The Second Coming of Gluttony - บทที่ 331 - คำสัญญา (1)
บทที่ 331 – คำสัญญา (1)
ปัง!
ลูกธนูพุ่งออกไปแล้ว
นับตั้งแต่ง้างสายจนถึงยิงออกไปเกิดขึ้นในเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น
ลูกธนูที่มาแชล จิโอเนียทุ่มเทสมาธิ และจิตวิญญาณยิงออกไปได้พุ่งตัดอากาศไปที่จุดหมายอย่างมั่นคง
แม้ว่าลูกธนูที่เขายิงออกไปมันจะไม่อาจเปลี่ยนทิศทางกลางคันได้ เหมือนอย่างดวงดาวแห่งอัตตาที่มีโซ่มัดอยู่กับลูกธนู หรืออายาเสะ คาซุกิที่มีทักษะ ‘ศรโค้ง’ ที่จะช่วยเปลี่ยนทิศทางของลูกธนูกลางอากาศได้ แต่สำหรับมาแชล จิโอเนียแล้วเขาไม่มีความสามารถแบบนั้น
แต่ว่าเขาก็เชื่อมั่นในตัวเอง
ฉายา ‘นักธนูเหล็กกล้า’ ไม่ได้มีไว้แค่อวดโอ้เท่านั้น นับตั้งแต่ที่เข้ามาพาราไดซ์ เขาก็ได้ยิงลูกธนูออกไปนับพันในทุกๆวันเพื่อฝึกฝนความสามารถของตัวเอง เขาไม่เคยหยุดเลยแม้แต่วันเดียว
นอกไปจากนี้เขาก็รู้สึกได้ในตอนที่ปล่อยสายออกไป ถึงจะมีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติจากรังกับภูติ แต่เขาก็มีคามมั่นใจมาก
สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้ก็คือการรอผลลัพธ์ของมัน
และในที่สุดลูกธนูก็ได้เข้าไปถึงระยะโจมตีของรัง สำหรับคนทั่วไปแล้วคงจะไม่เห็นความต่างอะไร เพราะมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงครู่เดียว แต่สำหรับมาแชล จิโอเนียที่ตั้งสมาธิถึงขีดสุดทุกๆอย่างต่างก็ช้าลง
หัวลูกธนูแหลมคมได้กรีดผ่านอากาศไปพร้อมกับเมล็ดพันธุ์ และหญ้ากกได้เด่นชัดอยู่ในสายตาเขา
หนวดหลายสิบเส้นได้ตวัดไปมาผ่านลูกธนูแบบฉิวเฉียดอยู่หลายครั้ง ตาข่ายที่เหมือนใยแมงมุมนี้เกิดขึ้นก็เพราะรังต้องการที่จะกำจัดภูติที่เข้ามาโจมตีอย่างสิ้นขึ้นจนเกิดเป็นอุปสรรคสำหรับลูกธนู
ยังไงก็ตามแม้แต่ใยแมงมุมที่อยู่ชิดกันมากก็ยังมีช่องว่างอยู่ ลูกธนูได้พุ่งโค้งผ่านรูเหล็กๆเหล่านั้นไปได้อย่างน่าทึ่ง
เมื่อหนวดคลายตัวออกมาแยกจากกัน มาแชล จิโอเนียก็เหนได้อย่างชัดเจนว่าลูกธนูพุ่งผ่านเหล่าภูติ และยังคงไปต่อไม่หยุด
ใช่แล้ว ลูกธนูโลหะยังคงมุ่งหน้าต่อไปโดยไร้สิ่งกีดขวาง
“..”
