The Second Coming of Gluttony - บทที่ 351 - ปฏิรูป (1)
บทที่ 351 – ปฏิรูป (1)
ซอลจีอูได้จ้องแบคแฮจุด้วยสีหน้าตกตะลึง
เอิ๊กกก!
เขาแบ่งให้เธอกินบางส่วน แต่แล้วเขาก็ต้องกลายเป็นพูดไม่ออกเมื่อเห็นใบหน้าของเธอจุ่มลงไปในชามราเมน ตะเกียบในมือเธอก็ยังเต็มไปด้วยเส้นราเมนอีกด้วย
“อืม เอ่อ… ช่วยเหลือให้ผมด้วยนะครับ…”
เขาพยายามที่จะหยุดเธอ แต่แบคแฮจูไม่ได้ตอบสนองเลยสักนิด เธอได้กินเส้นจนหมด และกระทั่งน้ำซุปจนหมดเหมือนกับหูทวนลม
“ฮ่าาาห์…”
จากนั้นแบคแฮจูก็ส่งเสียงออกมาอย่างพึงพอใจก่อนมองกลับมาที่ซอลจีฮู เธอได้ส่งสายตาร้อนแรงให้กับเขาพร้อมเลียริมฝีปาก
“…”
ซอลจีฮูรู้สึกไม่ยินดีกับสถานการณ์แบบนี้เลยสักนิด
‘ฉันบอกจะแบ่งให้เธอกิน แต่นี่เธอกินไปหมดเลย ท่าทีนิ่งเฉยของเธอทำให้ฉันเผลอประมาทไป เธอแย่ยุ่งกว่าพวกคนที่แย่งขนมจากเพื่อนซะอีก แม่มดสองหน้า!’
เขาได้หยิบราเมนออกมาจากเข้มขัดอีกอัดทั้งๆที่อยากจะตะโกนคำเหล่านี้ออกมา แต่แล้วเมื่อเขาต้มราเมนได้สำเร็จ แบคแฮจูก็ได้รับเอาถ้วยราเมนไปโดยไม่พูดขอบคุณด้วยซ้ำ
เขาอยากจะพูดอะไรออกไปแต่ก็ต้องห้ามตัวเองไว้ เธอคือผู้มีบุญคุณที่ได้ช่วยเขาไว้ในสงครามนี้
‘ใช่แล้ว ฉันน่าจะเลี้ยงราเมนเธอในตอนนี้เพื่อสร้างความประทับใจเอาไว้ จากนั้นเธอจะได้ยอมมาช่วยฉันอีกในคราวหน้า’
การจะสร้างมิตรภาพระหว่างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ด้วยกับแค่ราเมนอาจจะดูเป็นเรื่องเพ้อฝันไปหน่อย แต่ซอลจีฮูก็มั่นใจในความสามารถในการทำราเมนของเขา
“อืม เอานี่ไหมครับ…”
และเพราะแบบนั้นเขาได้หยิบเอาข้าวกับกิมจิออกมาจากเข็มขัด แบคแฮจูได้ขยับสายตามาที่เขาอย่างรวดเร็ว และฉกเอามันไปจากมือเขาในทันที
เธอได้เหลือเส้นกับน้ำซุปไว้ในปริมาณพอดีก่อนจะเทกิมจิกับข้ามลงไป
ซอลจีฮูที่เห็นเธอกำลังขยับกินอย่างวุ่นวายโดยที่เต็มไปด้วยเหงื่อ ความโกรธของเขาก็ลดลงไปแล้ว
‘เธอรู้วิธีกิน’
เขาได้พยักหน้าพร้อมหยิบเอาราเมนออกมาอีกถ้วย
ยังไงก็ตามเขาต้องถอนหายใจออกมาอีกครั้งเมื่อมีแขกไม่ได้รับเชิญค่อยๆ ปรากฏขึ้นทีละคน
“อ่า กลิ่นราเมน…”
ด้วยกลิ่นหอมของราเมนได้ทำให้ฟีโซรายื่นหน้าออกมานอกเต็นท์ นอกจากนี้ยังไม่ใช่แค่เธอเท่านั้น
“อ๊า กำลังหลบสบายเลย นี่ทำให้ฉันหิวแล้วสิ…”
จองโชฮงก็ยังตื่นขึ้นมา
“เจ้าพวกบ้า! กล้าดียังไงมาปล่อยกลิ่นโสมมแบบนี้ในพื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์ของเรา ลองปล่อยมาอีกสิ ฉันจะทำให้มันหายไปในพริบตาเดียวเลยคอยดู เพราะนั้นคิดให้ดีก่อนจะทำมันอีกครั้งนะ”
และเสียงตะโกนของโฮชิโนะ อุราระก็ยังดังออกมา
สามเสือหิวได้ค่อยๆคลานออกมาจากเต็นท์ทีละคน
“ราเมน~ ราเมน~ ราเมน~”
ทั้งสองคนได้ถูตะเกียบน้ำลายไหลอยู่ในขณะที่ซอลจีฮูต้องรีบขยับถ้วยราเมนหลบออกไป
“…หืม”
เขากระพริบตาออกมา
ทันทีที่ซอลจีฮูวางถ้วยราเมนลงมันก็ฉกหายไปใน มันเป็นการเคลื่อนไหวที่ลื่นไหวเป็นธรรมชาติมาก
“อะ อะไรกัน?”
