The Second Coming of Gluttony - บทที่ 348 - สิ้นสุดสงคราม (2)
บทที่ 348 – สิ้นสุดสงคราม (2)
ด้วยการปรากฏตัว และหลบหนีไปของราชินีปรสิตได้ทำให้ศัตรูถอยทัพไปจากป้อมปราการไทกอลจนหมด
ยังไงก็ตามสงครามยังไม่จบ
สิ่งที่สำคัญคือการรับมือกับสิ่งต่างๆ หลังทำสงคราม
บรรยากาศอันคึกคักได้ลดลงอย่างรวดเร็ว
การเฉลิมฉลองเมื่อครู่นี้เป็นเพราะนี่เป็นชัยชนะครั้งใหญ่ที่คาดไม่ถึงนับตั้งแต่ที่พาราไดซ์ถูกบุกโจมตี และยังถึงขนาดทำให้ตัวราชินีต้องหลบหนีกลับไปอีกด้วย
ยังไงก็ตามตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาเหมาะสำหรับเรื่องแบบนั้น ถึงแม้ว่าศัตรูจะเสียกองกำลังไปอย่างมหาศาลแล้วก็ตาม แต่สหพันธรัฐกับมนุษยชาติก็ได้รับความเสียหายไปด้วยเช่นเดียวกัน
ป้อมปราการไทกอลกำลังเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
กองกำลังพันธมิตรได้เข้ามาดูแลผู้บาดเจ็บเป็นอย่างแรก
เหล่าคนที่ยังเคลื่อนไหวได้อยู่ไดด้เข้ามาช่วย สถานพยาบาลฉุกเฉินได้ถูกจัดตั้งขึ้นภายในป้อมปราการเพื่อรักษาคนเจ็บ และกองกำลังพันธมิตรก็รีบทำการเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว
ในระหว่างเวลานี้มันไม่มีการแบ่งแยกเผ่าพันธุ์หรือฝ่ายใดๆอีกแล้ว มนุษย์สัตว์ได้ช่วยเหลือมนุษย์ และชาวโลกที่เป็นนักบวชก็ช่วยรักษาให้มนุษย์สัตว์เช่นกัน หากเป็นเมื่อก่อนนี้ก็คือภาพที่ไม่เคยมีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น
เมื่อทำการเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บเข้าไปในป้อมปราการจนหมดแล้ว กองกำลังพันธมิตรก็ได้เก็บศพผู้เสียชีวิต และเก็บกวาดสนามรบ ค่ำคืนได้ผ่านพ้นไปเช่นนี้ และรุ่งเช้าของวันถัดมาก็มาถึง
“ให้ตายสิ ก็สงสัยอยู่วาเธออยู่ไหน ทำไมเธอถึงยังนอนอยู่กลางป้อมปราการอยู่อีก”
ฟีโซราได้บ่นขึ้นหลังจากที่โยนโฮชิโนะ อุราระทิ้งไว้ในสถานพยาบาลฉุกเฉินแล้ว
โชฮงที่กำลังพักจากความเหนื่อยล้าอยู่นอกเต็นท์ได้จ้องฟีโซรา
“ฉันกำลังพูดถึงเธออยู่ ยัยบ้านั่น”
ฟีโซราบ่นออกมาเบาๆ
โชฮงก็พยักหน้าหน้าพร้อมคิดกับตัวเอง
จากนั้นเธอก็ยิ้มออกมา
“ไม่ใช่ว่าหลังจากสบตากับความบริสุทธิ์อันโสมม เธอก็ตกหลุมรักยัยนั่นหรอกหรอ?”
“ก็ไม่รู้สิ ความทรงจำมันพร่ามัวไปหมด… จริงสิ ตัวแทนเราไปอยู่ไหนแล้วล่ะ?”
