The Second Coming of Gluttony - บทที่ 327 - การตื่นของพลัง และโอกาสสุดท้าย (1)
บทที่ 327 – การตื่นของพลัง และโอกาสสุดท้าย (1)
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ใช่แล้ว นั่นแหละคือใบหน้าที่ข้าอยากจะเห็น!”
ยูนิคอร์นที่เกือบจะตายหัวเราะออกมาอย่างร่าเริง มันกำลังใช้พลังของผู้บัญชาการอีกคนหนึ่งเพื่อเชิดหน้าชูตาตัวเองเหมือนเด็กหลบหลังผู้ใหญ่
ยังไงก็ตามเสียงหัวเราะของมันอยู่ได้ไม่นานนัก
เหตุผลก็ง่ายมาก
“เยี่ยม! ความเมตตาอันบิดเบี้ยว! สั่งสอนบทเรียนให้กับพวกมันที่…”
ผั๊วะ
ระหว่างพูดอยู่มันได้ถูกความเมตตาอันบิดเบี้ยวส่งลอยกลิ้งไปกับพื้นอย่างน่าสังเวช
‘เธอโจมตีมัน?’
ซอลจีฮูคิดว่าเขาตาฝาดไป
ความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งหลุดจากความสับสน และดูจะตกตะลึงเช่นกัน
“นี่มันอะไรกัน!?”
“หุบปาก”
น้ำเสียงเย็นชาขัดเขาไว้ เมื่อความเมตตาอันบิดเบี้ยวมองลงไปอย่างเย็นชา ยูนิคอร์นก็ต้องผงะไป
“ตัวตนอ่อนแอแบบเจ้ากล้าดียังไงมาสั่งข้า?”
“…บ้าเอ้ย! ข้าไม่ได้สั่งเจ้า ข้ากำลังพูดกับเจ้าในฐานะสหารที่รับใช้ราชินีเช่นเดียวกัน!”
“สหาย?”
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวเชิดหน้าขึ้น เธอดูเหมือนจะกำลังคิดว่าเธอเพิ่งได้ยินเรื่องตลกไร้สาระอยู่
“เจ้า…”
เมื่อมองความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งแล้ว เธอก็หัวเราะออกมา
“เจ้าไม่ได้รู้เลยงั้นเหรอว่าทำไมราชินีถึงได้ส่งเจ้ามาอยู่ที่นี่”
“อะไรนะ?”
“น่าขันนัก! เจ้ากล้าพูดแบบนี้ทั้งๆที่อยู่ในสภาพนี้เนี้ยนะ ด้วยการกระทำอันโอหัง และหยิ่งผยองของเจ้านั่นกล้าเรียกตัวเองว่าสหายด้วยงั้นเหรอ?”
“ไอ้เจ้ากิ้งก่า…! ข้ามาที่นี่เพื่อพิชิตอาณาจักรนี้ตามคำสั่งขององค์ราชินี!”
“ฟุฟุ ข้าไม่สนหรอกนะว่าเจ้าจะคิดอะไรอยู่ แต่ช่วยพูดให้ถูกหน่อย ข้าคือคนแรกที่บุกเข้ามาและพิชิตอาณาจักรภูติ ไม่ใช่เจ้า เจ้ารู้ตัวไหมว่าเขาพูดของเจ้ามันน่าหัวเราะขนาดไหนในเมื่อทั้งหมดที่เจ้าทำก็มีแค่การเก็บกวาดของเหลือของศัตรูเท่านั้นน่ะ”
“กรอด!”
ยูนิคอร์นเงียบลงไป ใบหน้าของมันเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยว แต่ว่ามันก็ไม่อาจจะหาคำพูดใดมาเถียงกลับได้
“ยังไม่หมดนะ หากว่าเจ้ายอมรับในขีดจำกัดของตัวเอง และจัดตั้งกองทัพขึ้นอย่างที่องค์ราชินีแนะนำ ข้าก็น่าจะยอมรับเจ้าเป็นสหายได้ แต่ว่านี่…”
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวหยุดอยู่ครู่งหนึ่ง ก่อนจะมองสลับไปมาระหว่างทีมปฏิบัติการกับยูนิคอร์น จากนั้นก็แค่นเสียงออกมา
“เจ้าพยายามจะเลียนแบบข้า และสุดท้ายกลายเป็นทำร้ายตัวเอง นี่คือเหตุผลที่ทำให้เจ้าอยู่ในสภาพน่าสังเวชแบบนี้ สมกับเป็นแค่ตัวตนไร้ค่าของมิติวิญญาณจริงๆ”
“…”
“ด้วยจุดอ่อนชัดเจนมากขนาดนี้ เจ้ายังกล้าเรียกตัวเองว่าผู้บัญชาการกองทัพอีกงั้นเหรอ?”