“หายไปไหน”
โชฮงกับโฮชิโนะ อุราระถึงกับอ้าปากค้างออกมา
ฟีโซราก็เป็นเช่นเดียวกัน ดวงตาที่เบิกกว้างของเธอได้ค่อยๆหันไปหาแบคแฮจู ก่อนที่ใบหน้าจะบิดเบี้ยวไป
“นั่นมันอะไรกัน?”
สูดดดดด!
มีก็แต่เสียงซดน้ำซุปของแบคแฮจูที่ตอบกลับไป
“เฮ้ นี่เธอก็กินไปแล้วนี่ ทำไมยังจะเอาไปอีก”
ซูดดดด ซูดดดดด
“โอ้ ดูเธอสิ เธอกินไม่สนอะไรแล้ว เธอมีจิตสำนึกไหมเนี้ย”
อึก อึก
“โอ้ โอ้ววววว”
ฟีโซราได้รีบแทรกเข้ามาด้วยสีหน้าตกตะลึง
แบคแฮจูหันไปรอบๆ และเริ่มกินเร็วยิ่งขึ้นอีก
“อ๊า นี่เธอจะทำแบบนี้อีกเหรอ”
ฟีโซราพยายามจะแย่งถ้วยราเมนกลับมา แต่จากนั้นเธอก็ต้องกรีดร้อง และถอยกลับมาเพราะมีออร่าอันน่าสะพรึงลอยขึ้นจากตัวแบคแฮจู สายตาแบคแฮจูถึงขนาดจ้องฟีโซราเขม็งอีกด้วย
ฟีโซราที่รู้สึกแปลกๆได้รีบท้วงขึ้นทันที
“นี่เธอบ้าแล้วเหรอ”
“เงียบ”
“อะ อะไรนะ”
“ฉันบอกให้เงียบ คุณรู้ไหมว่านานแค่ไหน… ฟู่ ฟู่…”
ฟีโซราได้แต่ถอยกลับไปเมื่อถูกแบคแฮจูตะคอกใส่
ในเวลาเดียวกันแบคแฮจูก็ดื่มน้ำซุปต่อไปราวกับจะไม่ยอมให้เหลือสักหยด
ฟีโซราที่ไม่มีความมั่นใจว่าจะเอาชนะความต่างของระดับ ได้แต่ยืนนิ่งอ้าปากค้าง
“ฮึก…”
เธอเริ่มสะอื้อออกมาเล็กน้อยพร้อมดวงตาที่แดงขึ้น ในท้ายที่สุดเธอก็ใช้สายตาที่เอ่อไปด้วยน้ำตามองมาที่ซอลจีฮู
“นี่… คนๆนี้…”
ซอลจีฮูส่ายหัว และเริ่มต้มน้ำอีก
‘ใครจะไปคิดว่าจะมีวันที่ฟีโซราร้องไห้มาหาฉัน ราเมนของฉันมันเยี่ยมขนาดนั้นเลยสินะ’
จากนั้นเขาก็สาบานกับตัวเอง
‘ตอนจบอาจจะอยู่ไม่ไกลแล้ว หากว่าปัญหาทั้งหมดในพาราไดซ์คลี่คลายลง ฉันจะไปเปิดร้านขายราเมน’
ร้านอาหารเล็กๆในตรอก
***
เวลาบนโลกปี 2018
ในพาราไดซ์กองกำลังพันธมิตรสหพันธรัฐกับมนุษยชาติได้เอาชนะปรสิตที่ทุ่มกำลังทำสงครามเต็มรูปแบบในป้อมปราการไทกอล
พวกเขาได้กดดันให้ผู้บัญชาการกองทัพสี่ในห้าคนต้องปลดปล่อยพลังความเป็นเทพออกมา รังกว่าครึ่งถูกทำลาย และในช่วงท้ายของสงครามราชินีปรสิตก็ต้องปรากฏตัว และได้รับบาดเจ็บหนักจนต้องถอยหนีกลับไปที่จักรวรรดิ
นอกไปจากนี้ผู้บัญชาการกองทัพที่เจ็ดก็ถูกกดดันให้ต้องถอยออกมาจากอาณาจักรภูติ และผู้บัญชาการกองทัพที่สี่ก็ถูกกำจัดไป
ในเวลาไม่ถึงสองวันข่าวนี้ก็ได้กระจายออกไปทั่วทุกมุมโลก
บางทีอาจจะเพราะเรื่องนี้ทำให้ฝูงชนกลุ่มใหญ่คอยต้อนรับการกลับมาของกองกำลังมนุษยชาติที่กำลังกลับไปที่อีวา
ไม่ใช่แค่ประชาชนของอีวาเท่านั้น แต่ยังมีชาวโลกอีกจำนวนหนึ่งในฝูงชนอีกด้วย
พวกเขามาดูซอลจีฮูเพราะเหตุการณ์ครั้งนี้มันบ้ามากๆ