โชฮงได้ชี้ไปทางเต็นท์ตรงหน้าเธอทันที
ซอลจีฮูได้ถูกพบตัวในสภาพหมดสติอยู่ที่สนามรบ และถูกพาตัวไปที่สถานพยาบาลฉุกเฉินก่อนจะถูกย้ายตัวมาที่เต็นท์ของวัลฮาลาในเวลาต่อมา เขาไม่ได้อยู่ในสภาพร้ายแรงอะไร เพียงแค่เขาเหนื่อยล้ามากเกินไปเท่านั้นเอง
เหตุผลที่เขาทนได้จนจบสงครามนั่นก็เพราะต้นไม้โลกได้ช่วยฟื้นฟูพลังกายให้กับทีมปฏิบัติการก่อนที่จะย้ายพวกเขามาที่มิดเดิลเวิลด์
“ฮ่า”
ฟีโซราแค่นเสียงออกมาหลังจากเหลือบมองไปในเต็นท์
ซอลจีฮูได้นอนหลับสนิทโดยให้แขนซ้ายของตัวเองเป็นหมอนข้างกับเทเรซ่า และแขนขวาเป็นหมอนข้างกับชาล็อตอาเรีย พูดไปแล้วซอลจีฮูกำลังมีดอกไม้งามอยู่ในมือโดยที่หนึ่งเป็นเจ้าหญิง และอีกหนึ่งคือราชินี
หลังจากจ้องอยู่นานฟีโซราก็ดึงผ้าห่มที่ถูกเตะออกมาคลุมตัวเขาไป จากนั้นก็หันกลับออกมาเงียบๆ
“ระหว่างคนอื่นกำลังทำงานกันอยู่ พวกเขาคงจะหลับสบายกันแน่ๆ…”
ถึงเธอจะบ่น แต่ภายในใจเธอไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเลย จริงๆแล้วเธอกระทั่งรู้สึกสงสารที่เห็นเขาล้มลงไปหลับในทันทีที่สงครามจบด้วยซ้ำไป
‘เขาคงจะกดดันตัวเองอย่างหนัก…’
ในสงครามพวกเขาทั้งสองคนอยู่ในตำแหน่งที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ฟีโซราเป็นเพียงสมาชิกคนหนึ่ง ในขณะที่ซอลจีฮูคือตัวแทนของกิลด์ เธอเพียงแค่ต้องทำคำสั่ง แต่ซอลจีฮูจะต้องเป็นคนวางแผน และดำเนินแผนทั้งหมด
มองย้อนกลับไปแล้วสงครามครั้งนี้ได้เต็มไปด้วยอันตรายอย่างมหาศาบล แม้กระทั่งฟีโซราก็ยังรู้สึกสิ้นหวังอยู่หลายครั้งในการต่อสู้ ดังนั้นแล้วในฐานะผู้วางแผนการทั้งหมดอย่างซอลจีฮู เธอจึงไม่เข้าใจเลยว่าเขาจะแบกรับภาระไว้บนบ่าหนักขนาดไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่เกิดการพลิกผันที่คาดไม่ถึงอยู่หหลายครั้ง
นี่คือสิ่งที่ยิ่งทำให้เธอรู้สึกผิด
“อ่า เหนื่อยเป็นบ้า แต่กลับนอนไม่ได้…”
ฟีโซราเกาหัวอย่างหงุดหงิดก่อนจะทิ้งตัวลงข้างโชฮง หลังจากเงียบอยู่สักพักเธอก็พูดขึ้นราวกับคิดอะไรอยู่
“แล้วตอนนี้พี่สาวกับอึนยูริกำลังทำอะไรอยู่งั้นเหรอ? ทั้งคู่หายไปสองสามชั่วโมงแล้วใช่ไหม?”
“ก่อนหน้านี้คาซุกิได้ติดต่อเข้ามา”
“โอ้งั้นเหรอ? เขาว่ายังไงล่ะ?”
“ตอนนี้อึนยูริรอดชีวิตรอด สำหรับพี่สาวราคะก็…”
โชฮงถอนหายใจออกมากลางคัน
“พวกเขากำลังเร่งเดินทางไปอีวาอยู่ เพราะงั้นเราคงต้องรอดู”
ฟีโซราถอนหายใจ และก้มหน้าลง
“ฉันไม่รู้เลยว่าเราควรจะบอกตัวแทนดีไหม”
“อย่าเลย”
“?”
