The Second Coming of Gluttony - บทที่ 342 - โต้กลับ (2)
บทที่ 342 – โต้กลับ (2)
การโต้กลับได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
กองกำลังพันธมิตรมนุษยชาติกับสหพันธรัฐที่เสียเปรียบตั้งแต่เริ่มการโจมตี ในที่สุดก็พบเจอกับหนทางในการพลิกกระแสของสงคราม
สัญญาณแรกของการเปลี่ยนแปลงได้เริ่มต้นขึ้นที่ป้อมปราการไทกอล
-ฮ่าาห์…!
ความกรุณาอันน่ารังเกียจได้ส่งเสียงออกมาพร้อมโบกหนวดไปมา
สถานการณ์ได้กลายเป็นวุ่นวายอย่างกระทันหันจนทำให้เขาบอกไม่ได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่ยังไงก็ตามสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงนี้มันชัดมาก
ต้นไม้โลก การที่มันปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกระทันหันในเวลาสำคัญได้ทำให้เริ่องต่างๆแย่ลง
เมื่อร่างอวตารของต้นไม้โลกได้หยั่งรากลง ผืนดินรอบๆต้นไม้ก็กลายเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกอวยพร และได้รับการคุ้มครอง
เพราะเหตุผลนี้ทำให้ถึงแม้ความกรุณาอันน่ารังเกียจจะปลดผนึกพลังความเป็นเทพออกมาแล้วก็ยังถูกจำกัดพลังอยู่อย่างมาก นอกไปจากนี้ระยะเวลาการแสดงพลังของเขาก็ยังสั้นลงกว่าเดิมมากอีกด้วย
-บ้าเอ้ย!
ความกรุณาอันน่ารังเกียจที่แสดงอารมณ์ได้ยากได้เผยความโกรธออกมา
การคืนชีพของต้นไม้โลกได้เสริมพลังให้กับศัตรูอย่างมหาศาล
ในตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเสี่ยงสร้างทหารให้มากยิ่งขึ้น ต่อให้นั่นจะทำให้ระยะเวลาในการปลดผนึกพลังของเขาจะสั้นลงก็ตาม
-ตื่นขึ้น!
พลังงานที่เล็ดลอดออกมาจากชุดคลุมของเขาได้ทรงพลังยิ่งขึ้น
ความกรุณาอันน่ารังเกียจได้ปล่อยหนวดเข้าใส่ภูเขาซากศพที่กองกันอยู่บนหน้าผา
แต่สหพันธรัฐก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย
“ทุกคนประจำตำแหน่ง!”
แฟรี่ท้องฟ้าอาวุโสร้องออกมา
แฟรี่ท้องฟ้าที่กำลังแค้นหนักได้เริ่มเคลื่อนไหวในทันทีราวกับพวกเขากำลังรอคอยเวลานี้อยู่
พวกเขาส่วนใหญ่ได้บินข้ามกำแพงออกมา แต่บางคนก็วิ่งเข้าไปใกล้ๆกลางบันได และรีบหลบอยู่ภายในเครื่องยนต์ที่คนแคระเตรียมไว้
“เปิดได้!”
เสียงตะโกนของคนแคระขนลุกดังขึ้น
จากนั้นสิ่งที่น่าตกตะลึงก็เกิดขึ้น
คลื่นนนน!
ประตูช่องว่างแนวตั้งจากใต้หน้าผากที่เป็นที่ตั้งของป้อมปราการได้ถูกเปิดขึ้น
ช่องว่างนี้เปิดขึ้นเพียงเล็กน้อยเหมือนกับประตูที่ถูกแง้มเอาไว้
“เหล่าภูติผู้ปกครองผืนแผ่นดิน!”
แฟรี่ท้องฟ้าภายในป้อมปราการได้ยื่นแขนออกมาทางช่องว่าง
แทบจะทันทีนั้นเองได้มีบางอย่างรูปร่างคล้ายมนุษย์ผุดขึ้นจากพื้นดิน และหินเหมือนกับตัวตุ่น
ภูติดินได้ดันกำแพงป้อมปราการ และนั่นทำให้ช่องว่างเล็กๆเปิดกว้างขึ้นในทันที
“หนามพสุธา!”