วินาทีที่ซอลจีฮูเดินผ่านประตูเมืองไปได้เกิดเสียงเฮกันกระหึ่ม มันดังมากจนซอลจีฮูต้องสะดุ้ง
‘ให้ตายสิ ฉันไม่ควรเดินนำเลย’
ซอลจีฮูบ่นในใจพร้อมทั้งนึกได้ว่าเขาถูกบอกให้ขึ้นฮอรัส และเดินเข้าไปก่อน
“รู้สึกยังไงล่ะ”
เทเรซ่าที่ขี่ฮอรัสตามหลังเขามาได้หัวเราะขึ้น
“ในที่สุดนายก็กลับมาในอีวาแล้ว นายไม่มีอะไรจะพูดกับกลุ่มคนหน่อยหรอ”
‘พูดกับกลุ่มคน’
ซอลจีฮูเอียงหัวเงยหน้าขึ้นฟ้า จากนั้นเขาก็ลดเสียงต่ำลง
“…รู้สึกเหมือนฉันกำลังจะระเบิดเลย”
“หมายถึงอารมณ์น่ะเหรอ”
“ก็ไม่เชิง…”
ซอลจีฮูได้พูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ฉันอยากจะแกล้ง…”
“…ห๊ะ”
เทเรซ่าถามย้ำออกมา
“นายหมายถึง… ความขี้เล่นของนายกำลังจะระเบิดออกมางั้นเหรอ”
“ใช่แล้ว เพราะยุ่งอยู่กับสงครามทำให้ฉันไม่ได้เล่นอะไรแผลงๆมานานแล้ว… ในตอนนี้คันไปหมดแล้ว….”
ในเวลาแบบนี้มันหมายความว่ายังไง
เขากำลังพยายามจะพูดอะไรในขบวนแห่แบบนี้กัน
นี่เขาจะล้อเล่นงั้นเหรอ
ไม่สิ จากสีหน้าแล้วดูไม่เหมือนว่าเขาจะล้อเล่นเลย
เทเรซ่าได้ผงะไปก่อนจะฝืนยิ้มออกมา
ชัยชนะไม่ใช่สิ่งที่จะได้มาบ่อยๆ และเป็นสิ่งที่เธออยากจะทำจริงๆ
“อืมม ทำไมนายไม่โบกมือให้พวกเขาสักหน่อยล่ะ”
“มันน่าอาย”
“จะอายอะไรกัน ดูคนที่มารวมตัวกันที่นี่สิ พวกเขามาดูหน้าของวีรบุรุษนะ”
“วีรบุรุษ ที่ชนะสงครามไม่ใช่ฝีมือฉันคนเดียวนะ”
“เฮ้อ อย่าคิดเยอะสิ ดูนะ คนอื่นๆ กำลังโบกมือกันอยู่นะ”
สมาชิกวัลฮาลาที่ตามหลังซอลจีฮูมาต่างก็แสดงมารยาทอย่างสง่างามอย่างที่เทเรซ่าพูด พวกเขากำลังเพลิดเพลินไปกับขบวนแห่พร้อมเดินผ่านเส้นทางที่โรยไปด้วยดอกกุหลาบ
“เถอะน่า นายพยายามเต็มที่เพื่อชัยชนะครั้งนี้ นายมีคุณสมบัติรับมันมากเกินพอแล้ว”
ซอลจีฮูได้หันกลับไปมองเทเรซ่าที่กดดันเขา
‘แต่ฉันชอบอะไรเงียบๆมากกว่านะ…’
ซอลจีฮูหัวเราะแห้งๆ มันไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบ มันก็แค่น่าอายเท่านั้นเอง โดยนิสัยแล้วเขาไม่ค่อยชอบความวุ่นวายอะไรนัก
เมื่อเขาเม้มริมฝีปากอย่างลังเลใจ จู่ๆเขาก็เห็นเด็กชายร่างเล็ก
เด็กชายคนนั้นกำลังจับชายเสื้อของแม่โดยที่อีกมือหนึ่งถือดอกไม้จ้องมาที่เขา
ทันทีที่เห็นเด็กชายเขย่งเท้ามองออกมาก็ทำให้ซอลจีฮูเผลอยิ้มขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เมื่อซอลจีฮูสบตากับเด็กชายที่ดวงตาเบิกกว้าง เด็กชายก็ยกมือขึ้นเล็กน้อย เด็กคนนี้ดูจะไม่อยากเชื่อเลยว่าซอลจีฮูจะมองมาที่ตัวเขา
ในทันทีที่ซอลจีฮูยกมือขึ้นโบก…
เฮฮฮฮฮฮฮฮฮ!
