The Second Coming of Gluttony - บทที่ 334 - คำสัญญา (4)
บทที่ 334 – คำสัญญา (4)
ย้อนกลับไปเมื่อสามสิบนาทีก่อนที่มาแชลจะได้เตรียมยิงลูกธนูออกไป และพรรคพวกของซอลจีฮูกำลังต่อสู้ยื้อเวลากับความเมตตาอันบิดเบี้ยว
สงครามใหญ่ภายในมิดเดิลเวิร์ลกำลังอยู่ในช่วงชะงักงันอยู่ การมาถึงของกำลังเสริมจากมนุษยชาติอันน่าเหลือเชื่อได้ทำให้ที่ป้อมปราการไทกอลเกิดความเงียบอันน่าตึงเครียดขึ้น
กาเบรียลค่อยๆขยับตัวอย่างระแวง เธอวางมือลงบนกำแพงป้อมปราการ และทอดสายตามองออกไปไกล
ทั้งๆที่เธอลองขยี้ตาแล้ว แต่ภาพก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป สิ่งที่เธอเห็นก็ยังเป็นกองทัพของมนุษยชาติอยู่เช่นเดิม
มันเกิดขึ้นจริงๆ
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ มนุษยชาติได้ตัดสินใจเข้ามาช่วยสหพันธรัฐแล้ว
พูดตามตรงเธอก็ไม่ได้คาดหวังว่าสถานการณ์ในตอนนี้มันจะเปลี่ยนแปลงไปจากการมาถึงของกำลังเสริมจากมนุษยชาติ เธอรู้ดีว่ากองกำลังของปรสิตนั้นก็ยังแกร่งอยู่ดีต่อให้กองกำลังของสหพันธรัฐกับมนุษยชาติร่วมมือกัน นี่มันเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้ดี
แต่เธอก็ไม่ได้สนใจในเรื่องแบบนั้น
สิ่งสำคัญก็คือมนุษยชาติมาถึงก่อนที่มันจะสายเกินไป ก่อนที่มันจะถึงปลายทางสุดท้ายที่เรียกความว่าความสิ้นหวัง
“…พวกเขามาจริงๆ”
กาเบรียลได้กำหมัดกระซิบอยู่กับตัวเอง ในเวลาเดียวกันเสียงคำราปลุกใจได้ดังก้องมาจากป้อมปราการไทกอล
“เฮฮฮฮฮฮฮ!”
แฟรี่ท้องฟ้าได้ยกธนูขึ้น และแฟรี่ถ้ำก็ยกแขนส่งเสียงเชียร์ออกมา แม้กระทั่งมนุษย์สัตว์ก็ยังยกแขนขึ้นโบกไปมาด้วยเช่นกัน
ความช่วยเหลือได้มาถึงในตอนที่ต้องการที่สุดจะกินใจผู้คนเสมอ การที่มีกำลังเสริมเข้ามาช่วยในตอนที่ป้อมปราการเหมือนจะพังลงไปได้ทำให้พวกเขารู้สึกยินดี
“เฮฮฮฮ! เฮฮฮฮ!”