“เดี๋ยวเขาก็คงจะรู้เองแหละ ตอนนี้ปล่อยให้เขาพักไปก่อน ก่อนที่สงครามจะเริ่ม เขาวิ่งวุ่นจนไม่ได้พักมาตลอดเลย…”
เสียงโชฮงได้ค่อยๆ เบาลงไป
ฟีโซราก็หันมามองเธอด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป เธอคิดว่าโชฮงเป็นสาวห้าวๆ แต่ดูเหมือนเธอจะใช้หัวคิดมากกว่าที่ฟีโซราเคยคิดเอาไว้
“แล้วเธอล่ะ? โอเคดีนะ?”
“ฉันเหรอ? ทำไมล่ะ?”
“เธอทำสีหน้าสับสนมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ เธอรู้ตัวไหมว่าบุหรี่เธอไหม้ไปหมดแล้วน่ะ?”
โชฮงได้ก้มหน้าลง บุหรี่ที่เธอคาบอยู่นั้นไหม้จนหมดก่อนเธอจะรู้ตัวซะอีก จากนั้นเองเธอก็หยิบเอาบุหรี่ออก และหัวเราะออกมา
“มันก็แค่…”
“ว่าไงล่ะ?”
“…ไม่รู้สิ ฉันรู้สึกสับสนอย่างที่เธอพูดนั่นแหละ”
โชฮงแสยะยิ้มเลียริมฝีปากออกมา
“บางทีควรจะบอกว่าฉันยังไม่อยากจะเชื่อมากกว่า”
เมื่อเธอได้เสริมว่า ‘ฉันรอดในสงครามนี้’ ฟีโซราก็พยักหน้าพร้อมมองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
“ฉันไม่โทษเธอหรอกนะ นี่เป็นสงครามที่บ้ามาก โดยเฉพาะในตอนท้ายที่ราชินีปรสิตปรากฏตัวออกมา…”
ฟีโซรายังคงขนลุกเมื่อนึกย้อนกลับไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน
โชฮงก็ยังหน้าซีดลงไป
“มะ มันจบแล้วใช่ไหม?”
“ไม่รู้สิ… พูดตามตรง หากว่าพวกจู่ๆ พวกมันกระโดดข้ามกำแพงมา ฉันก็คงไม่ตกใจเลย…”
“อย่าพูดอะไรแบบนั้นสิ”
โชฮงพยักไหล่ออกมา ฟีโซราได้ทิ้งตัวลงด้านข้างอย่างอ่อนแรง จากนั้นก็หัวเราะแห้งๆออกมา
“ถึงยังไงถ้าพวกมันจะมา พวกมันก็มากันไปนานแล้ว แต่พูดตามตรงฉันไม่คิดแบบนั้นหรอกนะ”
“ใช่ไหมล่ะ? ก็พวกมันวิ่งหนีหางจุกตูตเลยนี่นา”
“ฉันก็ได้ยินมาแบบนั้นเหมือนกัน ถ้าพวกมันจะกลับไปรวมกลุ่มเพื่อโจมตีใหม่ พวกมันก็คงไม่น่าจะทิ้งพวกแม่พันธุ์ไว้แน่”
“กูถูกแหละ ถ้างั้นฉันก็คงจะนอนหลับได้สักที ขอให้หมดเท่านี้เถอะนะ”
โชฮงหัวเราะเบาๆ พร้อมหยิบเอาบุหรี่ออกมาอีกมวน
ฟีโซราก็ยังลุกขึ้น และเดินไปที่เต็นท์ เธอเดินเข้าไปพร้อมคิดว่า ‘เขามีผู้หญิงสองคนเกาะติดอยู่แล้ว เขาคงจะไม่มายุ่งกับฉันสินะ?’
แต่แล้วเมื่อเธอมองไปในเต็นท์ เธอก็ต้องเบิกตากว้าง
ไม่มีใครอยู่ระหว่างราชินีกับเจ้าหญิงอีกแล้ว
“…เวร”
ซอลจีฮูหายตัวไป
ทันใดนั้นสายลมเย็นยามค่ำคืนก็พัดเข้ามา มีบางอย่างถูกพัดเข้ามาสัมผัสเท้าของฟีโซราที่ยืนนิ่งเหมือนรูปปั้น
เมื่อมองลงไป เธอก็ต้องตาเป็นประกายขึ้น
“นี่มัน… ใบไม้?”