ตาซ้ายที่หลับสนิทของมาแชล จิโอเนียได้ลืมขึ้น เขาได้เบิกตากว้างจากนั้นก็เพ่งมองไปที่ลูกธนู ในตอนนี้เองสัมผัสด้านเวลาของเขาเหมือนกับหยุดนิ่ง
เขารู้สึกเหมือนหัวใจจะระเบิดขึ้นมาจากความกังวล และท้องของเขาก็บิดเกร็งขึ้น
ช่วงเวลามันสมบูรณ์แบบมาก ไม่ใช่แค่เวลาเท่านั้น ความเร็ว ทิศทาง และองค์ประกอบทุกอย่างส่งผลให้ลูกธนูจะพุ่งเข้าเป้าในอีกไม่กี่วินาทีต่อมา
ในตอนนี้ลูกธนูได้ข้ามผ่านภูเขาหนวดที่เป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุด โอกาสสำเร็จก็เพิ่มขึ้นสูงมาก
เพราะแบบนี้รังก็ไม่น่าจะจัดการกับลูกธนูได้อีกต่อให้มันรู้ตัว ในตอนที่พวกมันคิดจะขยับหนวดไปหยุดลูกธนู ลูกธนูก็คงเข้าเป้าไปแล้ว
ใช่แล้ว เมื่อดูจากความเร็วและทิศทางของเป้าหมายกับหนวดมันจะต้องเป็นแบบนั้น
…และแน่นอนว่าเขาไม่ได้คำนวณผิด เว้นก็แต่ว่าเขาลืมเรื่องหนวดที่หลบซ่อนอยู่ไป
ในไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึง
เปลือกของต้นไม้ที่ตายไปแล้วได้แตกออก และหนวดที่คล้ายกับก้านต้นไม้ได้ลอยออกมาจากเปลือกนั่น
จากนั้นมันก็พุ่งเข้าใส่ลูกธนูในทันที
เป้ง!
ในเสี้ยวินาทีนั้นหัวลูกธนูก็ส่ายไปขึ้น
ไม่ได้พุ่งไปต่อ แต่เป็นพุ่งลงไปแทน
“อ๊ะ…!”
ดวงตามาแชล จิโอเนียสั่นไหวขึ้น
รังได้ใช้ต้นไม้ที่ตายไปแล้วเพื่อปัดลูกธนู! ใครจะไปคิดกันว่าจะมีหนวดพุ่งออกมาจากต้นไม้ที่ตายไปแล้ว
ไม่สิ เขาควรจะรู้ว่าต้นไม้โลกปนเปื้อนไปแล้ว นี่เป็นมาแชล จิโอเนียเองที่คำนวนพลาดไป ความเร่งรีบมันทำให้เขามัวแต่สนใจอยู่กับแค่รังเท่านั้น
ลูกธนูที่ถูกปัดได้ลอยคว้างออกไป เมื่อซอลจีฮูเห็นลูกธนูที่ไร้ชีวิต สายตาเขาก็หม่นหมองตามไปด้วย
สมบัติที่ซอลจีฮูได้ใช้ความพยายามอย่างมหาศาลได้กลายเป็นไร้ค่าไปภายในพริบตาเดียว
‘หากคุณคาซุกิมาที่นี่…’
หากเขาทำได้ เขาก็จะไม่ลังเลที่จะคว้าลูกธนู และขว้างมันลงไปเลย น่าเสียดายที่เขามีแค่โอกาสเดียว และลูกธนูที่ยิงออกไปก็ไม่อาจจะเปลี่ยนเป้าได้อีก
ผลของการไม่อาจจะข้ามผ่านอุปสรรคสุดท้ายไปได้นั่นก็คือ… ความล้มเลว
เมื่อคำพูดเหล่านี้ได้โผล่ขึ้นมาในหัวของเขา สีหน้าเขาก็หมองลงด้วยความอับอาย
สำหรับภูติก็เป็นเช่นเดียวกัน
ภูติระดับต่ำที่หลับหูหลับตาพุ่งไปได้บังเอิญอยู่ใกล้กันกับวิถีของลูกธนู ถึงแม้ว่าตอนแรกมันจะสงสัย แต่ว่าเมื่อได้เห็นเมล็ดพันธุ์กับหญ้ากกที่มัดอยู่กับลูกธนู มันก็ต้องตกตะลึงขึ้น
[นั่น…!]
ยังไงก็ตามใบหน้าของภูติระดับต่ำได้กลายเป็นเสียใจทันที มันเข้าใจได้ในทันทีว่าลูกเจี๊ยบต้องการทำอะไร แต่ในตอนนี้ลูกธนูกำลังลอยคว้างออกจากเป้าอยู่
[อ่า! ย๊ากกกก!]
มันได้พยายามยืดแขนออกไปอย่างสุดกำลัง แต่ความพยายามนั้นก็เปล่าประโยชน์ มันอยากที่จะลอยออกไปคว้าลูกธนู แต่จู่ๆลมพายุก็พัดมาขวางไว้
ไม่ต้องมองก็รู้ได้เลย
หนวดกำลังลอยเข้ามา
[ย๊ากกกก…!]
