The simple life of the emperor - ตอนที่ 101
ณ โรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง
มีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งทานอาหารกับเด็กผู้หญิงอยู่ในห้องส่วนตัว และฝั่งตรงข้ามของเขาเป็นชายวัยกลางคนที่มีท่าทางหยิ่งยโสเล็กน้อย
ชายวัยกลางคนมองชายหนุ่มอยู่สักครู่ก่อนจะเอ่ยขึ้น
”เป็นยังไงบ้างขอรับ ข้อเสนอของทางเรา”
ชายหนุ่มจ้องมองม้วนกระดาษที่อยู่ในมือเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้น
”แหม ~ ท่านเสนาบดีฉวีท่านคิดจริงๆหรือว่าสิ่งของพวกนี้จะเพียงพอที่จะแลกกับยันต์ค่ายกลของข้าได้ ?”
เมื่อเสนาบดีฉวีได้ยินแบบนั้นก็ตกใจเล็กน้อยก่อนจะพูดแย้งขึ้น
”แต่ว่าท่านฮ่าวเทียนสิ่งของที่ถูกเขียนอยู่ในนั้นเกือบจะหนึ่งในสามของท้องพระคลังแล้วนะ หากท่านต้องการมากกว่านี้แล้วละก็เกรงว่าทางราชวงศ์ของเราคงไม่สามารถที่จะให้ได้”
ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าฮ่าวเทียนได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย
”เอาอย่างงี้ไหมละท่านฉวี ข้าจะไม่ขอเพิ่มและข้าก็จะไม่เอาสิ่งของพวกนี้”
เมื่อเสนาบดีฉวีได้ยินคำพูดของฮ่าวเทียนเขาก็ยิ้มเล็กน้อย แต่คำกล่าวต่อมาของเขาก็ทำให้เสนาบดีฉวีถึงกับคิดหนัก
”แต่ข้าต้องการเพียงสิ่งของชิ้นเดียวในท้องพระคลังของท่านเท่านั้นเพื่อแลกกับยันต์ของข้า ซึ่งท่านก็น่าจะรู้ว่าข้านั้นต้องการอะไร”
เมื่อพูดจบฮ่าวเทียนก็หยิบแก้วไวน์ขึ้นมาจิบพร้อมกับยิ้มออกมา เมื่อเห็นใบหน้าอันอ่อนเยาว์ของฮ่าวเทียนที่ยิ้มแย้มออกมาแล้วเสนาบดีฉวีก็ถึงกับเหงื่อตกเล็กน้อยก่อนจะพูดเสียงอ่อน
”แต่ว่าท่านฮ่าวเทียน ท่านก็รู้ว่าของสิ่งนั้นเป็นสมบัติของราชวงศ์เซี่ยของเรา ไม่มีทางที่องค์จักรพรรดิจะยินยอมที่จะยกให้ท่านง่ายๆหรอก”
ฮ่าวเทียนที่ได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจพร้อมกับส่ายหัวเบาๆ
”ท่านเสนาบดีฉวีท่านก็รู้สถานะการณ์ในตอนนี้ดีเหล่าสำนักมารและลัทธินอกรีตต่างเริ่มโจมตีพื้นที่ในแคว้นเหยียนแล้ว อยู่ที่เวลาแล้วว่าพวกมันจะมาถึงเมืองหลวงเมื่อไหร่หากชักช้าเกรงว่าแม้แต่ราชวงศ์เซี่ยของท่านก็คงจะต้องล่มสลาย”
เมื่อเสนาบดีฉวีได้ยินแบบนั้นก็ไม่สามารถที่จะหาข้อโต้แย้งได้ในฐานะที่เขาทำงานอยู่ภายในราชวงศ์เซี่ยด้วยเช่นกันและยังดำรงตำแหน่งเสนาบดีคนหนึ่งเรื่องเช่นนี้จึงเป็นเรื่องที่เขานั้นรู้ดีอยู่เต็มอก
เสนาบดีฉวีนั่งคิดเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยกับฮ่าวเทียนว่า
”เป็นไปไม่ได้เลยหรือที่ท่านจะนำของชิ้นอื่นไปแทน ?”