สายลมได้พัดมาอีกครั้ง ฟีโซราได้เงยหน้าขึ้นหลังจากที่หยิบใบไม้ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ส่วนหนึ่งของเต็นท์ขาดจนพอที่จะแบกคนที่นอนอยู่ออกไปได้
ฟีโซราได้คลานออกไปจากรูนั้นเพื่อยันยันมัน และก็ต้องขมวดคิ้วขึ้น มีร่องรอยการลากคนออกไปบนพื้นอยู่จริงด้วย
ต้องมีใครสักคนเข้ามาพาตัวซอลจีฮูออกไปในระหว่างที่เธอกำลังคุยกับจองโชฮง
แต่ใครกันล่ะ? แล้วทำเพื่ออะไร?
เมื่อกลืนคำถามที่โผล่ขึ้นมาลงไปแล้ว ฟีโซราก็ได้ตามรอยไปจนกระทั่งสายตาไปหยุดลงที่ใจกลางป้อมปราการที่มีต้นไม้โลกตั้งอยู่
จากนั้นเธอก็พร้อมสลับไปมาระหว่างต้นไม้โบกกับใบไม้ในมือเธอ
“…หืม?”
และเธอก็ต้องเบิกตากว้าง
ดูเหมือนเธอจะรู้อะไรบ้างแล้ว
***
แสงแดดยามเช้าได้สาดส่องลงบนใบหน้าของเขา
ซอลจีฮูได้พลิกตัว และหันหน้าหนีโดยไม่คิดจะเปิดตามอง
แม้ว่าเขาจะได้สติขึ้นมาแล้ว แต่เขาก็ยังไม่อยากจะตื่นขึ้น
เขาอยากที่จะเพลิดเพลินไปกับสายลมสดชื่น และความอบอุ่นสบายที่โอบกอดเขาให้นานกว่านี้อีกหน่อย
นอกเหนือไปจากความรู้สึกจั๊กจี้ที่แก้มแล้ว ทุกๆอย่างช่างสุขสบาย และผ่อนคลาย
‘มีใครกำลังเลียฉันอยู่งั้นเหรอ?’
ซอลจีฮูที่กำลังบ่นในใจได้ขมวดคิ้วขึ้นอย่างกระทันหัน
‘เดี๋ยวนะ ลมนั่น?’
ลมได้พัดโชยมาอีกครั้งหนึ่ง
ซอลจีฮูที่รู้สึกเย็นแผ่นหลังได้ลืมตาขึ้นมา
เขาเห็นใบหน้า และกิ่งไม้กำลังบดบังแสงจากดวงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาจากท้องฟ้าอยู่
“นี่คือ…”
ในตอนนี้เองซอลจีฮูถึงรู้ตัวว่าเขาไม่ได้อยู่ในเต็นท์
กิ่งก้าน และใบไม้ถูกสานเข้าด้วยกันเหมือนตาข่ายเป็นเตียงให้เขานอน
หรือก็คือเขากำลังนอนหลับอยู่บนอ้อมกอดของต้นไม้โลก
นี่มันยากจะเชื่อว่าเขาจะเดินละเมอขึ้นมาต้นไม้ใหญ่ขนาดนี้ และมันก็ยิ่งดูไม่น่าจะมีใครบ้าถึงขนาดให้เขามานอนอยู่บนนี้อีกด้วย
“นายพาฉันมานี่เหรอ?”
แน่นอนว่าต้นไม้โลกไม่ได้ตอบกลับ มันเพียงแค่ขยับกิ่งก้านให้กอดเขาแน่นขึ้นเท่านั้น
จั๊กจี้ ในเวลาเดียวกันใบไม้ก็ยังคงจั๊กจี้แก้มเขาต่อไป
ไม่นานนักต้นไม้โลกก็ยกซอลจีฮูที่กำลังสงสัยขึ้นสูงจนเขามองเห็นภายนอกได้
“อ่า!”