ภูติระดับต่ำสุดได้หน้าซีดลงไป มาแชล จิโอเนียกำหมัดแน่น และก้มหัวลง ลูกเจี๊ยบก็ยังหลับตาด้วยเช่นกัน
จากนั้นเอง ขณะที่หนวดกำลังจะฟาดโดนตัวภูติหนุ่ม…
[ย๊ากกกก!]
ทันใดนั้นเองภูติระดับต่ำได้บินแทรกเข้ามา มันได้คว้าไหล่ภูติระดับต่ำสุดไว้ และหันกลับไป
แปะ! หนวดไดด้ฟาดเข้าที่หลังของภูติระดับต่ำอย่างน่ากลัว
[อ๊ากกก!]
ภูติระดับต่ำกัดฟันแน่น จากนั้นมันก็ได้ใช้แรงกระแทกส่งตัวภูติระดับต่ำสุดออกไป
[ช่วยที…!]
น้ำเสียงของภูติระดับต่ำได้ค่อยๆ เบาลง ภูติระดับต่ำสุดที่ถูกผลักได้แต่ยืนอย่างสับสน แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น
[!]
มันรู้ได้ในทันทีว่าจะต้องทำยังไง
ฟุตบอลไม่ได้จบลงในครั้งแรกที่ทำประตูพลาด หากว่าบอลยังไม่ออกจากสนาม กองหน้าก็ยังมีโอกาสยิงได้อีก
ภูติได้คว้าวัตถุตรงหน้าเอาไว้ในมือ
มันไม่มีเวลาให้พักหรือหันกลับหลังแล้ว
ต้นไม้โลกมีขนาดใหญ่โต ตราบใดที่ส่งไปถูกทางจะต้องถึงตัวตนไม้แน่
[ย่าาาาห์!]
ดังนั้นแล้วภูติระดับสุดได้หลับตาลงพุ่งตรงไป ในเวลาเดียวกันมันก็ได้ยืดแขนที่ถือลูกธนูออกไปอย่างสุดกำลัง
ภูติกำลังผลักลูกธนูให้เข้าไปตรงทิศทางเหมือนบอลที่กระดอนออกมาจากเสาประตูถูกยิงซ้ำ
ในตอนนั้นหนวดตอบสนองช้าเล็กน้อย บางทีอาจจะเพราะมันคาดไม่ถึง หรือไม่ก็เพราะทุกอย่างเกิดเร็วเกินไป
ไม่ว่ายังไงก็ตาม
ฉึก!
ไม่ว่าจะยังไงลูกธนูก็ได้ถูกดันเข้าไปปักอยู่ที่เปลือกต้นไม้โลกได้สำเร็จ
ในเสี้ยวินาทีเดียวกันกับที่หนวดได้ไล่ตามมาฟาดลงบนแผ่นหลังของภูติหนุ่ม ฝ่ามือที่เหมือนเด็กของมันได้ผลักดันลูกธนูเข้าไปภายใต้เปลือกต้นไม้
เรื่องทั้งหมดนี้ได้เกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงวินาที
[ฟู่ววว!]
ภูติระดับต่ำสุดได้ถอนหายใจออกมาทั้งๆที่ถูกฟาดกระแทกกับพื้น มันเหมือนกับจะหมดพลังไปแล้ว
ต่อจากนั้นเมื่อภูติหนุ่มได้กระจายกลายเป็นหยดน้ำ รอยยิ้มจางๆก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมัน
เพราะมันเห็นแล้ว มันเห็นว่าลูกธนูได้ฝังลงไปบนต้นไม้โลก
นี่ไม่ใช่ภาพลวงตา ต้นไม้ที่ตายแล้วได้เริ่มสั่นไหวเหมือนกับเป็นการพิสูจน์ถึงความสำเร็จ
ถูกแล้ว ต้นไม้ที่ตายกำลังตอบสนอง
[โว้ว…!]
สำหรับภูติแล้ว พวกมันรู้ดีกว่าใคร ออร่าแห่งความตายที่เดิมที่รายล้อมต้นไม้ได้ลดลงด้วยความเร็วอันหน้าด้วย และมีออร่าความบริสุทธิ์ สดชื่นถูกแทนที่เข้ามา
ปัง!
