The Second Coming of Gluttony - บทที่ 328 - การตื่นของพลัง และโอกาสสุดท้าย (2)
บทที่ 328 – การตื่นของพลัง และโอกาสสุดท้าย (2)
บรรยากาศของความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างกระทันหัน พลังงานจำนวนมหาศาลได้เข้าปกคลุมร่างเธอจนเห็นได้ชัดเจน และมันได้เริ่มลุกไหม้ราวกับถูกราดน้ำบนลงบนกองไฟ
ซอลจีฮูที่รู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลกดดันมาที่ร่างได้ขมวดคิ้วขึ้น
เจตนาของเธอชัดเจนมาก เธอกำลังบอกว่าเธอจะไม่ออมมือให้พวกเขาแล้ว
ซอลจีฮูได้เล็งหอกพิสุจน์ได้ด้านหน้า และรอคอยการโจมตี พูดตามตรงแล้วแค่เผชิญหน้ากับความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็ทำให้เขาตัวหวาดกลัว เขาเกิดความคิดชั่ววูบที่อยากจะวิ่งหนีไปให้พ้นๆ แต่หากเขาทำแบบนั้นเมื่อไหร่ เขารู้ดีว่าทุกๆ อย่างที่เขาสร้างมาตลอดจะพังลง
ดังนั้นท่ามกลางความสิ้นหวังนี้ ซอลจีฮูได้แต่ตั้งสมาธิอยู่กับตัวเอง
จะโจมตีฝ่ายตรงข้ามอย่างไรดี? เธอดูจะมีความสามารถพิเศษเหนือกว่าร่างกาย
แต่ถ้างั้นแล้วหากเธอใช้แค่พลังร่างกาย เขาจะรับมือเธอได้งั้นเหรอ?
ความคิดมากมายหลายอย่างได้เข้ามาในหัวของเขา
ในตอนนั้นเองความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็ถีบตัวออกมาเบาๆ เธอได้ย่นระยะห่างระหว่างพวกเขามาภายในพริบตาเดียว
แต่ถึงจะประหลาดใจกับความเร็วของเธอ ซอลจีฮูก็ได้แทงหอกกลับไปโดยคาดหวังเอาไว้ในระดับหนึ่ง
ยังไงก็ความความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้ขยับเอวเล็กน้อยหลบการโจมตีของเขา และยื่นมือออกมาอย่างรวดเร็ว
“การเคลื่อนไหวแรกของเจ้าช่างน่าผิดหวัง”
เมื่อเสียงของเธอดังเข้าหูเขา ซอลจีฮูก็รีบก้มตัวหลบมือที่จะจับตัวเขา ในเวลาเดียวกันเขาก็ตวัดหอกหอกขึ้นแนวตั้ง
ด้วยระยะห่างที่สั้นขนาดนี้ เขาคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลบการโจมตีนี้ เขามั่นใจว่าคราวนี้หอกจะต้องเข้าเป้าแน่
แต่ต่อจากนั้นซอลจีฮูก็รู้ว่าเขาคิดไปเอง นั่นก็เพราะความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้กางปีกบินขึ้นไปบนฟ้าทันที
ปฏิกิริยาของเธอเร็วจนน่าทึ่ง
“หืม กับแค่นี้ไม่มีทางทำให้ความหมั่นเพียรอันนิรันดร์พ่ายแพ้”
เธอยังคงประเมินต่อไปอย่างสงบ เมื่อเงาของเธอได้มาทับตัวซอลจีฮู เขาก็ดึงพลังออกมาเพื่อปล่อยกระแสสายฟ้าจากเท้า
สมองของเขากำลังส่งสัญญาณเตือนโดยบอกให้เขาออกไปให้ไกล แต่ว่าเขาก็ฝืนสลัดมันทิ้งไป ในตอนนี้เขาตัดสินใจจะสู้ การหนีมันไม่ใช่ตัวเลือกอีกแล้ว เขาจะปะทะกับศัตรูตรงหน้าโดยไม่เก็บพลังอะไรไว้อีก
ดังนั้นเขาได้กระโจนขึ้นไปแทงหอกอย่างเต็มกำลัง หลังเสียงระเบิดปัง! ร่างของความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็หายไป
ซอลจีฮูรู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างเข้ามาจากด้านหลัง
‘ไป!’
