The simple life of the emperor - ตอนที่ 39
เทียนหลางรับกระบี่ที่เข้ามาได้อย่างง่ายดายก่อนจะสบัดมือและซัดฝ่ามือเข้าไปที่ท้องของชายชรา ชายชรามองเทียนหลางด้วยความตกใจเล็กน้อยเพราะเขาโจมตีเทียนหลางด้วยพลัง 30% แต่เทียนหลางกลับรับมันได้อย่างง่ายดาย
เขาเป็นถึงเซียนลำดับต้น ๆ ของสำนักไม่น่าจะมีใครที่สามารถต่อกรกับเขาได้ เทียนหลางจ้องชายชราเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมา
”มีฝีมือเพียงแค่นี้คิดจะลงโทษข้า ดูเหมือนเจ้าจะหวังสูงเกินไปหน่อยนะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเทียนหลาง ชายชราก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟก่อนจะพูดขึ้น
”อย่างได้ยโสเกินไปนักเจ้าเด็กเหลือขอ”
‘ข้าคงประมาทมันเกินไป เจ้าเด็กเหลือขอนั่นคงเป็นมือดีของสำนักใดสำนักหนึ่ง’
หลังจากคิดได้ดังนั้นชายชราก็ไม่กล้าที่จะประมาทเทียนหลางอีกต่อไป เขาสบัดกระบี่เล็กน้อยก่อนจะพุ่งเข้าใส่เทียนหลางและเริ่มใช้ทักษะกระบี่ของเขา เทียนหลางตั้งรับได้อย่างอย่างดายด้วยมีดสั้นธรรมดา ๆ ที่ซื้อมาจากตลาดในมือก่อนหน้านี้ แต่ดูเหมือนมันจะทนได้อีกไม่นานนักเพราะใบมีดนั้นเริ่มมีรอยร้าวเล็กน้อยแล้ว
เทียนหลางถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะกระโดดถอยหลังออกมาเล็กน้อยแต่ดูเหมือนชายชราจะไม่ยอมเขายังคงพุ่งโจมตีเข้าใส่เทียนหลางอย่างต่อเนื่องทำให้เทียนหลางรู้สึกลำคาญเป็นอย่างมาก
ทั้งคู่ต่อสู้กันอยู่สักพักชายชราก็ดูเหมือนจะเริ่มร้อนใจเพราะการโจมตีของเขาไม่สามารถผ่านการป้องกันของเทียนหลางได้เลยแม้แต่น้อย ชายชรากระโดดถอยหลังออกมาก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
”ฉันเล่นกับแกมาพอแล้วไอ้เด็กเหลือขอ ฉันจะแสดงฝีมือของเซียนที่แท้จริงให้แกได้ประจักษ์”
เมื่อพูดจบชายชราก็รวบรวมลมปราณของตัวเองไปที่กระบี่พร้อมกับแทงเข้าใส่เทียนหลาง
”ตายซะ !! เพลงกระบี่อสรพิษ !!”
กระบี่ที่ถูกกระหน่ำแทงเข้ามากลายเป็นงูจำนวนมาก พวกมันพุ่งเข้าใส่เทียนหลางด้วยความเกรี้ยวกราดเทียนหลางมองพวกมันเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดังทำให้ทุกคนที่อยู่บริเวณรอบ ๆ นั้นหันมามองเขาทันที เทียนหลางยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น
”อ่อนแอ และโง่เขลานี้คือคำนิยามเดียวที่ข้าจะมอบมันให้แก่เจ้า”
เมื่อเทียนหลางพูดจบเขาก็สบัดมือเบา ๆ หนึ่งครั้งปราณกระบี่อสรพิษจำนวนมากที่เข้ามาก็สลายไปทันที ทำให้ชายชราตกตะลึงเป็นอย่างมาก
”ปะ… เป็นไปไม่ได้”
เทียนหลางแสยะยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
”ข้าจะแสดงพลังของเซียนที่แท้จริงให้คนโง่อย่างเจ้าได้เห็นเอง”
พูดจบเทียนหลางก็รวบรวมลมปราณให้ก่อรูปขึ้นมาเป็นกระบี่ลมปราณเล่มหนึ่งในมือ
”จงหายไปซะ ! กระบี่จำแลงสวรรค์ !!”
