้นฉันก็ไม่คิดว่าเธอไร้ประโยชน์หรอกนะ”
“ถะ ถ้างั้นทำไม?”
“มันมีเหตุผลที่ฉันพูดแรงกับเธออยู่นะ ชาล็อต…”
โรเซร่ากระแอ่มออกมา
“มันก็เพราะว่าคุณมีความสามารถ แต่คุณไม่พยายามช่วยเลย”
ชาล็อต อาเรียเริ่มสับสนขึ้นแล้ว
“ฉันหรอ?”
“ฉันมีความสามารถหรอ? ฉันไม่ได้พยายามช่วยหรอ?
“ดูสิ ยูริได้พยายามเค้นสมองของเธอเพื่อลองทำอะไรสักอย่าง แต่เธออยู่ในจุดที่เหนือกว่ายูริ แต่เธอกลับเอาแต่นั่งอมมือ เธอไม่รู้สึกเกลียดตัวเองเลยหรอ?”
“มะ ไม่นะ ฉัน-!”
“อย่าปฏิเสธเลย”
โรเซร่าได้ขัดขึ้นอย่างรุนแรง
“อย่างที่ฉันพูดไป เธอเป็นถึงราชินีของอาณาจักร ราชินีที่เป็นผู้นำและเป็นที่นับถือของผู้คน คนที่อยู่ในตำแหน่งนี้จะไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้ยังไงกัน?”
ชาล็อต อาเรียได้แต่ยิ่งอ้าปากค้างพูดไม่ออก
โรเซร่าเหลือบมองไปด้านข้าง ก่อนถอนหายใจยาว และส่ายหัว
“น่าสงสารเขาเนอะ! เขาพยายามทำสิ่งที่น่าจะเป็นไปไม่ได้เพื่อช่วยสนับสนุนภรรยาของเขา แต่หญิงสาวที่ควรจะเป็นมิตรที่เขาไว้ใจได้กลับเรียกตัวเองว่าราชินีที่ล้มเหลว และนั่งนิ่งเฉย เฮ้อ ช่างน่าเศร้า”
แม้ว่าโรเซร่าจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แต่ชาล็อต อาเรียเข้าใจความหมายของมันได้อย่างชัดเจน
“อึก…!”
เมื่อซอลจีฮูถูกยกขึ้นมาพูด ชาล็อต อาเรียก็ได้โกรธขึ้นมาพร้อมกับดวงตาที่ลุกขึ้นเป็นไฟ ยังไงก็ตามเมื่อสบกับสายตาสงบนิ่งของโรเซร่า ชาล็อต อาเรียก็ต้องหลบสายตาออกไป
“มะ ไม่ใช่นะ ฉันไม่ได้บอกว่าจะไม่ช่วย… มีผู้ดูแลจัดการราชวงศ์ที่ชื่อว่าซอกกูนีร์อยู่… เขาทั้งซื่อสัตย์ และมีความสามารถ”
ชาล็อต อาเรียพูดติดๆขัดๆออกมา
โรเซร่าหรี่ตาลง
“เห็นใหมล่ะ?”
จู่ๆน้ำเสียงของเธอก็เปลี่ยนไป แทนที่จะพูดว่าจับผิด มันควรจะบอกว่ากำลังสั่งสอนคนที่ทำผิดมากกว่า
“ปล่อยให้ร่างกายร้อนระอุ แต่จิตใจสงบนิ่ง ไม่สิ ฉันไม่ได้หวังมากขนาดนั้น ชาล็อต ทั้งๆที่ถูกกระทำเธอก็ยังโกรธไม่เป็นเลย แล้วในสถานการณ์ปัจจุบันแล้วเธอจะไปโกรธแทนคนอื่น และทำเพื่อเขาได้ยังไงกัน?”
ชาล็อต อาเรียได้ก้มหน้าลงเศร้าๆ
“…ชาล็อต”
โรเซร่ายิ้มขมขื่นออกมา และเรียกชาล็อตเบาๆ และอ่อนโยน
“ฉันจะถามเธอเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะ”
“…”
“เธออยากจะช่วยเขานั้นจริงๆ ใช่ไหม?”