ออร่ามหาศาลได้ถูกปลดปล่อยออกมาจากต้นไม้โลกโดยไม่ตั้งใจ
เมื่อเจอเข้ากับแรงกดดันนี้ทำให้หนวดนับร้อยหยุดการเคลื่อนไหวในทันที
ต่อจากนั้น
ซ่าาาห์
ประกายแสงเล็กๆได้ส่องแสงออกมาเหมือนกับหิ่งห้อยรอบต้นไม้โลก
ต้นไม้โลกแสดงสัญญาณของการคืนชีพออกมาแล้ว
[ท่านต้นไม้โลก…!]
ภูติหนุ่มได้พึมพำด้วยน้ำเสียงตื่นตัน แม้ว่าเสียงนั้นจะกลายเป็นเสียงอันว่างเปล่า แต่นั่นก็ไม่ได้ไร้ความหมาย
กิ่งก้านต้นไม้ได้ลดระดับลงมารับภูติหนุ่มที่กำลังร้องไห้ และค่อยๆยกมันลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
คลื่นนนนน
ในเวลาเดียวกันได้เกิดเสียงหัวใจเต้นดังก้องออกมาจนเหมือนกับจะส่งให้ไปถึงอวกาศ
นี่คือเสียงคำรามแห่งอิกดราซิล สัญญาณการเกิดใหม่ของต้นไม้โลก
หลังจากเผชิญหน้ากับสถานการณ์สิ้นหวัง การชุบชีวิตต้นไม้โลกก็ได้สำเร็จในท้ายที่สุด
***
ปัง!
ซอลจีฮูได้กระแทกเข้ากับพื้นอย่างแรง แทบจะทันทีหลังจากนั้นดาบยาวโชกเลือดได้ฟาดตามลงมาด้วยแรงกระแทกที่พอจะแยกพื้นโลกได้เลย
ซอลจีฮูอ้าปากตีลังกาหลบไป เมื่อเขาหลบออกมาได้อย่างฉิวเฉียด เสียงคมดาบตัดอากาศก็ดังขึ้นที่ด้านหลังเขา
ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น
“–!”
เสียงคำรามของความเมตตาอันบิดเบี้ยวดังขึ้น
คลื่นนนน!
โลกดูเหมือนจะสั่นสะเทือนและมีหินรูปร่างแปลกๆปรากกขึ้นจากบนท้องฟ้า มังกรดินที่ถูกสร้างขึ้นจากผืนดินได้ปรากฏตัวขึ้น และพุ่งเข้าใส่พวกเขา
แค่ความเร็วของมังกรดินพวกนี้ก็เพียงพอจะทำให้ผู้กล้าต้องหวาดกลัวได้แล้ว แต่ซอลจีฮูยังคงสงบนิ่งเช่นเดิม
เขาได้จ้องมองไปที่หินสลักที่มีรูปร่างมังกร ก่อนจะดึงพลังมานาออกมาเพื่อเหวี่ยงหอกพิสุจน์ออกไปเป็นวงกว้าง
ปราณดาบนับสิบได้พุ่งออกมาทำลายมังกรหินที่พุ่งใส่พวกเขาแทบจะทันที
ภายในใจของเขาก็ยังรู้สึกทึ่งกับพลังที่เพิ่มขึ้นเกินกว่าจินตนาการไปมาก
‘มากขนาดนี้เลย…!’
เขายังจำที่จางมัลดงบอกเอาไว้ได้ เมื่อเขากลายเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูง ‘ที่แท้จริง’ การพูดว่าเขาเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดภายใต้ชาวโลกที่ต่ำกว่าระดับ 7 ก็ไม่เกินเลยไปเลย
เขาไม่ได้โกหก
เนื่องจากว่าเขาได้เข้าถึงขอบเขตการเป็นหนึ่งเดียวกับหอกทำให้เขาอยู่ในโลกใหม่อย่างสิ้นเชิง
จุดอ่อนใหญ่สุดของซอลจีฮูก็คือความไม่สอดคล้องกันของจิตใจ เทคนิค และร่างกาย แต่เพราะหนึ่งเดียวกับหอกทำให้เทคนิคของเขาไล่ตามร่างกายทันที
แน่นอนว่าฟีโซราก็เป็นผู้เชี่ยวชาญหนึ่งเดียวกับดาบเช่นกัน แต่ว่าเธอมีร่างกายที่ต่างจากซอลจีฮู ด้วยความต่างของร่างกาย ทำให้พลังที่ส่งออกมาได้ต่างกันเป็นธรรมดา
เพียงเท่านี้ทำให้ซอลจีฮูได้แสดงพลังระดับที่ต่างออกไปอย่างมหาศาลได้โดยการสร้างสมดุลให้กับสององค์ประกอบอย่างเทคนิค กับร่างกาย
ตอนนี้ก็เป็นเช่นเดิม ความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้กลายเป็นเส้นแสงโผล่ออกมาจากเศษซากมังกรดินที่แตกออก
“ในที่สุดเจ้าก็เป็นของข้า!”