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวเดาะลิ้น และส่ายหัวออกมา
“องค์ราชินียังเก็บเจ้าเอาไว้ก็เพราะท่านหวังไว้กับการทดลองของเจ้า ไม่งั้นแล้วท่านก็คงหาคนอื่นมาแทนที่เจ้านานแล้ว ช่างน่าขายหน้า”
ยูนิคอร์นก้มหัวลงฟังคำพูดเหน็บแหนมอย่างต่อเนื่อง แทนที่มันจะยอมรับและไตร่ตรองตัวเอง มันชัดเจนมากว่ากำลังรู้สึกด้อยค่า
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวส่ายหัวราวกับไม่ได้หวังอะไรแต่แรกแล้ว
“จะยังไงตอนนี้อาณาจักรภูติก็อยู่ในขอบเขตอำนาจของข้าแล้ว อย่าได้สะเออะเข้ามายุ่งย่ามล่ะ ไม่สิ ถ้าเจ้าทำแบบนั้นอาจจะดีกว่าก็ได้นะ เพราะแบบนั้นจะทำให้ข้ามีเหตุผลให้สังหารเจ้าได้สักที”
หลังจากขู่ยูนิคอร์นแล้ว เธอก็ได้หันหน้ากลับมา
สมาชิกทีมปฏิบัติการแต่ละคนต่างก็มองดูผู้บัญชาการกองทัพทั้งสองคนเงียบๆ
ชัดเจนมากว่าการหนีมันเป็นไปไม่ได้
พวกเขาที่เหนื่อยจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ไม่อาจจะพูดอะไรออกมาได้เลย ในตอนนี้การปรากฏตัวของความเมตตาอันบิดเบี้ยวไม่ต่างจากภูเขายักษ์เลย
แต่ว่าพวกเขาก็ยังไม่คิดที่จะยอมแพ้ง่ายๆ
แต่ละคนต่างก็พยายามสูดหายใจเพื่อฟื้นคืนเรี่ยวแรงกลับมา
“หืมมม”
เมื่อพวกเขาได้สบตากับศัตรูน่าเกรงขามตรงหน้า ความตึงเครียดที่พวกเขารู้สึกได้เพิ่มขึ้นหลายสิบเท่า
ยังไงก็ตามน่าแปลกที่ความเมตตาอันบิดเบี้ยวไม่ได้เคลื่อนไหวในทันที เธอได้มองทีมปฏิบัติการด้วยความสงสัย
“…พวกเจ้าดูไม่ดีเลย”
จากนั้นจู่ๆเธอก็ล่อนลงมานั่งบนพื้น
ทำไมเธอถึงเลือกนั่งเฉยๆล่ะ?
ทุกๆคนต่างก็กลั้นหายใจกับการกระทำที่คาดไม่ถึงนี้
“พักซะ”
คำพูดอันน่าตะลึงได้ดังขึ้น น้ำเสียงของเธอนิ่งสงบจนน่าแปลกใจ ไม่ว่าใครในทีมปฏิบัติการต่างก็ทึ่งกับเรื่องนี้
“จะ เจ้าว่ายังไงนะ?”
แม้กระทั่งยูนิคอร์นที่หลังจากถูกความเมตตาอันบิดเบี้ยวขู่ไปก็ยังหลุดปากออกมาอย่างตกตะลึง
“พะ พักงั้นเหรอ? นี่เจ้าบ้า- อ๊ากกก!”