ภูติดินอีกกลุ่มได้ผุดขึ้นจากช่องว่างเมื่อแฟรี่ท้องฟ้าร่ายเวทย์อีกครั้ง
ไม่นานนักภูติดินกลุ่มใหม่นี้ก็ได้กลายร่างเป็นหินแหลมคมทรงกรวยที่มีความยามตั้งแต่ 2 ถึง 30 เซ็นติเมตร
มันเป็นเหมือนกับสัตว์ร้ายที่อ้าปากกว้างเผยคมเขี้ยวออกมา
แฟรี่ท้องฟ้าทั้งหมดถอยกลับไป
ในเวลาเดียวกันภูติดินที่ดันกำแพงก่อนหน้านี้ได้ออกมาจากป้อมปราการ และเริ่มดันประตูไปในทิศทางตรงกันข้าม
ตูม! ทั้งหน้าผากำลังสั่น
ประตูได้บิดลงในทันทีที่มันเปิดจนสุด
และในระหว่างที่มันปิดตัวลง มันก็ได้ลากเอาซากศพที่กำลังพยายามเคลื่อนไหวหลังจากได้รับพลังลงไปด้วย
ซากศพที่กระจายอยู่ใกล้ป้อมปราการได้หายไปจนหมดแทบจะทันที
จากนั้นเสียงแปลกๆก็ได้ดังออกมาจากภายในหน้าผา
มันเป็นเสียงของร่างกายที่ถูกหนามแหลมทิ่มแทง และบดขยี้กับกำแพง
หนวดของความกรุณาอันน่ารังเกียจสั่นขึ้น
เขาจำเป็นต้องมีซากศพเพื่อสร้างโกเล็มโลหิต และกองทัพอันเดธ
หากว่าซากศพถูกบดขยี้จนไม่เหลือแม้แต่เลือดสักหยดมันก็จะไร้ค่า
ด้วยการคืนชีพของต้นไม้โลก และพลังของภูติจากแฟรี่ท้องฟ้าที่ฟื้นคืนกลับมาได้ทำให้ป้อมปราการไทกอลได้รับสถานะป้อมปราการไร้พ่ายกลับคืนมา
“ป้อมปราการ…!”
ความอดทนอันพุ่งพล่านอ้าปากค้าง
เถาวัลย์นับแสนได้พุ่งออกมาจากกำแพงป้อมปราการเหมือนกับน้ำตก และเริ่มทุบตีเหล่าโครงกระดูกที่ถูกมนุษย์สัตว์ และกองทหารราบต้อนจนมุม
“เจ้าพวกน่าขยะแขยง!”
ความอดทนอันพลุ่งพล่านได้ตะโกนออกมาด้วยความเป็นกังวล
เธอนึกย้อนไปถึงเมื่อก่อนตอนที่ผู้บัญชาการกองทัพทั้งห้าคนปลดผนึกพลังความเป็นเทพออกมาพร้อมกัน แต่ก็ยังไม่อาจพังป้อมปราการไร้พ่ายนี้ได้
แต่เธอก็ไม่ได้อยู่เฉย
ความอดทนอันพุ่งพล่านได้สูดหายใจเข้า และเตรียมการโจมตีทันที
ตอนแรกเธอคิดจะใช้คำสาป ‘เสียงโหยหวนแห่งราชินีวิญญาณ’ เพื่อลดทอนกำลังใจของศัตรู ซึ่งมันจะส่งผลกับศัตรูจำนวนมากในคราวเดียวได้
แต่ยังไงก็ตามเธอก็ต้องหยุดลง เมื่อเห็นปืนใหญ่โลหะนับสิบเรียงรายกันอยู่บนกำแพงป้อมปราการ
“เล็งยิง!”
เหล่าคนแคระได้แบกปืนใหญ่ขึ้นมาบนป้อมปราการทั้งๆที่เหงื่อซก เมื่อมาถึงจุดหมายแล้ว พวกเขาก็ได้รีบเติมอสนีบาตเข้าไปเป็นกระสุน
แฟรี่ท้องฟ้าร่ายเวทย์ออกมา
“กระสุนบีบอัดอากาศ!”
ที่ปลายกระบอกปืนได้มีอากาศถูกบีบอัดอย่างรวดเร็ว
คนแคระได้ยกปืนใหญ่ขึ้น และเล็งตรงไปยังเป้าหมายที่อยู่กลางอากาศ
“ยิง!”