ฮ่าวเทียนยิ้มพร้อมกับส่ายหน้าเป็นสัญญาณบอกว่านี่คือข้อตกลงที่ดีที่สุดของเขาแล้ว
เสนาบดีฉวีที่ได้รู้แบบนั้นก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะกล่าว่า
”ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปเรียนเรื่องนี้กับองค์จักรรพดิ”
ฮ่าวเทียนที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มพร้อมกับกล่าว
”ถ้าเช่นนั้นข้าจะรอฟังข่าวดี ท่านสามารถมาหาข้าได้ที่นี้ข้าจะอยู่ที่เมืองนี้อีกสองสามวัน”
เสนาบดีฉวีเดินออกจากห้องไปด้วยใบหน้าผิดหวังเล็กน้อยหลังจากเสนาบดีฉวีจากไปเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างกายฮ่าวเทียนก็พูดขึ้นทันที
”ท่านอาจารย์ของสิ่งนั้นที่ท่านอาจารย์ต้องการคืออะไรงั้นเหรอ ? ถึงกับทำให้ท่านเสนาบดีของราชวงศ์เซี่ยดูทุกข์ใจขนาดนั้นได้”
ฮ่าวเทียนที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออกมาก่อนจะพูดขึ้น
”แน่นอนสิ เพราะสิ่งนั้นเป็นเหมือนกับมรดกตกทอดของราชวงศ์เซี่ยเลยแหละ”
เด็กสาวที่ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้ง
”แต่ว่ามันคุ้มกับที่จะเอามาแลกกับยันต์ระดับเจ็ดของอาจารย์งั้นเหรอ ?”
”แน่นอน เพราะของสิ่งนั้นจำเป็นสำหรับเราแล้วอีกอย่างยันต์ระดับเจ็ดนั้นข้าจะสร้างขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้หากมีวัตถุดิบมากพอ”
”ท่านอาจารย์คิดว่าพวกเขาจะยอมแลกมันกับยันต์ของท่านงั้นเหรอ ?”
เมื่อได้ยินคำถามฮ่าวเทียนก็ยิ้มพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า
”พวกเขาจะยอมไม่ช้าก็เร็ว… พวกลัทธินอกรีตและสำนักมารเริ่มใกล้เข้าทวีปเซี่ยขึ้นมาทุกที ตอนนี้ในเขตชายแดนของทวีปก็เริ่มที่จะมีการต่อสู้กันแล้ว ไม่นานหรอก”
เด็กสาวพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปกินอาหารต่อ เมื่อเห็นแบบนั้นฮ่าวเทียนก็พูดขึ้น
”เจ้านี่กินเก่งจริงๆเลยนะ”
”ก็ข้ากำลังโตนี้หน่า”
เมื่อได้ยินแบบนั้นฮ่าวเทียนก็หัวเราะออกมาเสียงดัง
———————————————————————————————————————
ภายในห้องโถงใหญ่โตหรูหราเสนาบดีฉวีรีบวิ่งเข้ามาพร้อมกับคุกเข่าลงก่อนจะเอ่ยขึ้น
”องค์จักรพรรดิ… ท่านฮ่าวเทียนกล่าวปฏิเสธข้อเสนอของทางเราขอรับ”
เมื่อองค์จักรพรรดิได้ยินเขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
”เจ้าได้ลองต่อรองกับเขาดูแล้วหรือยัง ?”
”ขะ.. ข้าได้ลองต่อรองแล้วข้อรับแต่ท่านฮ่าวเทียนนั้นปฏิเสธ”
เสนาบดีฉวีเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ
”นอกเสียจาก…”
”นอกเสียจากอะไร ?”
