The Second Coming of Gluttony - บทที่ 320 - สงครามปะทุพร้อมกัน (1)
บทที่ 320 – สงครามปะทุพร้อมกัน (1)
โลกแห่งมิติช่องว่างอธิบายได้เพียงคำเดียวว่าไม่อาจจะทนรับไหวได้เลย
ยังไงก็ตามความอดทนของทีมทำภารกิจนี้ก็สูงมาก พวกเขาต่างก็เป็นทหารผ่านซึ่งที่สามารถจะรับมือกับปรากฏการณ์ที่ไม่คุ้นเป็นอย่างดี
หลังจากคำเตือนของอาน่า พวกเขาก็ไม่ได้ทำพลาด และตั้งสมาธิทั้งหมดไปกับการเดินตามรอยเท้าของเด็กสาว
จะเว้นก็แต่เพียงคนเดียว
“อืมม~ กลิ่นแห่งความตาย~”
โฮชิโนะ อุราระทีเดินอย่างปกติมาจนถึงตอนนี้ จู่ๆเธอก็กางแขนขึ้นสูดหายจเข้าลึก
“นี่แหละ นี่คือสิ่งที่ฉันรออยู่เลย ความรู้สึกที่ว่ารอดแล้ว ฉันชอบมัน…!”
ไม่มีแม้แต่เสี้ยวของแสงสว่างที่ส่องลงมาที่นี่ แต่ท่าทางที่เงยหน้ากางแขนมองท้องฟ้าอย่างยินดี มันทำให้เหมือนเธอกำลังถึงจุดสุดยอดบางอย่าง
แน่นอนว่านี่เป็นสิ่งที่ซอลจีฮูไม่เข้าใจเลยสักนิด กลิ่นแห่งความตายมันทำให้เธอรู้สึกสบายตัวงั้นเหรอ? มันแปลกๆแล้วนะ
แต่ว่าโฮชิโนะ อุราระดูจะพอใจกับมันมากจริงๆ เธอเป็นคนที่พูดและทำตัวเหมือนเด็ก แต่ทันทีที่เธอเข้ามาในโลกมิติช่องว่าง เธอก็กลายเป็นคนที่เงียบไปเลย
“ก่อนพ่อฉันจากไป พ่อฉันได้ฝากคำพูดหนึ่งเอาไว้”
หลังจากที่อูเดรย์ บาสเลอร์เห็นโฮชิโนะ อุราระขำเหมือนกับคนเสพยา เธอก็กระซิบออกมา
“โลกใบนี้กลางใหญ่ และไม่เคยขาดแคลนคนบ้าเลย ในตอนนี้ฉันเข้าใจจริงๆแล้วสิว่าพ่อหมายถึงอะไร”
ซอลจีฮูพยักหน้าออกมา อูเดรย์ บาสเลอร์คงจะคิดว่าตัวเองบ้าแล้วก่อนที่จะมาอีวา แต่หลังจากเข้ามาในวัลฮาลา และได้เห็นเหล่าคนสติไม่ค่อยดีคงไม่แปลกที่เธอจะเริ่มสงสัยในตัวเอง
“ผมไม่เคยคิดเลยนะว่าจะมีวันที่ผมคิดว่าคุณอูเดรย์ บาสเลอร์เป็นปกติจะมาถึง”
ซอลจีฮูได้ตอบกลับอย่างสงบก่อนที่จะหยิบเนื้อแห้งจากในกระเป๋าขึ้นมากัด
“ฮัดชิ้ววว!”
เมื่อจู่ๆรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่คืบคลานเข้ามาในวิญญาณทำให้เขาหลุดจามออกมา แต่ว่าเขาก็ไม่ได้หยุดหันกลับไปมอง อาน่าที่เห็นแบบนี้ก็ยิ้มออกมาเหมือนกับว่าเธอภูมิใจที่ซอลจีฮูทำตามคำแนะนำของเธอ
“มันก็ต้องการเหมือนกัน”
ใบหน้าซอลจีฮูแข็งทื่อไป
“คุณหมายถึงสิ่งที่โชฮงเพิ่งเจอมาหรอครับ…?”
“ใช่แล้ว มันกำลังตามเรามา”
“ด้านหลังผมเหรอ?”