ซอลจีฮูอุทานออกมา เมื่อมองลงไปจากจุดที่สูงที่สุดแล้วได้ทำให้เขาเห็นภาพที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
เบื้องหน้าเขาเป็นภาพที่งดงามมาก มันมากจนเขาสงสัยว่ามันใช่สถานที่เดียวกันกับสนามรบอันโหดร้ายเมื่อคืนหรือเปล่า
“อยากจะให้ฉันเห็นสินะ?”
ต้นไม้โลกส่ายออกมา ถึงเขาอาจจะเข้าใจผิดไปเอง แต่มันเหมือนกับต้นไม้โลกกำลังหัวเราะอย่างสดใส
ต้นไม้โลกคงอยากจะให้เขาเห็นภาพนี้
ซอลจีฮูก็ยังหัวเราะออกมา จากนั้นหลังจากมองไปรอบๆ อยู่สักพัก เขาก็เห็นบางอย่าง และอุทานออกมา
เขาเห็นจุดเล็กๆ สองจุดกำลังมองมาที่เขาจากใต้ต้นไม้โลก แม้ว่าจะมีระยะห่างระหว่างพวกเขาเยอะมา แต่ด้วยสายตาที่ได้รับการบำรุงอย่างดีจากนกฟินิกซ์วายุทองคำได้ทำให้ซอลจีฮูมองเห็นทั้งคู่อย่างชัดเจน
นั่นคือสองพี่น้องมนุษย์จิ้งจอกเฮเรียวกับเฮย่า
“พาฉันลงไปหน่อยสิ”
ซอลจีฮูได้ค่อยๆ ถูกพาตัวลงไปอย่างช้าๆ
“ว้าว!”
สองพี่น้องได้ส่งเสียงออกมาอย่างร่าเริงในทันทีที่เขาลงถึงพื้น
“ไม่เจอกันนานเลยนะ”
พวกเธอหัวเราะอย่างสดใสเมื่อซอลจีฮูเข้ามาทักทายพวกเธอ
“พวกเธอกำลังมีความสุขเรื่องอะไรกันเหรอ?”
“พวกเราชนะ! เมื่อวานนี้พวกเราชนะ!”
“โอ้ นั่นสินะ ใช่แล้วล่ะ ราชินีปรสิตหนีไปได้”
“อื้อๆ! หนูเห็นแล้วๆ”
“เห็นไหมล่ะ อย่างที่ฉันบอกไปไง ปรสิตน่ะก็ไม่เท่าไหร่หรอกน่า”
ซอลจีฮูได้เหลือบมองไปด้านข้างพร้อมพูดเล่นออกมา
เฮเรียวกับเฮย่าไม่ใช่แค่สองคนที่อยู่ตรงนี้
ยังมีดวงดาวแวววาวอีกหกคู่กำลังจ้องมาที่เขาอยู่เช่นกัน
ก้อนเค้กข้าวสีขาวกับสีเหลืองกำลังหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่คอยแอบมองเขาพร้อมหางที่ส่ายไปมา เหล่าก้อนขนตัวนอนกำลังมองดูเขาเหมือนลูกหมาตัวน้อย
เมื่อซอลจีฮูหันไปสายตากับพวกเธอเหล่านั้น ก้อนเค้กข้าวสีขาวก็รวบรวมความกล้าเดินเข้ามาหาเขาพร้อมหางที่ส่ายไปมา
จากที่เธอเขย่าขาเขา และแลบลิ้นออกมาแล้ว ดูเหมือนเธอจะขอให้เขากอด
“โอ้”
ซอลจีฮูได้วางสองพี่น้องลงก่อนจะคุกเข่าลงไป เขาได้เอื้อมมือไปหาก้อนขนสีขาวอย่างแปลกใจ ตัวเธอทั้งนุ่มนิ่ม และอบอุ่นเหมือนเค้กข้าวที่เพิ่งอบเสร็จ
“อ่า พวกเธอก็มาด้วยกันสิ”
เมื่อซอลจีฮูกวักมือเรียกคนอื่นๆ อีกห้าคนที่แอบมองอยู่ก็เริ่มตาเป็นประกาย
พวกเธอได้รีบวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ส่ายหางไปมาลุมล้อมซอลจีฮูเอาไว้
“ฮ่าฮ่า เจ้าก้อนขนตัวน้อย”
ต่อจากนั้นซอลจีฮูตะโกนขึ้น ‘แบร่’ และกระโดดขึ้นมา เขาได้คว้าเค้กข้าวตรงหน้า และกัดลงไปเบาๆ เค้กข้าวได้ดิ้นไปมาตามการสบัดหัวของซอลจีฮู
“เค้กข้าวน้อยแสนน่ารัก”
ซอลจีฮูยังไม่หลุดแค่นั้น เขายังจั๊กจี้ก้อนขนจนเธอหัวเราะออกมาอีกด้วย
“คิคิ!”
