Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 10 สมาคมนักดนตรี
ลูเซียนย้อนนึกถึงแผนการสร้างเนื้อสร้างตัวทั้งหลายจากนิยายที่เคยอ่าน แล้วก็ต้องเศร้าใจเมื่อพบว่าเขารู้เรื่องเกี่ยวกับโลกใบนี้น้อยเกินไป จึงไม่รู้ว่าแผนการเหล่านั้นจะใช้ได้ผลหรือไม่ และไม่ว่าเขาจะทำอะไรต่อไป เงินหนึ่งทองก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุด แต่เขามีแค่เจ็ดเหรียญทองแดงเท่านั้น
ดังนั้น เมื่อแสงแดดยามเก้าโมงเช้าสาดส่องไปทั่วตลาด ลูเซียนก็แบกสินค้าหนักๆ ตรงไปยังเขตประตูเมืองแล้ว อย่างไรเสีย การมีชีวิตรอดก็เป็นเรื่องสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด
หยาดเหงื่อไหลลงมาตามใบหน้าและลำคอเขาไม่หยุดจนชุดลินินเขาเปียกชุ่ม แสงแดดอ่อนๆ ตกกระทบบนตัวลูเซียน ทำให้การก้าวเดินแต่ละก้าวยากลำบากกว่าเดิม และในขณะเดียวกัน ลูเซียนที่กำลังเหนื่อยอ่อนดิ้นรนยังต้องมาทนฟังชายร่างอวบอ้วนที่ชื่อกัตช์บ่นอยู่ข้างตัวอีก
“บัดซบ ผู้ใดกันที่ส่งเด็กน้อยเช่นนี้มา เดินให้มันระวังๆ หน่อย อย่าทำให้สินค้าของข้าเสียหายล่ะ!”
เมื่อหันไปมองกัตช์ที่กำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อขึ้นๆ ลงๆ ลูเซียนก็รู้สึกถูกสบประมาท ‘คนที่เรียกร้องก็คือคนขี้เหนียวอย่างนายไม่ใช่หรือไง’
แน่นอนว่า การที่ลูเซียนทำงานทั้งหมดคนเดียวทำให้เขาได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้นจากสามเป็นสี่เฟลล์
หลังจากมาถึงเขตประตูเมือง ลูเซียนก็วางสินค้าลงบนเกวียนที่รออยู่อย่างปลอดภัย
กัตช์ผู้อวบอ้วนดึงถุงเงินออกมาอย่างไม่เต็มใจ ล้วงเอาเหรียญออกมาสี่เฟลล์ แล้วยื่นให้ลูเซียน “นี่ค่าจ้าง เจ้าหนุ่ม ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีเรี่ยวแรงขนาดนี้ ข้าจะไปเรียกเจ้าเองถ้าวันหน้ามีสินค้าต้องขนอีก”
ความจริงแล้วพละกำลังของลูเซียนนั้นด้อยกว่าคนในวัยเดียวกันที่ได้รับการฝึกฝน แต่เพราะลูเซียนทำงานที่ควรต้องใช้คนสองคนด้วยตัวคนเดียว จึงลดเงินที่ต้องจ่ายลง กัตช์ผู้ตระหนี่ถี่เหนียวจึงออกปากชม ลืมคำบ่นก่อนหน้านี้ไปเสียสิ้น
ทันทีที่เขาได้รับเหรียญทองแดงมา ลูเซียนก็เห็นชายสองคนในชุดลินินที่หน้าตาร้ายกาจแบบอันธพาลเดินเข้ามาหา
“เราคือลูกน้องของท่านอารอน เรียกข้าว่าอังเดรก็ได้” ชายผมสีน้ำตาลแนะนำตัว บนใบหน้าเขามีรอยแผลเป็นตื้นๆ
ลูเซียนรู้ว่าพวกเขากำลังจะทำอะไร และเตรียมตัวมาแล้วอย่างดี เขาไม่คิดจะทำอะไรสวนทางผู้อื่น จึงยื่นเหรียญให้อีกฝ่ายหนึ่งเฟลล์
ชายร่างใหญ่อีกคนถลึงตาใส่ลูเซียน “สองเฟลล์สิ!”