เคร้ง! เมื่อดาบยาวของเธอได้ปะทะกับหอกพิสุจน์ ซอลจีฮูก็ถูกกดดันถอยออกไปอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันพลังงานอันมหาศาลก็ถูกส่งผ่านหอกพิสุจน์มา มันเป็นพลังงานจากภายนอกที่ตั้งใจส่งมาระเบิดทำลายร่างกายเขาอย่างชัดเจน
ยังไงก็ตามซอลจีฮูไม่ได้ตื่นตระหนก หลังจากกลายเป็นหนึ่งเดียวกับอาวุธแล้ว เขาก็สามารถจะทำในสิ่งที่เขาไม่เคยทำได้มาก่อนมากมาย
และร่างกายของเขาก็ได้เรียนรู้เรื่องพวกนี้
พลังงานมหาศาลยากที่จะต่อต้าน แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องต่อต้าน
หากว่าเขารับไว้ไม่ได้ เขาก็แค่ส่งมันกลับไป
‘ใช่แล้ว’
เมื่อนึกย้อนไปถึงครั้งแรกที่เขาสร้างปราณดาบ ซอลจีฮูก็หาทางออกได้ในทันที
เขาได้ปล่อยให้พลังไหลเข้ามาในร่าง โคจรมันผ่านวงจรมานาที่เขาฝึกฝนมานา ก่อนจะนำพลังทั้งหมดนี้ไปที่มือขวา และส่งมันไปที่ดาบที่กำลังปะทะกับหอกพิสุจน์อยู่
เมื่อเขาได้ปล่อยมันออกจากร่าง
[ความหมายสามารถ ผลัดเปลี่ยน (ปานกลาง) ได้ถูกสร้างขึ้น]
“กรอด!”
พร้อมๆกันกับเสียงเตือน ดาบยาวเล่มที่สองที่กำลังฟาดลงมาใส่เขาอย่างรวดเร็วได้เด้งกลับไปทันที
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวเบิกตากว้างขึ้นเมื่อพลังส่วนใหญ่ของเธอถูกส่งย้อนคืนกลัยมา
‘นี่มันอะไรกัน…?’
แน่นอนว่าซอลจีฮูก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ด้วยการต้องทนรับกับพลังอันทรงพลังแบบนี้ทำให้วงจรมานาของเขาร้อนขึ้นจนปวด
เขาได้รีบกระโดดถอยรักษาระยะห่างออกมาเพื่อทำให้วงจรมานากลับมาเย็นลง แน่นอนว่าความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้ไล่ตามเขามาทันที
ปกติแล้วเธอจะไล่ตามเขาทันในทันที แต่สมาชิกทีมปฏิบัติการคนอื่นๆที่จัดการมังกรดินได้แล้ว ได้รีบพุ่งเข้ามาจากทุกด้าน
หอกคถาคตของแบคแฮจูที่แทงตรงเข้ามาเหมือนดาวหาง ด้ายของแอ็กเนสที่อัพแน่นไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ได้กระจายออกรอบด้าน และดาบยาวของฟีโซราตวัดโค้งลงมาอย่างรุนแรง
ยังไงก็ตามผู้บัญชาการกองทัพที่เจ็ดก็คือผู้บัญชาการกองทัพที่เจ็ด
“พวกน่ารำคาญ!”