“ทำไมเธอถึงได้น่ารักขนาดนี้กันนะ?”
“คิ…”
เมื่อเค้กข้าวคร่ำครวญออกมา เหล่าเพื่อนๆ ก็กระโดดเข้ามาช่วยเธอ
ซอลจีฮูหัวเราะขึ้น เขารู้สึกผ่อนคลาย และโล่งใจเป็นครั้งแรกเลยในรอบเดือน
เขาได้ใช้เวลาไปกับการจัดการเฮเรียว เฮย่า แล้วก็มนุษย์สัตว์ทั้งหกที่เป็นก้อนขนด้วยการจั๊กจี้อันแสนโหดร้าย…
“สนุกจังเลยนะ”
น้ำเสียงอันคุ้นเคยได้ดังขึ้น
ซอลจีฮูหันไปมอง และเห็นหญิงสาวสวมใส่เสื้อโค้ทกำลังสูบบุหรี่อยู่
นั่นคือซินเซีย
“อ่า แม่มดเสือดาว!”
เฮเรียวชี้ไปที่ซินเซียอย่างตกใจ
ซินเซียขมวดคิ้วขึ้น
“…เธอว่ายังไงนะยัยมนุษย์จิ้งจอก?”
“หนีเร็ว! เธอจะถลกหนังเราไปทำเป็นกางเกงใน!”
เฮเรียวกับเฮย่าได้หัวเราะออกมา และหลบหนีไป
กลุ่มก้อนขนสีขาวกับสีเหลืองก็ยังรีบหนีไปเช่นกัน
“ยัยหนูพวกนี้นี่”
ซินเซียบ่นออกมาเมื่อเธอเห็นหางเล็กๆ ที่ส่ายไปมาหลบหนีไปกัน จากนั้นก็พูดขึ้น
“ตื่นแล้วงั้นเหรอ?”
“คะ ครับ”
“แล้วนี่ก็มาสร้างเส้นสายซะแล้วสินะ ทำไมถึงไม่พักสักหน่อยล่ะคุณตัวแทนซอล?”
“เส้นสาย? เอ๋ พวกเธอก็แค่เด็กนี่”
“พวกเธอเป็นเด็ก แต่ไม่ใช่เด็กธรรมดานะ”
ซินเซียยิ้มขำออกมา
“ในหมู่พวกเธอมีลูกของราชามนุษย์สัตว์อยู่ด้วย”
“?”
“นี่นายไม่รู้งั้นเหรอ? ตัวสีขาวไง ด้วยอายุยังน้อยอยู่ทำให้บอกได้ยากหน่อย แต่ว่าแทบสีดำใกล้จะเริ่มปรากฏออกมาในตอนโตขึ้น”
ซินเซียได้แค่นเสียงอกอมา จากนั้นก็พ่นควัน
สีหน้าของเธอนั้นซับซ้อนอยู่เล็กน้อย
ซอลจีฮูเอียงหัวออกมาก่อนจะถามขึ้น
“สบายดีนะครับคุณซินเซีย?”
“ถ้านายถามถึงเรื่องร่างกายก็ปกติ สบายมากเลยด้วย ไม่งั้นฉันก็คงไปนอนอยู่สถานพยาบาลฉุกเฉินไปแล้ว ที่มานี่ก็แค่อยากจะมาดูต้นไม้โลกเท่านั้นแหละ”
ซินเซียได้พูดนิ่งๆ ก่อนจะมองซอลจีฮู
“ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะ?”