เพวกเขาได้ร้องตะโกนยินดีไปทั่วสนามรบอันเงียบกริบ
ในเวลาเดียวกัน…
เทเรซ่าที่ยืนอยู่บนแนวเขาได้ค่อยๆหันมองลงไป
“…”
แม้ว่าความตั้งใจแรกของเธอจะเพื่อประเมินในสถานการณ์ แต่แล้วเมื่อเห็นสนามรบ เธอก็ถึงกับพูดไม่ออก
ในตอนแรกที่เห็นกองภูเขาซากศพอยู่ข้างกำแพงก็ทำให้เธอห้ามตัวเองไม่ได้เลยจริงๆ ภูเขาซากศพนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายของสงครามเป็นอย่างดี และทั่วสนามรบก็มีภูเขาเช่นนี้กระจายอยู่ทั่วอีกด้วย
นอกไปจากนี้พื้นดินก็ยังไหม้เกรียมเป็นสีดำจากการระเบิดของอสนีบาตที่ถูกจุดขึ้นจนนับไม่ถ้วน
สายลมก็ได้พัดมาพร้อมกับกลิ่นโชยของเลือด ทั้งหมดนี้ได้แสดงให้เธอได้รู้ย่างชัดเจนถึงความรุนแรงในการบุกของปรสิต และความสิ้นหวังในการป้องกันของสหพันธรัฐ
“แค่กๆ”
เทเรซ่าไอออกมาเบาๆ จากนั้นเธอก็สังเกตเห็นถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไป
เสียงพึมพำของทหารได้ดังขึ้นมาเมื่อพวกเขาเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า เมื่อมองขึ้นไปเธอก็ได้เห็นว่าภายใต้เมฆหมอกมืดสนิทที่ปกคลุมดวงอาทิตย์มีภาพฉายของร่างๆ หนึ่งอยู่
ดวงตาเทเรซ่าได้หรี่ลง
“ราชินีปรสิต…”
ภาพโฮโลแกรมที่ฉายอยู่ได้แสดงให้เห็นถึงร่างขนาดยักษ์นั่งเท้าคางอยู่บนเก้าอี้ ราชินีปรสิตนั่งคงนั่งจ้องไปที่ป้อมปราการไทกอลโดยไม่สนใจการมาถึงของกำลังเสริมเลยสักนิด
ดูจากภาพสนามรบแล้ว เทเรซ่าก็พอเข้าใจว่าทำไมราชินีปรสิตถึงได้มั่นใจขนาดนั้น
“โฮ่ เธอออกมาข้างนอกจริงๆ”
ทันใดนั้นเทเรซ่าก็ได้ยินน้ำเสียงเนือยๆดังออกมา
ซินเซียได้ปรากฏตัวขึ้น และเธอก็กำลังมองชื่นชมศัตรูที่อยู่บนท้องฟ้า
ที่เธอปรากฏขึ้นอย่างกระทันหันนั่นก็เพราะการเทเลพอตเข้ามา
“นั่นคือราชินีปรสิตสินะ… นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันได้เห็นเธอด้วยตัวเอง จากการที่เธอเผยตัวเองออกมาจากภาพโฮโลแกรมแล้ว… เธอคงจะเอาจริงมากกับสงครามนี้”
เทเรซ่าก็เห็นด้วยเช่นกัน
แค่ขนาดกองทัพก็บอกได้แล้วว่าราชินีปรสิตมุ่งมั่นขนาดไหน กองทัพซากศพ ปรสิต รัง และอีกห้ากองทัพที่มีผู้บัญชาการกองทัพเป็นคนนำ… บางอย่างสีดำเทาที่กลืนกินผืนดินราวกับเป็นโรคระบาด
เป็นจำนวนที่มหาศาลจนสามารถจะพูดได้เลยว่าพวกมันสามารถโค่นป้อมปราการไทกอลได้ไม่ยาก ที่สำคัญคือเทเรซ่าจะไปลงไปในสนามรบนั่นโดยที่รู้ว่าความพยายามทั้งหมดของเธออาจจะกลายเป็นไร้ค่า
ฮอรัสที่หวาดกลัวความตายได้คำรามออกมาเบาๆ เทเรซ่าเม้มปากแน่นก่อนจะค่อยๆลูบคอฮอรัสที่ตื่นกลัว หากจะบอกว่าเธอไม่กลัวก็คงไม่จริง
และไม่ใช่แค่เธอด้วย
การได้เจอกับกองทัพปรสิตได้ทำให้ใบหน้าของทหารทุกนายต่างแสดงความหวาดกลัวขึ้น
‘ไม่มีทางชนะเลย…’
เทเรซ่าได้ก้มหน้าลงอย่างสับสน อาการคลื่นไส้รุนแรงที่เกิดจากแรงกดดันอันหนักหน่วงมันรุนแรงจนทำให้เธอแทบจะตกจากม้า
จากนั้นเอง
“!”
เธอรู้สึกร้อนขึ้นที่หน้าอกอย่างกระทันหัน จนทำให้เธอรีบสอดมือเข้าไปในเสื้อคลุม จากนั้นเธอก็หยิบแผ่นกระดาษออกมา และขมวดคิ้วขึ้น
“อ่า…”
กระดาษสัญญาณชีพ กระดาษแผ่นนี้เป็นสัญญาที่จะแสดงถึงพลังชีวิตของผู้ทำสัญญา
“อีกแล้ว…”
สัญญากำลังลุกไหม้ แผ่นกระดาษกว่าครึ่งได้ถูกเผาไปแล้ว และส่วนที่เหลืออยู่ก็กำลังหายไปอย่างรวดเร็ว
นี่มันหมายความได้ว่าซอลจีฮูกำลังตกอยู่ในอันตราย
“ไม่นะ…”
เทเรซ่าพึมพำอย่างเหม่อลอย
“ไม่…!”