องค์จักรพรรดิถามออกมาด้วยท่าทีสงสัย เสนาบดีฉวีลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนจะเอ่ย
”นอกจากเราจะมอบไข่มุกดวงดาวให้กับเขา”
เมื่อองค์จักรพรรดิที่ได้ยินแบบนั้นก็แสดงสีหน้าตกใจเล็กน้อยก่อนจะกลับเป็นปกติราวกับว่าเหมือนจะรู้อยู่แล้วดังนั้นเขาจึงคิดเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
”หากว่าท่านฮ่าวเทียนต้องการก็ให้เขาเถอะ ในตอนนี้ความปลอดภัยของเมืองหลวงสำคัญกว่า พรุ่งนี้จงนำไข่มุกดวงดาวไปมอบให้กับท่านฮ่าวเทียนซะเสนาบดีฉวี”
”ขอรับองค์จักรพรรดิ”
เสนาบดีฉวีลุกขึ้นพร้อมกับเดินออกไปแต่ก่อนจะออกจากห้องโถงไปนั้นองค์จักรพรรดิก็ได้พูดขึ้น
”จริงสิ จงนำขุนพลฉางไปกับเจ้าด้วยเพื่อให้เขาคุ้มกันเจ้า”
เสนาบดีฉวีหันมาพร้อมกับทำความเคารพ
”ขอบพระทัยฝ่าบาท”
————————————————————————————————————————
ทางด้านของฮ่าวเทียนที่กำลังนั่งอยู่ในห้องพักของเขาอยู่นั้นก็ได้มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ก๊อกก๊อก !!
ฮ่าวเทียนยิ้ม
”เข้ามา”
ประตูเปิดออกพร้อมกับเสนาบดีฉวีและชายหนุ่มที่สวมเกราะสิงโตทองเดินเข้ามา เสนาบดีฉวีประสานมือทำความเคารพฮ่าวเทียนอย่างนอบน้อมทันที
”เคารพท่านฮ่าวเทียน”
ฮ่าวเทียนยิ้มพร้อมกับโบกมือไปมาก่อนจะบอกให้เสนาบดีฉวีนั่งลงที่เก้าอี้ใกล้ๆ หลังจากที่เสนาบดีฉวีนั่งลงเขาก็หยิบกล่องไม้ใบหนึ่งออกมาพร้อมกับยื่นมันให้กับฮ่าวเทียน
ฮ่าวเทียนรับเอาไว้ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับเปิดดูซึ่งด้านในนั้นบรรจุไข่มุกสีดำสนิทเอาไว้อยู่ซึ่งหลังจากที่ตัวของไข่มุกได้กระทบกับแสงแดดอ่อนๆยามเช้าตัวไข่มุกก็เกิดประกายแวววาวออกมาคล้ายกับดาวดวงที่อยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืนซึ่งนี่คือที่มาของชื่อของมัน
ฮ่าวเทียนยิ้มพร้อมกับเก็บกล่องไม้เข้าไปในแหวนของเขาก่อนจะนำยันต์จำนวนหนึ่งออกมาพร้อมกับยื่นให้กับเสนาบดีฉวี
”นี่คือยันต์ที่ท่านต้องการ แต่การใช้งานมันออกจะยุ่งยากสักนิดนึงดังนั้นข้าจะเขียนวิธีใช้งานให้กับท่านก็แล้วกัน”
เสนาบดีฉวีได้ยินแบบนั้นก็แสดงสีหน้าดีใจออกมาก่อนจะรับยันต์ของฮ่าวเทียนไปพร้อมกับกล่าวขอบคุณ ในขณะนั้นการกระทำของฮ่าวเทียนก็ถูกคนผู้หนึ่งจ้องมองอยู่ซึ่งก็คือนายพลฉางนั่นเอง
ฮ่าวเทียนที่รู้สึกรำคาญเล็กน้อยจึงกล่าวออกมา
”ท่านเสนาบดีไม่ทราบว่าชายหนุ่มในชุดเกราะทองคำด้านหลังนั่นคือผู้ใดกันงั้นหรือ ?”