เสียงร้องของมันดังขึ้นก่อนที่มันจะได้ทันพูดจบ ความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้โบกมือออกไปอย่างเกียจคร้าน แต่นั่นกลับทำให้ท้องของยูนิคอร์นระเบิด และมีเครื่องในไหลออกมา
“จะ เจ้า!”
ยูนิคอร์นกรีดร้องออกมาอย่างไม่พอใจ แต่ว่ามันก็เงียบลงไปในทันทีที่เห็นความเมตตาอันบิดเบี้ยวค่อยๆ ขยับมืออีกครั้ง
“…น่าเสียดาย หากเจ้าพูดมาอีกสักคำ ข้าก็คงฆ่าเจ้าไปแล้ว”
มันดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้พูดเล่นอีกด้วย
ยูนิคอร์นก้มหน้าลง และกัดฟันแน่นอย่างโกรธแค้น แม้ว่ามันจะดูเหมือนเป็นภาพน่าขำ แต่ก็ไม่มีใครกล้าขำออกมาเลยแม้แต่นิด
พวกเขารู้สึกได้ถึงอำนาจเบ็ดเสร็จในคำพูดของเธอ เธอเป็นคนประเภทที่จะพูดหรือทำตามที่ใจต้องการ
นี่คือความยิ่งใหญ่ของตัวตนระดับสูงงั้นเหรอ?
“ตอนนี้พอลองคิดดูแล้ว…”
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้จ้องมาที่ทีมปฏิบัติการ และพูดขึ้นโดยไม่ได้สนใจเสียงร้องของยูนิคอร์นเลย
“มนุษย์อย่างพวกเจ้าเป็นเผ่าพันธุ์ยุ่งยากที่ต้องมีปัจจัยหลายอย่างในการดำรงชีวิต”
“เอาเลย พักกันได้เต็มที่ ระหว่างนี้จะกินหรือนอนก็ยังได้”
หลังพูดความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็นั่งเท้าขาตัวเอง
“ไม่ต้องห่วง ตราบใดที่พวกเจ้าไม่ได้คิดจะหนี ข้าก็จะไม่แตะต้องพวกเจ้าจนกว่าจะหายดีกัน ข้าขอสาบานด้วยนามข้า และเกียรติของเทพมังกรเลย”
ซอลจีฮู และสมาชิกคนอื่นๆ ต่างก็ขมวดคิ้วขึ้น
บางทีอาจจะเพราะเธอรู้สึกได้ถึงสายตาเหล่านี้ทำให้เธอหัวเราะออกมา
“ข้าบอกให้พวกเจ้ากิน นอน แล้วก็พักฟื้น ก่อนจะกลับมาสู้กับข้าในตอนที่หายดีไงล่ะ”
จากนั้นเธอยกมือพยักไหล่ขึ้น
“ในเมื่อข้ามาจนถึงที่นี่แล้ว ทำไมข้าจะขอสนุกสักหน่อยไม่ได้ล่ะ? สภาพพวกเจ้าในตอนนี้บางคนยังเดินแทบไม่ไหวเลย ต่อให้จัดการพวกเจ้าได้มันก็ไม่น่าภูมิใจเลยสักนิด”
ดังนั้นแล้วความกล้าหาญของเธอนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นใจความสามารถตนเอง บางทีอาจจะเพราะเธอคนนี้ไม่อาจจะหาคู่ต่อสู้ของตัวเองมาได้นานแล้วก็ได้
พอคิดแบบนี้การกระทำของเธอมันก็ไม่ได้ไร้สาระไปซะหมด มันก็แค่ว่า…
“เอาไงล่ะ หากเจ้าอย่างสู้ตอนนี้ก็ไม่มีปัญหาหรอกนะ”
ซอลจีฮูแทบจะเผลอพยักหน้าออกมา
ข้อเสนอของความเมตตาอันบิดเบี้ยวนั่นชัดว่าเป็นผลดีกับพวกเขา แต่เหตุผลที่เขาลังเลก็เพราะความรู้สึกร้อนใจที่เขากำลังรู้สึกอยู่
ซอลจีฮูที่กำลังสนใจอยู่กับสถานการณ์ปัจจุบันรู้สึกได้ถึงความไม่ลงรอยในคำพูดของเธอ แม้ว่าจะพูดได้ว่่าศัตรูกำลังแสดงความเมตตา… แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงความบิดเบี้ยว
แทนที่จะหวังดีกับพวกเขา มันดูเหมือนเธอจะหวังในเรื่องอื่นมากกว่า
‘…ไม่เข้าใจเลย’
ซอลจีฮูที่เค้นสมองอย่างหนัก จู่ๆก็หรี่ตาลง
‘คืออะไรกันแน่?’