ในที่สุดไฟก็หยุดไม้ราวกับตอบสนองต่อเสียงร้องอันสิ้นหวังของเธอ ส่วนที่เหลืออยู่เป็นเพียงแค่เศษเล็กๆที่พอใช้นิ้วคีบได้เท่านั้นเอง
จริงๆแล้วนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ระหว่างเดินทางมาที่นี่เธอเคยเจอกับเรื่องแบบนี้มาหลายครั้ง ทุกๆครั้งมันจะเกิดการลุกไหม้ขึ้น แต่สัญญาก็ยังคงอยู่ ต่อให้ในครั้งนี้จะรุนแรงที่สุด แต่สัญญาก็ยังคงไม่ได้หายไป
ต่อให้เหลือเพียงชิ้นเล็กๆ มันก็ยังไม่ยอมจะหายไป
ความดื้อรันของผู้ทำสัญญามันทำให้เธอต้องตัวสั่น เมื่อได้เห็นความดิ้นรนของสัญญา เทเรซ่าก็ตั้งสติขึ้นมาได้
ในตอนนี้มันไม่ใช่เวลามากว่า
ระหว่างที่เธอลังเล ซอลจีฮูก็กำลังต่อสู้อยู่ในอีกที่หนึ่ง เขากำลังเสี่ยงชีวิตซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทั้งหมดก็แค่จุดประสงค์เดียวโดยเชื่อในคนที่ยังอยู่ในมิดเดิลเวิร์ล
เมื่อได้เห็นเศษกระดาษที่ดูเหลือเพียงเล็กน้อยเหมือนเทียนไขกำลังจะหมด เทเรซ่าก็รู้สึกเศร้า ในท้ายที่สุดแล้วเธอก็หลับตาลง
“….นี่มันคือเรื่องธรรมดา”
ซินเซียได้หันมองเทเรซ่าที่ก้มหน้าอยู่
“นี่เป็นครั้งแรกเลยที่มนุษยชาติได้เห็นถึงขนาดกองทัพของปรสิต แม้แต่ฉันก็ยังกลัวอยู่หน่อยเลย”
นี่คือวิธีปลอบใจของเธอ
แต่เทเรซ่ายังคงเงียบ เธอได้อ้าปากสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็ส่งกระดาษให้กับซินเซีย
“หืม?”
ซินเซียได้รับกระดาษมาอย่างไม่ใส่ใจ ทันใดนั้นดวงตาเธอก็เป็นประกายขึ้น
“นี่คือ…”
“กระดาษสัญญาณชีพ เป็นสัญญาที่จะแสดงให้เห็นถึงชีวิตของอีกฝ่าย”
“…”
“ผู้ทำสัญญาคือ…”
“ตัวแทนของวัลฮาลา”
ซินเซียได้เงยหน้าโบกกระดาษเบาๆ
“แล้วทำไมถึงส่งมันให้ฉันล่ะ?”
เทเรซ่าถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
“ฉันแค่อยากจะให้คุณรู้…”
เธอได้พูดต่อทั้งๆที่ก้มหน้าอยู่
“นี่คือความหวังเดียวที่เราเหลืออยู่”
ซินเซียขมวดคิ้วขึ้น เธอได้หันหน้ากลับไปโดยที่ไม่พูดอะไรอีก
“เราจะเข้าร่วมรบในทันทีที่เป็นไปตามสัญญา… หวังว่าคุณจะโชคดี”
วงเวทย์ได้ปรากฏขึ้นใต้เท้าซินเซีย และเธอก็หายตัวไปในทันที
เทเรซ่าค่อยๆเงยหน้าขึ้น เธอลืมตา และมองจ้องไกลออกไป ปรสิตกำลังเคลื่อนไหวอยู่ ไม่มีเวลาให้เสียอีกแล้ว
เทเรซ่าได้ยกดาบชี้ขึ้นฟ้าเพื่อตอบรับกับความร้อนของสัญญาที่เคยอยู่ในมือ
“โอ้!!!”