“ไม่ใช่หนึ่งเฟลล์หรอกหรือ” ตอนนี้ลูเซียนก็ยากจนข้นแค้นมากแล้ว และแม้จะรู้ว่าเขาไม่อาจต่อกรกับอันธพาลพวกนี้ได้ เขาก็อดที่จะเถียงออกไปไม่ได้
“หากเจ้าไม่อวดเก่งทำทุกอย่างด้วยตัวเอง กัตช์ก็คงจะจ้างคนงานสองคน และพวกเจ้าก็ต้องให้พวกข้าคนละหนึ่งเฟลล์ นั่นหาใช่ความผิดของพวกข้าเสียหน่อย” อังเดรแย้มยิ้มเหมือนกับเขาคือพ่อค้าที่น่านับถือ
มันก็แค่หนึ่งเฟลล์ ซึ่งไม่ได้ส่งผลอะไรกับการเอาชีวิตรอดและสภาพการเงินของลูเซียนเท่าใด ดังนั้น เพื่อไม่ให้ถูกพวกอันธพาลไล่ล่าเพราะเงินหนึ่งเฟลล์ ลูเซียนจึงลังเลเพียงวินาทีเดียวก่อนที่เขาจะทำใจยอมรับ ล้วงเอาเหรียญทองแดงออกมา แล้วส่งให้อังเดรที่เดินไปมาราวกับจะแสดงให้เห็นถึงร่างกายอันแข็งแกร่ง
“ดีมาก เจ้าหนู เจ้าเข้าใจกฎดีนี่ มีคนหนุ่มหลายคนที่ชอบท้าทายพวกข้า แต่เจ้าก็เห็นว่าพวกข้ายังอยู่ตรงนี้ ในขณะที่เจ้าพวกนั้นจมอยู่ก้นแม่น้ำเบเล็ม เอาล่ะ แม็ก ไปตรงนั้นกัน” อังเดรข่มขู่เล็กน้อยเหมือนว่าเขาทำเป็นปกติ ก่อนจะหันหลังกลับและเดินจากไปอีกด้านพร้อมกับแม็ก
ลูเซียนมองแผ่นหลังของทั้งสองคนขณะที่ในใจรู้สึกขื่นขมเล็กน้อย แม้เขาจะรู้แต่แรกแล้วว่าจะถูกพวกอันธพาลเอาเปรียบ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์จริงๆ เขาก็อดรู้สึกแย่ไม่ได้
หลังจากก่นด่าตัวเองที่ไม่ใจกล้าพอ ลูเซียนก็ตระหนักว่าการที่เขาจะออกจากสถานการณ์แบบนี้ได้นั้น เขาต้องแข็งแกร่งหรือไม่ก็มีสถานะทางสังคมที่สูงขึ้น
แน่นอนว่า บนโลกใบนี้ ความแข็งแกร่งนั้นหมายถึงสถานะชั้นสูงทางสังคม
‘ไม่รู้ว่ามีสูตรน้ำยาอะไรจากบันทึกเวทมนตร์ที่จะช่วยเพิ่มพลังให้ฉันได้บ้าง’ ลูเซียนอดคิดถึงเรื่องนี้ไม่ได้ แม้ว่าเขาจะรู้ว่านั่นคึอสัญญาณอันตราย สัญญาณว่าเขากำลังจะต้านทานสิ่งล่อใจไม่ได้ก็ตาม
…
สมาคมนักดนตรีที่ตั้งอยู่ใกล้หอประชุมบทสวดในเขตบริหารปกครองนั้นขึ้นชื่อเรื่องสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์แห่งเมืองอัลโต้ ดังนั้นลูเซียนจึงถามทางเพียงครั้งเดียวก็สามารถลากเกวียนสี่ล้อมาพบสถานที่ที่เรียกว่า ‘จังหวะแห่งเปลวไฟ’ ได้
ด้วยลายเส้นแนวดิ่ง หอคอยเล็กๆ ครีบยันลอย งานกระจกสี และบานหน้าต่างรูปร่างเหมือนเปลวไฟที่ประกอบเข้าด้วยกัน ทำให้ตึกสูงห้าชั้นสีอ่อนนี้ดูไม่สมมาตร เป็นความงามที่ถูกขับเน้นเกินจริง แต่กลับดูอ่อนช้อยและซับซ้อน
เมื่อเห้นว่าลูเซียนมาถึง ชายวัยกลางคนรูปร่างผอมบางมีเคราแพะก็รีบเดินลงบันไดมา “เหตุใดจึงช้านัก ดูนาฬิกาบนหอระฆังทองสิ มันเลยบ่ายโมงมาแล้ว!”