ซอลจีฮูรีบขว้างหอกพิสุจน์กลับไปด้านหลัง ยังไงก็ตามความเมตตาอันบิดเบี้ยวใช้ขยับตัวโค้งหลบหอกด้วยสีหน้าไม่แยแส จนทำให้เธอมาอยู่ด้านหลังของซอลจีฮู
ซอลจีฮูกลายเป็นสับสนไปเหมือนกับเขากำลังสู้กับผี ถึงแบบนั้นเขาก็หันร่างกายกลับไปตอบโต้ แต่ความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็ได้ขยับแขนออกมา
เมื่อเขาได้เห็นท่อนแขนของเธอ ซี่โครงของเขาก็ปวดขึ้นมาแล้ว และตอนที่เขารู้สึกความเจ็บปวดนี้ ท่อนแขนของความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็ได้ทะลวงบาเรียที่อยู่บริเวณชายโครงเข้ามา
“อึก-”
เขารู้สึกได้ถึงอาหารที่เพิ่งทานลงไปตีกลับมาแทบจะทันที
ซอลจีฮูพยายามฝืนกลืนกลับลงไป และตั้งสติ แต่ว่าก่อนที่เขาจะได้ทำอะไร เขาก็ถูกกระแทกเข้าที่หัวแล้ว
“แค่ก!”
เลือดได้กระเด็นออกจากปากและจมูกของเขา สติเขาได้เริ่มพร่ามัว ก่อนที่จู่ๆจะมีเสียงของจางมัลดงดังขึ้นในหัว
[ตั้งสติหน่อย!]
น้ำเสียงตวาดไม่พอใจดังออกมา
[นายก็ฝึกกับท่อนไม้มาแล้วไม่ใช่เหรอ!?]
[ฉันบอกนายว่าอย่าโจมตีหลังจากเห็น รู้ตัว แล้วก็คิด! นายต้องโจมตีในทันทีที่เห็ฯมันเลย! ใช้สัญชาตญาณเป็นตัวขับเคลื่อนซะ!]
[ผู้เชี่ยวชาญจริงๆจะโจมตีสำเร็จก่อนที่จะรับรู้ซะอีก! ตอนที่นายเอาแต่คิดจะขยับตัว หัวนายก็คงขาดไปนานแล้ว!]
เหมือนอย่างที่จางมัลดงพูด ซอลจีฮูมองไม่เห็นการเคลื่อนไหวของความเมตตาอันบิดเบี้ยวเลยสักนิด เขากระทั่งไม่อาจจะมอง รับรู้ และคิดได้เลยด้วยซ้ำ
นี่มันหมายความว่าเขาจะต้องคาดเดาการเคลื่อนไหว และขยับไปตามสัญชาตญาณ… แต่ว่าการเคลื่อนไหวของศัตรูได้เหนือกว่าการคาดเดาของเขาอย่างสิ้นเชิง
แม้กระทั่งในตอนนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน
ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไรก็มีประกายแสงปรากฏตรงหน้าแล้ว เมื่อสัมผัสได้ถึงความปวดแสบที่กระจายจากจมูก มันก็ดูเหมือนเขาจะเพิ่งโดนชกหน้าเข้าอย่างจัง
‘บ้าเอ้ย!’
เมื่อคิดได้ว่าเขาไม่อาจจะยอมถูกโจมตีอยู่ฝ่ายเดียวได้ เขาได้เลือกแทงหอกออกไปตามสัญชาตญาณแทน
แต่แม้กระทั่งสัญชาตญาณก็ไม่ได้ผล
แน่นอนว่าราคาของการโจมตีออกไปก็คือการสวนกลับอันขมขื่น
เขารู้สึกปวดหนักขึ้นที่คอ ถึงเขาจะใช้ประกายสายฟ้ารีบถอยไปแล้ว แต่แรงกระแทกก็ยังโดนเข้าที่ไหล่ของเขา
เมื่อรู้สึกได้ว่ากระดูกไหปลาร้าแตก ซอลจีฮูร้องภายในใจทันที
‘นี่มัน…’
เขาเอียงหัวออกมา เขาได้เผลอสูดหายใจลึกโดยไม่รู้ตัว และกลิ่นเหม็นเลือดก็ไหลเข้าไปในจมูกเขา
ร่างกายของเขากำลังเซ สิ่งที่ยิ่งทำให้เขาอยากจะบ้าขึ้นอีกก็คือการโจมตีต่อเนื่องได้ตามเข้ามาก่อนที่เขาจะรักษาสมดุลได้ซะอีก
จากนั้นก็เป็นการโจมตีฝ่ายเดียวเช่นเคย
ในเวลาสั้นๆ นี้เขาถูกโจมตีไปกี่ครั้งแล้วนะ? สิบครั้ง? ยี่สิบครั้ง?