เหล่าทหารได้ส่งเสียงร้องออกมาอย่างดุดันเพื่อกลบความหวาดกลัว พวกเขาได้ใช้ปลายอาวุธกระแทกกับพื้น และส่งเสียงตะโกนออกมา
เทเรซ่าได้นึกย้อนไปในครั้งล่าสุดที่เจอกับซอลจีฮู
เขาได้สัญญาว่าจะกลับมาอย่างปลอดภัย
เธอก็ยังสัญญากับเขาว่าจะซื้อเวลาไว้ให้
เทเรซ่ากัดฟันแน่น
“…”
ภาพตรงหน้าเธอยังคงเป็นเช่นเดิม ภายในใจเธอยังคงหวาดกลัว เรื่องนี้สามารถมองเห็นได้ชัดจากมือที่จับดาบกำลังสั่นอยู่
‘ฉันจะทำได้ไหม…?’
ความสงสัยได้เข้ามาในหัวเธออีกครั้ง แต่เธอก็อดกลั้นเอาไว้ เธอไม่มีทางเลือก นี่เป็นสิ่งที่เธอต้องทำ
ซอลจีฮูจะต้องรักษาสัญญาอย่างแน่นอน นอกไปจากนี้ก็ต้องรักษาสัญญาให้ได้ ตอนนี้มันถึงเวลาที่ต้องทำแบบนั้นแล้ว
ปรู้นนนนนนนนนนน!
จากนั้นเสียงแตรก็ดังขึ้น ดวงตาเทเรซ่าได้เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
“…”
…ใช่แล้ว ต่อให้เธอถูกลดระดับไปเป็นโล่มนุษย์ก็ไม่เป็นไร ต่อให้เธอตายอย่างไร้ค่าโดยไม่อาจจะเหวี่ยงดาบได้สักครั้งก็ไม่เป็นไร
ตราบใดที่เธอทำเรื่องหนึ่งได้
เรื่องที่ซอลจีฮูปรารถนาอย่างแรงกล้า
เพื่อที่จะซื้อเวลาตามสัญญาที่เธอได้ให้ไว้…!
ปรู้นนนนนนนน!
ดาบยาวสีเงินของเธอที่สะท้อนแสงอาทิตย์ได้ถูกชักขึ้นมาชี้ไปทางพวกปรสิต ในเวลาเดียวกันเธอก็บังคับฮอรัสเตรียมวิ่ง และอ้าปากตะโกนออกมา
และจากนั้น…
“ระวัง…!”
เทเรซ่าได้ตะโกนขึ้นพร้อมขี่ม้าลงไปจากสันเขา
“เดินหน้า!”
“””ย๊ากกกกกกกกกกกกก!!”””
เสียงคำรามจำนวนนับไม่ถ้วนได้ดังไล่หลังเธอมา
ในที่สุดแล้วมนุษยชาติก็เริ่มพุ่งเข้าใส่กองทัพปรสิต!
***
ซอลจีฮูไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น
ทำไมความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งถึงได้หยุดโจมตี? แล้วทำไมจู่ๆจี้ถึงเรืองแสงขึ้นมาล่ะ?
ยังไงก็ตามสิ่งที่ชัดเจนคือมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับความสงบนิ่งอันบ้าคลั่ง
ขณะที่แสงสว่างจากภายนอกสงบลง ความมืดที่อยู่ภายในร่างมันก็กลายเป็นปั่นป่วนขึ้นเรื่อยๆ
ซอลจีฮูบอกได้เลยว่าความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งกำลังอยู่ในสภาพปั่นป่วนขนาดไหน
[จริงด้วย ความสงบนิ่ง…!]
ในตอนนั้นเองควันดำก็ได้ลอยเข้ามาหาซอลจีฮู
เป็นโฟลน
[จริงด้วย ความสงบนิ่ง… เป็นความสงบนิ่งนี่เอง!]
“…โฟลน?”
ซอลจีฮูที่เห็นโฟลนมองสลับไปมาระหว่างยักษ์กับจี้ได้พึมพำออกมา ยังไงก็ตามโฟลนไม่ได้ฟังเขาเลย
[ท่านความสงบนิ่งผู้ยิ่งใหญ่!]