หลังจากได้รับมอบหมายงานนี้ ลูเซียนก็ได้พบกับชายวัยกลางคนผู้นี้ผ่านทางโคเฮ็นครั้งหนึ่ง รู้เพียงว่าเขาชื่อจอร์จ และดูเหมือนว่าเขาจะมีเส้นสายกับคนในสมาคมนักดนตรี
“จอร์จ ยังเหลือเวลาอีกสิบนาทีขอรับ” ลูเซียนชี้ไปทางหอระฆังทองที่ตั้งตระหง่านน่าเกรงขามจนคล้ายกับจะสามารถควบคุมเมืองทั้งเมืองได้ เข็มชั่วโมงบนนั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกพอสมควรกว่าจะชี้ไปที่เลขหนึ่ง
จอร์จบ่น “คนทำความสะอาดที่ทางสมาคมจ้างมาทำงานเสร็จเร็วน่ะสิ เจ้าควรตามข้าไปจัดการกับขยะเดี๋ยวนี้ กองขยะอยู่ข้างหลังสมาคม และมันอาจส่งผลต่อสภาพอารมณ์ของนักดนตรีที่มาทำงาน ช่างน่ารำคาญเสียจริง”
ลูเซียนนึกสงสัยเกี่ยวกับความฝันการเป็นนักดนตรีของโจเอล เขาจึงไม่ตอบอะไรจอร์จ จอดเกวียนไว้ด้านข้างให้ยามช่วยเฝ้า ก่อนจะก้าวขึ้นบันไดแล้วเดินตรงไปยังประตู
ทันทีที่เขาเปิดประตูที่ฝังเลี่ยมกระจกสี ลูเซียนก็เห็นโถงขนาดใหญ่ที่สว่างจ้าและโอ่อ่า
บนพื้นปูพรมหนานุ่ม จึงไม่มีเสียงฝีเท้าดังให้ได้ยิน ข้างในนี้มีคนเข้าออกบางตา ทำให้ทั้งโถงกว้างเงียบสงัดและให้ความรู้สึกหนาวเย็น
ลูเซียนเดินตามจอร์จมายังเคาน์เตอร์ไม้สูงระดับเอวตรงกลางโถง
หลังเคาน์เตอร์ไม้นั้นมีหญิงสาวหน้าตางดงามที่มีดวงตาสีเขียวรับกับผมสีน้ำตาลเข้ม นางแย้มยิ้มหวานและเอ่ยด้วยเสียงกังวานใส “ท่านลุงจอร์จ เขาคือคนที่ท่านกำลังรอใช่ไหมเจ้าคะ”
ขณะพูด นางก็หยิบถุงใส่เหรียญที่ดังกรุ๋งกริ๋งออกมายื่นให้จอร์จ จากที่ลูเซียนประมาณการแล้ว ในถุงนั้นมีอยู่อย่างน้อยสี่สิบเฟลล์ และนั่นทำให้เขาอดสบถในใจไม่ได้ หากไม่รวมค่าเช่าเกวียน ตัวเขาจะได้รับเพียงแปดเฟลล์เท่านั้น
จอร์จรับถุงเงินมา แล้วยิ้มยิงฟันเป็นคราบเหลืองพลางหรี่ตาลงเป็นเส้นตรง “เอเลน่า ตามใครก็ได้มาพาลูเซียนไปที่สวนด้านหลังหน่อย อย่าคิดว่าเขายังเด็กและไม่แข็งแรงเลยเชียว เรี่ยวแรงเขาดีมาก”
กล่าวจบ เขาก็หันมาพูดกับลูเซียนอีกครั้ง “ข้าจะทิ้งเงินไว้กับอังเดรที่เขตประตูเมือง เจ้าสามารถไปรับได้ตอนขากลับ”
ลูเซียนพยักหน้า เขาไม่กังวลว่าจอร์จจะเก็บเงินไว้กับตัวเอง แม้ว่าคนของแก๊งอารอนจะชอบกดขี่เวลาเก็บเงิน พวกเขาก็ยังต้องทำตามกฎ โคเฮ็นเคยเล่าให้ฟังว่าก่อนหน้านี้มีคนพยายามจะฮุบเงินค่าจ้าง สุดท้ายก็ลงเอยที่การต้องจ่ายชดเชยสองเท่า