เขาไม่เข้าใจเจตนาจริงของความเมตตาอันบิดเบี้ยวเลย แต่เมื่อเห็นสายตาอันคาดหวังของเธอ เขาก็คิดขึ้นได้
เพื่อต่อสู้
เขาไม่มั่นใจนักว่าคิดถูกไหม แต่ก็เป็นไปได้ว่าความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้มอบโอกาสให้พวกเขาจริงๆ
แต่เขาก็มีความรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าเมื่อเขารับข้อเสนอของความเมตตาอันบิดเบี้ยวมันอาจจะมีบางอย่างที่สายเกินแก้ ความรู้สึกอันลึกลับกำลังบอกกับเขาว่าต่อให้เขาทำตามเป้าหมายสำเร็จ และกลับไปที่ป้อมปราการไทกอล แต่ทุกอย่างก็จะจบลงแล้ว
เพราะงั้นเขาจึงตัดสินใจออกมา ซอลจีฮูจับหอกพิสุจน์ที่อยู่ในมือแน่น
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวตาเป็นประกาย
“…ทุกคน”
พวกเขารู้ว่าโอกาสมีอยู่เพียงน้อยนิด…
“เตรียมสู้”
ซอลจีฮูได้เค้นเสียงออกคำสั่งออกมา
สมาชิกทุกคนต่างก็ไม่พูดอะไรออกมา จะมีก็แต่เสียงอาวุธถูกยกขึ้นเท่านั้น
“โฮ่…”
ดวงตาความเมตตาอันบิดเบี้ยวโค้งขึ้น เธอดูจะตกใจ แต่ว่าเธอก็พยักไหล่โดยไม่พูดอะไรมาก
“เอาล่ะ ถ้างั้น…”
เธอได้ลุกขึ้นยืนปัดฝุ่น
“มาดูสิ”
จากนั้นก็เผยรอยยิ้มกวักมือเรียก
“เข้ามาสิ”
เมื่อเธอได้ก้าวไปด้านหน้า-
วูบ!
สายลมรุนแรงได้พัดขึ้น
โอราฮีที่ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังความเมตตาอันบิดเบี้ยวเหมือนวิญญาณได้ชักดาบยาวสีเลือดออกมา เธอได้รวมพลังทั้งหมดไปกับการเคลื่อนไหวนี้จนทำให้มีความเร็วมหาศาล
แต่ถึงแบบนั้นความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็หลบอย่างสบายๆด้วยการเอียงหัวหลบจนน่าทึ่ง แถมเธอยังคงมองมาทางทีมปฏิบัติการอยู่อีกด้วย
ดาบยาวที่พลาดเป้าไปได้วกกลับมาด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ แต่ในคราวนี้ความเมตตาอันบิดเบี้ยวยกแขนขึ้นมากันไว้
โอราฮีขมวดคิ้วขึ้น เธอกำลังใช้ปราณดาบอยู่ แต่กลับไม่มีแม้แต่รอยแผลบนแขนของความเมตตาอันบิดเบี้ยวเลย
“ฮ่าาาห์!”