“ไม่ใช่ ด้านข้างต่างหาก มันกำลังโบกมืออยู่ที่เนื้อแห้ง บางทีมันอาจจะไวต่อกลิ่นเลือดก็ได้”
นี่คือเหตุผลที่ทำให้ทั้งร่างเขาสั่นขึ้นมาขนาดนี้สินะ?
“…”
เขาไม่หิวอีกแล้ว หลังจากคายเนื้อแห้งออกมา ซซอลจีฮูก็คิดอยากหนักก่อนจะหยิบเนื้อแห้งขึ้นมาอีกชิ้น
เขาไม่ได้หิว แล้วก็ไม่ได้อยากจะลิ้มรสเนื้อด้วย แต่ว่าเขาก็ยังต้องฝืนกลืนมันลงไป ในเมื่อสัมผัสทั้งห้าเขาได้ผิดเพี้ยนไปทำให้เขาไม่อาจจะเชื่อในสิ่งที่รู้สึกได้
เพราะแบบนี้ต่อให้เขาจะไม่หิวหรือกระหายน้ำ เขาก็ยังดื่มน้ำ และทานอาหารลงไปเป็นระยะต่อให้ไม่มีสัญญาณใดๆจากร่างกายก็ตาม หากเขาไม่ทำแบบนี้บางทีเขาอาจจะล้มลงไประหว่างเดินทางโดยไม่รู้ตัวก็ได้
“พอเริ่มชินกับที่นี่เริ่มทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นแล้ว มนุษย์นี่ปรับตัวได้เร็วจริงๆ”
อาน่าได้ส่งเสียงให้กำลังใจพร้อมกำหมัดไว้แน่น ซอลจีฮูที่เห็นหญิงสาวพูดพร้อมกับปากที่เลอะอ้วกของเธอได้แต่รู้สึกรู้สึกผิดขึ้นมา
“ไปกันเถอะ เราอยู่ไม่ไกลแล้ว”
ซอลจีฮูจำไม่ได้แล้วว่าอาน่าพูดแบบนี้ครั้งที่เท่าไหร่แล้ว แต่ว่าเขาก็แค่ยิ้มตอบกลับไปเท่านั้น
ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ? เมื่ออาน่าได้เปลี่ยนทิศหกครั้ง และเดินนำทางต่อไป ซอลจีฮูก็รู้สึกว่าร่างกายหนักขึ้นจนเหมือนกับเขาเป็นไข้
แต่ในตอนนี้เองซอลจีฮูก็รู้สึกชัดมากว่ามีบางอย่างแปลกไป ตอนแรกเขาคิดว่าคงเป็นมอนสเตอร์ที่เข้ามายุ่งกับเขา แต่แล้วเขาก็ต้องเปลี่ยนความคิดไปในเวลาไม่นาน
‘หรือว่าจะเป็น’
ในทันทีที่เขาคิดแบบนี้ จู่ๆหมอกก็ลอยสูงขึ้น วิสัยทัศน์ที่พร่ามัวกลายเป็นชัดเจนขึ้น แม้ว่าความคิดของเขาจะขุ่นมัวอยู่เล็กน้อย แต่มันก็ดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก
ในที่สุดเขาก็มองเห็นแล้ว สิ่งแรกที่เขาเห็นเลยก็คือพื้นที่เปิดโล่งที่มีโขดหินอยู่ประปราย
มันเป็นภาพที่แปลกตา หมอกที่ปกคลุมทั้งผืนดินและท้องฟ้าได้แยกกันออกเป็นวงล้อมที่แห่งนี้ราวกับเป็นที่เดียวที่มันเข้ามาไม่ได้
และตรงกลางของพื้นที่เปิดโล่งเป็นน้ำพุเล็กๆ
“นี่แหละ”
อาน่าได้หยุดลง
“ที่นี่น่าจะปลอดภัย ฉันมองไม่เห็นรอยแยกมิติที่นี่”
เธอได้เดินไปมาและกระโดดเบาๆก่อนหยุดลงด้วยสีหน้าดูจะมีความสุขมาก จากนั้นเธอก็ชี้ไปตรงกลางและพูดขึ้น
“โอ้ ยกเว้นตรงนั้น”
ซอลจีฮูได้เดินเข้าไปในพื้นที่โล่งทันที
‘โฮ่’
ความรู้สึกที่เขารู้สึกได้ต่างไปจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
พื้นที่โล่งนี้ดูเหมือนจะเป็นตาพายุเหมือนที่คาซุกิบอก
หลังจากนั้นไม่นานสมาชิกทีมทำภารกิจก็ได้วิ่งเข้าไปที่ตรงกลาง มองดูไกลๆแล้วมันเหมือนกับเป็นน้ำพุ แต่เมื่อได้มาสำรวจดูใกล้ๆ พวกเขาก็ได้รู้ว่ามันคือหลุมยักษ์ไร้ก้นบึ้งที่มีขนาดความกว้างสองเมตร
ไม่มีน้ำอยู่ภายในหลุม จะมีก็แต่ควันที่คล้ายกับวิญญาณส่องประกาย
“โอ้วววว~!”