เอเลน่ากำลังเรียกคนใช้ที่อยู่ในโถงมาพาลูเซียนไปที่สวนด้านหลังเพื่อขนขยะออกไป ทันใดนั้น ชายวัยกลางคนสวมโค้ตสีแดงตัวใหญ่ก็เข้ามา เอเลน่าจึงยืนขึ้นและโค้งตัวเล็กน้อย “สายัณห์สวัสดิ์เจ้าค่ะ ท่านวิกเตอร์”
ชายวัยกลางคนผู้นี้แต่งกายดูเรียบง่ายทว่าสง่างาม เขามีไรหนวดสีดำจางๆ ผมหยักศกสีดำ และดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลที่ดูเศร้าสร้อย “สายัณห์สวัสดิ์เอเลน่า ข้าขอ ‘วิพากษ์ดนตรี’ ฉบับล่าสุดจะได้ไหม” เสียงเขาทุ้มต่ำ
ลูเซียนประหลาดใจเมื่อเห็นเอเลน่าหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับใหม่เอี่ยมออกมาจากใต้เคาน์เตอร์ไม้ ‘อัลโต้พัฒนาจนมีหนังสือพิมพ์แล้วงั้นหรือ แถมยังเป็นแบบพิเศษเสียด้วย’
เมื่อคิดถึงสถานการณ์ในสลัมแล้วเขาก็ต้องถอนหายใจ ‘ดูเหมือนว่าโลกนี้จะแบ่งแยกชนชั้นอย่างแรง แต่ว่า น้อยคนที่จะรู้หนังสือนี่นา หนังสือพิมพ์ต้องขายได้กี่ฉบับกันเนี่ยกว่าจะถอนทุนคืนได้’
วิกเตอร์รับ ‘วิพากษ์ดนตรี’ มาเปิดพลิกดูเร็วๆ ก่อนจะยื่นสิบเฟลล์ให้เอเลน่า เขาพยักหน้าให้ลูเซียนกับจอร์จอย่างสุภาพแล้วหันหลังเดินขึ้นบันไดไปพร้อมกับหนังสือพิมพ์
‘ท่านวิกเตอร์คนนี้ดูดีสุดๆ’ ลูเซียนคิดในใจ
เมื่อวิกเตอร์ขึ้นบันไดหายลับไปแล้ว ลูเซียนจึงถามเอเลน่าด้วยความสงสัยใคร่รู้ “วิพากษ์ดนตรีฉบับหนึ่งราคาสิบเฟลล์เลยหรือขอรับ”
ด้วยรู้ว่าคนอย่างลูเซียนคงไม่มีโอกาสได้พบปะชนชั้นสูง เหมือนอย่างที่นางเองก็เคยเป็น เอเลน่าจึงอดไม่ได้ที่จะอวดเบ่งประสบการณ์ความรู้จากการทำงานในสมาคมนักดนตรีตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา “ในปีนักบุญที่ 462 พระคาร์ดินัลอาดีเลดย์ได้คิดค้นวิธีทำกระดาษที่ง่ายและมีประโยชน์หลายอย่างกว่าเดิม นับแต่นั้นมา ราคากระดาษก็ถูกลงเรื่อยๆ ตอนนี้เจ้าสามารถซื้อหนังสือพิมพ์ได้ในราคาเพียงไม่กี่เฟลล์ แต่มีเพียงสมาชิกของสมาคมเราเท่านั้นที่จะซื้อวิพากษ์ดนตรีด้วยราคาสิบเฟลล์ หากเป็นผู้อื่น รวมถึงขุนนางด้วย จะต้องจ่ายหนึ่งนาร์”