ยังไงก็ตาโอราฮียังคงไม่หยุด ตัดสินจากการลอบโจมตีเป็นคำตอบเดียวแล้ว เธอจึงเหวี่ยงดาบยาวอย่างบ้าคลั่ง
ความเร็วดาบของเธอมันน่าทึ่งมาก
แต่ว่าความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็ยังคงไม่สั่นคลอน เธอเพียงแค่ใช้แขนปัดหรือป้องกันการโจมตีของโอราฮีอย่างสงบ โดยที่เธอยังเดินไปข้างหน้าอีกด้วย
โอราฮีได้ค่อยๆไล่ตามโจมตีความเมตตาอันบิดเบี้ยว แต่แล้วสีหน้าเธอก็ค่อยๆกลายเป็นสับสน เธอไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็นเลย
“ไสหัวไป”
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวโบกมือออกมาราวกับไล่แมลง
สิ่งที่โอราฮีได้เห็นต่อจากนั้นก็คือหางยาวหนาฟาดเข้าที่ซี่โครงของเธอ
ผั๊วะ! ร่างโอราฮีได้ถูกส่งลอยออกไปเหมือนลูกกระสุน ร่างกายของเธอได้พุ่งโค้งยาวก่อนจะกระแทกเข้ากับพื้น
ดาบยาวของเธอก็ยังหมุนคว้างตามมาก่อนจะปักลงบนพื้นด้วยเช่นกัน
ต่อจากนั้น
“ย๊ากกกกกก!”
“วัลฮาลา!!!”
สมาชิกปฏิบัติการได้วิ่งออกไปพร้อมๆกัน ในอีกด้านหนึ่งความเมตตาอันบิดเบี้ยวค่อยๆเดินเข้ามา จากสิ่งนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความต่างของพลังทั้งสองฝ่ายอย่างชัดเจน
ในตอนนี้เองความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้งอเขาลดศูนย์ถ่วงอย่างกระทันหัน จากนั้นเธอก็ถีบตัวพุ่งออกไป โชฮงที่กำลังวิ่งนำทีมอยู่เบิกตากว้างขึ้น
จู่ๆสายลมรุนแรงก็ปะทะเข้าที่ร่างเธอ เมื่อเธอร้องตกใจ ความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็อยู่ตรงหน้าเธอแล้ว
ปัง!
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวไม่ได้ชกหรือทำอะไรกับโชงฮงเลย กับแค่แรงดันลมจากการพุ่งของความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็ทำให้โชฮงลอยคว้างออกไปแล้ว
ดวงตาของความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้กวาดไปทั่วทันที ในเวลาไม่ถึงวินาทีเธอก็กางแขนทั้งสองข้างออกมาอย่างรวดเร็ว จนทำให้โฮชิโนะ อุราระกับฮิวโก้ที่กำลังใช้อาวุธโจมตีเข้าไปถูกกระแทกกลับโดยไม่แม้แต่จะทันได้ร้องออกมา
เส้นด้ายที่อาบด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ได้แอบลอยเข้ามาลอบโจมตีช่องโหว่อย่างรวดเร็ว แต่ความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็ยังยกขาขึ้นหลบการโจมตีนี้อย่างง่ายดายเช่นเคย
ในเวลาเดียวกันเธอก็รีบขยับรับลูกธนูที่พุ่งลงมาจากบนฟ้าเอาไว้ จากนั้นเธอก็ใช้พลังของหางขว้างมันกลับไป
ลูกธนูได้ลอยกลับไปด้วยความเร็วที่มากกว่าขามาก่อนที่จะทะลวงบาเรียที่ซอยูฮุยรีบสร้างขึ้น และเจาะทะลวงเข้าไปที่ท้องของแอ็กเนส
“อั๊ก!”
ความเจ็บปวดรุนแรงปะทะขึ้น แอ็กเนสที่รู้สึกเหมือนท้องถูกฉีกได้ทรุดตัวถอยไป
จากนั้นเองระหว่างที่ความเมตตาอันบิดเบี้ยวถูกดึงความสนใจไป แบคแฮจูกับฟีโซราก็ได้วิ่งเข้ามาจากด้านตรงข้ามกัน
ยังไงก็ตามหอกที่แทงอย่างแหลมคม และดาบยาวที่เหวี่ยงลงมาอย่างรุนแรงได้ถูกหยุดเอาไว้ก่อนจะถึงเป้าหมาย
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้หันหน้ากลับมาคว้าอาวุธทั้งสองเอาไว้ โดยที่ขาของเธอยังคงยกค้างในท่าก่อนหน้านี้อยู่
“อึก!”
“อ๊าาา!”