โฮชิโนะ อุราระได้กรีดร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น และลงไปนั่งยองๆอยู่ตรงหน้าหลุม คนอื่นๆต่างก็ยืนรักษาระยะห่างจากมัน และโน้มคอลงไปมอง
ซอลจีฮูที่เห็นโฮชิโนะโยนก้อนดินลงไปได้แต่ฝืนกลืนน้ำลาย
‘งั้นนี่คือ…’
น้ำพุที่ซอลจีฮูกับอึนยูริในอนาคตเคยพูดกัน
ตอนนี้พอได้มามองมันด้วยสายตาตัวเองแล้ว มันก็ไม่ได้ดูพิเศษเลยสักนิด ยังไงก็ตามซอลจีฮูไม่ได้เชื่อสายตาตัวเองในที่แห่งนี้ ถึงสำหรับเขามันอาจจะดูเหมือนหลุม แต่ในความเป็นจริงอาจจะเป็นอย่างอื่นก็ได้
“เฮ้”
ฟิลิป มูเลอร์คงจะคิดเหมือนกันทำให้เขาหันไปถามอาน่าที่กำลังนั่งพักอยู่
“สำหรับคุณแล้วหลุมนี่ดูเป็นยังไง”
“อือ-”
อาน่าเอียงหัวออกมา
“มิติล่ะมั้ง?”
“อะไรนะ?”
“พูดให้ชัดก็เหมือนกับกระจกที่แตกร้าวจากการถูกคนเตะบอลใส่ และเหนือกว่านั้นคือมิติ ฉันยังเห็นดวงดาว ผืนดิน แล้วก็อะไรทำนองนี้ด้วย”
“…มิติ…”
ฟิลิป มูเลอร์ได้ลูบคางคิดกับตัวเอง
“เธอกำลังทำอะไร?”
ในตอนนี้เองแอ็กเนสก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
โฮชิโนะ อุราระได้ลากก้อนหินขนาดเท่าตัว และโยนมันลงไปในหลุม ต่อจากนั้น…
“เอ๋?”
“อ่ะ?”
ฟิลิป มูเลอร์กับอาน่าได้ร้องขึ้นพร้อมๆกัน จากนั้น…
“ควันลดลงไปงั้นเหรอ?”
“หน้าต่างกลับมาเป็นรูปขึ้นหน่อยแล้ว!”
พวกเขาได้ส่งเสียงออกมาพร้อมๆกัน
เมื่อทุกๆคนหันไปมองโฮชิโนะ อุราระ เธอก็ได้แต่เกาหัวไม่เข้าใจ
“เอ่อ ฉันก็แค่สงสัยว่ามันลึกแค่ไหนเท่านั้นเอง…”
แอ็กเนสขมวดคิ้วขึ้น
“ถอยไปแล้วอยู่เงียบๆ”
“ได้ค่าาา~”
โฮชิโนะ อุราระได้รีบถอยออกไป
“รอยแยกดูเหมือนจะเล็กลงไป”
อาน่าได้ผงะไป แต่ฟิลิป มูเลอร์ที่เป็นนักเวทย์อันดับหนึ่งดูจะต่างไปเล็กน้อย
“หรือว่าจะเป็น…”
เขาได้พึมพำด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดเหมือนคิดอะไรขึ้นได้
“เข้าใจแล้ว ฉันเดาถูก การพังทลายจากภายในคงจะเกิดขึ้นไปแล้ว มันไม่ใช่แค่กำลังขยายตัว ด้วยปรากฏการณ์นี้มันกำลังฟื้นตัวด้วย…”
“เฮ้ คุณนักเวทย์ ช่วยหยุดคุยกับตัวเอง แล้วช่วยอธิบายให้เราฟังหน่อยสิ”
เมื่อถูกโชฮงขัด ฟิลิป มูเลอร์ก็พยักหน้าออกมา
“คุณคงจะเคยได้ยินเรื่องอุณหพลศาสตร์”
“?”