เขาไม่รู้เลย
แต่มีเรื่องหนึ่งที่เขามั่นใจได้ นั่นคือสติของเขาพร่ามัวไปหมดแล้ว
‘ไม่สิ…’
ด้วยการสูญเสียกำลังอย่างต่อเนื่องทำให้ร่างกายเขาส่ายไปมา แต่แล้วเมื่อเขาตั้งตัวได้หน่อย เขาก็ต้องเจอเข้ากับการโจมตีอีกครั้ง คราวนี้มาจากล่างขึ้นบน
ร่างกายที่อ่อนปวกเปียกของเขาได้กลับมายืดตรงตามศัตรูต้องการ
“ดูเหมือนว่า…”
น้ำเสียงผิดหวังดังออกมา
“นี่คือพลังจริงๆของเจ้า”
เพราะความเจ็บปวดจากอวัยวะภายในทำให้ภาพที่เขาเห็นชัดขึ้นเล็กน้อย และสิ่งที่เขาเห็นต่อจากนั้นก็คือฝ่ามือหนึ่งที่มาพร้อมออร่ามหาศาล
เขาไม่มีวิธีจะหลบเลย แถมไม่มีเรี่ยวแรงทำแบบนั้นด้วย
พลั๊ก! ฝ่ามือได้กระแทกเข้าที่อก เสื้อโค้ทที่เขาใส่ได้ระเบิดออก และมีรอยฝ่ามืออยู่ตรงกลางอกเขา
แรงกระแทกที่ส่งให้ร่างเขาปลิวไปแทบจะทำให้ซอลจีฮูหมดสติ
‘…หืม?’
เมื่อเขาตั้งสติมาได้หน่อย ท้องฟ้าสีแดงก็แผ่กระจายอยู่ตรงหน้า
ร่างของเขาได้ลอยคว้าง และไม่นานนักก็กระแทกกับพื้นเหมือนผ้าขี้ริ้ว
หลังจากเจ็บปวดอยู่นาน ในที่สุดซอลจีฮูก็ล้มลง
และแทบจะรอความตายแล้ว
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้ปรากฏตัวขึ้นเหนือซอลจีฮูที่กำลังนอนสูดหายใจอย่างลำบาก เธอดูจะหมดความสนใจกับเขาแล้ว และค่อยๆยกเท้าขึ้นมา
“การกำจัดผู้บัญชาการคนแรก… สำหรับมนุษย์แล้วนั่นคือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่”
เธอได้พูดด้วยน้ำเสียงผิดหวัง ก่อนจะกระทืบลงมาอย่างไม่ลังเล เท้าของเธอได้บดขยี้ชั้นบาเรียเหมือนเศษแก้ม จนกระทั่ง…
[ย๊ากกก!]
ร่างของซอลจีฮูถูกลากถอยไปอย่างกระทันหัน
หมอกควันดำได้ขดตัวพันรอบรักแร้เขาไว้
โฟลนได้ลากเขาถอยหนีออกมาอย่างสุดกำลังก่อนที่เท้าของความเมตตาอันบิดเบี้ยวจะขยี้หัวของเขา
แต่ต่อจากนั้นเธอก็ต้องอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง เพราะความเมตตาอันบิดเบี้ยวไล่เธอทันแทบจะทันที
“อย่ามาแทรก ปล่อยเขาซะ”
[อี้!]
โฟลนที่เห็นความเมตตาอันบิดเบี้ยวปรากฏตัวขึ้นข้างเธอในทันทีได้หลับตาสนิท ขณะนั้นก็มีกำปั้นอันทรงพลังพุ่งเข้ามาหาทั้งสองฝ่าย และแยกทั้งสองฝ่ายออกจากกัน
ปัง!