“…อื้อ”
“งั้นหรอ? มันเป็นความรู้สึกที่เลื่อนลอยงั้นหรอ? เธอรู้สึกแบบนั้นแน่นะ?”
ชาล็อต อาเรียได้พยักหน้าเงียบๆ
“ไม่เลย”
แต่โรเซร่าที่อ่านใจเธอได้ปฏิเสธมันออกมา
“ลองค้นเข้าไปดูในใจตัวเอง ในสายตาฉันแล้วนั่นแค่ความรู้สึกชั่วคราวเหมือนกับกาน้ำร้อนที่จะเย็นลงเมื่อมันไม่ได้ใช้ความร้อนอีกต่อไป”
ชาล็อต อาเรียเม้มริมฝีปากแน่น
“แต่ว่านะ-”
ยังไงก็ตามคำพูดอันเย็นชาของโรเซร่าได้เปลี่ยนแปลงไป
“การได้พบว่ากาน้ำร้อนที่เย็นอยู่สามารถทำให้ร้อนได้เสมอนั่นคือสิ่งที่คุ้มค่า”
เมื่อพูดแบบนี้แล้วโรเซร่าก็ยิ้มออกมา
“บางทีมันอาจจะเป็นโอกาสเดียวและโอกาสสุดท้ายที่เธอจะโตขึ้น”
“โอกาสที่ฉันจะโตขึ้น?”
“ใช่แล้ว ไม่ว่าใครจะพูดยังไง แต่เธอก็คือเชื้อสายตระกูลอาเรีย เป็นสมาชิกสายตรงของสายเลือดที่ควบคุมสายฟ้า และพลังฟ้าผ่า”
ดวงตาโรเซร่าเป็นประกายขึ้นมาพร้อมกับพูดต่อ
“ชาล็อต เธอยังจำองค์ประกอบสำคัญที่สุดในการพัฒนาเวทมนต์สายเลือดได้ไหม?”
“อารมณ์”
ชาล็อต อาเรียได้ตอบกลับทันที
“ใช่แล้ว สายเลือดแห่งน้ำที่ต้องมีความคิดอันยืดหยุ่น สายเลือดแห่งไฟต้องมีความกล้าหาญไม่สิ้นสุด สายเลือดแห่งน้ำแข็งต้องใช้หลักการและเหตุผล ส่วนสายเลือดแห่งสายฟ้าก็ต้อง…”
เสียงโรเซร่าได้หลุดลงเท่านี้ และมองลงมา เธอกำลังส่งสัญญาณให้ชาล็อต อาเรียพูดให้จบ
ชาล็อต อาเรียได้ตอบกลับด้วยสีหน้าเหมือนต้องมนต์สะกด
“ความโกรธ”
“ถูกแล้ว”
โรเซร่าปรบมือออกมา
“สายเลือดแห่งสายฟ้าจำเป็นต้องมีความโกรธต่อความอยุติธรรม”
จากนั้นเธอก็พยักไหล่ออกมา
“แต่ว่านะชาล็อต เธอไม่ใช่คนประเภทเจ้าอารมณ์ หรือจะบอกว่าเป็นคนใจอ่อนดีล่ะ? จะยังไงก็แล้วแต่ มันน่าจะยากสำหรับเธอที่จะโกรธขึ้นจริงๆ”
โรเซร่าขยิบตาให้ชาล็อต อาเรียที่กำลังมองมาด้วยความสับสน
“ฟู่วว! อาจารย์คนนี้จะบอกวิธีที่พิเศษให้แล้วกันนะ”
“วิธีพิเศษ?”
“ใช่แล้ว เป็นวิธีพิเศษ”
โรเซร่าได้พูดออกมาชัดๆ
“หากว่าเธอรู้สึกว่ามันยากที่จะโกรธขึ้นมาด้วยตัวเอง ทำไมเธอไม่ลองยืมพลังคนอื่นดูล่ะ? แบบนั้นเธอจะได้มั่นใจมากขึ้นไง”
ชาล็อต อาเรียได้ผงะไปกับน้ำเสียงขี้เล่นของโรเซร่า
“ฉะ ฉันไม่เข้าใจ”
“ก็ง่ายมาก แค่ลองคิดถึงเรื่องคนๆนั้น”
“?”