เมื่อเธอตวัดดาบคู่อย่างไม่พอใจ ทุกๆการโจมตีที่พุ่งเข้ามาก็ต้องชะงักไป และเมื่อเธอปล่อยพลังเทพออกมา เหล่านักรบก็ต้องกระเด็นถอยไปเหมือนแมลงเม่า
ด้วยพลังแบบนี้ เธอช่างควรค่าแก่การถูกเรียกว่าผู้บัญชาการที่แกร่งที่สุดจริงๆ
‘เป็นแบบนี้ไม่ได้’
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้เปลี่ยนความคิด และรีบหันหน้ากลับไป เธอวางแผนที่จะจัดการกับคนอื่นๆก่อนซอลจีฮูที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่องระหว่างการต่อสู้ การกำจัดซอลจีฮูทีหลังสุดดูจะเป็นทางเลือกที่ดีในตอนนี้
และดังนั้นเธอได้พุ่งเข้าใส่ฟีโซราที่ดูอ่อนแอที่สุด
ยังไงก็ตามหอกของซอลจีฮูก็พุ่งเข้ามาพร้อมประกายสายฟ้าแทบจะทันที
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวไม่ได้หยุดชะงัก เธอมั่นใจว่าต่อให้ไม่ต้องมองกลับไป เธอก็หลับมันได้
แต่ว่าเมื่อปลายหอกกำลังจะเข้ามาถึงหัวของเธอ
‘อะไรกัน!?’
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็ต้องรีบหันร่างกลับไป
เธอต้องทำแบบนี้ นั่นก็เพราะว่าขณะที่เธอกำลังเอียงหัวหลบอย่างง่ายๆ เธอก็รู้สึกถึงพลังทำลายรุนแรงที่กำลังฟันเข้ามาจากด้านตรงข้าม
เธอได้ส่งพวกนักรบน่ารำคาญกระเด็นออกไปด้วยพลังของเธอแล้วเมื่อครู่นี้ ดังนั้นต้นตอของการโจมตีข้างๆเธอต้องเป็นซอลจีฮู
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวที่รู้สึกฉุกละหุกได้เลิกสนใจฟีโซรา และหันกลับมา
ฉับ!
ความรู้สึกน่าหวาดหวั่นได้เฉียดหน้าผากของเธอไป พร้อมกับเธอที่เห็นซอลจีฮูหมุนด้ามหอกที่จับไว้แน่นอยู่
หอกได้ลอยผ่านไปทางด้านซ้ายของเธอ ความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็หันไปตามทางนั้น แต่ในเวลาต่อมาเธอก็ต้องอ้าปากค้างกับความปวดแสบที่มาจากแก้มอีกฝั่งของเธอ
“…”
แม้ว่าเธอจะไม่ได้ร้องออกมา แต่เธอก็ตกใจมาก
ความบิดเบี้ยวได้รีบบินถอย ก่อนจะรีบสัมผัสแก้มของเธอ
ภายในมือเธอได้เต็มไปด้วยเลือด ซอลจีฮูดูจะเปลี่ยนจากท่าแทงมาใช้การโจมตีด้วยคมมีดที่เหมือนจันทร์เสี้ยวข้างคมหอกแทน
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงบาดแผลเล็กน้อยที่หายได้ในครู่เดียว แต่ปัญหาไม่ใช่จุดนั้น
นอกเหนือจากการที่จู่ๆซอลจีฮูเริ่มใช้ประโยชน์จากคมมีดจันทร์เสี้ยวแล้ว ความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็ยังไม่ควรโดนการโจมตีก่อนหน้านี้
ยังไงก็ตามหอกที่อยู่ทางด้านซ้ายจู่ๆก็โจมตีมาจากทางด้านขวาแทน ทั้งๆที่หอกยังไม่ได้ขยับเลยสักนิด
นี่มันเป็นเพราะเทคนิคหอกจันทร์เสี้ยวกระบวนท่าที่สาม หอกไร้ลักษณ์
‘อีกแล้ว…’
สีหน้าของความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้ค่อยๆเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ
ในตอนแรกเธอคิดว่าซอลจีฮูสามารถจะหลบหลีกได้ดีขึ้น และใช้หอกขยับเองได้ แต่มาคราวนี้เขาได้ย้อนพลังเธอกลับคืน และกระทั่งแสดงพลังในระดับการใช้หอกล่องหน
พูดง่ายๆคือยิ่งต่อสู้นานเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแกร่งขึ้น
นี่คือเหตุผลที่ความเมตตาอันบิดเบี้ยวยังไม่อาจจะคำนวนอะไรได้ ถึงเธอจะยังรับมือเขาได้ แต่เธอก็ไม่รู้เลยว่าต่อไปเขาจะหงายไพ่อะไรขึ้นมาอีก
และไม่นานนักความกังวลของเธอก็กลายเป็นจริง
คลื่นนน-
“!”