ออร่าทั้งสองได้ปะทะกันอย่างรุนแรง คลื่นกระแทกได้ส่งผลให้ซอลจีฮูกับโฟลนลอยออกไป ส่วนแบคแฮจูก็ยังถูกกดดันกลับมาอย่างอ่อนแรง
สำหรับความเมตตาอันบิดเบี้ยวแล้ว เธอได้หยุดไล้ตามซอลจีฮู และหันไปมองแสงสีเขียวที่อยู่รอบตัวของแบคแฮจู หลังจากสังเกตอย่างถี่ถ้วนแล้ว เธอก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมา
“ปลุกพลัง… ไม่สิ เจ้าบังคับให้พลังปั่นป่วน เจ้าถึงขนาดเอาชีวิตเป็นเดิมพันเลยงั้นเหรอ?”
แบคแฮจูได้รีบพยุงตัวกลับมา จากนั้นก็รีบปิดปากเอาไว้ เธอรู้สึกเหมือนมีบางอย่างตีกลับมา และอยากจะอ้วก
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวที่เห็นแบบนี้เดาะลิ้นขึ้นด้วยความสงสาร
“ข้าชื่นชมนะที่เจ้าอยากช่วยสหาร… แต่ว่าเจ้าก็น่าจะรู้ดี ต่อให้เจ้าจะผลาญชีวิตเจ้าแบบนี้ นั่นก็มีแต่จะทำให้เสียเวลามากขึ้นเท่านั้น
แบคแฮจูไม่ได้ตอบกลับไป เธอเอาแต่กัดฟันจ้องมองฝ่ายตรงข้าม
“หืม… ช่างเถอะนะ อย่างน้อยเจ้าก็น่าจะสร้างความบันเทิงให้ข้าได้บ้าง”
ความเมตตาที่ดูเหมือนจะไม่ได้หวังอะไรจากซอลจีฮูแล้วได้ถอดใจจากเขา และบิดคอ
“เพื่อแสดงความเคารพต่อความมุ่งมั่นของเจ้า ข้าจะเล่นด้วยก็ได้”
ไม่นานนักออร่าขนาดมหาศาลทั้งสองก็ปะทะกันอย่างรุนแรง
อีกด้านหนึ่งซอลจีฮูกำลังนอนอยู่ในสภาพมึนงง ท้องฟ้าสีแดงของอาณาจักรภูติได้แดงยิ่งกว่าเดิมจากเลือดที่ย้อมใบหน้าของเขา
และขณะที่เขากำลังมองท้องฟ้าไม่รู้จบอยู่นี้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกร่างกายอุ่นขึ้นมา แสงสีขาวกำลังปกคลุมร่างเขา
‘เวทย์รักษา…’
ร่างกายของเขาดีขึ้นเล็กน้อย แต่สิ่งที่ตามมาก็คือความเจ็บปวดที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ ทันทีที่เขาถูกรักษาทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดอีกครั้ง
‘อ๊ากกกกกกกก!’
หากทำได้เขาคงร้องออกมาแล้ว
สภาพร่างกายเขาในตอนนี้มันทำให้เขาอยากจะตาย แม้ว่าเขาจะไม่เห็นสภาพร่างกายตัวเอง แต่เขาก็บอกได้ง่ายๆเลยจากการที่เห็นซอยูฮุยกำลังร่ายเวทย์อย่างตกตะลึง และมาเรียที่กำลังราดโพชั่นรักษาให้เขาทั้งน้ำตา
ความเจ็บปวดของเขาได้ค่อยๆบรรเทาลงเล็กน้อยทำให้เขาเอาชนะมันมาได้อย่างหดหู่ใจ
เขาไม่รู้สึกว่าเขาได้ต่อสู้ดุเดือดเลยเท่านั้น เขาไม่อาจจะโจมตีอีกฝ่ายได้แม้แต่ครั้งเดียว เขาเพียงแค่… ถูกอัดอยู่ฝ่ายเดียว
เมื่อนึกถึงการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ความหวาดกลัวก็ปกคลุมทั่งร่างเขา
‘บ้า… นี่มันบ้าเกินไปแล้ว…’
ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมแบคแฮจูถึงเร่งให้ทุกคนหนีไปในทันทีที่ความเมตตาอันบิดเบี้ยวปรากฏตัว เขายังได้รู้แล้วด้วยว่าพลังของเทพจริงๆมันเป็นอย่างไร
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวคือสัตว์ประหลาดที่ไม่มีใครเทียบติด ด้วยสภาพปัจจุบันของเธอ ต่อให้เขาจะมีเป็นรอดชีวิตก็เอาชนะมาไม่ได้
ในตอนนั้นเองประกายแสงสว่างก็ปรากฏขึ้นจากมือที่วางอยู่บนหน้าอกของซอลจีฮู
“…ลุก!”