ชายคนที่ชาล็อตเชื่อมั่นและหลงใหล… เอาล่ะ ไม่จำเป็นต้องให้เขาจริงๆก็ได้ ตราบใดที่เป็นคนที่เธอรักก็ได้หมดเลย”
ขระที่ชาล็อต อาเรียกำลังพยายามเข้าใจความหมาย น้ำเสียงของโรเซร่าก็ค่อยๆเบาลง
“ชาล็อต หากว่าเธออยากจะได้ในสิ่งที่เธอต้องการ เธอก็ต้องลงมือทำ นี่คือมันกฎความเป็นจริงของโลกใบนี้”
“…”
“แน่นอนว่าเธออาจจะได้สิ่งที่ต้องการทั้ง ๆ ที่อยู่เฉย แต่เมื่อดูจากความสำเร็จและความล้มเหลวแล้ว ตัวเลือกแรกนั้นจะเหนือกว่ามาก ในสถานการณ์นี้มันก็เป็นเช่นเดียวกัน”
โรเซร่าพูดต่อ
“ลองคิดทบทวนและจำมันเอาไว้ คิดถึงคนที่เธอช่วยได้ และสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากว่าเธอไม่ทำอะไรเลย คิดว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นสิ”
ชาล็อต อาเรียผงะไป
ใบหน้าของคนสองคนที่จากไปแล้ว และอีกคนหนึ่งที่อาจจะจากไปได้ปรากฏขึ้นในใจเธอ
“พอเธอทำมันแล้ว-”
โรเซร่าขึ้น
“โกรธซะ”
สีหน้าชาล็อต อาเรียได้อ่อนลง
“เป้าหมายจะเป็นใครก็ได้ เธอจะโกรธโลกเฮงซวย จะโกรธอุปสรรคที่ขว้างทาง หรือโกรธความไร้พลังของตัวเองก็ยังได้”
โรเซร่าวางมือลงตรงอกของชาล็อต อาเรีย
“จะเป็นใครหรืออะไรก็ไม่สำคัญ แค่โกรธซะก็พอแล้ว”
เสียงกระซิบของโรเซร่าได้ดังก้องอยู่ในหัวเธอ
“จากนั้น…”
***
[จงเชื่อในความโกรธนั่น]
แม้ว่าจะเป็นแค่ครั้งเดียวก็ตาม
“…”
ชาล็อต อาเรียลืมตาขึ้น
“สถานการณ์ในท้องพระโรงยังคงเป็นเช่นเดิม กลุ่มชาวโลกยังคงประท้วงจนใกล้เป็นจลาจล และซอกกูนีร์ก็ได้เผชิญหน้ากับทุกคนเพียงลำพัง
ชาล็อต อาเรียได้มองดูกลุ่มคนด้วยสายตาที่อ่อนลง จากนั้นเธอก็ค่อยๆนึกย้อนไปอย่างช้าๆ เธอนึกถึงใบหน้าของทุกๆคนที่เธอห่วงใย
[เรื่องของประชาชนของพวกเราเป็นเรื่องเล็ก และทั้งพาราไดซ์คือเรื่องใหญ่ พี่จะต้องไป]
แคมเบล อาเรีย ชายผู้ที่ห่วงใยประชาชนยิ่งกว่าใคร
[เพราะแบบนี้นี่คือเรื่องที่ต้องทำ]
อีวาเกลีน โรส หญิงสาวผู้ที่ถึงจะอวดดีเล็กน้อย แต่ก็ยังอยากจะปกป้องพาราไดซ์มากยิ่งกว่าใครๆ
[พวกเราไม่มีเวลาแล้ว ทุกๆวินาทีในตอนนี้คือสิ่งสำคัญที่สุด]
และซอลจีฮูชายผู้อุทิศตนให้กับพาราไดซ์ยิ่งกว่าใครๆ
และพอเธอทำแบบนี้ได้จู่ๆภายใต้ก้นบึ้งของจิตใจเธอก็เริ่มปะทุขึ้นมา
‘ทำไม?’