“กฎข้อแรกระบุไว้ว่าพลังงานไม่อาจจะถูกสร้างหรือถูกทำลายได้ในจักรวาล หรือพูดให้ชัดคือระบบที่แยกเดี่ยวออกมา และข้อที่สองระบุไว้ว่าเอนโทปีของจักรวาลจะเพิ่มขึ้นอยู่เสมอ ดังนั้นแล้วหากคุณคิดตามกฎนี้ เอนโทปีก็จะมีทิศทางการเพิ่มขึ้นของ…”
ฟิลิป มูเลอร์ได้อธิบายกลางกัน และแสดงสีหน้าไม่ค่อยพอใจออกมา สมาชิกส่วนใหญ่ของวัลฮาลา รวมถึงนักรบสาวที่พูดขึ้นกำลังมองมาที่เขาด้วยสีหน้าสับสน
“…เอาล่ะ สมมติว่าผมมีรอยข่วนที่แขน”
ในท้ายที่สุดฟิลิป มูเลอร์ก็แตะแขนและเปลี่ยนน้ำเสียงไป
“หากว่าคุณปล่อยแผลทิ้งไว้จะเกิดอะไรขึ้น? ร่างกายของคุณจะทำยังไง?”
“แผลก็จะตกสะเก็ต”
ฟิโซราตอบกลับมา
“ใช่แล้ว และเหตุผลที่แผลเราตกสะเก็ตนั่นก็เพื่อป้องกันการติดเชื้อ ฝุ่น และต่างๆอีกมากมาย เพราะงั้นเหตุผลที่หมอกลดลง หรือก็คือเหตุผลที่รอยแยกหดตัวลงก็คล้ายๆกัน”
ฟิลิป มูเลอร์กระแอ่มออกมา
“สำหรับมิดเดิลเวิลด์แล้ว หลุมนี่ก็เหมือนบาดแผล สิ่งที่เรากำลังทำเพื่อผ่านทางนี้ไป สำหรับโลกแล้วก็เหมือนกับเป็นเชื้อโรค และพยายามจะปิดหลุมนี่ชั่วคราว จะคิดว่าเป็นขั้นตอนการรักษาตัวเองของโลกก็ได้”
“…นี่เขากำลังพูดบ้าอะไรกัน?”
ฮิวโก้ถามออกมาแปลกๆ
“ฉันไม่เข้าใจที่เขาพูดเลยสักนิด”
โชฮงก็ยังพยักไหล่ และส่ายหัวออกมา
ฟิลิป มูเลอร์ได้แต่ทำหน้าบึ้ง
“ให้ตายสิ หากว่ากระทั่งคำอธิบายแบบนี้คุณยังไม่เข้าใจ ถ้างั้นคงต้องโทษสมองคุณแล้วล่ะ ผมคิดว่าทำได้ดีแล้วนะที่ย่องานวิจัยยี่สิบกว่าหน้าให้เหลือแค่ไม่กี่ประโยค แต่คุณกลับยังพูดแบบนี้…”
“คุณกำลังจะบอกว่าจำนวนคนที่เข้าไปในหลุมนั้นได้มีจำกัด”
เมื่อซอลจีฮูที่เคยเห็นและได้ยินเกี่ยวกับหลุมถามขึ้น ฟิลิป มูเลอร์ก็ถอนหายใจโล่งอก
“ใช่ ตอนนี้คุณจะพูดว่ามันมีจำนวนจำกัดก็ได้”
“ตอนนี้นี่หมายถึง…”
“เราไม่อาจจะเทียบเคียงปรากฎการณ์มิติช่องว่างได้ด้วยกระบวนการรักษาตัวเองของร่างกาย ไม่มีใครรู้ว่าหลุมจะปิด ฟื้นฟูให้มีขนาดเดิม หรือใหญ่ขึ้นอีกเมื่อไหร่ ผมก็ยังมีคำถามอีกมากมายที่ยังไม่ได้รับคำตอบเช่นกัน”
ฟิลิป มูเลอร์รีบพูดออกมา จากนั้นเขาก็ถอดแว่นออกมาเช็ด
“แต่ไม่ว่ายังไงสิ่งที่ผมมั่นใจเลยก็คือมันมีโอกาสที่เราจะใช้หลุมนั่นผ่านเข้าไปในอาณาจักรภูติ และพวกเราทั้งหมดไม่อาจจะเข้าไปได้”
“แล้วถ้าพวกเราจะเข้าไป พวกเราก็ต้องรีบให้เร็วที่สุด”
แอ็กเนสได้เสริมขึ้น
“ใช่”
ซอลจีฮูก็เห็นด้วยเช่นกัน
แม้ว่าทุกๆคนจะเหนื่อยจากการเดินทาง และควรที่จะพักบ้าง แต่ปปัญหาคือในที่แห่งนี้ไม่ควรจะพัก ไม่ต้องพูดถึงการได้พักผ่อนเลย แค่ยืนนิ่งๆที่นี่ก็ทำให้พวกเขาหมดแรงแล้ว
แม้ว่ามันจะลดเหลือน้อยลงเมื่อพวกเขาเข้ามาในพื้นที่โล่ง แต่ว่ามันก็ยังไม่ถึงกับหายเป็นปกติ
“ถ้างั้น-”
ซอลจีฮูหันไปมองแบคแฮจูราวกับสงสัยว่าเธอจะยกเรื่องการถอยขึ้นมาพูดหรือเปล่า ยังไงก็ตามเธอยังคงมองลงไปที่หลุมเงียบๆ
‘แม้หินยักษ์ก็ลดขนาดรอยแยกแค่เล็กน้อยเท่านั้น… หากว่าทุกคนเข้าไปได้ก็คงดี’
เพราะแบบนี้ทำให้ซอลจีฮูที่กำลังจะตัดสินใจได้เปลี่ยนใจไปอย่างกระทันหัน พอมาคิดดูแล้วมันก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปทีละคน
“พวกเราจับมือกระโดดเข้าไปพร้อมกันเถอะ”
นี่ก็เพื่อป้องกันการเข้าไปทีละคนแล้วถูกเคลื่อนย้ายไปในคนละที่ของอาณาจักรภูติ
“ผมเข้าใจที่คุณกำลังพูดนะ แต่ว่าการแบ่งเป็นสองทีมจะไม่ปลอดภัยกว่าเหรอ? มีโอกาสที่หลุมจะรองรับไมได้ทุกคน และเราก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่เข้าไปไม่ได้”
ฟิลิป มูเลอร์ได้เสนอความเห็นออกมา ซอลจีฮูที่เห็นด้วยกับเขาได้เลือกคนออกมาทันที
นับรวมเขาแล้ว เขาก็ได้เลือกนักรบระดับสูง นักธนู และจากนั้นก็รวมถึงนักบวชอีกสองคนด้วย
ทีมแรกได้มัดเชือกที่ข้อมือเข้าด้วยกัน และจากนั้นก็ยืนรอบหลุม
มาจนถึงจุดนี้แล้วมันชัดเจนว่ามีสองคนถูกแยกออกจากภารกิจ
“ขอบคุณครับ”
ก่อนจะกระโดดลงไป ซอลจีฮูได้หันหน้าไปขอบคุณสองพี่น้องฮาเลฟ เขาขอเพียงแค่ให้ทั้งคู่นำทาง หากว่าขอให้พวกเขาไปร่วมภารกิจช่วยอาณาจักรภูติอีกมันก็จะมากเกินไป
“เดินทางปลอดภัยนะ ก่อนมาที่นี่ฉันได้บอกกับคิมฮันนาห์แล้ว เพราะงั้นทั้งคู่ตรงไปที่อีวาได้เลย”
อาน่าไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอแค่จ้องมาที่เขาด้วยรอยยิ้มแปลกๆเท่านั้น
ซอลจีฮูหันกลับลงไปมองที่หลุม
ในที่สุดเขาก็มาถึงแล้ว
‘ไม่’
เขาควรจะบอกว่าเขาเพิ่งมาถึงจุดเริ่มต้นหรือเปล่านะ
“อ๊า ปวดฉี่จังเลย”
การยืนอยู่ตรงหน้าหลุมยักษ์คงจะทำให้มาเรียเป็นกังวลจนเธอบิดตัว และบ่นออกมา ไม่ใช่แค่เธอเท่านั้น แต่สมาชิกทีมแรกทุกๆคนต่างก็มีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด
“พร้อมนะทุกคน”
ซอลจีฮูจับมือที่อยู่ซ้ายและขวาไว้แน่น ซึ่งนั่นประกอบด้วยมือของซอยูฮุยกับแบคแฮจู
“ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง…”
เขาได้จ้องที่หลุม และเริ่มนับขึ้น จนในที่สุดถึงเลขศูนย์ สมาชิกทีมก็ได้กระโดดลงไป
“ย๊ากกกกก!”