“ลุกขึ้น! ลุกขึ้นสิว่ะ!”
มาเรียตะโกนออกมาทั้งน้ำตา เธอดูเหมือนจะโกรธมาที่เห็นทุกๆคนใกล้ตาย
จากนั้นเขาก็รู้สึกว่าได้ยินเสียงดังจากไกลๆ เพราะการได้ยินของเขาค่อยๆกลับมาจากการรักษาแล้ว
“ทำไม!? ทำไมนายไม่สู้เหมือนกับในตอนนั้นล่ะ!? ทำไมนายถึงเอาแต่ถูกอัดอยู่ฝ่ายเดียว! ตอนนั้นนายเหนือกว่าผู้บัญชาการตั้งสามคนเชียวนะ!!”
ซอลจีฮูค่อยๆ กระพริบตาออกมา
‘นิมิต…’
เสียงหัวเราะแผ่วๆ ดังออกมา
ถ้าเขาทำได้ เขาคงใช้มันไปนานแล้ว ยังไงก็ตามนิมิตเป็นความสามารถที่จะสุ่มการใช้งาน ต่อให้มันจะเคยช่วยชีวิตเขาไว้หลายครั้ง แต่เขาก็รู้ดีว่าเขาไม่อาจจะหวังให้มันทำงานในทุกๆครั้งที่ตกอยู่ในอันตรายได้
“…”
…ใช่แล้ว เขารู้แบบนั้น
แต่สถานการณ์มันได้มาถึงจุดที่เขาก็ยังหวังพึ่งกับนิมิต
‘…เชี้ยเอ้ย…’
และเมื่อเขาคิดแบบนี้ เขาก็สบถกับตัวเอง
เขาได้สาบานกับตัวเองแล้วว่าจะไม่ไปพึ่งความสามารถนี้อีก เขาแทบจะร้องออกมาจากความสมเพชตัวเอง
เขาก็เป็นแบบนี้อยู่เสมอ ไม่ว่าจะพยายามหรือดิ้นรนมากแค่ไหน ผลลัพธ์ก็มักจะออกมาแบบเดิมสมอ
ศัตรูมักจะบีบบังคับให้เขาเจอบททดสอบยากลำบาก และทำให้ความพยายามของเขาเป็นเหมือนเรื่องตลกสำหรับพวกมัน แม้กระทั่งในตอนเขาเสี่ยงชีวิตฝ่าไปจนได้ แต่สุดท้ายแล้วก็มีความสิ้นหวังที่มากกว่าเดิมรออยู่อีก
คราวนี้ก็เป็นแบบเดียวกัน ในท้ายที่สุดก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน
‘ฉัน…’
ฉันทำเท่าที่ทำได้แล้ว
พอแล้ว ฉันเหนื่อย
ตอนนี้…
‘ไม่!’
ซอลจีฮูกัดฟันแน่น
เขาไม่ได้มาอาณาจักรภูติเพื่อทำตัวน่าสมเพชแบบนี้! ไว้ตายไปค่อยเสียใจก็ยังไม่สาย
จนถึงตอนนี้เขาหาทางออกมาได้เสมอ ต่อให้จะต้องคว้าฟางเส้นสุดท้ายก็ตาม
จากนั้นเอง
“ยังไงล่ะ?”