“อืม ก็คุณดูไม่ค่อยมีแรงเลย”
ซินเซียได้สูบบุหรี่เงียบๆโดยไม่ได้ตอบกลับมา จากที่เธอก้มหน้าลงเล็กน้อย และพ่นควันออกมาอีก ดูเหมือนเธอจะมีเรื่องลังเลใจบางอย่าง
จนกระทั่งในที่สุดซินเซียก็พูดขึ้น
“ดวงดาวแห่งอัตตาตายแล้ว”
อารมณ์สดใสของซอลจีฮูได้พังลงทันที
“ฉันกำลังพูดถึงผู้บริหารแห่งซูเปอร์เบีย เขาตายไปในสงครามครั้งนี้ มันค่อนข้างจะน่าเสียดายเลย”
“ได้ยังไงกัน…”
“ซึงชิฮยอนลอบโจมตีเขา”
ดวงตาของซอลจีฮูกลายเป็นเฉียบคมยิ่งขึ้นเมื่อชื่อของซึงชิฮยอนได้ถูกพูดถึง
“พูดไปแล้ว ฉันได้ยินมาว่านายเจอเขาแล้วสินะ?”
“…ครับ”
“เขาเป็นยังไงบ้างล่ะ?”
“ถ้าให้พูดตรงๆก็เป็นคนประเภทที่น่ารำคาญ”
“นิสัยเขาน่ะใช่ แต่แล้วเรื่องพลังล่ะ?”
ซอลจีฮูเงียบลงไป
การเงียบก็เป็นคำตอบในตัวเองแล้ว ซินเซียได้ยิ้มแห้งออกมา
“ถึงเขาจะทำตัวไม่ดี แต่เพราะพลังก็ทำให้เขาเป็นตำนานในหมู่ชาวโลกด้วยกัน แต่ตอนนี้เขากลายเป็นคนทรยศไปแล้ว…”
ซินเซียได้ถอนหายใจยาวออกมา
“แต่จะมองในแง่ดีก็ได้นะ หากว่าเขาแฝงตัวเข้ากับมนุษย์ชาติโดยซ่อนตัวตนเอาไว้ล่ะก็… แค่คิดก็สยองแล้ว นี่มันอาจจะดีก็ได้ที่จบลงแค่การตายของดวงดาวแห่งอัตตา”
ซินเซียพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายก่อนจะดึงบุหรี่ออกมาสลัดทิ้ง
ในขณะที่เธอกำลังหยิบบุหรี่ออกมาอีกมวน กิ่งต้นไม้โลกก็หยิบเอาก้นบุหรี่ที่ถูกสะบัดทิ้ง และโยนกลับมาหาเธอ
ตึง! ริมฝีปากซินเซียบิดเบี้ยวไปเล็กน้อยเมื่อถูกโยนก้นบุหรี่ใส่
“ต้นไม้โลกเวรนี่”
ขณะที่เธอกำลังจะเปิดฉากดวลกับต้นไม้โลก เธอก็เห็นสีหน้าซอลจีฮูมืดมนลงไป
“ตอนนี้นายยังจะมาห่วงคนอื่นอีกงั้นเหรอ?”