“เพราะว่า ‘วิพากษ์ดนตรี’ และ ‘ซิมโฟนี นิวส์’ ต่างก็เป็นหนังสือพิมพ์ที่เชื่อถือได้ที่สุดในวงการดนตรีทั่วทั้งทวีป มันนำเสนอทิศทางการพัฒนาดนตรี โน้ตเพลงและบทความวิพากษ์วิจารณ์ทุกชิ้นเขียนขึ้นโดยผู้รอบรู้ เดือนนี้ ‘วิพากษ์ดนตรี’ ยังตีพิมพ์ความเห็นขององค์ราชากับเจ้าหญิงนาตาชาเกี่ยวกับการแสดงที่หอประชุมบทสวดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วอีกด้วย”
นอกจากอยากจะอวดเบ่งแล้ว เอเลน่าต้องยอมรับว่าผมกับดวงตาสีดำและใบหน้าหล่อเหลาของลูเซียนนั้นมีส่วนทำให้นางพูดไม่หยุด
“หนึ่งนาร์เลยหรือ” จู่ๆ ลูเซียนก็รู้สึกอยากจะขโมยหนังสือพิมพ์พวกนี้ หากเขาได้มาสักห้าฉบับ ปัญหาของเขาคงได้รับการแก้ไขอย่างง่ายดาย แต่เมื่อคิดว่าเขาคงไม่มีทางหาคนซื้อได้แม้ว่าจะขโมยสำเร็จ ลูเซียนจึงดับประกายความคิดนั้นอย่างหดหู่ใจ
เอเลน่ายิ่งมีความสุขเมื่อได้เห็นปฏิกิริยาของลูเซียน “ฮ่าๆ เจ้าคิดว่าหนึ่งนาร์แพงแล้วงั้นหรือ หากเป็นที่เมืองเทรีย อันทิฟเฟลอร์ อีฟา ทิลิส และอันฮาเดอร์ หนังสือพิมพ์ทั้งสองนี้เป็นที่นิยมอย่างมาก ฉบับที่แพงที่สุดอาจสูงถึงเหรียญทองหนึ่งธาเล ชนชั้นสูงในเมืองเหล่านั้นชื่นชอบการไล่ตามกระแสของดนตรีจากอัลโต้ แม้ว่าพวกเขาจะได้อ่านหนังสือพิมพ์ที่เก่ามากแล้วก็ตาม”
ลูเซียนเหลือบมองหนังสือพิมพ์ที่เหลืออยู่ในตู้ของเอเลน่าอีกครั้ง พลางพยายามต่อต้านแรงกระตุ้นให้ขโมย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เขาได้ข้อมูลจากนางมาไม่น้อย ‘ค่าเงินคงเหมือนกันทั้งทวีป ก็นะ ศาสนจักรคงจะแข็งแกร่งมากจริงๆ และดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีเวทเทเลพอร์ตหรืออะไรแบบนั้น แต่ถึงจะมี เงื่อนไขในการใช้มันคงจะยุ่งยากน่าดู ไม่อย่างนั้นพวกขุนนางในเมืองอื่นๆ คงไม่ได้อ่านแค่หนังสือพิมพ์เก่าเก็บหรอก’
ลูเซียนซึมซับข้อมูลที่เขาไม่รู้จากเอเลน่าเหมือนกับฟองน้ำ จนกระทั่งสิบนาทีต่อมา เอเลน่าจึงได้สติแล้วเรียกคนใช้ที่อยู่ในโถงมาพาลูเซียนไปยังสวนด้านหลัง
“ลูเซียน เงียบๆ นะ ห้ามพูดเสียงดัง ห้ามทำเสียงดังตอนขนย้ายขยะด้วย อีกราวๆ สามเดือน ท่านวิกเตอร์จะขึ้นแสดงกับวงเป็นครั้งแรกในหอประชุมบทสวด ช่วงนี้ท่านกดดันและเครียดมากจนค่อนข้าง เอ่อ อ่อนไหวง่ายกว่าปกติ” เอเลน่าเตือนลูเซียนด้วยความหวังดี
ลูเซียนพยักหน้าอย่างขอบคุณ จากนั้นจึงเดินตามคนใช้ไปยังสวนด้านหลังด้วยความระมัดระวัง
————————————————