ตูมม! ด้วยแรงดันทำให้หินสีฟ้าพุ่งออกไปจากปืนใหญ่ หินก้อนนี้แค่พลังของมันก็มากกว่าลูกธนูสองเท่าไปแล้ว แต่ยังไม่หมดเท่านั้น
“รวดเร็ว!”
ทันใดนั้นสายลมได้พักรุนแรง
สายลมนี้ได้พลักดันให้อสนีบาตพุ่งเร็วขึ้นอีก ในจุดๆนี้มันไม่อาจจะเอามาเปรียบกับลูกธนู หรือลูกกระสุนพื้นใหญ่ได้อีกต่อไป หลังจากได้ถูกเสริมความเร็วอย่างมหาศาลทำให้ก้อนหินสีน้ำเงินไปถึงเป้าหมายได้ในพริบตาเดียว
จากนั้นเมื่อการป้องกันจากภูติสายลมหายไปจากอสนีบาต มันก็ได้เริ่มเปล่งแสงสีน้ำเงินเจิดจ้าออกมาในทันทีที่สัมผัสกับอากาศ
ดวงตาของความอดทนอันพุ่งพล่านได้เบิกโพล่งขึ้น
พรึบ! ประกาศแสงสีน้ำเงินได้เข้าปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้า
“อึก!”
ความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงได้ปัดดาบใหญ่กับลูกธนูติดโซ่ออกไป และกัดฟันมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
เขาพยายามจะเรียกกองทัพอันเดธมา แต่มันไม่ง่ายเลย
ปรสิตที่รังได้ปล่อยออกมาพยายามที่จะเคลียร์เส้นทาง แต่ว่าทหารม้าของมนุษย์ กับเทวดาตกสวรรค์ได้ยืนขวางทางเอาไว้ นอกไปจากนี้แฟรี่ถ้ำกับราชาภูติก็ยังคอยโจมตีจากด้านข้างอีกด้วย
ด้วยการรวมพลังกันของศัตรูทำให้การเจาะเข้าไปเป็นไปไม่ได้เลย
ปรสิตกำลังเสียเปรียบอย่างชัดเจน
ยังไงก็ตามไม่นานนักความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงก็รู้ตัวว่านี่ไม่ใช่เวลามาห่วงคนอื่น
“อะไรกัน!?”
ฮี้! ม้าวิญยาณของเขาได้ตัวสั่น และร้องขึ้น
เสียงคำรามกึกก้องได้ดังขึ้นจากเบื้องบน และเบื้องล่างราวกับจะแยกผืนดิน และผืนฟ้า
มือที่สร้างขึ้นจากแสงได้พุ่งลงมาคว้าคอของความถ่อมตนอันน่าขยะแขยง และมือสีแดงชาดได้ยกขึ้นมาคว้าขาเขาเอาไว้จากผืนดิน
มือนั้นได้เริ่มออกแรงดึงความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงราวกับจะฉีกผู้บัญชาการกองทัพคนนี้ให้เป็นสองส่วน
“กรอดดด!”
ความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงได้พยายามจะสะบัดตัวออกไป แต่ก็ล้มเหลว พลังงานแสงสว่าง และความมืดที่สามารถกำราบราชาภูติทั้งห้าได้ ไม่ใส่สิ่งที่เขาจะหลบเลี่ยง
เขารู้สึกได้ถึงข้อต่อที่พังลง และกระดูกที่แตกร้าวจนต้องร้องออกมา
ผู้บริหารที่เห็นความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงเคลื่อนไหวไม่ได้ได้รีบพุ่งเข้าใส่ทันที
ทาเซียน่า ซินเซียที่กำลังหัวเราะอย่างหนักได้สั่งให้วัลคีรี่บุก และความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงก็ได้แต่กัดฟันทนรับการโจมตีอย่างหนัก
นับตั้งแต่ที่เขาเพิ่งฟื้นตัวจากผลข้างเคียงของการปลดผนึกพลังที่สงครามหุบเขาอาร์เดนก็ยังผ่านมาได้ไม่นาน แต่ในจุดนี้เขาก็หมดทางเลือกแล้ว
“บ้าเอ้ยยย!”
ในที่สุดเสียงเจิดจ้าก็ได้ระเบิดออกมาปกคลุมร่างความถ่อมตนอันน่าขยะแขยง
อัศวินแห่งความมืดในชุดเกราะสีดำสนิทตั้งแต่หัวจรดเท้าได้คำรามออกมาอย่างกราดเกรี้ยว
ในที่สุดความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงก็ปลดผนึกพลังออกมาอีกครั้ง
“แม้แต่เจ้าก็…”
ความบริสุทธิ์อันโสมมได้หันกลับมามองอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่านอกจากความกรุณาอันน่ารังเกียจแล้ว ความอดทนอันพุ่งพล่านกับความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงก็ยังปลดผนึกพลังออกมา
เมื่อคำนึงถึงผลข้างเคียงที่ต้องเจอ การพึ่งพลังความเป็นเทพนี้คือทางเลือกสุดท้ายที่ควรจะทำ
“สถานการณ์นี่มันแย่ขนาดไหนกัน?”
ความบริสุทธิ์อันโสมมได้รีบมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
ในตอนนี้ต้นไม้โลกได้คืนชีพแล้ว การอยู่ในป้อมปราการไทกอลต่อไปก็ไม่ต่างจากการฆ่าตัวตาย
เธอคิดที่จะถอยกลับไปประเมินสถานการณ์จากระยะไกล แต่จู่ๆกำแพงน้ำแข็งก็โผล่ขึ้นมาตรงหน้าเธอ
กำแพงได้พุ่งสูงขึ้นก่อนจะตีวงโค้งปิดด้านบนเอาไว้
ทันทีที่เห็นกำแพงน้ำแข็งพุ่งเข้ามาเหมือนสึนามิ ความบริสุทธิ์อันโสมมก็นิ่งไป
“━━. ━━━━. ━━. ━━━━.”
อึนยูริ ไม่สิ โรเซร่ากำลังร้องเพลงพร้อมโบกแขนไปมาอย่างงดงาม สีหน้าของเธอเหมือนกับจะถามว่า ‘เธอคิดว่าจะไปไหนกัน?’
ความบริสุทธิ์อันโสมมกัดฟันแน่น
“…เจ้าอยากจะทดสอบข้าจริงๆงั้นเหรอ?”
เธอได้ส่งเสียงครู่ และในเวลาเดียวกันแสงสีขาวก็ปกคลุมร่างเธอ
การปลดผนึกพลังของความบริสุทธิ์อันโสมมไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรอย่างความสงบนิ่งอันบ้าคลั่ง มันสงบเหมือนกับความเมตตาอันบิดเบี้ยว แต่ว่าเธอก็ไม่ได้ขยายขนาดขึ้น
กลับกันเสื้อผ้าแวววาวโปร่งใสได้เข้าปกคลุมร่างของเธอ และขนสีขาวก็ปกคลุมปีกค้างคาว พร้อมทั้งเปลี่ยนสีผมสีม่วงของเธอเป็นสีขาว และทำให้มันยาวจนเกือบแตะพื้น
[เหมือนการแปลงร่างของสาวน้อยเวทมนต์เลยนะ? ยูริ นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?]
โรเซร่าได้ถามขึ้นอย่างสงสัยพร้อมหันมองศัตรู
ด้วยผมสีเงินเปล่งประกาย เสื้อผ้าอันพลิวไหว และปีกสีขาวได้ทำให้ความบริสุทธิ์อันโสมมดูเหมือนกับเทพธิดาอันสง่างาม
การเปลี่ยนแปลงนี้ได้ทำให้ความรู้สึกขัดแย้งจากตัวเธอเพิ่มสูงยิ่งขึ้นไปอีก รูปลักษณ์ภายนอกของเธอช่างขัดกับดวงตาสีแดงก่ำที่เต็มไปด้วยความต่ำช้าอย่างสิ้นเชิง
-…คราวนี้จะอะไรอีกล่ะ โลกเยือกแข็งงั้นเหรอ?
มุมปากของความบริสุทธิ์อันโสมมได้โค้งขึ้น
‘ไร้สาระ’ เธอแค่นเสียงออกมา
-ก็ได้ ถ้างั้นข้าก็จะขอเล่นด้วย โลกแผดเผา!
ดวงตาความบริสุทธิ์อันโสมมได้เบิกกว้าง และยืดแขนออกมาด้านหน้า
วูบบบ! เสื้อผ้าของเธอได้ปลิวไปมาเมื่อเธอได้กลายเป็นเปลวเพลิงพุ่งใส่ศัตรู
ในเวลาเดียวกันโรเซร่าก็ร่ายเวทย์เสร็จ และกางมือออก
-โลกเยือกแข็ง!
เวทย์เรียกพายุน้ำแข็งขนาดยักษ์ เปลวเพลิงที่พุ่งเข้ามาเหมือนลำแสงได้เข้าปกคลุมพายุน้ำแข็ง
ซ่าาาาห์!
ไอน้ำจำนวนมหาศาลได้ปรากฏขึ้นจากการที่พลังงานทั้งสองปะทะกัน
ภายในป้อมปราการได้เต็มไปด้วยหมอกไอน้ำ
พลังงานทั้งสองได้ปะทะกันไปมาอยู่สักพัก ก่อนที่ในที่สุดเปลวเพลิงจะทะลวงผ่านพายุไปได้
เพลิงได้พุ่งผ่านท้องฟ้าไปอย่างรวดเร็ว และโรเซร่าก็ยกระดับความสูงของไม้กวาดขึ้นอย่างรวดเร็ว
-ฮ่าฮ่า!
ความบริสุทธิ์อันโสมมเอียงหัวขึ้นมา
เป็นอย่างที่เธอคิดไว้ โรเซร่าจะต้องพุ่งเข้าไปในอีกมิติหนึ่ง แต่ว่าเธอก็ยังไม่อาจจะเทียบกับผู้บัญชาการกองทัพที่ปลดผนึกพลังได้
[โอ้ย โอ้ย…]
โรเซร่ายิ้มออกมาพร้อมสะบัดมือที่แสบขึ้นจากความร้อน
[เข้าใจแล้ว เธอก็ซ่อนพลังไว้นี่นา]
-ก็ถูก เจ้าควรที่จะหดหัวอยู่ในมิติเจ้าต่อไปนะ
[ฉันล่ะชอบความมั่นใจของเธอจริงๆ แต่ว่าดูจากความผันผวนของพลังแล้ว เธอคงจะยังควบคุมมันได้ไม่ดี แน่ใจนะว่าเธอจะควบคุมมันไว้ได้จนพอที่จะเอาชนะฉันน่ะ?]
-ฮ่าห์ ไม่ต้องห่วงหรอกนะ
ความบริสุทธิ์อันโสมมได้ขู่ขึ้น
-ต้นไม้โลกอาจจะอยู่ใกล้ แต่มันไม่อาจจะหยุดข้าจากการจัดการเจ้า และจากไปได้
เมื่อเธอพูดจบ ผมสีเงินของเธอก็ได้สยายออกเหมือนกับหางนกยูง ผมแต่ละเส้นได้ยืดยาวพุ่งเข้าใส่โรเซร่าเหมือนเป็นแส้
แม่มดไม่ว่าจะยอดเยี่ยมมากแค่ไหน แต่หากว่าไม่มีเวลาได้ร่ายเวทย์ เธอก็ไม่ได้ต่างไปจากคนธรรมดาเลย อย่างดีที่สุดเธอก็ทำได้เพียงขี่ไม้กวาดคอยหลบการโจมตี หากว่าเธอทำพลาดแม้แต่นิดเดียว เธอก็จะถูกเส้นผมของความบริสุทธิ์อันโสมมแทงจนตาย
-อารัมภบทงั้นหรอ? เอาแค่ร้องเพลงก็พอแล้ว และก็นะทำไมเจ้าไม่ลองเต้นแบบโสเภณีสักหน่อยล่ะ?
ความบริสุทธิ์อันโสมมที่มั่นใจในชัยชนะได้ยิ้มเยาะออกมา แต่ไม่นานนักเธอก็ต้องขมวดคิ้ว
[เธอสิโสเภณี ยัยสารเลว]
โรเซร่าได้แค่นเสียงอย่างโกรธเคือง แทนที่จะหนีไปตามที่ความบริสุทธิ์อันโสมมคิดไว้
[โสเภณีที่เอาแต่นอนกลิ้งตัวในซ่องกล้าดียังไงมาพูดแบบนี้กับฉัน? อ่อ เธอลืมอะไรไปหรือเปล่านะ?]
น้ำเสียงเหยียดหยามได้ดังออกมา โรเซร่ายิ้มเยาะ และพยักไหล่
[ที่นี่ไม่ได้มีแค่เธอกับฉันนะ]
-ถ้าเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องต้นไม้โลก…
ความบริสุทธิ์อันโสมมได้ชะงักไปกลางคัน
นกยักษ์ได้พุ่งทะลวงหมอกมาอยู่ตรงหน้าโรเซร่าอย่างกระทันหัน
รอบตัวนกยักษ์ได้เต็มไปด้วยเพลิงสีแดงสดเหมือนกับเป็นนกฟินิกซ์ ซึ่งมันได้เข้ามาป้องกันการโจมตีของความบริสุทธิ์อันโสมมไว้
-…นกฟินิกซ์
‘ไม่น่า มันคือภูติอาร์คัส!’