เทียนหลางสบัดกระบี่ลมปราณในมือหนึ่งครั้งปรากฏกระบี่ลมปราณสีฟ้าครามสิบเล่มด้านหลังเทียนหลางทันที จากนั้นเทียนหลางก็ชี้กระบี่ในมือไปยังทิศทางของชายชรา
ฟึบ ฟึบ ฟึบ
กระบี่ลมปราณทั้งหมดพุ่งเข้าใส่ชายชราอย่างรวดเร็ว ชายชราพยายามป้องกันอย่างสุดความสามารถแต่ก็ไม่สามารถทำได้ กระบี่พวกนั้นถูกสร้างขึ้นด้วยเพลิงสวรรค์ของเทียนหลางทำให้มีความร้อนมากกว่าเพลิงทั่วไปหลายร้อยเท่าจึงทำให้ยากที่จะทำป้องกัน แถมความเร็วในการเคลื่อนที่ของกระบี่ยังรวดเร็วเกินกว่าที่คนทั่วไปจะมองเห็นจึงทำให้ยากที่จะป้องกัน
จนในที่สุดชายชราก็ไม่สามารถที่จะทนได้อีกต่อไป กระบี่นับสิบพุ่งเข้าใส่ร่างของชายชราก่อนที่เปลวเพลิงสีฟ้าครามจะลุกขึ้นและเผาร่างของชายชราความร้อนเริ่มเพิ่มขึ้นจนทำให้ทรายบริเวณนั้นหลอมละลายและกลายเป็นผลึกแก้ว พร้อมกับร่างของชายชราที่กลายเป็นผุยผง
‘ให้ตายเถอะ ! ข้าเผลอเผาไอ้แก่นั่นไปแล้วงี้จะเอาความทรงจำจากมันได้ยังไง’
”ท่านเซียนตายแล้ว !”
”ท่านเซียนตายแล้ว !”
เทียนหลางกุมขมับให้กับความผิดพลาดของตัวเอง ก่อนจะหันหน้ากลับไปยังสนามรบเมื่อเขาหันกลับมาก็พบว่ามีคนจำนวนหนึ่งกำลังมองเขาอยู่เทียนหลางสังเกตุก็พบว่าเป็นคนจากพรรคอสรพิษและสมาคมเงา เทียนหลางยิ้มเล็กน้อยก่อนจะกำชับกระบี่ลมปราณในมือและพุ่งเข้าใส่คนพวกนั้น
ในขณะที่คนจากทั้งสองกลุ่มกำลังตกตะลึงกับการตายของเซียนอยู่นั้นพวกเขาก็ลืมไปว่าเทียนหลางกำลังพุ่งเข้ามา เมื่อรู้สึกตัวก็พบว่ามันสายไปแล้วเทียนหลางเข้าประชิดตัวพวกเขาแล้ว
ฟุบ ฟุบ ฟุบ
เงาหัวสามหัวกระเด็นหลุดออกจากพร้อมกับเลือดสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ เทียนหลางยืนมองศพพวกนั้นอย่างใจเย็นก่อนจะพุ่งเข้าไปยังสมาชิกคนอื่น ๆ ของสมาคมเงา
อ๊าก อ๊าก อ๊าก
เสียงร้องโหยหวนพร้อมกับเลือดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ เพียงไม่นานรอบตัวเทียนหลางก็มีศพของคนจากสมาคมเงาและพรรคอสรพิษอยู่เต็มไปหมด เทียนหลางสลายกระบี่ลมปราณในมือก่อนจะเดินไปศพของผู้อาวุโสของพรรคอสรพิษเพื่อค้นความทรงจำของเขา
และดูเหมือนว่าคราวนี้เทียนหลางจะโชคดีเพราะศพนั้นเป็นถึงผู้อาวุโสระดับสูงของพรรค ทำให้เขารู้ถึงที่เก็บสมบัติของพรรคอสรพิษทั้งหมดและยังรู้ด้วยว่าพวกมันมีสวนสมุนไพรที่ใหญ่ไม่น้อย
เทียนหลางปล่อยศพคนตรงหน้าลงก่อนจะหันไปมองคนที่เหลือของสมาคมเงา เทียนหลางคิดจะล้วงข้อมูลจากสมาคมเงาสักเล็กน้อยเพราะเขาสนใจพวกมันอยู่นิดหน่อย
แต่ดูเหมือนมันจะสายไปเสียหน่อยเพราะคนจากสมาคมเงาได้หนีไปหมดแล้วและตัวของเทียนหลางก็ขี้เกียจเกินกว่าจะตามพวกมันไป ทำให้เขาได้แต่นั่งมองการต่อสู้ของสี่สำนักกับพรรคอสรพิษ
เทียนหลางนั่งตรวจสอบความทรงจำของเซียนจากพรรคอสรพิษอยู่บนเนินทรายอย่างเงียบ ๆ และเทียนหลางก็ได้รู้ว่าที่ตั้งของพรรคอสรพิษนั้นอยู่ที่หุบเขากุนหมิงซึ่งเทียนหลางนั้นไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ใด แต่ที่เทียนหลางคาดว่ามันคงจะอยู่ในประเทศจีน
”หุบเขากุนหมิง ? มันคือที่ไหนกันนะ”
เทียนหลางขบคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเลิกสนใจและเฝ้ามองการต่อสู้ แต่ยิ่งเทียนหลางมองเขาก็ยิ่งหงุดหงิดเพราะการต่อสู้เริ่มยืดเยื้อมากเกินไปแล้วเทียนหลางเริ่มทนไม่ไหวเพราะตอนนี้เป้าหมายของเขาก็สำเร็จลุล่วงแล้ว แถมเขายังเบื่อสถานที่ที่มีแต่ทรายแบบนี้แล้วด้วย อีกอย่างเขาอยากกลับบ้านไปกินของอร่อย ๆ เต็มที
เทียนหลางลุกขึ้นและเรียกกระบี่ลมปราณออกมาจำนวนหนึ่งก่อนจะสั่งพวกมันให้ไปไล่ฆ่าคนของพรรคอสรพิษและสมาคมเงาที่เหลืออยู่
……………………………………………….
ไม่นานนักคนของพรรคอสรพิษและสมาคมเงาทั้งหมดก็ตายลงด้วยกระบี่ของเทียนหลาง เรียกได้ว่านี่เป็นการฆ่าเพียงฝ่ายเดียวล้วน ๆ น่าเสียดายที่ฝั่งของสมาคมเงาไม่ได้ส่งพวกระดับสูงมาด้วยไม่งั้นเทียนหลางคงได้ข้อมูลมากกว่านี้
‘น่าเสียดายที่ได้ข้อมูลของสมาคมเงาไม่มากนัก แต่ก็ช่างเถอะ ไม่ช้าเรื่องในวันนี้คงไปถึงหูของพวกระดับสูงในไม่ช้า’
เทียนหลางเลิกคิดถึงเรื่องสมาคมเงาเพราะเขาคาดว่าคงอีกไม่นานก็คงจะได้เจอกันใหม่ เทียนหลางสลายกระบี่ลมปราณและเดินกลับไปหาหลินจินทง เมื่อหลินจินทงเห็นเทียนหลางเดินกลับมาเขาก็รีบเข้าไปถามเทียนหลางทันที
”เมื่อกี้มันคืออะไรหน่ะ !?”
เทียนหลางที่ได้ยินคำถามก็เอียงคอสงสัยเล็กน้อยก่อนจะอธิบาย
”มันคือกระบี่ลมปราณน่ะ เกิดจากการควบแน่นและบีบอัดลมปราณให้เกิดรูปร่างจนกลายเป็นกระบี่ หากคุณชำนาญแล้วก็สามารถสร้างทีเดียวได้หลาย ๆ เล่มแต่ถึงคุณจะมีปราณมากขนาดไหนก็ใช่ว่าจะสร้างมันได้ง่าย ๆ มันจะต้องมีความเข้าใจในเคล็ดกระบี่อยู่ในระดับสูงอีกด้วย”
หลินจินทงที่ได้ยินก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะถามอีกครั้ง
”แล้วเธอแข็งแกร่งจนสามารถสู้กับเซียนได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”
เทียนหลางหัวเราะก่อนจะพูดขึ้น
”ที่จริงผมไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้นหรอกนะ แต่เพราะเซียนเหล่านี้มันอ่อนแอมากกว่า ก็อย่างที่ผมเคยบอกก่อนหน้านี้เซียนพวกนี้หากนับรวมกับโลกภายนอกแล้ว พวกนี้ไม่ได้มีอะไรดีเลย”
หลินจินทงพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะเดินไปดูแลคนเจ็บคนอื่น ส่วนเทียนหลางก็กลับมานั่งทานอาหารเช้าอย่างใจเย็น ในขณะที่เทียนหลางกำลังทานอาหารอยู่นั้นก็ได้มีศิษย์จากสำนักวารีพิสุทธิ์เข้ามา
”คุณชาย อาจารย์ของพวกเราอยากจะพบคุณชาย”
เทียนหลางที่ได้ยินก็งุนงงเล็กน้อยกับคำเรียกของพวกเธอ คุณชาย ? ฉันไปเป็นคุณชายของพวกเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เทียนหลางก็เดินตามพวกเธอไปอย่างโดยดี
พวกเธอนำเทียนหลางมายังเต็นท์หลักของสำนักวารีพิสุทธิ์ เมื่อเข้ามาเทียนหลางก็พบกับสาวสวยคนหนึ่งกำลังนั่งจิบชาอยู่ เมื่อเทียนหลางเข้ามาเธอก็หันมาและกล่าวกลับเขาทันที
”ยินดีต้อนรับคุณชาย เชิญนั่งก่อน”
เทียนหลางนั่งลงและสังเกตุเธอเล็กน้อย จากที่สังเกตุดูแล้วเธอน่าจะมีอายุไม่เกิน 30ปี เธอมีใบหน้าที่งดงามได้รูปและดวงตาที่ใสกระจ่างราวกับกระจกยิ่งทำให้เธอดูมีเสน่ห์ไม่น้อย เทียนหลางจิบชาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม
”ไม่ทราบว่าเจ้าเรียกข้ามาที่นี้เพื่อสิ่งใด ?”