เสียงเฮที่ดังอยู่แล้วได้ดังยิ่งกว่าเดิมขึ้นไปอีก
‘ยอดเยี่ยม!’
เทเรซ่ายิ้มขึ้นอย่างพึงพอใจ จากนั้นเธอก็ขยับเร่งความเร็วฮอรัสให้ไปเคียงคู่กับซอลจีฮู และโบกมือออกมา
เพราะแบบนี้ทำให้เหมือนกับราชากับราชินีกำลังเดินเคียงข้างกันคอยรับการต้อนรับจากกลุ่มคน
-ตัวแทนซอลจงเจริญ
-ราชวงศ์ฮารามาร์คจงเจริญ
“ฮิฮิฮิ”
เทเรซ่าที่ได้ยินเสียงสรรเสริญตามที่เล็งไว้ได้ยกยิ้มขึ้นมา
ยังไงก็ตามนั่นก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น
“โฮ่โฮ่โฮ่!”
เมื่อชาล็อต อาเรียเห็นเทเรซ่ายกมือขึ้นหัวเราะ เธอก็เร่งความเร็วฮอรัสเข้ามาเคียงข้างซอลจีฮูอีกคน
เสียงสรรเสริญได้เปลี่ยนแปลงไปทันที
-ตัวแทนซอลจงเจริญ!
-องค์ราชินีจงเจริญ! ฮูเร่ ฮูเร่
ใบหน้าเทเรซ่าได้แข็งทื่อไป
เธอได้ทำหน้าบึ้งเข้าใส่เด็กสาวผมสีบลอนด์ข้างตัวที่กำลังตอบรับเสียงเฮพร้อมทั้งจับชายเสื้อซอลจีฮูเบาๆ
แต่นั่นก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น เทเรซ่าได้กลับมายิ้มแย้ม และโบกมือกระตือรือร้นยิ่งกว่าเดิม
จากนั้นเธอก็ลดเสียงพึมพำเบาๆ
“ยัยเด็กนี่ ทำไมไม่ถอยไปสักหน่อยล่ะ”
“ฉันจะอยู่ตรงนี้”
“โฮ่ นี่เธออยากจะหาเรื่องฉันใช่ไหม ยัยเด็กขี้แยอย่างเธอเนี้ยนะ”
“ฉันชื่นชมในในความกล้าของพี่สาวนะ แต่อย่าลืมว่าที่นี่คืออีวา”
คำพูดโต้เถียงได้ดังสลับไปมาระหว่างหญิงสาวที่กำลังยิ้มแย้มทั้งสองคน
แน่นอนว่าเสียงเฮดังก็ได้กลบเสียงพูดนี้ไปจนหมด
***
ฝูงชนตอนรับดูไม่มีจุดสิ้นสุดเลยสักนิด
ไม่เพียงแต่ฝูงชนจะทอดยาวมาตั้งแต่ถนนเท่านั้น แต่ฝูงชนก็ยังไปรวมกลุ่มกันอยู่ตรงหน้าสำนักงานวัลฮาลาอีกด้วย ดังนั้นแล้วซอลจีฮูจึงต้องกลั้นหายใจไปจนถึงวัง
แน่นอนว่าการมาถึงวังนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะสิ้นสุดการฉลอง
หลังจากได้รับคำแสดงความยินดีจากชาล็อตอาเรียอย่างเป็นทางการแล้ว เทศกาลก็ได้ถูกจัดขึ้นทั่วทั้งเมืองโดยซอกกูนีร์
แต่สมาชิกวัลฮาลากลับแอบหลบย่องกันออกมาจากวัง แม้ว่าซอลจีฮูจะชอบงานเทศกาล แต่ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำ
ในจุดนี้แล้วเขาอยากจะทิ้งทุกอย่างเพื่อไปพัก ความเหนื่อยล้าที่สะสมมานานได้ปะทุขึ้นมาตั้งแต่ที่เขากลับถึงเมืองแล้ว
และดังนั้นเมื่อมาถึงสำนักงานเขาก็แทบจะร้องออกมา
“ไม่เจอกันนานเลยนะ”
คิมฮันนาห์ได้เข้ามาทักทายพวกเขาที่ทางเข้า เธอยิ้มพร้อมกับถือเสื้อสูทไว้ที่แขน
“ทำได้ดีมากทุกคน ยินดีต้อน…”