ซินเซียพึมพำออกมา
“วัลฮาลาก็เสียหายอย่างหนักเลยนี่”
ซอลจีฮูเบิกตากว้างขึ้น
***
เขากำลังออกวิ่ง
เขาได้รีบไปที่เต็นท์ในทันทีที่ได้ยิ่งถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
[ฉันกำลังพูดเรื่องของดวงดาวแห่งราคะกับนักเวทย์หญิง]
[นักเวทย์หญิงคนนั้นได้กรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดในทันทีที่สงครามจบลง ฉันได้ไปตรวจสอบมาหน่อยแล้ว ร่างกายของเธอกำลังเดือดพล่านเหมือนโลหะถูกหลอมเพราะมานากำลังปั่นป่วน]
[ดวงดาวแห่งราคะอยู่ในสภาพเลวร้ายอย่างมาก แผลที่เหลือจากสงครามหุบเขาดูจะปะทุออกมา ฉันได้ยินมาว่าเธอต้องอ้วกออกมาเป็นเลือดอยู่นับสิบครั้ง และกระทั่งเกิดอาการชักอีกด้วย… นี่คงเป็นราคาที่ต้องจ่ายของการใช้พลังเกินขีดจำกัดแน่]
[น่าเสียดายที่ต้นไม้โลกในมิดเดิลเวิลด์เป็นเพียงแค่ร่างอวตาร มันถูกสร้างขึ้นเพื่อชำระล้างผืนดินให้บริสุทธิ์ และปกป้องป้อมปราการจากปรสิตเท่านั้น ดังนั้นมันจึงไม่ได้มีพลังอำนาจทั้งหมดของร่างจริง และเพราะแฟรี่ท้องฟ้าก็ยังได้ใช้อิลิกเซียร์ขวดสุดท้ายเพื่อช่วยนายในสงครามครั้งก่อนไปแล้วด้วย…]
มันไม่มีทางเลยที่จะรักษาเธอในป้อมปราการไทกอล เพราะงั้นเธอได้ถูกส่งตัวไปที่วิหารอีวาตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว คาซุกักับฟิลิป มูเลอร์ก็ได้เดินทางไปด้วยเป็นคนคุ้มกันเธอ
ซินเซียได้บอกเขาว่าเต็นท์ของวัลฮาลาอยู่ที่ไหน
ในตอนนี้ซอลจีฮูไม่อาจจะทำอะไรได้เพราะซอยูฮุยถูกส่งตัวไปอีวาแล้ว แต่เขาก็ยังคงวิ่ง
สำหรับในตอนนี้เขาคิดที่จะติดต่อไปหาคาซุกิ แล้วถ้าเป็นไปได้ เขาก็คิดที่จะรีบตามไปหาซอยูฮุยในทันที เขาเตรียมที่จะคืนพลังชีวิตที่เขาได้รับมาในครั้งก่อนหากว่ามันจะช่วยเธอได้
แต่ว่าในตอนที่เขากำลังเข้าใกล้ถึงเต็นท์ เขาก็ต้องหยุดชะงักไป
ที่นั่นมีหญิงสาวยืนพิงต้นไม้กำลังจ้องเขาอยู่
เขาคุ้นหน้าเธอมาก
“คุณแบคแฮจู?”
เธอได้เดินเข้าหาเขาราวกับมีบางอย่างจะพูด
“คุณแบคแฮจูคือว่า…”
จากนั้นเอง
ขณะที่ซอลจีฮูกำลังจะถามเธอ แบคแฮจูก็ได้เหลือบมองซ้ายขวาก่อนจะหยิบเอาบางอย่างออกมาจากกระเป๋า
มันเป็นกระดาษแผ่นเล็กๆ
ซอลจีฮูได้รับกระดาษนั่นมาหลังจากที่เธอยื่นมาให้เขา
“นี่คือ…”
-ข้อความจากคุณซอยูฮุย
ในตอนนั้นเองเธอได้ใช้การเทเลพาธีกับเขา
-เธอขอให้ฉันมอบมันให้กับนายโดยไม่บอกใคร
‘พี่สาวยูฮุยบอกไว้?’
-เธอยังบอกให้ันบอกนายด้วยว่าเธอได้ใช้ ‘ของที่ระลึก’ ที่นายให้มาแล้ว เพราะงั้นไม่ต้องห่วง เธอขอให้นายอ่านโน้ตนั่น แล้วก็เก็บมันเอาไว้
ซอลจีฮูได้เงยหน้าขึ้นอย่างสับสน
แบคแฮจูก็ยังมองหน้าเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
-นี่มันสมบูรณ์แบบ ทุกคนในเต็นท์กำลังหลับกันอยู่ และไม่มีใครอยู่รอบๆนี้ นายน่าจะอ่านมันได้แล้วก็เผามันทิ้งซะ
คำพูดของเธอได้ทำให้เขาสับสนอยู่ครู่หนึ่ง
แต่ไม่นานนักซอลจีฮูก็มองไปรอบตัว และเปิดแผ่นกระดาษออกมา