โฟลนได้ประสานมือภาวนา และมองขึ้นไปที่ยักษ์ด้วยสายตาท้อแท้
[หากท่านได้ยินเสียงข้าโปรดตอบกลับมาด้วย]
“กรร…”
ถึงรอชเชอร์จะไม่ได้รับใช้ท่าน แต่ท่านก็คงจะยังจำได้ว่าเรทิเฮ็นได้ย้ายสัญญาแห่งความสงบนิ่งมาให้กับเรา!]
‘สัญญาแห่งความสงบนิ่ง?’
เมื่อพยายามนึกย้อนไปว่าเขาเคยได้ยินประโยคนี้ที่ไหน ซอลจีฮูก็ต้องขมวดคิ้วขึ้น
[มันผ่านไปนานแล้ว แต่ว่าสัญญายังคบงอยู่! ลแะเมื่อไม่นานมานี้เจ้าของสัญญาได้มอบสิทธิ์ให้กับชายอีกคน!]
โฟลนได้ชี้มาที่ซอลจีฮู
[นั่นคือคนๆนี้!]
“กรรร…!”
[ปู่ข้าได้ยอมรับให้ชายคนนี้มีสิทธิ์เป็นเจ้าของคำสัญญา! เขาเป็นชายที่ท่านจะต้องรักษาสัญญา!]
โฟลนได้พูดต่อไม่หยุด แม้ว่าซอลจีฮูจะไม่รู้ว่าเธอกำลังพูดเรื่องอะไร แต่ผลของมันก็เห็นได้ชัดมาก
ทุกครั้งที่เธอพูดเรื่องสัญญา แสงก็จะสว่างยิ่งขึ้น จี้ของซอลจีฮูยังได้เริ่มเปล่งแสงเรืองรองออกมา
ยังไม่หมดเท่านั้น ยักษ์ยังได้ดึงแขนกลับไปก่อนเขาจะรู้ตัวอีกด้วย มันได้ยกแขนทั้งสองข้างกุมขมับอย่างช้าๆ
“กรรรรรรร!”
ทันใดนั้นเองมันก็ได้กรีดร้อง สะบัดร่างกายไปมาด้วยความเจ็บปวด
เมื่อเห็นแบบนี้ซอลจีฮูก็นึกได้ไปถึงในตอนที่เขาไปคฤหาสน์จักรพรรดิโบราณ
ที่นั่นเขาได้เจอกับปู่ของโฟลน แล้วก็…
[ความช่วยเหลือ… สร้อยคอ… สัตย์สาบาน… เปลี่ยนแปลง….]
[สัญญากับความสงบนิ่งแห่งอารมณ์ทั้งเจ็ด… หรือก็คือ… เทียบได้กับสัตย์สาบานราชวงศ์…]
‘หรือว่าจะเป็น…?’
ซอลจีฮูได้รีบหันไปมอง
“โฟลน สัญญานั่นหมายถึงอะไร?”
[มันคือสัญญาที่แต่ละตระกูลของจักรวรรดิทำกับเทพ จำที่รอชเชอร์รับใช้เทพธิดาแห่งความบริสุทธิ์ คาทิตัสได้ใช่ไหม?]
โฟลนได้อธิบายออกมาอย่างรวดเร็ว
“งั้นคำสัญญาคือพรชนิดหนึ่งงั้นเหรอ?”
[มันไม่ใช่แค่พรธรรมดานะ]
โฟลนส่ายหัวออกมา
[มันคือการอวยพร และสัตย์สาบานที่ราชวงศ์ได้รับเพื่อแลกกับการต้องอุทิศชีวิตรับใช้เทพ ตราบใดที่พวกเขายังคงภักดี ก็จะไม่มีเทพคนใดแหกกฎสัญญานี้ได้!]
โฟลนได้เงยหน้าขึ้นมองความสงบนิ่งอันบ้าคลั่ง
[เร็วเข้า! เสียงของฉันไม่มีผลกับเขา! ตอนนี้นายคือเจ้าของสัญญานะ…!]
ตอนนี้เองซอลจีฮูก็รู้ได้เองว่าต้องทำอะไร เขายังคงสงสัยอยู่ แต่ไว้ค่อยถามทีหลังก็ได้
‘สัญญาที่แม้กระทั่งเทพก็ทำลายไม่ได้…!’