”อ้อ เขาคือนายพลฉางเป็นนายพลฝีมือดีของกองทัพเรา เขาสามารถกลายมาเป็นนายพลได้ตั้งแต่ยังหนุ่มหากว่าเขาสามารถผ่านพ้นสงครามใหญ่ครั้งนี้ไปได้ข้าเชื่อว่าอนาคตของเขาต้องรุ่งโรจน์อย่างแน่นอน”
ฮ่าวเทียนที่ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับจ้องมองนายพลฉาง ทางนายพลฉางที่จ้องมองฮ่าวเทียนอยู่นั้นก็พูดกับเสนาบดีขึ้นว่า
”ท่านเสนาฉวี ท่านแน่ใจแล้วงั้นเหรอครับที่จะนำไข่มุกดวงดาวมาแลกกับผ้ายันต์เหล่านั้น ข้าเกรงว่ามันไม่ค่อยจะคุ้มค่าสักเท่าไหร่นัก”
เมื่อเสนาบดีฉวีได้ยินแบบนั้นเขาก็มองนายพลฉางเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยอธิบาย
”ท่านนายพลฉาง ท่านอายุยังน้อยอาจจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับท่านฮ่าวเทียนมากนักแต่ท่านโปรดวางใจว่ายันต์ป้องกันของท่านฮ่าวเทียนนั้นคุ้มค่าแน่นอน เพราะองค์จักรพรรดินั้นเป็นคนพูดเองหากท่านสงสัยแสดงว่าท่านนั้นสงสัยในตัวองค์จักรพรรดิด้วยเช่นกัน”
เมื่อนายพลฉางได้ยินแบบนั้นก็แสดงท่าทีตกใจเล็กน้อยก่อนจะประสานมือพร้อมกับพูดขึ้น
”ข้ามิกล้า แต่เพียงแค่ข้าสงสัยเท่านั้นเพราะตลอดชีวิตของข้า ข้ามิเคยได้ยินชื่อของผู้สร้างยันต์ฮ่าวเทียนมาก่อน ดังนั้นข้าจึงมีข้อกังขาในตัวตนของเขาและเกรงว่าเขานั้นจะมาหลอกเอาสมบัติของราชวงศ์เซี่ยของเราไป”
เมื่อฮ่าวเทียนได้ยินคำพูดของนายพลฉางเขาก็หัวเราะออกมา ทำให้นายพลฉางไม่พอใจเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม
”เจ้าหัวเราะอะไร ?”
ฮ่าวเทียนที่ได้ยินคำถามก็พูดขึ้น
”ข้าหัวเราะให้กับความไร้เดียงสาของท่านตัวข้าผู้ดำรงตำแหน่งเจ้านิกายสวรรค์นิรันดิ์ ข้าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาหลอกลวงเอาสิ่งของเล็กน้อยนี้หรอกนะท่านนายพล”
เมื่อนายพลฉางได้ยินแบบนั้นเขาก็หัวเราะเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
”นิกายสวรรค์นิรันดิ์ ? ข้าไม่เคยได้ยินชื่อของนิกายของเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว ข้าเดาว่านิกายของเจ้าคงเป็นนิกายเล็กๆที่ตั้งอยู่ในซอกหลืบของหุบเขาสักแห่งงั้นสินะ”
เมื่อฮ่าวเทียนได้ยินแบบนั้นสายตาของเขาที่จ้องมองนายพลฉางก็เปลี่ยนไปทันทีพร้อมกับปราณจำนวนมหาศาลที่ถูกปลดปล่อยออกมาจนทำให้โรงเตี้ยมถึงกับสั่นไหว นายพลฉางที่ถูกปราณของฮ่าวเทียนกดดันก็ถึงกับทรุดลงไปกองกับพื้นห้องทันที
เด็กสาวที่นอนอยู่ด้านในห้องเมื่อเธอรับรู้ถึงแรงสั่นไหวก็รีบออกมาหาอาจารย์ของเธอพร้อมกับมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความงุนงง
จากนั้นฮ่าวเทียนหลางก็ได้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แสนจะเย็นชา
”เป็นเพียงมดปลวกที่มีพลังเพียงแค่หยิบมือกลับกล้ามาดูถูกข้าและนิกายของข้าเชียวงั้นรึ เจ้าเด็กน้อยฉาง ข้าคือเจ้านิกายสวรรค์นิรันดิ์ฮ่าวเทียนหลาง เหตุผลเดียวที่ข้าลงมายังดินแดนเบื้องล่างแห่งนี้ก็เพราะหนึ่งในศิษย์ของข้าเป็นคนของแคว้นนี้ข้าจึงไม่อยากเห็นบ้านของศิษย์ข้าถูกทำลายจึงได้มีจิตใจเมตตาปกป้องราชวงศ์ของเจ้าเอาไว้ แต่เจ้ากลับสงสัยในความเมตตาของข้างั้นรึ !!”