ไม่ว่าพวกเธอจะพยายามออกแรงบิดหรือดึงอาวุธยังไง อาวุธในมือของฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ขยับเลยสักนิด
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวเดาะลิ้นขึ้น
“เจ้าคงจะเหนื่อยจริงๆนะจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์”
จากนั้นความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็ยกมือขึ้นทำให้แบคแฮจูกับฟีโซราถูกดึงเข้ามากระแทกกับหัวของความเมตตาอันบิดเบี้ยว
ทั้งคู่ได้ถูกกระแทกได้ทำอาวุธหลุดมือ และล้มทรุดลงไปกับพื้น
ความเมตตาอันบิดเบี้้ยวได้แต่ถอนหายใจ และโยนอาวุธในมือทิ้งไป
เธอได้ค่อยๆกลับมายืนตามปกติเช่นเดิมอย่างช้า ราวกับเป็นเทพสงครามอันงดงาม และสูงส่ง
ซอลจีฮูได้ตัวแข็งทื่อขึ้นตามสัญชาตญาณ และมองขาที่กำลังวางลงของความเมตตาอันบิดเบี้ยวอย่างตกตะลึง
เขาอดไม่ได้จริงๆ หลังจากที่ประสบความสำเร็จในด้านเทคนิคกับประสบการณ์การต่อสู้ระดับหนึ่ง เขารู้ได้เลยว่าการเคลื่อนไหวของเธอมันน่าเหลือเชื่อ และน่าทึ่งขนาดไหน
เขามองไม่เห็นการเคลื่อนไหวที่เสียเปล่าเลย เธอใช้แค่การเคลื่อนไหวที่จำเป็นสู้กับคนจำนวนมากกว่าเท่านั้น สำหรับซอลจีฮูแล้วมันเหมือนกับเขาได้เห็นน้ำบริสุทธิ์ที่ปราศจากสิ่งเจือปน
“ว่ายังไงล่ะ?”
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวส่งรอยยิ้มทรงเสน่ห์ออกมา
“นี่พอจะแสดงให้เห็นถึงความต่างของความสามารถชัดไหม?”
“…”
“แต่ข้าก็ยอมรับนะว่าพวกเจ้าเพิ่งผ่านการต่อสู้รุนแรงมา”
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวพยักหน้า และพูดนิ่มๆไม่เข้ากับตัวเอง
“หากเจ้าอยากจะพักก็ได้นะ ข้าจะยอมอดทนรอ ยังไงแล้วพรรคพวกของเจ้าทุกคนก็ยังไม่ตาย”
เธอกำลังบอกว่าเธอตั้งใจไม่ฆ่าพวกเขา
สีหน้าซอลจีฮูบิดเบี้ยวขึ้น
เหตุผลก็เพื่อบอกให้เขายอมรับข้อเสนอ แต่สัญชาตญาณเขากำลังปฏิเสธมันอย่างรุนแรง นอกไปจากนี้เขาได้ให้ความสนใจกับสายตาเธอมาสักพักแล้ว สายตาของเธอเต็มไปด้วยความคาดหวังที่แค่มองก็ฆ่าเขาได้เลย
มันเหมือนกับมีบางอย่างที่เธออยากจะเห็นอยู่
จากนั้นก็เกิดแรงผลักดันบางอย่างขึ้นจากก้นบึ้งของจิตใจเขา และซอลจีฮูก็กัดฟันแน่น
เมื่อเขาปลุกแรงใจขึ้นมาได้แล้ว รอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าของความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็เบิกกว้างขึ้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า เข้าใจแล้ว ข้าคิดว่านี่เป็นสถานการณ์ที่สมบูรณ์ในการทำมันให้สำเร็จซะอีก แต่ดูเหมือนการเปลี่ยนเส้นทางมันจะไม่ง่ายเลย”
หลังจากพึมพำเรื่องที่ยากเข้าใจออกมาแล้ว…
“…ก็ได้”
เธอได้ลดการตั้งท่าลงอีกครั้ง
และดังนั้น…
“หากว่านั่นคือเส้นทางที่กลุ่มดาวของเจ้ายืนกรานจะมุ่งไปล่ะก็-”
ม่านสำหรับ…
“พิสูจน์ให้ข้าเห็นทีสิว่าเจ้าทำมันได้”
…การต่อสู้ที่รุนแรง และน่าสิ้นหวังที่สุดครั้งที่สามในชีวิตของซอลจีฮูก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว