The simple life of the emperor - ตอนที่ 66
เทียนหลางและเฟิงหยวนแยกกันไปจัดการอสูรโบราณในแต่ละส่วนของเกราะเบื่อบีบการกระจายตัวของมันให้แคบลง ส่วนทางด้านของสี่สำนักใหญ่ก็กำลังพบศึกที่น่าหนักใจ
”เจ้าสัตว์ประหลาดพวกนี้มันอะไรกัน ความแข็งแกร่งของมันเกือบเทียบเท่าชนชั้นนภาเลย !”
ศิษย์ของสำนักอัคคีคนหนึ่งได้พูดขึ้น
”นั่นนะสิ แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ความแข็งแกร่งของพวกมันหรอกปัญหาอยู่ที่จำนวนต่างหากหล่ะ”
ศิษย์ของสำนักมรกตพูดในขณะที่กำลังต่อสู้กับอสูรโบราณตรงหน้าอยู่ ไม่ไกลนักผู้อาวุโสของสำนักอัคคีก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ผิดหวัง
”ดูเหมือนพวกเราจะมาช้าเกินไป พวกมันทำพิธีกรรมได้สำเร็จแล้ว”
”ถูกต้องแถมพวกมันยังปลุกอสูรที่แข็งแกร่งออกมาเป็นจำนวนมากอีก แต่ทำไมข้ายังไม่เห็นคนของลัทธิมารอยู่แถวนี้เลยหล่ะ?”
”มันอาจจะถูกพวกอสูรพวกนี้กินไปแล้วก็ได้มั้ง”
เมื่อได้ยินแบบนั้นผู้อาวุโสของสำนักวารีพิสุทธิ์ก็แย้งขึ้น
”ไม่หรอกมั้ง ไม่ใช่ว่าอสูรพวกนี้จะเชื่อฟังคำสั่งของคนที่ปลุกมันขึ้นมาหรอกเหรอ ?”
”มันก็ไม่แน่เสมอไป ข้าเคยอ่านเจอในตำราว่า หากอสูรที่ถูกอัญเชิญมานั้นมีพลังแกร่งกล้ากว่าผู้ทำพิธีมันก็สามารถฆ่าผู้ทำพิธีทิ้งเพื่อปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการรับคำสั่งได้”
”เป็นอสูรที่ไว้ใจไม่ได้จริงๆ”
ผู้อาวุโสของสำนักวารีพิสุทธิ์พูดขึ้นทำให้ผู้คนรอบๆ นั้นต่างเห็นด้วยสัตว์อสูรที่ไม่สามารถควบคุมได้เป็นสิ่งที่อันตรายและไม่ควรจะไปยุ่งเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้มันจะช่วยให้ผู้อัญเชิญแข็งแกร่งขึ้นแค่ไหนก็ตาม
………………………………………………………………………………….
ทางด้านของเทียนหลางที่กำลังกวัดแกว่งกระบี่ฆ่าอสูรโบราณอยู่นั้นก็สังเกตุถึงสิ่งผิดปกติบางอย่างได้
”นี่คุณสังเกตุรึเปล่าว่ามันมีจำนวนเพิ่มขึ้น ?”
เฟิงหยวนที่ได้รับการติดต่อผ่านสัมผัสวิญญาณก็พูดขึ้น
”ใช่ ก่อนหน้าพวกเราดูจนแน่ใจแล้วว่าพวกมันจะไม่ออกมาอีกทำไมพวกมันถึงมีจำนวนเพิ่มขึ้นกันได้หล่ะ ?”
เทียนหลางคิดสักพักก่อนจะพูดขึ้น
”หรือว่าพวกมันจะใช้พวกเดียวกันสังเวยเพื่อเรียกพวกเพิ่ม ?”
เมื่อได้ยินแบบนั้นเฟิงหยวนก็พูดออกมาด้วยความสงสัย
”มันทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอ ?”
”ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ผมเคยได้ยินว่ามีอสูรโบราณบางประเภทที่มีสติปัญญาเทียบเท่ากับมนุษย์ พวกมันสามารถเรียนรู้แล้วฝึกฝนตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้นได้ฉะนั้นเรื่องพิธีกรรมอะไรพวกนี้คงไม่ยากเกินความเข้าใจของพวกมัน แต่ถึงอย่างงั้นผมก็ไม่เคยเจอมันเหมือนกัน”
เฟิงหยวนที่ได้ยินก็พูดขึ้นทันที
”เอาเป็นว่าเก็บกวาดรอบนอกให้หมดเสียก่อนแล้วค่อยเข้าไปจัดการข้างในทีเดียวก็แล้วกัน”
”เข้าใจแล้ว”
หลังจากเลิกติดต่อกันเทียนหลางก็มุ่งหน้าควงกระบี่เฉือดเฉือนเหล่าอสูรโบราณทิ้งเป็นผักปลา เหล่าอสูรโบราณพวกนี้เป็นเพียงแค่เบี้ยที่ใช้แล้วทิ้งพวกมันมีหน้าที่เป็นแนวหน้าสร้างความยากลำบากให้กับศัตรูเท่านั้นฉะนั้นพวกมันจึงไม่ได้แข็งแกร่งมากนักระดับของพวกมันเป็นเพียงแค่ชนชั้นปฐพีหรือนภาเท่านั้น
………………………………………………………………………………….
ทางฝั่งของเหล่า 4 สำนักใหญ่ในตอนนี้เริ่มมีปัญหากับอสูรโบราณจำนวนมากแล้วพวกเขานั้นต้องการไปยังสถานที่ทำพิธีกรรมของสาวกลัทธิมารเพื่อที่จะหยุดพิธีกรรมนั้น แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ง่ายขนาดนั้นเพราะระหว่างทางพวกเขากลับต้องเจออสูรโบราณจำนวนมากและการต่อสู้เริ่มยากลำบากมากขึ้นไปอีกเมื่อพวกเขาเริ่มที่จะหมดแรงกันแล้ว แต่พวกสัตว์อสูรโบราณนั้นก็ยังคงดาหน้าเข้ามากันอย่างไม่หยุดหย่อน
”พวกมันมีเยอะเกินไป !!”
หนึ่งในศิษย์ของสำนักมรกตพูดขึ้นก่อนจะค่อยๆ ถอยลงมารวมกลุ่มกับคนอื่น
”ยิ่งเข้าไปลึกเท่าไหร่ก็ยิ่งมีพวกมันมากขึ้น ฉันละสงสัยจริงๆ ว่ากลุ่มอื่นจะเป็นยังไงบ้าง”
”สภาพของพวกเขาคงไม่ดีไปกว่าพวกเรานักหรอก”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งเอ่ยขึ้นก่อนจะจัดการตัดคออสูรโบราณตรงหน้า การต่อสู้เริ่มรุนแรงมากขึ้นเพราะจำนวนอสูรโบราณที่ถาโถมเข้ามาใส่พวกเขาเริ่มมีจำนวนมากขึ้นทุกวินาที
”อ๊าาาาาาาา !!”
”ฟานเหยาาาาา !!”
ผู้อาวุโสของสำนักวารีพิสุทธิ์คนหนึ่งร้องขึ้นเมื่อเห็นศิษย์ในสำนักถูกอสูรโบราณลากตัวเธอไป เธอพยายามจะเข้าไปช่วยนางแต่ก็ถูกผู้อาวุโสของสำนักมรกตขวางเอาไว้
”ผู้อาวุโสหยวน ท่านจะมาขวางข้าทำไม !!”
”ใจเย็นไว้ผู้อาวุโสหลิน เราช่วยนางเอาไว้ไม่ได้ในตอนนี้เราทำได้เพียงป้องกันเพื่อไม่ให้คนอื่นถูกลากตัวไปอีกเท่านั้น”
เมื่อเธอได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ทำใจยอมรับชะตากรรมและกลับมาป้องกันคนอื่นๆ พร้อมกับเริ่มถอยออกจากป่าอย่างช้าๆ ในจังหวะที่พวกเขากำลังถอยอยู่นั้นผู้อาวุโสของสำนักวารีพิสุทธิ์ก็เกิดพลาดท่าโดนอสูรโบราณตัวหนึ่งซัดหมัดใส่เข้าที่อกและกระเด็นออกไปนอกกำแพงป้องกัน
”ผู้อาวุโสหลิน !!”
ผู้อาวุโสหยวนจากสำนักมรกตร้องขึ้นเมื่อเขาเห็นผู้อาวุโสหลินถูกสัตว์อสูรลากออกไป
”เอายังไงดีครับผู้อาวุโส !!”
ศิษย์คนหนึ่งถามขึ้น ผู้อาวุโสหยวนลังเลอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจ
”เราช่วยเธอเอาไว้ไม่ได้แม้ฉันจะอยากช่วยก็ตาม แต่ฉันต้องปกป้องทุกคนกลับไปที่หาด”
เมื่อได้ยินการตัดสินใจของผู้อาวุโสหยวนเหล่าศิษย์ก็พยักหน้าพร้อมกับมองไปยังทิศทางที่ผู้อาวุโสหลินถูกลากออกไปด้วยสายตาเศร้าสร้อย รวมถึงศิษย์ของสำนักวารีพิสุทธิ์ด้วยเช่นกันแม้พวกนางอยากจะไปช่วยอาจารย์ของตนแต่การรักษาชีวิตตัวเองเพื่อกลับไปรวมตัวกับกลุ่มอื่นและกลับมาช่วยเธอทีหลังก็อาจจะยังทัน
………………………………………………………………………………….
ผู้อาวุโสหลินที่ถูกอสูรโบราณลากออกมาก็พยายามต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดอย่างสุดกำลัง เธอพยายามฆ่าพวกมันทีละตัวพร้อมกับพยายามกลับไปรวมกลุ่มของเธออีกครั้งแต่ดูเหมือนความพยายามของเธอจะสูญเปล่ายิ่งเธอฆ่าพวกมันเท่าไหร่ พวกมันก็ยิ่งเข้ามารุมล้อมเธอมาขึ้นในตอนนี้เธอเริ่มที่จะเหนื่อยแล้ว และร่างกายของเธอก็เริ่มมีบาดแผลมากขึ้นจากการจู่โจมของอสูรโบราณ
เธอพยายามต่อสู้อย่างสุดความสามารถแต่ดูเหมือนจะยังไม่พอ
ฉัวะ !
อ๊า !!
กรงเล็บของอสูรโบราณเฉือนเข้าใส่หลังทำให้ผู้อาวุโสหลินทำให้เธอนั้นเสียจังหวะการป้องกันไป และเจ้าอสูรโบราณอีกตัวก็ไม่ปล่อยโอกาสเพียงเสี้ยววินาทีนี้หลุดรอดไปมันพุ่งเข้าใส่ผู้อาวุโสหลินทันทีพร้อมกับกางกรงเล็บของมัน ผู้อาวุโสหลินมองกรงเล็บของอสูรโบราณที่กำลังเข้ามาใกล้เธอพร้อมกับยิ้มออกมา
”มันจบแล้วสินะ”
ฉัวะ !
ในขณะที่ผู้อาวุโสหลินกำลังยิ้มเยาะกับความอายุสั้นของตัวเองนั้นก็มีคลื่นลมปราณสายหนึ่งพุ่งเข้ามาตัดแขนของอสูรโบราณตรงหน้าพร้อมกับหั่นเหล่าอสูรโบราณรอบๆ เป็นพันๆ ชิ้นอย่างไม่ใยดี
ผู้อาวุโสหลินพยายามมองไปรอบๆ เพื่อค้นหาคนที่ช่วยชีวิตเธอแต่ก็ไม่พบจนกระทั้งมีเสียงหนึ่งดังขึ้น
”เธอคือคนจาก 4 สำนักใหญ่สินะ”
เมื่อผู้อาวุโสหลินได้ยินก็หันขึ้นไปมองด้านพบก็พบเทียนหลางกำลังลอยตัวอยู่พร้อมกับจ้องมองมาที่เธอ เธอมองเทียนหลางอยู่สักพักก่อนจะพูดขึ้น
”ใช่ ฉันเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของสำนักวารีพิสุทธิ์ขอขอบคุณที่ช่วยชีวิตฉันเอาไว้”
เทียนหลางที่ได้ยินก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม
”แล้วคนอื่นหล่ะ ?”
”ฉันถูกสัตว์ประหลาดพวกนั้นลากออกมาขณะกำลังถอยกลับไปที่ชาดหาดเพื่อรวมกลุ่ม”
ผู้อาวุโสหลินตอบกลับไปตามความจริงเพราะจากที่เธอดูแล้วเทียนหลางนั้นดูไม่มีพิษภัยและเขายังช่วยชีวิตเธอไว้อีกด้วยดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องโกหกอะไรเขา ทางด้านเทียนหลางที่ได้ยินก็คิดเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
”งั้นผมจะไปส่งคุณที่ชายหาดก็แล้วกัน เพราะผมต้องไปเจอคนบางคนที่นั่นด้วย”
ทันทีที่ผู้อาวุโสหลินได้ยินก็ดีใจเป็นอย่างมากก่อนจะเอ่ยขอบคุณ
”ขอบคุณมาก”
”คุณเดินวิ่งไหวรึเปล่า ?”
ผู้อาวุโสหลินที่ได้ยินก็พยักหน้าเล็กน้อยเพื่อเป็นการบอกสภาพร่างกายของตัว เทียนหลางที่ได้ยินคำยืนยันก็พยักหน้าก่อนจะพุ่งตัวไปยังทิศทางชายหาดพร้อมกับปลดปล่อยคลื่นกระบี่กวาดล้างอสูรโบราณตรงหน้า
เมื่อผู้อาวุโสหลินเห็นภาพตรงหน้าก็ถึงกับตะลึงจนพูดไม่ออกพวกเธอที่เป็นถึงผู้อาวุโสของสำนักต่อสู้อย่างยากลำบากกว่าจะฆ่าพวกมันได้สักตัวหนึ่ง แต่ชายหนุ่มตรงหน้ากับกวาดล้างพวกมันนับร้อยตัวได้ในการโจมตีเดียว เธอเชื่อว่าต่อให้เซียนของสำนักเธอก็ไม่สามารถทำแบบนี้ได้แน่เธอมองชายหนุ่มที่กำลังพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วด้วยความสงสัย
”เขาเป็นใครกันแน่…”
ไม่นานนักเทียนหลางก็พาผู้อาวุโสหลินมาส่งถึงชายหาดแม้เขาจะอ้อมไปบ้างเล็กน้อยเพราะขี้เกียจไปเจอฝูงของอสูรโบราณ แต่เขาก็พาผู้อาวุโสหลินมาส่งได้อย่างปลอดภัย เมื่อผู้อาวุโสหลินมาถึงก็แสดงสีหน้าดีใจออกมาพร้อมกับกล่าวขอบคุณกับเทียนหลาง
”ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเองก็ต้องมาที่นี้เหมือนกัน”
”เหมือนกัน ? เธอเป็นคนจาก 4 สำนักใหญ่งั้นเหรอ ?”
”เปล่าครับ ผมมารอคนๆ หนึ่งเท่านั้น”
”รอคน ?”
ในจังหวะที่ผู้อาวุโสหลินกำลังจะถามเทียนหลางอยู่นั้นก็ได้มีคนกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากป่า เมื่อผู้อาวุโสหลินมองไปยังคนกลุ่มนั้นก็พบว่าเป็นกลุ่มของผู้อาวุโสหยวนและลูกศิษย์ของเธอ เมื่อเธอเห็นผู้อาวุโสหยวนกลับออกมาเธอก็เข้าไปหาเขาทันที
”ผุ้อาวุโสหยวน !!”
เมื่อผู้อาวุโสหยวนเห็นผู้อาวุโสหลินกำลังเดินมาทางเขา เขาก็ตกใจเป็นอย่างมากเขาคิดว่าผู้อาวุโสหลินนั้นตายไปแล้วเสียอีก
”ผู้อาวุโสหลิน ท่านรอดมาได้ ?”
”ถูกต้องแล้ว”
”ข้าต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้กลับไปช่วยท่านเพราะข้าเกรงว่าคนอื่นอาจได้รับอันตรายในขณะที่กลับไป ข้าจึงตัดสินใจที่จะทิ้งท่านเอาไว้”
ผู้อาวุโสหลินที่ได้ยินแบบนั้นก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา เธอเข้าใจผู้อาวุโสหยวนดีว่าการตัดสินใจในวินาทีนั้นยากขนาดไหนแม้เธอจะโกรธอยู่บ้างที่ผู้อาวุโสหยวนตัดสินไม่กลับไปช่วยเธอ แต่เมื่อเธอเห็นว่าลูกศิษย์ทั้งหมดของเธอรอดกลับมาได้เธอก็ไม่ได้กล่าวโทษอะไรเขา
”ข้าเข้าใจผู้อาวุโสหยวน ข้าไม่กล่าวโทษท่านในเรื่องนั้นข้าต้องขอขอบใจท่านที่ปกป้องลูกศิษย์ของข้าและพาพวกนางกลับมา”
ผู้อาวุโสหยวนก้มหัวเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามเรื่องหนึ่งที่เขาสงสัย
”แล้วท่านผู้อาวุโสหลินรอดกลับมาได้อย่างไร ?”
เมื่อได้ยินคำถามผู้อาวุโสหลินก็หันมามองเทียนหลางที่กำลังยืนมองไปยังทิศทางหนึ่งอยู่อย่างจริงจัง
”ข้าได้เขาช่วยเอาไว้ และเขาก็พาข้ามาที่นี้”
ผู้อาวุโสหยวนมองตามไปยังทิศทางนั้นก็พบกับเทียนหลางก่อนจะกล่าวขึ้น
”จริงงั้นเหรอ ?”
ผู้อาวุโสหลินพยักหน้ายืนยันก่อนจะเดินไปหาเทียนหลาง
”พ่อหนุ่มต้องขอขอบคุณอีกครั้งที่พาฉันมาส่ง”
เทียนหลางที่ได้ยินก็หันกลับมาก่อนจะพูดขึ้น
”คุณไม่ต้องคิดมากไปหรอก”
เมื่อได้ยินแบบนั้นผู้อาวุโสหลินก็ส่ายหน้า
”ไม่ได้หรอก เธอช่วยชีวิตฉันเอาไว้และยังพาฉันกลับมาหาลูกศิษย์ได้อย่างปลอดภัยอีกบุญคุณครั้งนี้ทางฉันและสำนักวารีพิสุทธิ์จะชดใช้ให้อย่างแน่นอน”
”ผมจะรอก็แล้วกัน”
เทียนหลางพูดออกมาพร้อมกับยิ้มเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเห็นคนๆ หนึ่งพุ่งมาซึ่งนั่นก็คือเฟิงหยวนนั่นเองเมื่อเธอมาถึงทุกคนก็ต้องตะลึงไปกับความงามของเธอ เฟิงหยวนล่อนลงมาอยู่ตรงหน้าของเทียนหลางก่อนจะพูดขึ้น
”คุณมาถึงก่อนงั้นเหรอเนี่ย”
เทียนหลางที่ได้ยินก็ยิ้มออกมาก่อนจะพูดขึ้น
”ช่วยไม่ได้คุณช้าเอง”
หึ !
เฟิงหยวนหึหนึ่งทีก่อนจะหันหน้าหนี ทำให้เทียนหลางต้องเข้าไปง้อเล็กน้อยก่อนจะถามขึ้น
”ทางด้านฝั่งนู้นเป็นยังไงบ้าง ?”
”เรียบร้อยหมดแล้ว แต่ดูเหมือนจะยังมีเหลืออีกมากเลยทีเดียวและดูเหมือนจะมีมาอีกเรื่อยๆ”
เมื่อเทียนหลางได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าก่อนจะบ่นออกมาอย่างช่วยไม่ได้
”ดูเหมือนท่าจะแย่ จัดการทีเดียวเลยก็แล้วกัน”
”เข้าใจแล้ว”
ในขณะที่เทียนหลางกำลังพูดคุยอยู่กับเฟิงหยวนอยู่นั้นก็ได้มีกลุ่มคนจำนวนมากวิ่งมาหาพวกเขา เมื่อมองดูดีๆ แล้วเป็นกลุ่มของ 4 สำนักใหญ่และเหล่าผู้บ่มเพาะเร่ร่อนที่กลับมาด้วยสภาพหยั่งกับผ้าขี้ริ้วเมื่อพวกเขาเห็นกลุ่มของผู้อาวุโสหยวนและผู้อาวุโสหลินก็เข้ามาทักทายและถามไถ่ถึงเหตุการณ์ทันทีโดยที่ไม่สนใจเทียนหลางและเฟิงหยวนเลยแม้แต่น้อย
ในขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่นั้นฝูงอสูรโบราณก็ออกมาจากป่าและตรงมายังพวกเขา เมื่อพวกเขาเห็นมันก็ถึงหวาดกลัวทันทีพวกเขาพึ่งผ่านการต่อสู้อันโหดร้ายมาแท้ๆ นี่กลับต้องมาเจอระลอกที่สองอีก สภาพจิตใจของพวกเขานั้นย่ำแย่กว่าที่เห็นผู้บ่มเพาะเร่ร่อนบางคนถึงกับกรีดร้องออกมาและพยายามจะหนีขึ้นเรือ
ผู้อาวุโสหลินที่เคยเห็นพลังของเทียนหลางมาแล้วก็หวังที่จะให้เขาช่วยเธอจึงมองไปที่เทียนหลาง แต่ก็พบว่าเขากำลังคุยกับผู้หญิงที่พึ่งมาก่อนหน้านี้โดยที่ไม่ได้ตื่นตระหนกอะไรเลย เธอจึงเดินเข้าไปหาเขาพร้อมกับพูดขึ้น
”ต้องขอโทษที่ขัดจังหวะการคุยกันของคุณทั้งสองคน แต่พวกคุณคงไม่สังเกตุว่าพวกสัตว์ประหลาดจำนวนมากกำลังมุ่งมาทางพวกเรา”
เทียนหลางที่ได้ยินก็หันมาพร้อมกับเอ่ยถาม
”แล้วมันเกี่ยวกับพวกผมตรงไหนงั้นเหรอ ?”
เมื่อได้ยินแบบนั้นผู้อาวุโสหลินก็ถึงกับตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนจะกระแอมไอสองสามครั้ง
”หากไม่เป็นการรบกวนมากจนเกินไป ฉันอยากให้คุณช่วยพวกเราแน่นอนว่าพวกเรานั้นมีค่าตอบแทนอย่างแน่นอน”
”คุณพูดเองนะ”
”แน่นอน ฉันขอให้คำมั่นใจในนามของสำนักวารีพิสุทธิ์”
เทียนหลางที่ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าก่อนจะหันไปพูดกับเฟิงหยวน
”จัดการทีเดียวให้จบเลยก็แล้วกัน”
เฟิงหยวนพยักหน้าก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
”เข้าใจแล้ว ฉันก็อยากกลับบ้านไปอาบน้ำเหมือนกัน”
เมื่อพูดจบทั้งคู่ก็หายไปจากตรงหน้าของผู้อาวุโสหลิน และไปปรากฏตัวตรงหน้าของฝูงอสูรโบราณ การปรากฏตัวอย่างกระทันหันของทั้งคู่สร้างความตกใจให้กับผู้คนจากสำนักต่างๆ อย่างมากพวกเขาอยากจะตะโกนบอกให้ทั้งคู่ถอยออกไปจากตรงนั้นแต่ในวินาทีต่อมาพวกเขาก็ต้องถึงกับกลืนคำพูดตัวเองกลับลงไป
ทั้งคู่สบัดมือช้าๆ ก่อนที่เทียนหลางจะพูดขึ้น
”แสงจันทร์คืนนี้สวยจริงๆ ผมน่าจะพาคุณไปเที่ยวที่ไหนสักแห่ง”
เฟิงหยวนที่ได้ยินก็มองเทียนหลางด้วยสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย
”มาพูดอะไรเอาตอนนี้”
”นั่นสินะ”
หลังจากพูดคุยกันเล็กน้อยเทียนหลางและเฟิงหยวนก็หลับตาลงก่อนที่ทั้งคู้จะชูมือขึ้นและพึมพำออกมาเบาๆ
” ”จงดับสูญ ครวญกระดิ่งชมจันทร์” ”
พลันเกิดเสียงครวญของกระดิ่งดังขึ้นพร้อมปรากฏวงแหวนอักขระขนาดใหญ่ขึ้นตรงหน้าของทั้งคู่ก่อนที่จะมีลำแสงสายหนึ่งสาดส่องออกมาพร้อมกับกวาดล้างอสูรโบราณนับร้อยตรงหน้าให้หายไปภายในเสี้ยววินาที