Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 119 ปลดผนึก
พระจันทร์สีเงินไม่ปรากฏในคืนนี้ มีเพียงดาวสองสามดวงเท่านั้น
ลูเซียนยืนอยู่ด้านหน้าหน้าต่าง เขามองออกมาจากผ้าม่านและรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเพราะเมื่อไม่มีพระจันทร์สีเงิน พรของเขาก็ไม่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มที่ คืนนี้มีเพียงแต่ต้องอาศัยความเร็วและความคล่องแคล่วของเขาเท่านั้น ที่ตอนนี้สามารถเที่ยบเท่าระดับอัศวิน แต่ความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขาจะไม่ดีเท่า เมื่อเทียบกับการมีพลังจากพระจันทร์คอยช่วยเหลือ
“อย่างน้อยข้าก็ยังเห็นดวงดาวอยู่บ้าง แม้ว่าจะไม่สามารถคำนวณพิกัดทางเข้าของเมจิกล็อคได้” ลูเซียนปลอบตัวเอง “และมันก็ปลอดภัยกว่าที่จะซ่อนอยู่ในความมืดโดยปราศจากแสงจันทร์”
ตามบันทึกโบราณที่เขาเคยอ่านมาก่อน ทางเข้าของเมจิกล็อคที่เรียกว่าแกรนด์ครอสเปลี่ยนที่ตั้งของมันทุกๆ สิบนาที พร้อมกับดาวที่เคลื่อนไหวตลอดเวลาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งดวงอาทิตย์ขึ้น
ยี่สิบสามนาฬิกา ลูเซียนสวมเสื้อคลุมที่มีฮู้ดสีดำ
เมื่อเขาดึงฮู้ดของเขาขึ้นและกำลังจะออกจากห้องไปทางหน้าต่าง เขาก็ลังเลเล็กน้อย มีนักกวีและผู้มาเยือนทั้งสองคนมาหาเขาด้วยกันในเวลาเดียวกันซึ่งเป็นเรื่องบังเอิญที่ทำให้เขาคิดว่านี่อาจเป็นกับดัก
ในตอนแรกลูเซียนคิดว่าศาสนจักรได้ส่งพี่ชายและน้องสาวมาทดสอบเขาอย่างไรก็ตามหลังจากรู้จากไรน์ว่าศาสนจักรไม่มีเวลาว่างที่จะจัดการกับเรื่องต่างๆ ในเวลานี้ และหลังจากที่ได้เห็นนักท่องเที่ยวลึกลับนับสิบคนในเมืองเล็กๆ แห่งนี้เขารู้สึกว่าเรื่องราวเกี่ยวกับซากปรักหักพังเวทมนตร์ค่อนข้างน่าสงสัย
“ข้าควรจะเสี่ยงหรือไม่?” ลูเซียนถามตนเองอย่างเงียบๆ ในใจ เขาจะต้องใช้เวลานานหกถึงเจ็ดเดือนเพื่อไปที่ ‘เมืองสเติร์ก’ ดังนั้นเขายังมีเวลาเพียงพอที่จะหาวิธีอื่นในการปรุงน้ำยาพระจันทร์สีเงิน และเห็นได้ชัดว่าซากปรักหักพังเวทมนตร์ไม่ใช่โอกาสเดียวของลูเซียนที่จะรวบรวมวัสดุที่เขาจำเป็น
ไม่ช้าลูเซียบนก็ได้ตัดสินใจ เขามีลางสังหรณ์ผ่านดาวแม่ของเขา เมื่อตอนที่ไรน์พูดกับเขาเมื่อคืนก่อน เขามีความรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่สำคัญกำลังจะเกิดขึ้น และถ้าเขาไม่มีพลังมากพอที่จะปกป้องตัวเองก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นั้นเขาอาจจะตาย
ลูเซียนมีคำถามมากมายในใจของเขา ใครเป็นผู้แต่งบทกวี? ใครคือเจ้าของดั้งเดิมของบันทึก เป็นไปได้ไหมว่าตำนานภาพอาถรรพณ์ที่รู้จักกันในนาม “ผู้เผยพระวจนะ” คือผู้เขียนหนังสือโหราศาสตร์และองค์ประกอบเวทมนตร์ที่ทิ้งไว้ในล็อคเพราะเขาคาดการณ์บางอย่างที่สำคัญได้
ความอยากรู้ของลูเซียนมีอิทธิพลเหนือความกังวลของเขา เขากระโดดออกจากหน้าต่างเบาๆ และออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว
เพื่อประหยัดพลัง ลูเซียนจึงเคลื่อนไหวช้าลงเล็กน้อย เขาใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงเพื่อไปยังเมืองเล็กๆ ใกล้กับเมืองมัสซาวาที่เรียกว่าบอนน์
เมืองบอนน์เป็นเมืองห่างไกลที่ตั้งอยู่ใกล้ภูเขาแห่งความมืด นานๆ ครั้งจะมีนักดนตรีและจิตรกรสองสามคนจะไปเยี่ยมเยือน
ลูเซียนค่อนข้างประหลาดใจที่พบว่าเมื่อเขามาถึงเมืองเล็กๆ นี้ และมีเพียงโรงแรมเดียวเท่านั้นที่ยังคงยุ่งอยู่ เขาได้ยินหลายคนพูดด้วยสำเนียงที่แตกต่างกัน
…
ในห้องหนึ่งบนชั้นสองของโรงแรม ซาลาและลิลิธมองหน้ากันด้วยคิ้วที่ขมวดมุ่น
“เราจะทำอย่างไรดีตอนนี้” ลิลิธถาม “ข้าคิดว่ามีเพียงอีวานส์เท่านั้นที่ทราบถึงความลับของบันทึก แต่ทำไมมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากในบอนน์?”