ความบริสุทธิ์อันโสมมที่ตกตะลึงได้รีบมองตรงไปข้างหน้า
ประกายสายฟ้าสีทองได้ปรากฏขึ้น
เธอยังเห็นเงาอีกสามสี่เงาอยู่ภายในหมอกควัน
ก่อนที่เธอจะได้ทันรู้ตัวชายหนุ่มในชุดคลุมขาดๆ กับหญิงสาวในชุดคลุมสีขาวได้วิ่งฝ่าหมอกเข้ามาแล้ว
-อ่า!
ลมหายใจความบริสุทธิ์อันโสมมได้ชะงักไป
เธอจำทั้งสองคนได้
เธอจะไปลืมได้ยังไงกัน?
คนหนึ่งคือจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ และ…
-จะ… เจ้า!
อีกคนคือปีศาจผู้ใช้หอกที่ทำให้เธอต้องอับอายในระหว่างสงครามหุบเขา
แต่พวกเขาไม่ใช่เพียงปัญหาเดียว
แสงสว่างกำลังสาดส่องลงมาจากท้องฟ้าเหมือนเป็นอุกาบาต และยังมีวงเวทย์นับสิบด้านบนเปล่งแสงออกมาอีกด้วย
ดวงดาวแห่งราคะกับดวงดาวแห่งความโลภ ผู้บริหารอีกสองคน
-ระ ราชินี…!
ความบริสุทธิ์อันโสมมได้แต่พึมพำอย่างสิ้นหวังเหมือนเด็กที่ร้องเรียกหาแม่
***
ราชินีปรสิตได้มองลงไปที่สนามรบ
หลังจากต่อสู้อยู่นาน สงครามก็กลายเป็นยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว
แต่แน่นอนว่าสถานการณ์ไม่ได้เอื้ออำนวยกับปรสิตเลย
แค่สีสันของสนามรบในตอนนี้เธอก็บอกได้แล้ว
ไม่นานก่อนหน้านี้สนามรบได้เต็มไปด้วยสีเทา แต่นับตั้งแต่ต้นไม้โลกปรากฏตัวสีสันสว่างเจิดจ้าก็ได้เริ่มปรากฏขึ้น
สีสันจากสหพันธรัฐกับมนุษยชาติได้เริ่มเติบโตขึ้นกดดันสีเทากลับคืนไป
ดวงตาของราชินีปรสิตได้สั่นไหวเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่าปรสิตกำลังแพ้
เธอไม่มีปัญหากับความลำบาก แต่ว่านี่คือความพ่ายแพ้จริงๆ เธอไม่คุ้นเคยกับอะไรแบบนี้เลย
แต่จากนั้นเมื่อเธอนึกย้อนไปในอดีต การยึดป้อมปราการไทกอลเป็นสิ่งที่ปรสิตเกือบจะทำสำเร็จแล้วหลังจากที่ต้นไม้โลกอ่อนแอลง และให้ผู้บัญชาการกองทัพทั้งห้าปลดผนึกพลัง รวมเข้ากับให้รังนับร้อยลุมโจมตีป้อมปราการ
ในตอนนี้สหพันธรัฐแกร่งขึ้นกว่าเมื่อก่อน และป้อมปราการไทกอลก็ทนทานกว่าในอดีต ยิ่งกว่านั้นยังมีมนุษยชาติเข้ามาช่วยอีกด้วย
บางทีนี่หากให้ผู้บัญชาการกองทัพสี่คนปลดผนึกพลังออกมาก็อาจจะพ่ายแพ้ได้เช่นกัน
ปัญหาที่ใหญ่สุดเลยคือต้นไม้โลก
ต้นไม้เทพนี่เต็มไปด้วยพลังที่คอยกระตุ้นตัวเองอย่างต่อเนื่องซึ่งต่างจากผู้บัญชาการกองทัพที่มีเพียงพลังอันขัดแย้งในตัวเอง
ต้นไม้โลกกำลังสั่นคลอนความเป็นเทพของผู้บัญชาการกองทัพ และค่อยๆทำลายองค์ประกอบพลังจากภายใน
นี่คือเหตุผลที่ทำให้ความเป็นเทพของผู้บัญชาการกองทัพอ่อนแอลงในสภาพปิดผนึก และระยะเวลาสั้นลงในสภาพปลดผนึกพลัง
เท่านั้นยังไม่พอ ราชินีปรสิตยังเพิ่งได้รับข่าวร้ายมาอีกหนึ่งแย่าง