“เฮ้ ช่วยหลบไปหน่อย พวกเราจะเข้าไปข้างใน”
“ฟู่ว ในที่สุดก็ได้กลับมา ฉันคิดว่าฉันจะตายแล้วซะอีก”
“บอกหน่อยสิ งานเลี้ยงนี้มันจะกินเวลานานขนาดไหน ฉันมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดเลย”
ตึก ตึก ทุกคนได้เดินผ่านคิมฮันนาห์ไปโดยแทบไม่สนใจเธอเลย
ส่วนใหญ่ต่างก็มุ่งหน้าไปที่ห้องของตัวเอง โดยที่มีบางส่วนแยกไปที่น้ำพุร้อน
คิมฮันนาห์ยืนนิ่งๆ ก่อนจะหัวเราะออกมา
เธอได้ส่งรอยยิ้มให้กับซอลจีฮูที่กำลังยืนเหมือนกับเป็นพระที่ถึงนิพพาน
“ว้าว สุดท้ายแล้วคราวนี้นายก็รอดกลับมาได้อีกครั้งนะ”
“เธอพูดเหมือนอยากให้ฉันตายเลยนะ”
“ต้องไม่ใช่อยู่แล้ว นับตั้งแต่นายไปฉันภาวนาให้นายรอดกลับมาตลอดเลยนะ”
“ว้าว ขอบคุณมาก คุณแม่ของจีนาห์”
“แม่ของจีนาห์”
“ก็เป็นชื่อของลูกสาวเราไงที่ใช้ ‘จี’ จากซอลจีฮู แล้วก็ ‘นาห์’ จากคิมฮันนาห์… โอ้ยๆ ขอโทษๆ อย่าตีฉันสิ”
ซอลจีฮูรีบถอยออกมาขอโทษทันที”
“นายเพิ่งกลับมา แต่สิ่งแรกที่ทำคือเล่นมุกไร้สาระเนี้้ยนะ”
คิมฮันนาห์ลดเท้าที่กำลังยกขึ้นมาลง
“ฉันขอโทษที่มารบกวนนายทั้งๆที่เพิ่งจะกลับมา แต่ว่าก็มีเรื่องที่ฉันต้องบอกนายอยู่ คือว่า… วันนี้นายน่าจะพักก่อน จากสีหน้านายฉันบอกได้เลยว่านายเหมือนคนที่ล้มได้ทุกเมื่อ”
เธอพูดถูก แต่ว่าซอลจีฮูส่ายหัวออกมา
“มีข่าวเกี่ยวกับพี่สาวยูฮุยไหม”
“คือคุณซอยูฮุย…”
สีหน้าของคิมฮันนาห์ได้มืดมนลงไปเล็กน้อย
“ฉันคิดว่านายก็คงได้ยินมาแล้ว แต่เธอได้กลับไปที่โลกในไม่กี่วันหลังจากกลับมาถึงที่อีวา ในตอนนี้วิหารไม่อาจจะช่วยเธอได้”
พาคนเจ็บกลับไปที่โลก นี่คือทางเลือกสุดท้ายที่จะนำมาใช้ ในเวลาเดียวกันนี่ก็จะใช้เฉพาะในกรณีพิเศษเท่านั้น
เหตุผลก็ง่ายมาก การจะใช้วิธีนี้ผู้บาดเจ็บจะยังต้องมีชีวิตอยู่ และตื่นในตอนที่เขามาในวิหารเพื่อใช้ประตูมิติ
นอกไปจากนี้สาเหตุหลักที่ทำให้อาการซอยูฮุยทรุดลงไปก็เพราะการใช้พลังเกินขอบเขต เนื่องจากว่าสัตย์สาบานที่ทำไว้เพื่อให้ได้รับพลังจะหายไปในตอนที่กลับโลก ความปั่นป่วนของพลังในร่างจึงจะหายไปปด้วยเช่นกัน
เพราะแบบนี้ทำให้ร่างกายเธอก็จะฟื้นตัวได้ในเวลาเดียวกัน
แต่แน่นอนว่าในตอนกลับมาที่โลกทุกอย่างก็จะกลับเป็นเหมือนเดิม
“ฉันได้ยินมาว่าเธอได้ไปเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล แต่ว่า…”
คิมฮันนาห์ได้มองสังเกตซอลจีฮูตลอดเวลา ด้วยนิสัยของเขาแล้ว เขาควรที่จะกังวลจนเกิดเหตุไป แต่จากการที่เขาพยักหน้าฟังเงียบๆ แล้ว เขาดูสงบกว่าที่เธอคิด
แต่ในความเป็นจริงซอลจีฮูกำลังเค้นสมองอย่างหนัก
‘การที่พี่สาวกลับไปในโลกในทันทีนั่นจะต้องหมายความว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจจะจัดการได้ในระยะเวลาอันสั้น’
เธอน่าจะกำลังล่อปลาใหญ่อยู่
“เกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่านายจะคลั่งไปซะอีกนะ”
“…นั่นก็เพราะฉันได้ยินเรื่องนี้ตั้งแต่สองวันก่อนแล้ว มันไม่มีอะไรที่ฉันทำได้ในทันที ฉันทำได้แค่ใจเย็น และทำในสิ่งที่ทำได้ก่อน”
“หมายถึงการรวบรวมเครื่องเซ่นเหรอ”
“นั่นก็ใช่ แล้วก็วิธีอื่นด้วย…”
ซอลจีฮูพูดออกมาอย่างคลุมเคลือ และเลี่ยงที่จะตอบ
ในเมื่อแม้กระทั่งจิ้งจอกยังไม่รู้เรื่องสภาพร่างกายซอยูฮุย ซอยูฮุยคงจะกำลังดำเนินแผนการอย่างเป็นความลับ ไว้พอซอยูฮุยกลับมาค่อยบอกกับคิมฮันนาห์ก็ยังไม่สายไป
“จริงแล้ว แล้วคุณอึนยูริล่ะ”
“กำลังหลับอยู่ ฉันก็ขอบอกด้วยว่าตอนเธอหายดีแล้ว เธอก็จะแกร่งกว่าเดิมมาก อย่างน้อยที่สุดนี่ก็คือสิ่งที่นักเวทย์ที่ชื่อโรเซร่าบอกไว้”
“ดีใจที่ได้ยินแบบนั้นะ เราเชื่อใจคุณโรเซร่าได้เลย”
ซอลจีฮูได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“ไว้ค่อยคุยที่เหลือกันพรุ่งนี้ ฉันจะสลบแล้ว…”
เขาได้เริ่มเดินต่อ
‘เขาดูไม่เป็นไรนะ’
คิมฮันนาห์ยิ้มพร้อมมองดูซอลจีฮูเดินขึ้นบันไดไป เธอได้ยินมาว่าสงครามนั้นโหดร้าย และนองเลือดเกินกว่าที่เคยมีมาก่อนจนถึงขนาดราชินีปรสิตก็ยังปรากฏตัว แต่ซอลจีฮูกลับแสดงท่าทีเหมือนปกติไม่มีสัญญาณอาการทางจิตเลยสักนิด
“ตัวแทน”
ขณะที่เขากำลังจะเดินผ่านเธอไป คิมฮันนาห์เรียกเขาไว้
เธอได้โค้งคำนับพร้อมพูดสิ่งที่ยังพูดไม่จบก่อนหน้านี้
“ยินดีต้อนรับกลับนะคะ”
ซอลจีฮูผงะไป
“…ฉันกลับมาแล้ว”
เขาได้หันหน้ากลับมา และยิ้มขึ้น
จากนั้นเขาก็เดินไปต่อ
คิมฮันนาห์ได้มองดูเขาเดินขึ้นบันไดก่อนที่จะถอนหายใจเบาๆ
“น่าดีใจแหะ”
ถึงแม้ว่าจะมีสมาชิกสองคนบาดเจ็บหนัก แต่ก็โชคดีที่ไม่มีใครต้องจากไป
เพราะแบบนี้สำนักงานที่เงียบสงัดมานานก็ได้กลับมาคึกคักดังเดิม
คิมฮันนาห์หัวเราะขึ้น
“แล้วก็แม่จีนาห์งั้นเหรอ น่าขำจริง”
‘เขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด’
เธอได้ส่ายหัวในขณะที่กำลังจะใส่ชุดคลุม จากนั้นก็ชะงักไป
“…หืม”
‘เสื้อสูทล่ะ’
เสื้อสูทได้หายไปก่อนที่เธอจะรู้ตัว
คิมฮันนาห์ได้ขมวดคิ้วมองแขนซ้ายตัวเองอย่างสับสน ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ว่าตอนเดินขึ้นบันไดไปซอลจีฮูได้ซ่อนมือไว้ด้านหน้า
เขายังสะกิดเธอก่อนจะเดินจากไปด้วย
“…เจ้าหมอนี่”
คิมฮันนาห์ได้รีบวิ่งขึ้นไปทันที
“เฮ้”
ยังไงก็ตามไม่มีใครอยู่ในห้องของตัวเอง
จากนั้นเธอก็คิดขึ้นได้ก่อนเดินไปที่ห้องของตัวเอง และได้เห็นซอลจีฮูกำลังนอนหลับอยู่บนเตียงของเธอ
แน่นอนว่าเขาได้ใช้ชุดสูทของเธอเป็นผ้าห่ม
“…”
คิมฮันนาห์มองออกไปอย่างตกตะลึงก่อนที่จะกอดอกแค่นเสียงออกมา
“…ว่าไงคุณโรคจิต”
“?”
“ไม่ต้องมาทำหน้าสงสัย นายก็รู้ว่าทำอะไรไป ชิ ฉันก็คิดว่านายจะดีขึ้น… นี่นายไปทำสงครามแล้วก็ติดเล่นแบบนี้ตลอดเวลาเลยงั้นเหรอ นี่ได้ไปแกล้งราชินีปรสิตแบบนี้หรือเปล่า”
“คุณผู้หญิง”
“คุณผู้หญิงที่หน้านายสิ ลุกขึ้น”
“เธอควรจะพูดกับสามีที่เพิ่งทำงานหนักกลับมาแบบนี้งั้นเหรอ”
“ยังจะพูดอีกนะ”
คิมฮันนาห์กระทืบเท้าเดินเข้ามาในห้อง
เธอได้แบมือคำรามออกมา
“แก”
เพี้ย! เมื่อเธอตีหลังเขาอย่างไร้ปราณี ซอลจีฮูก็รีบพลิกตัวตะโกนออกมา
“นายไปทำสงครามแล้วนี่คือสิ่งที่นายได้มางั้นเหรอ นายบ้าหรือเปล่า ห๊ะ”
“หยุดนะ”
“วีรบุรุษงั้นเหรอ นี่คือวีรุบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่ช่วยอาณาจักรภูติและเอาชนะราชินีปรสิตมาได้งั้นเหรอ นี่ไม่อายรึไง ลุกขึ้น”
“อ๊า เจ็บจัง”
ซอลจีฮูได้ดิ้นไปมารุนแรง และดึงชุดของคิมฮันนาห์ขึ้นมาคลุมหัว
***
ในเช้าวันรุ่งขึ้นซอลจีฮูก็ตื่นขึ้นมา
แน่นอนว่าไม่ใช่ในห้องของเขา แต่เป็นห้องของคิมฮันนาห์
เขาได้ยินคำสบถมากมายนับตั้งแต่ ‘ลุกมาซะ’ แล้วก็ ‘ไสหัวไป’ แต่ว่าเขาก็อดทนไว้จนกระทั่งเธอยอมแพ้
ห้องของคิมฮันนาห์ได้เต็มไปด้วยต้นไม้ทำให้มีกลิ่นหอมสดชื่นอยู่
ซอลจีฮูได้ยิ้มออกมาเมื่อมองดูดอกไม้ที่อยู่หัวเตียง
แม้ว่าจะถูกบ่น แต่คิมฮันนาห์ก็เตรียมไว้ให้เขาได้หลับฝันดี
ซอลจีฮูได้กระโดดขึ้นจากเตียง คลุมเสื้อสูทของคิมฮันนาห์ไว้บนไหล่ และเดินมาที่ระเบียง
การได้มาสูบบุหรี่ผ่อนคลายท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเช้าช่างเป็นความรู้สึกที่อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้เลย
‘ช่างเงียบสงบ…’
เขาดีใจที่ได้ตัดสินใจเข้าร่วมสงคราม หากไม่เช่นนั้นป้อมปราการไทกอลก็คงพังลง และมนุษยชาติก็จะถูกปกคลุมไปด้วยไฟสงครามแทน
ความสงบสุขที่เขาได้ใช้ในตอนนี้คือสิ่งที่เขาได้รับจากตัวเลือกที่เขาเลือกได้ถูก
“…”
พูดตามตรงเขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลย
แต่จะยังไงเขาก็ข้ามผ่านอุปสรรคมาได้แล้ว
และยิ่งเอาชนะอุปสรรคยากลำบากมาได้ยังไง รางวัลที่ได้จากการข้ามผ่านมันก็ยิ่งดีเท่านั้น
ในตอนนี้ถึงเวลารับรางวัลจากความพยายามแล้ว
ซอลจีฮูได้ลากท้องที่หิวของเขาไปโรงอาหารทันที เขาอยากจะกินอิ่มก่อนที่จะไปทำอย่างอื่นต่อ
แต่ที่นี่ก็มีแขกมาก่อนแล้ว
ฟีโซรากำลังนั่งลูบท้องอยู่บนเก้าอี้ราวกับเธอเพิ่งกินมื้อใหญ่มา
“กำลังทำอะไรอยู่เหรอ”
เมื่อเขาถามออกมา ฟีโซราก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนจะก้มลงไป
“ก็แค่นั่งเล่น เพลิดเพลินไปกับชีวิต”
“เธอเป็นนักปรัชญาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“แล้วจะทำไมล่ะ ฉันสู้จนเกือบตาย ไม่สิ นั่นมันไม่ใช่การต่อสู้ด้วยซ้ำไป ฉันถูกฟันซ้ำแล้วซ้ำอีก จะยังไงนายก็ควรใช้เวลาคิดถึงคุณค่าของชีวิตบ้างนะ”
“ก็เป็นแบบนั้นจริงๆแหละ อดีตอันน่าสิ้นหวังเป็นสิ่งที่ทำให้ความสงบสุขในปัจจุบันมีค่ามากยิ่งขึ้นสินะ”
ฟีโซราผงะไป เธอได้เงยหน้าขึ้นมามองซอลจีฮูด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
“ฉันไม่คิดเลยนะว่าคำพูดนี้จะออกมาจากปากนาย บางครั้งนายก็พูดได้ดีนะ”
“บางครั้งนี่หมายความว่ายังไงกัน”
“ยังจะถามอีกงั้นเหรอ ปกตินายเอาแต่ใช้เวลาว่างไล่กวนคนอื่นเขา ไล่ตามเกาะนมคนอื่นเหมือนเด็กน้อย แล้วจากนั้นก็กลายเป็นคนละคนในตอนที่โกรธ นายมีโรคสองบุคลิกหรือเปล่าเนี้ย อ่า แต่นายก็ทำราเมนได้อร่อยเป็นบ้าเลยนะ”
“…หยาบคาบ”
ซอลจีฮูได้แต่ลูบหน้ากับความจริงอันโหดร้าย
“ฉันไม่ได้ชอบแกล้งคนอื่นขนาดนั้นนะ”
“เงียบไปเลย ฉันยังจำฟีโง่ได้ดี อ่า แค่คิดก็โกรธแล้วสิ”
ฟีโซราบ่นออกมาก่อนที่จะนั่งยืดตัวขึ้นมาอย่างกระทันหัน
ซอลจีฮูที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอได้มองเธออย่างสงสัย
“ว่าแต่เมื่อไหร่เราจะทำเจ้านั่นกัน”
“อะไรงั้นเหรอ ไปวิหารน่ะหรอ”
“อ๊า~ นายรู้ว่าฉันหมายถึงอะไร”
ฟีโซราได้ยืนขึ้น และวนรอบโต๊ะอย่างตื่นเต้น เธอได้พุ่งมานั่งข้างซอลจีฮูได้ยื่นหน้าเข้าหาเขา
“เราจะได้ไปใช้เวลาที่วิหาร ฉันกำลังพูดเรื่องรางวัลน่ะ เราคงจะได้รางวัลมากมายจากการที่ช่วยทั้งอาณาจักรภูติกับป้อมปราการไทกอลแน่ๆ”
ฟีโซราได้ใช้ข้อศอกกระทุกซอลจีฮู และเลิกคิ้วออกมา
“นายคงไม่รับทุกอย่างไปคนเดียวใช่ไหมล่ะ”
ในตอนนั้นเองซอลจีฮูก็ตามเป็นประกายขึ้นมา