“ข้าเดาว่า…” ซาลาถอนหายใจ “บันทึกที่เรามีอาจจะยังไม่สมบูรณ์และอาจจะไม่ใช่แค่เราคนเดียว พวกเขาอาจมีฉบับสมบูรณ์”
“นั่นสมเหตุสมผลแล้ว เราได้รับบันทึกจาก…” ลิลิธพยักหน้าแล้วเปลี่ยนหัวข้อ “จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีนักเวทและอัศวินอยู่ในหมู่พวกเขา”
“ข้าไม่แน่ใจ” ซาลามองลงไปที่พื้นข้างล่างราวกับว่าเขากำลังพยายามมองหาผู้คน “อย่างน้อยข้าก็รู้ว่าคนที่รวมกันอยู่ตอนนี้ไม่ใช่แค่นักผจญภัยกลุ่มหนึ่ง”
“ถ้าอย่างนั้น เรายังจะไปพรุ่งนี้หรือ?” ลิลิธ มองอย่างลังเล
ซาลาไม่ได้ตอบคำถามของนางทันที หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็ถอนหายใจ “เราจะรอดู ข้าหมายความว่าเราไม่จำเป็นต้องแข่งขันและเราก็ไม่สามารถแข่งขันกับพวกเขาได้ ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นที่นี่” แม้ว่าซาลาจะรู้สึกผิดปกติบางอย่าง แต่ความปรารถนาของเขาก็บังคับให้เขาอยู่ต่อ
“เอาล่ะ” ลิลิธ พยักหน้า “ทางเข้าของซากปรักหักพังจะเปิดเป็นเวลาสิบสองชั่วโมง”
…
ในเวลาเดียวกันลูเซียนยืนอยู่ใต้หน้าต่างห้องของซาลาและลิลิธ เขาเอนตัวพิงกำแพงและคำนวณระยะทางเข้า
เพราะนั่นคือการเมจิกล็อค เวทมนตร์ในระดับตำนานจึงจำเป็นต้องมีการคำนวนค่าคงที่จำนวนมาก ลูเซียนใช้เวลามากกว่าครึ่งชั่วโมงในการคำนวณตัวเลข
การคำนวณกินพลังงานลูเซียนมากจนทำให้เขาเวียนหัว โชคดีที่ยังคงมีเวลาก่อนที่จะเริ่มใช้งานการเมจิกล็อคดังนั้นลูเซียนจึงนั่งลงบนพื้นอย่างเงียบๆ และหายไปในความมืด
…
ประมาณตีสามลูเซียนก็ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ เขาเดินอย่างระมัดระวังไปยังบ้านที่ดูเรียบง่าย
ในที่มืด เสื้อคลุมสีดำของเขายิ่งทำให้เขาดูเลือนลาง
เขาเปิดประตูด้วยเวทมนตร์ง่ายๆ เขาแอบเข้าไปแล้วล็อคประตูอีกครั้งจากด้านใน
ในห้องนอนมีคู่รักคู่หนึ่งนอนหลับสนิทและไม่รู้ว่ามีใครเพิ่งเข้ามาในห้องของพวกเขา
ลูเซียนนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ในห้องนั่งเล่น เขาดูค่อนข้างผ่อนคลายและสงบ เขานับเวลาในใจอย่างเงียบๆ
ประมาณสิบนาทีต่อมาลูเซียนก็ยืนขึ้นและทิ้งตัวเองลงบนกระแสน้ำวนอันมืดมิดที่มุมห้องนั่งเล่นซึ่งไม่เคยมีมาก่อน
ราวกับว่าลูเซียนถูกดูดเข้าไปในน้ำวนและเขาก็หายไปจากที่นั่น
สิบวินาทีต่อมากระแสน้ำวนก็หายไป
…
ลูเซียนรู้สึกเวียนหัวเมื่อเขากระโดดลงไปในน้ำวนราวกับว่าหัวของเขากระแทกกับผ้าม่านที่หนาและหนัก