ซอลจีฮูกำจี้เอาไว้ เขาได้มองขึ้นไปที่ความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งด้วยความมุ่งมั่น
“…เขากำลังทำอะไรอยู่?”
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวขมวดคิ้วขึ้น เธอได้เตรียมเวทีให้กับความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งเพื่อให้ปลดปล่อยพลังออกมาโดยไม่สนใจผลข้างเคียงแล้ว แต่ยังไงก็ตามแทนที่จะกำจัดทีมปฏิบัติการ มันกลับกำลังอารวาดใส่ตัวเอง
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวเดาะลิ้นขึ้น และรีบปรับแผน แม้ว่าเะอจะไม่อยากเข้าใกล้ความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งที่ปลดผนึกพลัง แต่ดูเหมือนจะมีบางอย่างเกิดขึ้น
“เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”
เธอได้เข้ามาใกล้ และตะโกนขึ้น แต่ว่าความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งก็ไม่ได้ตอบสนอง
“ข้าถามว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่! รีบ…?”
ในตอนนั้นเองความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลง
ความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งอยู่ในสภาพแปลกๆ แสงจากภายนอกหยุดนิ่งอย่างสงบ ความมืดในร่างก็นิ่งลง และค่อยๆลดลงอย่างรวดเร็วอีกด้วย มันแทบจะเหมือนกับว่าพลังกำลังถูกควบคุมอยู่
ความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งควบคุมพลังเทพได้?
นี่มันเป็นไปไม่ได้เลย
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้รีบหันไปจ้องที่ซอลจีฮู
“นั่นมัน…”
จี้ของเขาที่เรืองแสงอยู่ได้ทำให้เธอเกิดความสนใจในทันที ในตอนสู้กับเธอมันเป็นเพียงแค่จี้ธรรมดาเท่านั้นเอง
‘เดี๋ยวนะ’
ความเมตตาอันบิดเบี้ยวกระพริบตาขึ้น
นั่นไม่ใช่จี้ธรรมดา ตอนนี้เธอรู้สึกได้ถึงการเชื่อมโยงอันทรงพลังระหว่างจี้กับความสงบนิ่งอันบ้าคลั่ง มันเป็นกฎแห่งกรรมที่แม้กระทั่งเทพก็ไม่อาจต่อต้านได้
‘อย่าบอกนะว่า!’
เมื่อนึกได้ถึงเหตุผลที่ราชินีปรสิตไม่อาจจะออกจากบัลลังก์แห่งความเสื่อมโทรมได้ ความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็ครางเสียงต่ำ
นั่นไม่ใช่แค่ปัญหาเดียว ในตอนนี้ความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งได้สูญเสียเหตุผล และหลงเหลือไว้เพียงสัญชาตญาณเท่านั้น
เพราะงั้นแล้วหากศัตรูสามารถควบคุมสัญชาตญาณนี้ได้ด้วยจะเกิดอะไรขึ้น?
‘นี่ไม่ใช่เวลามาใช้แผนการอะไรแล้ว’
ถึงจะไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น แต่ความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็ได้ตัดสินสถานการณ์อย่างใจเย็น
จี้จะต้องถูกทำลาย
หากว่าเธอไม่ได้ทำลายมัน เธอคิดว่ามันจะต้องมีเรื่องเหนือจินตนาการเกิดขึ้นแน่
ยังไงก็ตามแค่เธอกำลังคิดจะเคลื่อนไหว เธอก็ต้องผงะไป
ความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งได้หยุดคำราม
“…”
มันได้หันหน้ามาจ้องที่ความเมตตาอันบิดเบี้ยวที่ลอยอยู่
ในเวลาเดียวกันความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารจากสายตานี้
ความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งได้อ้าปากกว้างขึ้น
มีลำแสงเจิดจ้าพุ่งออกมาจากปากของมัน
ดวงตาความเมตตาอันบิดเบี้ยวได้เบิกกว้างขึ้น
การโจมตีคาดไม่ถึงนี้พุ่งตรงเข้ามาโดยไร้ซึ่งสัญญาณเตือนใดๆ
วูมมมมม!
ในเสี้ยววินาทีลำแสงได้พุ่งผ่านอากาศมาจนถึงตัวความเมตตาอันบิดเบี้ยวแล้ว