เมื่อเธอได้ยินคำถามของเทียนหลาง เธอก็หัวเราะเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
”ข้าแค่อยากจะขอบคุณ คุณชายที่ช่วยลูกศิษย์ของข้าเอาไว้เมื่อสองวันก่อน และอยากจะขอบคุณที่ช่วยพวกเราในการต่อสู้กับพรรคอสรพิษและสมาคมเงาในวันนี้ด้วย”
เทียนหลางที่ได้ยินก็พยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย
”เพียงแค่จะขอบคุณ ก็ไม่น่าจะต้องถึงกับชวนข้ามาที่นี้เลยเพียงแค่ให้เด็กรับใช้มากล่าวก็น่าจะเพียงพอแล้ว ข้าสงสัยว่าเจ้าจะทำให้เรื่องมันยุ่งยากเพื่ออะไร ?”
เธอยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น
”ดูเหมือนจะปกปิดคุณไม่ได้จริง ๆ ที่จริงที่ข้าเรียกคุณชายมาที่นี้เพื่ออยากจะขอแบ่งปันบางสิ่งจากคุณชาย”
เมื่อเทียนหลางได้ยินก็แสดงท่าทีตกใจเล็กน้อย
”ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดถึงสิ่งใด”
เทียนหลางกล่าวปฏิเสธ เธอยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
”คุณชายอย่าพูดแบบนั้นสิ สิ่งที่ข้าต้องการก็เพียงเศษเล็กน้อยจากดาวตกที่คุณชายได้เก็บไปเพียงเท่านั้น หากคุณชายปฏิเสธที่จะแบ่งปันมันกับพวกข้าแล้ว ข้าคงไม่อาจห้ามได้ที่ศิษย์หญิงเหล่านี้จะทำร้ายท่าน”
เทียนหลางที่ได้ยินก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เขาไม่คาดคิดว่าจะมีคนรู้เรื่องที่เขานั้นขโมยสะเก็ตดาวไปจากพวกนั้นแต่เทียนหลางก็คาดไว้แล้วว่าไม่นานก็คงจะมีคนรู้เรื่องนี้ เพราะตอนที่เขาเข้าไปทำสะเก็ตดวงดาวนั้นเขาเพียงแค่ใช้ทักษะพรางกายกับยามเท่านั้น จึงไม่แปลกที่จะมีคนรู้เรื่องนี้
เมื่อเธอเห็นเทียนหลางหัวเราะออกมา เธอก็อดไม่ได้ที่จะถาม
”คุณชายหัวเราะสิ่งใด ?”
”ข้าหัวเราะพวกเจ้าหน่ะสิ พวกเจ้าคิดหรือว่าจะข่มขู่ข้าได้เพราะพวกข้ามาอยู่ในพื้นที่ของพวกเจ้า”
เมื่อพูดจบเทียนหลางก็ชี้นิ้วไปที่คอของเธอ ทันใดปราณกระบี่ขนาดเล็กก็พุ่งผ่านลำคอของเธอไปทันทีและเจาะไปที่ผ้าม่านด้านหลังจนเป็นรู จากนั้นเทียนหลางก็ลดมือลงพร้อมกับพูดขึ้น
”จำไว้คุณผู้หญิง อย่าริได้บังอาจขู่ผู้อื่นหากตนเองนั้นอ่อนแอ มิเช่นนั้นผลที่ตามมาจะเลวร้ายกว่าที่คุณคิดเอาไว้”
เมื่อพูดจบเทียนหลางก็เดินออกจากที่พักหลักของสำนักวารีพิสุทธิ์ไปก่อนจากไปเทียนหลางก็ทิ้งคำพูดเอาไว้อีกประโยคหนึ่ง
”หากมายุ่งวุ่นวายกับชีวิตของข้าละก็ ข้าคงต้องไปหาพวกเจ้าถึงที่สำนักในสักวันหนึ่ง”