อีวาเกลีน โรสพยายามอย่างเต็มที่
ซอลจีฮูเอาชีวิตเข้าเสี่ยงโดยไม่สนความเป็นตาย
‘ทำไมกัน?’
พวกเขาก็เป็นชาวโลกเหมือนกัน แต่ทำไมต่างกันแบบนี้
เหตุผลและความชอบธรรมยังมีไม่พอให้เคลื่อนไหวงั้นหรอ?
มันก็ชัดแล้วนี่ว่ามนุษยชาติจะเป็นรายต่อไปหากว่าป้อมปราการไทกอลถูกโค่น และสหพันธรัฐล่มสลาย เพราะงั้นแล้วทำไมคนเหล่านี้ถึงทำตัวไร้ยางอายเหมือนนักเลงในท้องพระโรงล่ะ?
จริงๆ นี่ก็เป็นคำถามที่เธอควรจะถามมานานแล้ว แต่ชาล็อต อาเรียมักจะกังวลกับตัวเองซ้ำๆว่า ‘มันอึดอัดเกินไปแล้ว ช่วยด้วย!’ นี่เป็นความรู้สึกแปลกใหม่สำหรับเธอ
และดังนั้นแล้ว…
[โกรธ]
เธอโกรธขึ้นแล้ว
[จะเป็นใครหรืออะไรก็ไม่สำคัญ แค่โกรธซะก็พอแล้ว]
เธอกัดฟันฟังเสียงพวกนักเลงที่ไม่ยอมฟังซอกกูนีร์เลยสักนิด
ความโกรธได้พุ่งขึ้นจากก้นบึ้งของจิตใจเธอเมื่อเห็นว่าคนเหล่านี้กำลังทำให้แผนของซอลจีฮูเละเทะ และอาจจะต้องพังได้
ความไม่พอใจได้ระเบิดจากตัวเธอจนพูดแทบไม่ออก
‘ทำไมกัน!?’
ชาล็อต อาเรียโอดครวญขึ้นเงียบๆ
ใบหน้าเธอร้อนขึ้น ไอร้อนได้พุ่งขึ้นจากท้องน้อยจนร่างกายเธอร้อนระอุ
จากนั้นเอง
“คุณตั้งใจจะละเมิดคำสั่งของราชินีงั้นหรอ!?”
“ขอเถอะนะ คำสั่งราชินีงั้นหรอ? คำสั่งของใครกันแน่? ทุกๆ คนต่างก็รู้ดีว่าแกเป็นคนสำเร็จราชการแทน! คิดว่าเราโง่งั้นหรอ!?”
ชายคนนี้ได้คำรามออกมาก่อนจะปรายตาเยาะเย้ย
“พูดได้ดีนี่! จริงสิ ในเมื่อพูดเรื่องนี้แล้วมาถามราชินีดีกว่าว่าเธออยากทำสงครามไหม”
เขาได้ชี้นิ้วออกมา และถามขึ้น
“ลองคิดดูแล้ว เมื่อก่อนไม่ใช่ว่ามนุษย์ทำสงครามกับสหพันธรัฐหรอกหรอ?”
“นั่นมันนานมาแล้ว มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลย”
“นี่เป็นความเห็นของฉัน จากที่ได้ยินมา ไม่ใช่ว่ามีคนจากราชวงศ์ตายไปในสงครามด้วยหรอ?”
คนๆนี้ไปได้ยินมาจากไหนกัน? เป็นครั้งแรกที่ซอกกูนีร์พูดไม่ออก เขานิ่งไปเพราะความตกใจ
“คุณไม่ได้รู้ถึงสถานการณ์ในอดีต”
“ก็อย่างที่ฉันพูดไป ฉันไม่สนหรอกนะว่าแกคิดอะไร เรามาฟังความคิดของราชินีกันดีกว่า”
หลังจากยึดมั่นกับความคิดตัวเองแล้ว เขาก็ยิ้มขึ้น และพูดขึ้นหน้าด้านๆ
“อย่ามาบิดเบือนคำพูดที่นี่สิ หากว่าสหพันธรัฐล่มสลาย นี่ไม่ใช่เรื่องดีกับราชินีหรอกหรอ?”
“คะ คุณต้องการพูดอะไรกัน?”
“ยอดไปเลยนี่ ว่าไปแล้วปรสิตก็จะช่วยสะสางความแค้นให้กับครอบครัวเธอใช่ไหมล่ะ?”
ทันทีที่ชาล็อต อาเรียได้ยินเรื่องนี้-
“ฉันพูดผิดงั้นหรอ? ฮ่าฮ่า ช่วยสหพันธรัฐ พอเถอะนะ เจ้าชายที่ตายจากการสู้กับสหพันธรัฐคงลุกมาร้องไห้แน่เลย!”
ดวงตาชาล็อต อาเรียเบิกกว้างขึ้น คำพูดเหล่านี้ไม่ต่างจากการราดน้ำมันลงกองเพลิงเลย
เลือดเธอปะทุขึ้นแทบจะทันที ร่างกายเธอได้สั่นขึ้นทั่วทั้งตัว มนุษย์ทุกๆ คนต่างก็มีขีดจำกัดของความอดทน
“แก..!”
สีหน้าของชาล็อต อาเรียได้ซีดไป จากนั้นก็แดงขึ้น
อาการสั่นทั้งร่างเธอรุนแรงมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ
ในอีกด้านหนึ่งคิมฮันนาห์ที่เฝ้ามองอยู่เงียบๆได้แอบเดาะลิ้นขึ้น เหตุผลที่เธอยอมทนเงียบมาจนถึงตอนนี้ก็เพราะคำขอของซอกกูนีร์
เขาบอกว่าราชินีพยายามจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ดังนั้นเธอจึงต้องคอยดูอยู่ด้านหลังสักหน่อย
‘ก็นี่แหละนะ’
ทุกๆคนต่างก็มีขีดจำกัด ชาวโลกที่กรูเข้ามาเริ่มดุดันยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้มันถึงเวลาดับไฟนั้นแล้ว
คิมฮันนาห์ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรจากชาล็อต อาเรียแต่แรกแล้ว เพราะงั้นสีหน้าเธอจึงไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่นิด
นี่คือเหตุผลที่ทำให้เธอไม่รู้
“คุณพูดจบหรือยัง?”
ซอกกูนีร์กำลังเถียงขึ้นอย่างดุเดือด
“อะไรอีกล่ะ? ฉันพูดอะไรที่ไม่ควรไปงั้นหรอ? แค่ถามราชินีเท่านั้นเองนี่!”
และกระทั่งชาวโลกที่กำลังชี้ชาล็อต อาเรียอยู่ก็ยังไม่รู้ตัว
ลมหายใจที่พ่นออกมาจากจมูกราชินีร้อนระอุขึ้น และดุดันเหมือนกระทิงคลั่ง
และนอกจากนี้
ซ่าาาส์!
ประกายสายฟ้าได้พุ่งออกมาจากดวงตาที่เบิกกว้างของเธอ
“เดี๋ยวก่อน”
จากนั้นขณะที่คิมฮันนาห์กำลังจะก้าวออกไป
“แก…”
เสียงอันสั่นไหว…
“แก…”
เสียงกัดฟันอันกราดเกรี้ยว…
“แกกล้าดียังไง…!”
ม่านตาราชินีได้เป็นประกายสายฟ้าสีน้ำเงินออกมา
ในเวลาเดียวกัน
“ถอยไปไกลๆเลยตาแก่ ฉันกำลังถาม-”
ปากที่ขยับเพียงแค่เล็กน้อย และมีรอยกัดอยู่ที่ริมฝีปากได้เปิดกว้างขึ้น
“หุบปากของแกเดี๋ยวนี้!”
จากนั้นเสียงคำรามได้ดังสนั่นออกมา