ดูเหมือนว่าในที่สุดมนุษยชาติจะเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
พวกเขาได้รีบลงมาจากเทือกเขา และเข้าโจมตีรังที่กำลังให้กำเนิดสายพันธุ์ปรสิตอยู่
ด้วยความไร้ยางอายของมนุษย์เหล่านี้ได้ทำให้การโจมตีนี้มีประสิทธิภาพมาก
ในสถานการณ์ที่ผู้บัญชาการกองทัพทุกคนอยู่ในอันตรายนี่ หากว่ายังสูญเสียรังไปอีกก็จะต้องทำให้อนาคตของปรสิตมืดแปดด้าน
[…ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า]
มีคำกล่าวไว้ว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับผลลัพธ์
การเอาแต่จมกับอดีตอันรุ่งโรจน์มันไร้ความหมาย
เธอไม่เคยคิดเลยว่าการตัดสินใจส่งผู้บัญชาการกองทัพเข้าไปในสนามรบจะส่งผลกระทบเช่นนี้
แม้ว่าพวกเขาจะยังพอทนได้อยู่ แต่ก็มีเวลาจำกัดอยู่ดี
หากว่าเวลาปลดผนึกพลังหมดลงจะเกิดอะไรขึ้น
ราชินีปรสิตที่จินตนาการถึงกรณีที่เลวร้ายที่สุดได้หลับตาลง และคร่ำครวญออกมา
เพียงแค่หากเธอเรียกตัวความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งมา หรือส่งความเมตตาอันบิดเบี้ยวไปเพียงลำพัง หากเพียงเธอมีผู้บัญชาการกองทัพที่เจ็ดที่ทำหน้าที่ได้เป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับผู้บัญชาการกองทัพคนอื่นๆ หากเพียงเธอไม่ได้มอบคำสั่งอย่างก่อนหน้านี้ออกไป…1
ความคิดมากมายได้เข้ามาในหัวของเธอ แต่ราชินีปรสิตก็รีบสลัดมันออกไป
ในจุดนี้ถึงจะระบุถึงจุดผิดพลาดไปมันก็ไร้ความหมายแล้ว
ในตอนนี้มันถึงเวลาที่เธอต้องตัดสินใจ
มันถึงเวลาที่เธอจะหงายการ์ดในมือ
[…]
แต่การหงายไพ่ในมือออกไปก็เท่ากับเป็นการบอกศัตรูว่าเธอมีอะไรอยู่บ้าง ความลับที่เธอเก็บซ่อนไว้ใช้ในเวลาสำคัญจะถูกเผยออกไป
แต่ว่าในตอนนี้เธอไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว การใช้มันก็ยังดีกว่าการต้องเสี่ยงสูญเสียทุกอย่างไป
เรื่องแบบนี้มันช่างทำให้เธอรู้สึกขมขื่น ไม่สิ ช่างเจ็บปวดใจ
ราชินีปรสิตที่ตัดสินใจได้แล้วได้หันไปมองด้านข้าง
ตรงนั้นมีชายหนุ่มกำลังนั่งมองดูสนามรบอย่างไม่ใส่ใจอยู่บนเนินพร้อมคาบเศษใบไม้อยู่
ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นฮีโร่ที่มีผลงานอันยิ่งใหญ่กับมนุษยชาติ แต่ว่าในตอนนี้เขาคือคนทรยศของมนุษยชาติ
ถึงแม้ว่าเขาจะยังควบคุมพลังไม่ได้ แต่เขาก็เป็นอีกคนหนึ่งนอกจากความเมตตาอันบิดเบี้ยว ที่ดูดซับพลังความเป็นเทพได้จนหมด และเป็นเพียงกลุ่มดาวเดียวที่เทียบได้กับ ‘ดวงดาวที่หวนคืน’
ราชินีปรสิตได้พูดขึ้นเบาๆ
[ซึงชิฮยอน]