เขาได้ยินน้ำเสียงอ่อนเยาว์ดังขึ้น
ลูกเจี๊ยบได้มาอยู่บนตัวเขาก่อนเขาจะรู้ตัว มันได้มองลงมาบนใบหน้าซอลจีฮูที่เต็มไปด้วยเลือด
“นายจะทำยังไงต่อ? ฉันเข้าใจนะ นายทำทุกวิธีแล้ว เพราะงั้นมันชัดว่าการยอมแพ้มันน่าเสียดาย”
“…”
“แต่ว่าทำไมนายไม่ก้มหัวขอร้องสักหน่อยล่ะ? บางทีสัตว์ประหลาดนั่นอาจจะยอมเมตตาให้พวกนายพักก็ได้นะ”
ดวงตาซอลจีฮูเบิกกว้างขึ้น
นี่คือเรื่องที่ควรพูดในสถานการณ์แบบนี้งั้นเหรอ?
ซอลจีฮูจ้องลูกเจี๊ยบเขม็ง
“ทำไมล่ะ? ฉันคิดว่ามันคือทางออกนะ อย่างน้อยที่สุดนายก็ยังไม่ตาย”
“หุบ… ปาก…”
ซอลจีฮูพึมพำอย่างเย็นชา และทำหน้าบึ้งขึ้น เขาพยายามจะลุกขึ้นมา แต่แล้วก็ต้องเจอกับความเจ็บปวดที่ต้องตัวสั่น
ร่างกายของเขาก็ยังไม่ยอมเชื่อฟังเลย
“หืม ฉันคิดว่ามันเป็นข้อเสนอที่ดีแล้วเชียวนะ”
“…”
“แล้วถ้างั้นต่อให้ตาย นายก็จะไม่ยอมรับข้อเสนอนั่นงั้นเหรอ? นายมีความคิดที่ดีกว่านี้เหรอ?”
“…ฉันบอกให้ หุบปาก…”
เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาดุดัน ลูกเจี๊ยบแค่นเสียงออกมา
“น่ากลัวจริง! ถ้านายไม่มีความคิดที่ดีกว่านี้ล่ะก็…”
จากนั้นมันได้ยิ้มออกมา
“ทำไมไม่ฟังฉันสักหน่อยล่ะคู่หู?”
“…อะไรนะ?”
“ก็นะ ฉันเห็นด้วยกับนาย เราไม่ควรที่จะนั่งเฉยๆ ฉันก็สังหรใจถึงเรื่องไม่ดีเช่นกัน”
ท่าทีของลูกเจี๊ยบได้เปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน รอยยิ้มบนใบหน้าของมันหายไป และถูกแทนที่ด้วยความเคร่งขรึม
“แต่ฟังนะ สถานการณ์ในตอนนี้มันไม่ดีเลย ฉันมั่นใจว่านายก็รู้ดี”
ดวงตาสีดำของมันเปล่งประกายขึ้นอย่างหนักแน่น
“ฉันไม่อยากจะอธิบายมาก เพราะงั้นตั้งใจฟังนะ ในตอนนี้ภูติจำนวนมากกำลังไปรวมกันอยู่ที่ใจกลางของอาณาจักรภูติ ฉันสัมผัสได้ถึงพวกเขา เหล่าเด็กหนุ่มที่เราเจอคงจะรวมภูติมาได้แล้ว พวกเขาก็น่าจะรู้ด้วยว่าเรากำลังสู้อยู่ และถกเถียงกันว่าจะมาช่วย”
“ภูติพวกนั้น…”
“แต่พวกเขาต้องไม่มาที่นี่ ถึงมาก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน ฉันมั่นใจว่านายก็รู้ดี”
ลูกเจี๊ยบพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เบาลง
“เพราะงั้นฉันจะไปหาพวกเขา แต่ว่าฉันต้องการให้นักธนูของนายไปกับฉัน คนที่วิ่งได้เร็วๆ หากว่าเป็นคนที่ยิงธนูแม่นด้วยก็จะดีมาก”
“..นายจะไปงั้นเหรอ?”
“ถูกแล้ว ฉันจะไปที่นั่น และหาทางออกให้นาย นายแค่ต้องรออยู่ที่นี่ และถ่วงเวลาสัตว์ประหลาดนั่นเอาไว้ ฉันหมายถึงทั้งสองตัวนะ”
ซอลจีฮูกระพริบตาออกมาอย่างสับสน เขาไม่เข้าใจที่ลูกเจี๊ยบบอกเลยสักนิด
แต่ว่าเขาก็ไม่มีเวลามาถามอะไรอีกแล้ว เขาเข้าใจถึงความตั้งใจของลูกเจี๊ยบ ความตั้งใจของภูติอาคัสที่อยากจะเปลี่ยนสถานการณ์
“แล้วนายคิดว่าทำได้ไหม?”
ซอลจีฮูคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัว
ไม่สิ เขากำลังจะส่ายหัว แต่ว่าเขาไม่อาจจะทำลายแผนนี้ก่อนจะเริ่มได้
“หากว่าแค่เดี๋ยวเดียว…”
“น่าขำ!”
ลูกเจี๊ยบแค่นเสียงออกมาทันที
“จะแสดงพลังออกไปเพื่ออะไรกัน? ที่นายยังรอดอยู่นั่นก็เพราะสัตว์ประหลาดนั่นไม่ได้อยากจะเอาชีวิตนาย หากเธอต้องการฆ่านายจริงๆ นายคิดว่าจะอยู่ได้นานแค่ไหนกัน?”
ซอลจีฮูผงะไป
“…พูดตามตรงเลยนะ”
ลูกเจี๊ยบถอนหายใจออกมา
“จริงๆ ฉันก็ไม่ได้ชอบนายขนาดนั้นหรอก”
มันค่อนข้างพูดออกมาอย่างกระทันหัน
“ทั้งชีวิต ฉันไม่เคยเห็นใครเห็นแก่ตัวเท่านายเลย ความสำเร็จทั้งหมดที่นายทำขึ้นก็มาจากการที่นายพยายามปกป้องพื้นที่หลบหนีของนายเท่านั้น และในบางครั้งนายก็ชอบทำตัวเหมือนเด็กน้อย…”
มันได้กางปีกวิ่งเหยาะๆออกมา
“แต่ว่าฉันก็ยอมรับนะ”
มันได้หยุดลงบนมือขวาของซอลจีฮู ในมือที่จับหอกพิสุจน์อยู่ต่อให้จะอยู่ในสภาพนี้ก็ตาม
“นายมันดีกว่าไอ้พวกคนที่หยุดนิ่ง และไม่เคยทำอะไรตั้งมากมาย”
ลูกเจี๊ยบยกเท้าขึ้น และเช็ดเลือดที่อยู่บนด้ามหอก หรือพูดให้ชัดคือตรงจุดที่มีรูเว้าเจ็ดรูถูกสลักไว้
“และที่สำคัญไปกว่านั้น…”
จากนั้นมันก็หันกลับมายิ้มให้ซอลจีฮูที่กำลังสับสน
“ฉันชอบที่นายไม่เคยคิดจะยอมแพ้เลย ต่อให้อยู่ในสภาพน่าสมเพชนี่นายก็ยังต้องการจะสู้ อย่างน้อยที่สุดจิตวิญญาณในการต่อสู้ของนายก็เหนือกว่าหัวหน้าตระกูลคนแรก”
จากนั้นลูกเจี๊ยบได้ดึงขนสามเส้นบนหน้าผากของมันที่มีสีเหลือง เขียว และน้ำเงินตามลำดับ
“ถือว่านายโชคดีแล้วกัน จะคิดว่าเป็นเกียรติก็ได้ จนถึงตอนนี้ฉันไม่เคยปลดผนึกอำนาจมากกว่าสองอย่างเลย”
จากนั้นเอง-
“ด้วยความมุ่งมั่นของนาย ฉันจะยอมให้นายผ่านนะคู่หู”
ก่อนที่ซอลจีฮูจะได้พูดอะไร ลูกเจี๊ยบก็โยนเส้นขนออกไปแล้ว
จากนั้นขนเหล่านั้นก็ตกลงไปบนหอกพิสุจน์อย่างอ่อนโยน…
วูมมมม!
เสียงกังวาลได้ดังออกมา
สีสามสีได้ปรากฏขึ้นยอมหอกพิสุจน์ และซอลจีฮูก็ได้หดแขนเข้ามาด้วยความตกใจ
ไม่เพียงเท่านั้น น้ำเสียงงดงามที่ไม่คุ้นเคยได้ดังขึ้น มันเหมือนเป็นเสียงกระซิบคำพูดเบาๆ ที่เขาไม่เข้าใจ
‘นี่คือ…’
ซอลจีฮูได้ยกมือปิดหูโดยไม่รู้ตัว
“ดูเหมือนนายจะได้ยินมันแล้วนะ”
ลูกเจี๊ยบเชิดคางขึ้น
“หอกพิสุจน์กำลังพูดกับนายอยู่”
“หอกพิสุจน์?”