คนแรกได้กระโดดลงไป
“วัลฮาลา!”
อีกคนได้กระโดดลงไปพร้อมเสียงตะโกนอย่างกล้าหาญ
“ซอลจีฮูไอ้สารเลว!”
นักบวชอีกคนที่ยืนกรานจะเข้าเป็นคนที่สองได้ทิ้งตัวลงไปทันที
“เอ๋? เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวววว!”
และอีกคนหนึ่งก็ได้ถูกลากตามลงไปในหลุม
ตูม!
ต่อจากนั้นซอลจีฮูก็รู้สึกเหมือนตัวเขาตกลงไปในน้ำ ตอนเขาตรวจสอบดูภายในนั้นมีแค่ควันเท่านั้น แต่ตอนนี้กลับมีบางอย่างที่หนักอึ้งอย่างมากกำลังกดเขาลงอยู่
ถึงแบบนั้นมันก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น ไม่นานนักความรู้สึกแปลกๆก็ปรากฏขึ้นมาครอบคลุมทั้งตัวเขา ซอลจีฮูได้หลับตาลงอดทนกับความเจ็บปวดที่เหมือนสมองจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
และในหัวใจของเขาก็ได้ภาวนาออกมา
จนกระทั่งเมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาก็มาอยู่ในอาณาจักรภูติแล้ว
***
กองทัพได้มาถึงอีวาแล้ว
มันคือกองทัพใหญ่ที่รวมมาจากทั้งสี่เมืองซึ่งถูกนำโดยเทเรซ่า
เมื่อเทเรซ่าได้มาถึงราชวังอีวาเพื่อเข้าควบคุมกองทัพอีวาอย่างเป็นทางการ เธอก็ต้องได้รับข่าวอันน่าทึ่งจากผู้ดูแลจัดการราชวงศ์
“ชาล็อตออกไปแล้ว”
“ครับ องค์ราชินีได้ออกไปที่พรมแดนพร้อมกับนักเวทย์ที่มาจากฮารามาร์คเมื่อวาน และทหารร้อยนายแล้ว”
“อะไรนะ? ทำไมเธอถึง…”
“องค์ราชินีบอกว่ามีบางอย่างที่เธอต้องทำ องค์ราชินีขอให้ผมบอกท่านว่าองค์ราชินีขออภัยที่ไม่อาจจะเจอหน้าท่านได้ และองค์ราชินีบอกว่าจะเจอกับท่านที่ป้อมปราการไทกอล”
สีหน้าของเทเรซ่าเหมือนกับกำลังถามซอกกูนีร์ว่าชาล็อต อาเรียบ้าไปแล้วงั้นเหรอ ยังไงก็ตามเมื่อเธอได้เห็นสีหน้าซอกกูนีร์ เธอก็ได้แต่พยักหน้ายอมรับ
เธอรู้ดีว่าซอกกูนีร์เข้มงวดและรอบคอบแค่ไหน หากเขายังเป็นปกติดี เขาจะไม่มีทางปล่อยให้เด็กไร้เดียงสาออกไปด้วยตัวเธอเองหน้า
‘นั่นมันอธิบายได้ว่า…’
พอมาถึงที่นี่แล้วเทเรซ่าก็มีหลายเรื่องให้ตกใจ แม้ว่าอีกสองเมืองนอกจากฮารามาร์คกับโอดอร์จะส่งกลังเสริมมา แต่พูดตามตรงแล้ว กำลังเสริมของพวกเขาก็แค่ใหญ่กว่ากองทัพเล็กๆเล็กน้อยเท่านั้น
มันเพียงแค่เพื่อให้เมืองได้มีชื่อเสียงหากว่าเรื่องต่างๆดำเนินไปด้วยดี หรือหากล้มเหลวก็ไม่ได้สูญเสียอะไรมาก ไม่ว่าจะแบบไหนเทเรซ่าก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเนื่องจากว่าผู้บริหารของแต่ละเมืองได้เดินทางมาเอง
ยังไงก็ตามอีวาต่างออกไป ไม่ว่าจะเป็นขนาดกองทัพหรือคุณภาพของชาวโลก เธอก็สามารถจะรวบรวมกองกำลังที่เทียบได้กับของฮารามาร์คได้เลย
เทเรซ่าคิดว่าเป็นฝีมือของผู้ดูแลราชวงศ์ แต่แล้วดูจะไม่ใช่แบบนั้น ซอกกูนีร์ได้เปิดเผยตรงๆว่าชาล็อต อาเรียได้เป็นคนทำให้มันกลายมาเป็นแบบนี้ ถึงขนาดเข้าควบคุมประตูมิติของวิหารอีกด้วย
“แม้กระทั่งฉันก็ยังลำบากกับการควบคุมชาวโลก… น่าตกใจมาก นี่มันเกิดอะไรขึ้นมา?”
“เมื่อฟ้าผ่าลงมา เสียงกลองรบก็ดังขึ้น”
ซอกกูนีร์ได้ตอบคลุมเครือด้วยรอยยิ้มบาง”
เทเรซ่าไม่อาจจะซ่อนความตกใจไว้ได้เลย
“เข้าใจแล้ว กษัตริย์องค์ก่อนคงจะยินดีหากเขายังอยู่”
ข้ารับใช้คนนี้ก็คิดว่ามันน่าเสียดาย”
“จะยังไงก็ขอบคุณนะ ผู้บัญชาการกองทหารม้ารออยู่ข้างนอกไหม?”
“ครับ แต่ท่านคิดจะออกไปทันทีเลยหรือเปล่า?”
“ถ้าพักสักหน่อยก็คงดี แต่น่าเสียดายที่สถานการณ์เร่งด่วนมาก”
เมื่อเทเรซ่าหันหน้าไป เธอก็หยุดลง และล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า จากนั้นเธอก็หยิบเอาคริสตัลสื่อสารออกมา
“ผู้ดูแลกูนีร์ คุณติดต่อสหพันธรัฐครั้งล่าสุดเมื่อไหร่?”
“พวกเราไม่ได้ลองติดต่อไปสองสามวันได้แล้ว…”
“ฉันขาดการติดต่อกับพวกเขาเมื่อสี่ชั่วโมงก่อน จากนั้นฉันก็ติดต่อหาพวกเขาเป็นระยะ แต่พวกเขาไม่ตอบรับเลย”
สีหน้าซอกกูนีร์แข็งทื่อไป
การสื่อสารจากสหพันธรัฐถูกตัดไปแล้ว? นี่มันมีความหมายเดียวเท่านั้น
“การรบกวนสัญญาณ”
กองทัพปรสิตได้มาถึงแล้ว
“นี่คือเหตุผลที่เราต้องรีบ”
เทเรซ่าถอนหายใจออกมา
ซอกกูนีร์ก็ไม่มีอะไรจะพูดเช่นกัน
“…ผมได้แต่หวังให้ทุกคนปลอดภัย”
ที่เขาทำได้ก็มีแค่ภาวนาเท่านั้น
“ไม่ว่ายังไงฉันก็ต้องรอดกลับมาให้ได้”
เทเรซ่าหัวเราะออกมาก่อนจะกล่าวลา และรีบจากไป
หลังจากนั้นไม่ถึงชั่วโมง กองทัพผสมของห้าอาณาจักรที่นำโดยทหารม้าหมื่นคนก็เคลื่อนทัพออกจากประตูทางใต้ของอีวา
ไปสู่ป้อมปราการไทกอล ที่ที่สงครามอันดุเดือดปะทุขึ้นไปแล้ว
*****
อ่านตอนล่าสุดได้ที่ ลิ้ง