แต่เมื่อเขาลืมตาขึ้นเขาก็ยังคงยืนอยู่ในห้องนั่งเล่นเช่นเดิม
ลูเซียนสับสนและคิดว่าบางทีเขาอาจทำพลาด ในไม่ช้าเขาก็สังเกตเห็นความแตกต่าง สถานที่แห่งนี้ไม่มีสีใดๆ แต่มันสร้างด้วยสีดำสีขาวและสีเทาราวกับว่าเขาได้เข้าสู่โลกภาพยนตร์ขาวดำ
ลูเซียนมองไปที่ห้องนอนอย่างรวดเร็ว เขาเห็นว่าคู่รักที่กำลังหลับอยู่บนเตียงก็หายไปเช่นกัน
เขาผลักประตูอย่างระมัดระวังแล้วออกมาที่ถนน มันเป็นเหมือนกันทั้งเมืองมันว่างเปล่าและเป็นสีขาวดำ
“น่าขนลุก” ลูเซียนพูดกับตัวเอง แต่เขาไม่ได้ยินเสียงของเขา
ในที่สุดเขาก็สังเกตเห็นความแตกต่างอีกครั้ง โลกทั้งโลกนี้เงียบสนิทราวกับว่าได้ตายไปแล้ว
นี่คือล็อค ตอนนี้ลูเซียนอยู่ในเมจิกล็อค
เมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีเทา เขาไม่เห็นดวงดาว ดวงจันทร์สีเงินหรือแม้แต่ดวงอาทิตย์
โชคดีที่เขายังรู้สึกถึงการเชื่อมต่อของเขากับดาวแม่ซึ่งหมายความว่าเขายังคงสามารถใช้เวทมนตร์ได้และเขาก็ยังคงเชื่อมต่อกับโลกแห่งความจริงดังนั้นเขาจะไม่หลงทางอยู่ในล็อค
ไม่มีผู้คน ไม่มีแมวและสุนัข ไม่มีนก ไม่มีหนอน ไม่มีสายลม หรือแม้แต่เสียง… เหงื่อเข้าออกขณะที่เขาเดินผ่านถนนสีเทา
ตามบันทึกที่เขาอ่าน เมื่อนึกถึงสถานที่ต่างๆ เขาจึงมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบเอลชีนอร์ที่อยู่อีกด้านหนึ่งของเมืองสีเทานี้
ลูเซียนคว้าดาบของเขาที่ชื่อ ‘อะเลิร์ต’ ทันใดนั้นลูเซียนก็รู้สึกขนลุก มีบางอย่างกำลังมา!
ลูเซียนหันศีรษะของเขาอย่างรวดเร็วและเห็นประตูบ้านหลังเล็กๆ หลังหนึ่งบนถนนกำลังเปิดออกช้าๆ
เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ อายุประมาณเจ็ดหรือแปดปีกำลังยืนอยู่ข้างหลังประตู นางไม่มีสีเช่นกันและดวงตากลมโตของนางก็ไม่ได้จ้องมองอะไรเลย
จากนั้นนางก็เริ่มยิ้มด้วยดวงตาที่ไม่มีสติ
…
“ใต้เท้า” มีคนในชุดคลุมสีดำคุกเข่าลงบนพื้นกำลังรายงานต่อชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนแท่นบูชา “ตามคำสั่งของท่านเราพบผู้ชายคนหนึ่งที่มีพรแสงจันทร์มาถึงบอนน์ แต่เราก็สูญเสียร่องรอยของเขา เขาหายตัวไป”
อิลเลียที่อยู่ในเสื้อคลุมสีเงิน เย้ยหยัน “เขาอยู่ที่นั่น”
จากนั้นเขาหันไปรอบๆ และสั่งการว่า “อย่ารีบร้อน แผนของเราคือสิ่งที่เราให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกเสมอ แต่เราจะให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นกับบุรุษแสงจันทร์ด้วยเช่นกัน”
……………………………………….