ทันใดนั้นแรงสะเทือนได้ส่งมาถึงร่างเธอ
เธอรู้ได้เลยทันทีต่อให้ไม่มองไปก็ตาม
นั่นก็เพราะตัวตนของรังทั้งห้าที่ยูนิคอร์นเอามาด้วยจู่ๆก็หายไป
‘อย่าบอกนะ’
นี่เป็นสัญญาณการคืนชีพของต้นไม้โลกอย่างไม่ต้องสงสัย
เธอไม่เข้าใจเลยสักนิดว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ในตอนนี้ต้นไม้ที่เทียบได้กับเทพฟื้นคืนชีพกลับมาเนี้ยนะ? หากว่ามันเกิดขึ้นจริงผลลัพธ์การต่อสู้ครั้งนี้ก็อยู่เหนือการควบคุมของเธอแล้ว
เมื่อคิดได้แบบนี้ความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้คำรามออกมา
“ความสงบนิ่งอันบ้าคลั่ง!”
“…ข้ารู้ ข้าก็รู้สึกได้”
“ถ้าเจ้ารู้ แล้วยังจะรออะไรอยู่อีก?”
“อาการบาดเจ็บของข้าได้รับการรักษาแล้วในระดับหนึ่ง”
เสียงประชดได้ตอบกลับมา
“แต่ว่าตัวตนที่เทียบได้กับเทพโจมตีข้าถึงสองครั้ง และบาดแผลนั่นยังไม่ได้หายดี”
“เจ้า…!”
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวหันหน้าไป
ยูนิคอร์นก็ดูเป็นกังวลเช่นกัน และมันก็ไม่ได้โกหกเรื่องบาดแผลด้วย เพราะมีหลักฐานชัดเจนอยู่บนร่างมัน
“ฮึ่ม ไม่ต้องห่วง ข้าจะเคลื่อนไหวเดี๋ยวนี้แหละ”
“…ข้าขอแนะนำให้เจ้าทำแบบนั้น หากแผนนี้ล้มเหลว…”
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวคำรามออกมาก่อนจะเข้าปะทะกับศัตรูอีกครั้ง
***
อีกด้านหนึ่ง
“บ้าเอ้ย…”
คาซุกิที่เห็นการต่อสู้เริ่มขึ้นได้เม้มปากแน่น เขาอดไม่ได้ที่จะทึ่งในตัวซอลจีฮูที่กำลังร่วมมือกับแบคแฮจูสู้กับผู้บัญชาการกองทัพที่เจ็ดอันน่าเกรงขาม
ทั้งๆที่ภาพมันชัดอยู่ตรงหน้าเขายังไม่อยากจะเชื่อเลย
ยังไงก็ตาม…
“…”
มันก็เท่านั้น
พูดตามตรงแล้วพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์น่าห่วง นอกจากแบคแฮจูกับซอลจีฮูแล้ว คนอื่นๆก็สลับกันเข้าไปสู้เช่นกัน แต่ว่าพวกเขาที่เหลือนี้ต่างก็เฉียดตายอยู่หลายครั้ง
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้เริ่มใช้พลังอย่างสุดกำลัง
หากว่าพวกเขาพลาดไปแม้แต่นิด สถานการณ์ฝ่ายศัตรูก็อาจจะเปลี่ยนไปได้ในทันที
ยิ่งเมื่อนานไปทีมปฏิบัติการก็จะเสียเปรียบอย่างชัดเจน
ยังไม่หมดเท่านั้น
ความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งที่เข้าร่วมการต่อสู้ก็ยังช่วยพลิกสถานการณ์อีกด้วย พวกเขาไม่อาจจะรับมือผู้บัญชาการกองทัพสองคนพร้อมกันได้
‘มาแชล จิโอเนีย…’
พวกเขาต้องหาวิธีแก้ไขสถานการณ์อันตรายนี้ และคาซุกิก็รู้เหตุผลที่ว่าทำไมมาแชล จิโอเนียถึงออกไปพร้อมลูกเจี๊ยบ
‘แต่ว่า…’
ต่อให้ทั้งคู่ทำสำเร็จ แต่พวกเขาจะทนได้จนถึงตอนนั้นไหม?