“ใช่แล้วคู่หู”
ลูกเจี๊ยบพยักหน้า และพูดต่อ
“หอกพิสุจน์พูดกับนายมาตลอดนับตั้งแต่ที่นายปลุกพลังมันแล้ว แม้กระทั่งการต่อสู้ก่อนหน้านี้ มันก็ยังพยายามกรีดร้องตะโกนอย่างสิ้นหวัง แต่นายก็ไม่เคยได้ยินมันเลย”
ซอลจีฮูได้มองหอกพิสุจน์แปลกๆ
หลังจากมันกลับมามีสีที่แท้จริงก่อนเขารู้ตัว หอกพิสุจน์ก็ได้เปล่งแสงเจิดจ้ารุนแรงออกมามากกว่าเดิม มันดูสูงส่ง และสง่างามโดยไร้ซึ่งสิ่งเจือปนใดๆ
และซอลจีฮูก็เริ่มได้ยินเสียงมันอย่างที่ลูกเจี๊ยบบอกจริงๆ
วูมมมม! วูมมมม!
ทำไมเจ้าไม่ใช้ข้าให้ดีกว่านี้? ไม่มีอาวุธใดจะเหมาะไปกว่าข้าในการกำจัดปีศาจแล้ว ได้โปรดใช้ข้าให้ถูก!
วูมมมม!
เขาได้ยินน้ำเสียงไม่พอใจ และเสียงคร่ำครวญดังออกมาจากหอกพิสุจน์
ต่อจากนั้นซอลจีฮูก็จับหอกแน่นราวกับต้องมนต์ เมื่อเขาได้ดึงพลังมานากระแสเล็กๆในร่างขึ้นมา…
ซ่าาาาห์!
หอกพิสุจน์ได้ตอบสนอง และส่งเสียงร้องที่ไม่เคยมีมาก่อนออกมา ในเวลาเดียวกันซอลจีฮูก็เบิกตาโพล่งขึ้น เมื่อรู้สึกได้ถึงพลังงานไร้ขีดกำจัดถาโถมเข้ามาจากมือขวาเขาเหมือนสึนามิ
มันเป็นออร่าทรงพลังที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยในชีวิต
ขณะเดียวกันก้มีสัญญาณเตือนมากมายดังขึ้น จนทำให้เขาเบิกตากว้าง และมีประกายความเข้าใจขึ้น
“…คุณมาเรีย”
ซอลจีฮูได้พูดกับมาเรียที่ดูสับสนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เรียกคุณมาแชล จิโอเนียมานี่”
และเขาได้ยกมือที่สั่นเทาวาดหอกพิสุจน์ไปทางความเมตตาอันบิดเบี้ยวที่กำลังเคลื่อนไหวปิดฉากแบคแฮจู
หลังจากถูกโจมตีอย่างหนัก จนต้องเจอกับความสิ้นหวัง เธอก็ยังคงพยายามดิ้นรนอย่างหนัก
[เทคนิคหอกจันทร์เสี้ยว กระบวนท่าที่หนึ่ง – หนึ่งเดียวกับหอก – ได้ตื่นขึ้น]
[เทคนิคหอกจันทร์เสี้ยว กระบวนท่าที่สอง – หอกร่องลอย – ได้ตื่นขึ้น]
[เทคนิคหอกจันทร์เสี้ยว กระบวนท่าที่สาม – หอกไร้ลักษณ์ – ได้ตื่นขึ้น]
ในที่สุดเขาก็คว้าฟางเส้นสุดท้ายที่เหนียว และทนทานเล็กน้อยเอาไว้ได้
จากนั้นเมื่อความเมตตาอันบิดเบี้ยวกำลังจะบีบคอแบคแฮจู หลังจากที่โดนหอกคถาคตโจมตี-
“ย๊ากกกก-!”
ซอลจีฮูที่ทนกับพลังที่พุ่งพล่านไม่ไหวได้ตะโกนออกมาสุดเสียง และวิ่งออกไป