เมื่อคิดเรื่องนี้แล้วคาซุกิก็คาใจ
ถึงเขาจะไม่รู้ว่าลูกเจี๊ยบตั้งใจจะทำอะไร แต่มีความเป็นไปได้สูงกว่าแผนจะประสบความสำเร็จ ยิ่งเมื่อดูจากอุปสรรคและเวลาที่พวกเขามีแล้วด้วย…
‘บ้าเอ้ย’
คาซุกิอดไม่ได้ที่จะคิดว่าพวกเขาจะถูกกำจัดจนหมด
และดังนั้นคาซุกิรู้สึกว่าต้องซื้อเวลาเอาไว้
เขาได้ยอมแพ้กับการโจมตีความเมตตาอันบิดเบี้ยวแล้ว ถึงเขาจะยิงลูกธนูออกไปอย่างต่อเนื่อง แต่เธอก็ไม่เคยสนใจเลยสักนิด
คาซุกิรู้ดีว่าเขาไม่อาจจะเข้าไปแทรกการต่อสู้ของเหล่าปีศาจได้ ที่เขาทำได้ก็มีแต่เชื่อในเพื่อนร่วมทีมว่าจะยื้อความเมตตาอันบิดเบี้ยวไว้ได้
สิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุดในตอนนี้ก็คงเป็นการหยุดผู้บัญชาการกองทัพที่สี่ไม่ให้เข้าร่วมการต่อสู้นั่น
‘แต่ยังไงล่ะ…?’
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการสอดแนมมากกว่าต่อสู้ เขาจะทำอะไรได้บ้าง?
“หืมม”
จากนั้นเอง
“เยี่ยม เยี่ม..”
ยูนิคอร์นได้บิดคอไปมา จากท่าทางที่มันตะปบพื้นแล้ว มันดูเหมือนจะพร้อมต่อสู้อีกครั้ง
“มาเริ่มกันได้เลย”
เป็นอย่างที่คิดไว้ ได้มีควันจางๆเริ่มออกมาจากร่างของยูนิคอร์น
ในตอนนั้นเอง…
‘เดี๋ยวก่อนนะ’
มีบางอย่างแปลกๆ
[เจ้า…]
ทันใดนั้นเอง
[ดูเหมือนเจ้าจะไม่รู้สักนิดเลยนะว่าทำไมราชินีถึงส่งเจ้ามาที่นี่ล
มีเงาราตรีวนเวียนอยู่รอบตัวยูนิคอร์น
[น่าขันนัก! เจ้ากล้าพูดแบบนี้ทั้งๆที่อยู่ในสภาพนี้เนี้ยนะ ด้วยการกระทำอันโอหัง และหยิ่งผยองของเจ้านั่นกล้าเรียกตัวเองว่าสหายด้วยงั้นเหรอ?]
คาซุกิได้นึกถึงคำพูดเยาะเย้ยของความเมตตาอันบิดเบี้ยวที่พูดกับยูนิคอร์น
[ฮึ่ม ไม่สำคัญหรอก ต่อให้ข้าจะใช้พลังอำนาจไม่ได้ ข้าก็แค่ฟื้นคืนพลังเทพที่เสียไป]
และยังมีการกระทำก่อนหน้านี้ของยูนิคอร์นที่แปลก
[หากว่าเจ้ายอมรับในขีดจำกัดของตัวเอง และจัดตั้งกองทัพขึ้นอย่างที่องค์ราชินีแนะนำ ข้าก็น่าจะยอมรับเจ้าเป็นสหายได้ แต่ว่านี่…]
[เจ้าพยายามจะเลียนแบบข้า และสุดท้ายกลายเป็นทำร้ายตัวเอง นี่คือเหตุผลที่ทำให้เจ้าอยู่ในสภาพน่าสังเวชแบบนี้ สมกับเป็นแค่ตัวตนไร้ค่าของมิติวิญญาณจริงๆ]
[ด้วยจุดอ่อนชัดเจนมากขนาดนี้ เจ้ายังกล้าเรียกตัวเองว่าผู้บัญชาการกองทัพอีกงั้นเหรอ?]
เมื่อจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายลงล็อค คาซุกิก็เริ่มคาดเดาขึ้นได้
“จุดอ่อน…”
ความเป็นไปได้ในการถ่วงเวลา
“…ฉันเจอแล้ว”
ดวงตาของคาซุกิที่มองความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งได้เปล่งประกายขึ้นมา